แม่จะเข็มแข็งเพื่อหนู/ที่หนึ่งในหัวใจ
Group Blog
 
All blogs
 

แม่ไม่ใช่ผู้ชายนะ

ช่วงนี้ลูกค่อนข้างพูดเก่งมากขึ้น แถมชอบมีคำถามหรือคำพูดแปลกๆมาให้แม่หัวเราะได้เสมอ ช่วงตอนปิดเทอมเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ลูกพี่ลูกน้องหนูที่เป็นผู้หญิง 2 คนมาค้างที่บ้าน อายุ 7 ขวบกับ 6 ขวบ หนูชอบเล่นด้วยกันทำให้บางครั้งหนูติดคำพูดว่าค่ะ มาจากพี่ๆ แม่เลยต้องเข้าไปอธิบายให้หนูเข้าใจว่า พี่เค้าเป็นผู้หญิงต้องพูดว่า ค่ะ ส่วนหนูเป็นผู้ชายต้องพูดว่าครับ เข้าใจไหมจ๊ะ หนูพยักหน้าหงึกๆแล้วไปเล่นต่อ ช่วงเดือนนั้นก็จะสอนกันเรื่อง ค่ะ กับ ครับ อยู่เป็นประจำ จนเปิดเทอมพี่ๆกลับบ้านไป บ้านนี้ก็เงียบเหงาลงหน่อย แม่ก็ต้องมาเป็นเพื่อนเล่นกับหนูแทน ด้วยความที่อยากให้หนูพูดลงท้ายด้วยคำว่า ครับ ทุกครั้ง เวลาแม่พูดแม่ก็จะลงท้ายว่าครับด้วย ทำให้วันหนึ่งหนูได้มาเป็นครูสอนแม่

แม่กลับมาจากทำงาน เลยเข้าไปถามหนูว่า

แม่ : หนูกินข้าวยังครับ
ลูก : ยังครับ
แม่ : อยากกินอะไรเด๋วแม่ทำให้กินครับ
ลูก : กินไก่ย่าง 5 ดาว ดีไหม????
แม่ : มันจะดีเหรอลูก
ลูก : มันดีนะ เพราะว่ามันอร่อยและหอม
แม่ : ก็ได้ครับ เด๋วเราให้พ่อไปซื้อให้แล้วกันครับ
ลูก : แม่ แม่ แม่ แม่เป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ผู้ชายต้องพูดว่า ค่ะ ซิ
แม่ : เอ่อ ใช่ครับ เอ๊ย ใช่ค่ะ ลูก
ลูก : คราวหน้าแม่ต้องจำไว้นะว่าเป็นผู้หญิงห้ามพูดครับ
แม่ : ค่ะ คุณลูก

ด้วยความเคยชินที่พูดกับหนูว่า ครับ มาตลอดทำให้ช่วงนี้หนูมาเป็นครูสอนแม่บ่อยๆว่า ห้ามพูดครับ ให้พูดค่ะ แถมยกมือแล้วก็ชี้นิ้วทำท่าสั่งสอนเหมือนกำกับว่า เข้าใจไหม ด้วย เฮ้อ สงสัยคงต้องโดนลูกสอนอีกหลายยกแน่......




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2549    
Last Update : 10 ธันวาคม 2549 19:55:36 น.
Counter : 469 Pageviews.  

คุณนายไข่เจียว

วันนี้ขอนั่งเขียนเรื่องสบายๆอารมณ์บ้างนะจ๊ะ แม่มานั่งนึกถึงเรื่องที่แม่เองไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ หรือในชีวิตนี้จะต้องทำ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ตอนหนูอยู่ในท้องแม่ เค้าบอกกันว่าให้นั่งพูดคุยกับหนูบ่อยๆ หนูจะได้คุ้นเคยกับแม่ แม่เองไม่ค่อยเข้าใจจะให้ทำได้ไงพูดคุยคนเดียว ก็แม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆนี่ แม่เลยขอเปลี่ยนเป็นฟังเพลงแล้วกัน พอฟังไปได้สัก2-3 เพลงแม่ก็มีอันหลับไปเสียก่อนทุกครั้งไป พอคลอดหนูออกมาแม่ก็ให้นมหนูไม่สำเร็จอีก ตอนแรกลองพยายามหนูไม่ยอมทาน พอหลายๆครั้งเข้าเลยหมดความอดทนกันทั้งแม่ทั้งลูก เลยเปลี่ยนไปปั๊มใส่ขวดให้จุ๊ๆแทน ดีที่ว่าบังเอิญแม่ไปคลินิกพาหนูไปหาหมอ คุณหมอได้สอนให้แม่ลองให้หนูดูดนมอีกครั้ง แปลกแฮะคราวนี้หนูดูดได้สะดวกและง่ายมาก ที่นี้เลยติดใจกันใหญ่ ไปไหนๆก็ไม่ต้องอาศัยขวดนม แค่หาที่มิดชิดหน่อยก็ให้หนูทานนมได้แล้ว ตานี้กลับมาที่เรื่องของคุณนายไข่เจียวกับคุณหมอไข่พะโล้บ้าง วันนึงตอนช่วงหนูอายุได้สัก 2 ขวบครึ่ง คงเป็นช่วงวัยแห่งจิตนาการ การเปิดรับข้อมูลและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งต่างๆมากขึ้น นิทานคืออีกหนึ่งอย่างที่สำคัญสำหรับหนูมากๆ ทุกคืนหนูจะต้องให้แม่หรือคุณยายเล่านิทายให้ฟัง แรกๆแม่ก็หยิบเอานิทานที่ไปซื้อมาเปิดอ่านให้ฟัง หรือไม่ก็นอนนึกเรื่องที่เคยฟังสมัยเด็กๆเอามาเล่าให้หนูฟัง เช่น กระต่ายกับเต่า ราชสีห์กับหนู แต่ปรากฎว่าไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ จะเป็นเพราะเรื่องราวไม่สนุกหรือว่าแม่เล่าไม่สนุกก็ไม่รู้ พอมาหลังๆนิทานที่ซื้อก็เริ่มหร่อยหรอลงทุกวันๆ นิทานเรื่องเดิมๆที่เคยฟังแล้วสนุก ตื่นเต้นก็กลายเป็นนิทานที่น่าเบื่อไปสำหรับหนู สุดท้ายแม่ต้องคิดนิทานใหม่ๆมาอยู่เสมอ นิทานเรื่องที่หนูชอบจะมีอยู่ 2 เรื่องคือ ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ กับเรื่องคุณนายไข่เจียวและคุณหมอไข่พะโล้ ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะจะเป็นหนังสือกระดาษแข็งแบบมันพิมพ์ภาพสวยงาม นิทานทุกเกือบทุกเรื่องที่มีตัวละครเป็นเด็กแม่จะสมมติให้เป็นหนูทุกครั้ง หนูจะสนใจและพยายามคิดว่าเป็นตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆด้วย ระหว่างเล่าไปแม่ก็จะถามไปด้วยว่าถ้าเป็นหนูแล้วจะทำอย่างไร ไม่ว่าหนูตอบอะไรมา แม่ก็จะถามกลับไปอีกว่าเพราะอะไรถึงตอบแบบนี้ หนูก็จะไปหาคำตอบมาให้ทุกครั้ง จนหลังๆแม่เพิ่งจะมาสังเกตว่า หนูจะไม่เป็นแบบ เจ้าหนูจำไม คือไม่ค่อยมาตั้งคำถามโน่นนี่สักเท่าไหร่ อาจจะเพราะแม่มัวแต่ตั้งคำถามให้หนูตอบเสียก่อน หนูเลยไม่มีโอกาสถาม และกลับกลายเป็นว่า หนูมาบอกกับแม่ว่าจะต้องทำอย่างไรเสียเอง ส่วนเรื่องคุณนายไข่เจียวนั้น ตอนแรกๆที่แม่คิดนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเพราะหนูชอบทานไข่เจียวมาก เลยตั้งชื่อคุณนายไข่เจียว เรื่องมีอยู่ว่า นานมาแล้วมีคุณนายอยู่คนหนึ่งชอบทานไข่เจียวมาก ทุกคนเลยตั้งชื่อให้ว่า คุณนายไข่เจียว เธอจะเลี้ยงไก่ไว้ 1 ตัว เพื่อให้ออกไข่มาให้เธอกิน อยู่มาวันหนึ่ง ไก่ไม่ยอมออกไข่ คุณนายโกรธมากเลย ที่ไก่ไม่ยอมออกไข่ ทำให้คุณนายต้องไปซื้อไข่ที่ตลาดมากิน คุณนายบ่นว่าไข่ที่ตลาดแพง แถมยังฟองเล็ก สู้ไข่ที่บ้านไม่ได้ พอกลับมาบ้านก็ไปว่าไก่อีกทำให้ไก่เสียใจ และหนีออกจากบ้านไป ตอนเช้าเมื่อคุณนายตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นไก่ ก็ตกใจแล้วออกตามหาไก่ ถามใครๆก็ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งเดินไปที่ตลาดเจอไก่โดนจับอยู่ในเล้า คุณนายวิ่งไปเปิดเล้าแล้วอุ้มไก่วิ่งกลับบ้านไป ระหว่างทางก็ขอโทษไก่ที่ว่าจนไก่เสียใจ ส่วนไก่ก็ขอโทษคุณนายที่หนีออกจากบ้านจนโดนจับ ตั้งแต่นั้นมาคุณนายกับไก่ก็ไม่เคยโกรธกันอีกเลย ส่วนคุณหมอไข่พะโล้ย้ายบ้านมาอยู่ติดๆกลับคุณนายไข่เจียว นอกจากนี้ยังมีบ๊อบ เดอะ บิวเดอร์ผู้ชอบไข่ตุ๋น , higgly town hero ผู้ชอบไข่ยัดไส้ และอื่นๆที่จะตามมาอีก ระหว่างที่แม่เล่าไป แม่ก็จะถามหนูว่าไข่เจียวต้องทำอย่างไร ไข่พะโล้ต้องทำอย่างไร เป็นการสอดแทรกวิธีทำอาหารง่ายๆให้หนูรู้ไปด้วย ถึงแม้ตอนนี้หนูจะยังทำอาหารเองไม่ได้ แต่แม่คิดว่าพอหนูโตขึ้น หนูคงจำเรื่องราวของคุณนายไข่เจียวและคุณหมอไข่พะโล้ รวมถึงวิธีทำอาหารตามที่แม่สอนไว้ได้ด้วย เอาเถอะถึงแม้หน้าหนูจะเหมือนไข่ ก็ยังดีกว่าอดตายนะลูก……




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2549    
Last Update : 6 ธันวาคม 2549 17:08:43 น.
Counter : 550 Pageviews.  

วันพ่อ

วันนี้วันพ่อ แม่อยากจะเล่าเรื่องของแม่กับคุณตาให้หนูฟัง แม่กับคุณตาไม่ค่อยจะสนิทกันสักเท่าไหร่ ใครๆมักจะบอกว่าพ่อกับลูกสาวมักจะสนิทกัน แต่กับแม่แล้วไม่ใช่เลย เป็นพ่อกับลูกที่อยู่กันคนละขั้ว เหมือนขาวกับดำ คุณตากับแม่จะมีความคิดเห็นที่ไม่เคยตรงกันเลย มีหลายครั้งที่แม่ทำให้คุณตาโมโห และมีหลายครั้งที่แม่โกรธคุณตา จนถึงตอนนี้แม่กับคุณตาก็ยังอยู่คนละขั้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ความคิดที่เติบโตขึ้นของแม่ และอายุที่มากขึ้นของคุณตา แม่เข้าใจคุณตามากขึ้น ในขณะที่คุณตาก็อ่อนลง แม่เข้าใจว่าวิธีการแสดงความรักของคุณตาที่ให้กับแม่ไม่เหมือนและแตกต่างจากคุณน้า(น้องชายแม่)ของหนู บางทีกับการที่คุณตาหนูเตรียมของอร่อยๆที่แม่ชอบไว้ทุกครั้งที่แม่ไปเยี่ยมคุณตานั้นก็หมายความว่า คุณตารับรู้และใส่ใจในตัวแม่ ตอนที่แม่ไม่สบาย คุณตาจะพาคุณยายมาเยี่ยมทุกครั้ง ถึงแม้จะดึกดื่นแค่ไหนก็ตามนั่นคงเพราะความห่วงใยที่คุณตามีให้แต่ไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูด ตอนนี้คุณตาอายุมากแล้ว และป่วยด้วยโรคของคนชราอยู่หลายโรค สิ่งที่แม่จะทำได้ตอนนี้คือดูแลคุณตาให้ดีที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้ ถึงแม้แม่จะไม่ได้บอกรักคุณตาทุกวัน แต่แม่ก็จะแสดงความรักความห่วงใยให้คุณตาหนูได้รับรู้ทุกวัน สำหรับหนูกับคุณพ่อ แม่อยากให้หนูบอกรักกับคุณพ่อบ่อยเท่าที่หนูจะทำได้ แสดงความรักอย่างง่ายๆ เช่น การกอด การทักทายพูดคุย เพราะถ้าหนูทำเป็นประจำหนูก็จะเคยชิน และไม่รู้สึกเคอะเขินอย่างแม่
อีกเรื่องที่แม่อยากจะเขียนถึงคือ วันนี้เป็นวันสำคัญของประเทศที่เราอาศัยอยู่ เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม่อยากให้หนูรู้ว่า พระเจ้าอยู่หัวคือสิ่งสูงสุดในชีวิต และแม่จะนำเอาการใช้ชีวิตแบบพอเพียงมาใช้ในชีวิตของเรา ถ้าเราใช้ชีวิตแบบพอเพียงเราก็จะรู้ว่าเรามีทุกสิ่งเพียงพอ.......




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2549    
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 20:23:09 น.
Counter : 434 Pageviews.  

ไปดูปลากันไหม...

ไม่รู้แม่นึกครึ้มอะไรขึ้นมา ถึงได้ชวนหนูไปดูปลา อาจจะเพราะรู้สึกผิดในใจเมื่อครั้งวันที่ให้หนูทานยาแล้วแม่บอกว่า ถ้าหนูทานเสร็จแล้วจะพาหนูไปดูปลา แต่ปรากฎว่าพอทานเสร็จหนูขึ้นรถแล้วก็หลับเสียนี่ เลยอดไปดู แต่พอตื่นมาหนูคงลืมไปแล้วว่าแม่สัญญาไว้ ถึงไม่ได้ทวงถาม แม่เลยพูดกับหนูอีกครั้งว่า ไปดูปลากันไหม หนูตกลง คราวนี้ไม่ได้มีข้อแม้อะไรเป็นพิเศษ จนถึงวันอาทิตย์ที่เราคุยกันไว้ แม่ออกจะตื่นเต้นและกังวลนิดหน่อย เพราะไม่เคยไปไหนกับหนูสองคนในสถานที่ไม่คุ้นเคยและต้องใช้เวลานานด้วย บอกตามตรงเลยนะจ๊ะว่ากลัวทำหนูหาย เพราะถ้าหนูวิ่งแล้วเนี้ยไม่เคยหันหลังกลับมามองเลย ทำเอาคนวิ่งตามต้องวิ่งหน้าตั้งมาหลายต่อหลายคนแล้ว ครั้งนี้แม่เลยต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทำอะไรๆบ้าง ตอนออกจากบ้านแม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งไล่จับหนู ส่วนหนูก็ใส่รองเท้ารัดส้นกันหลุดเวลาเดิน เสร็จแล้วเราก็ให้พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า หนูดูตื่นๆเวลาได้นั่งรถไฟฟ้า เรียกแม่ดูโน่น ดูนี่ แถมพูดตามเสียงที่บอกชื่อสถานีถัดไปอีก แม่เลยสอนให้หนูดูที่ด้านหลังตั๋วรถไฟ ดูจุดที่เรานั่งแล้วบอกว่าจะลงที่ไหน เสร็จแล้วให้หนูนับไปว่าเราจะต้องหยุดกี่ครั้งถึงจะถึงสถานีที่เราจะลง ซึ่งหนูเกือบจะทำได้ 555 พอถึงสยามพารากอน หนูเริ่มตั้งท่าวิ่งเข้าไปในห้าง แม่ต้องเรียกหยุดมาถ่ายรูปหน้าประตูให้รู้ว่ามาจริงเสียก่อน หนูให้ความร่วมมือดี ช่วยนับ 1 2 3 แชะ เสร็จแล้วเราก็พากันเดินไปหาที่ดูปลากัน ระหว่างทางก็ทำการตกลงกันก่อนว่า ถ้าคนเยอะมากๆแม่จะอุ้มหนู แต่ถ้าคนไม่เยอะหนูต้องจูงมือแม่นะ ไม่งั้นแม่หายไปไม่รู้ด้วย ก่อนลงบันไดเลื่อนมีรูปปลาฉลามตั้งอยู่ แปลก แฮะ ทำหนูกลัวได้ แม่บอกให้ไปยืนถ่ายรูปก็ไม่ไปเกาะแม่แน่นเชียว พอลงไปคนเยอะพอควรเลยหล่ะ แม่เองก็ยังเงอะๆง่ะๆ ไม่รู้จะไปซื้อตั๋วตรงไหน ไปถามประชาสัมพันธ์แล้วกัน เค้าคงรู้ทุกคำตอบที่ถาม พอไปถามก็ได้รายละเอียดว่า ตั๋วแบบรายปีผู้ใหญ่ 1200 บาท สำหรับเด็ก 800 บาท ถ้าแบบธรรมดาเข้าครั้งเดียวผู้ใหญ่ 450 บาท เด็ก 280 บาท อย่ากระนั้นเลย เอาใบสมัครมากรอกแล้วกันยังไงๆไม่ไกลบ้านมากนัก จะมาดูจนคุ้มหล่ะ แต่ก็มาแอบคิดหนักว่าคนที่พามาต้องเป็นแม่เท่านั้นหน่ะซิ พอกรอกใบสมัครแล้วก็ไปถ่ายรูปติดบัตรกัน ได้บัตรมาก็จ่ายกะตังค์แล้วเริ่มลุยกันเลย หนูเดินมาจูงมือแม่ตลอดแล้วก็ถามโน่นนี่ ปลาหรือสัตว์บางอย่างแม่ก็ไม่รู้จัก มารู้พร้อมๆกับหนูเนี้ยหล่ะ เดินดูเรื่อยเปื่อยมาจนถึงเพนกวินน้อยในตู้ น่ารักจังเลยกำลังว่ายน้ำโชว์อยู่ ส่วนในตู้ใหญ่ก็มีโชว์คนให้อาหารปลาด้วย เดินกันไปกันมาประมาณชั่วโมงครึ่งเริ่มเมื่อยและหิวแล้ว เลยพากันออกมาแวะหม่ำแมคโดนัลด์ หนูกินเฟรนไฟส์ นักเก็ตแล้วก็พายข้าวโพด ขากลับแม่เปลี่ยนแผนนิดหน่อย ไปแวะที่สีลมคอมเพล็กซ์ไปเดินดูหนังสือแบบเสื้อผ้าให้คุณยาย ได้กลับมา 2 เล่มเกี่ยวกับเสื้อผ้าคุณแม่ที่กำลังตั้งท้อง กับวิธีตัดเย็บของจุกจิกน่ารักน่าใช้ในบ้าน คราวนี้หมดภารกิจสำหรับวันนี้แล้ว สองคนแม่ลูกจูงมือกันนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าจะรอดหนึ่งวันมหัศจรรย์สำหรับแม่มาได้ ทำให้แม่รู้สึกมั่นใจมากขึ้นที่จะพาหนูไปไหนต่อไหนไกลๆกว่านี้ได้ คราวหน้าว่าจะพาไปท้องฟ้าจำลอง ไปนั่งนับดาวกันนะลูก




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 1:14:14 น.
Counter : 1380 Pageviews.  

เครียดจัง...ย้ายโรเรียนให้ลูก (ตอนจบ)

สุดท้ายโรงเรียนที่เลือกให้หนูคือ โรงเรียนสองภาษา ซึ่งความจริงแล้ว แม่ไม่ได้เลือกโรงเรียนไหนเลย และคิดจะให้หนูอยู่โรงเรียนเดิม ด้วยเหตุที่ว่า ครูเกือบทุกคนรู้จักและสนิทสนมกับหนูเป็นอย่างดีอยู่แล้ว สถานที่และบรรยากาศของโรงเรียนเดิมก็ชอบเป็นทุนเดิม แต่ปัญหาก็คือพฤติกรรมของหนูอยู่บ้านกับโรงเรียนไม่แตกต่างกันเลย หนูไม่เคยกลัวครู และครูก็ไม่มีเวลาที่จะมาดูแลหนูคนเดียวได้ (ซึ่งแม่ก็เห็นใจและเข้าใจครูในจุดนี้) พ่อหนูเลยตัดสินใจว่า ตอนนี้หนูโตแล้ว 3 ขวบกว่าแล้ว รู้เรื่องมากขึ้น พ่อหนูอยากให้ลองเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมต่างๆดู โรงเรียนใหม่นี้อย่างที่แม่บอกคือไม่ได้เข้มงวดทางวิชาการนักแต่ก็ไม่ได้เล่นเสียอย่างเดียว พ่อบอกว่าเรียนที่โรงเรียนใหม่นี้ อย่างน้อยๆหนูคงได้ภาษามางู ๆ ปลาๆ เป็นพื้นฐานมาบ้าง เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แม่กับพ่อก็พาหนูไปสมัครเรียน ซึ่งตามความเข้าใจของแม่คือ ไปสมัครไว้ก่อนแล้วเข้าเรียนชั้น อ.1 ในปีการศึกษาหน้า แต่ปรากฏว่าพอไปถึง ครูเห็นว่าหนูอายุถึงเกณฑ์เข้า อ.1 ในเทอม 2 นี้ได้ ก็เลยจะให้เข้าเรียนในเทอมสองเลย แม่ก็ตกใจว่าจะได้หรือ หนูจะไหวเหรอ เพื่อนๆเค้าเรียนไปก่อนหน้าแล้วหนึ่งเทอม แล้วหนูจะทันเพื่อนไหม กลัวว่าจะเป็นปัญหาให้ครูอีก ครูบอกว่าเด๋วจะลองพาหนูไปทดสอบดูก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง ตอนที่แม่พาหนูไปดูห้องต่างๆ หนูก็ตื่นเต้นตามประสาเด็ก แล้วก็บอกว่าอยากเข้าไปเรียนกับเค้าด้วย แม่ก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ว่าอย่างน้อยหนูก็ยังไม่ได้ต่อต้านอะไร ระหว่างที่รอหนูทดสอบอยู่ แม่ก็เพิ่งเข้าใจและประจักษ์ว่า ที่เค้าว่าเป็นห่วงเป็นกังวล กระวนกระวาย เรื่องการรอผลสอบของลูกๆเมื่อย้ายโรงเรียนเป็นอย่างไร ขนาดว่าหนูไม่ได้ไปสอบแข่งกับใครเลยนะนี่ ยังทำเอาแม่เดินไปเดินมานั่งไม่ติดเชียว จะมีก็แต่พ่อนั่งดูโน่นดูนี่แล้วบอกแม่ว่า ไม่ต้องกังวลหรอกยังไงหนูก็ต้องผ่าน เพราะที่โรงเรียนเค้าก็เทสต์ไปอย่างนั้นหล่ะ ที่โรงเรียนเค้ามีที่นั่งว่างอยู่แล้ว อีกอย่างหนูก็ไม่ใช่เด็กที่ช้าอะไรมากมาย ที่โรงเรียนก็ต้องรับแน่นอน ดูพ่อพูดไปนั่น พอหนูออกมาจากห้องครูก็คุยกับพ่อ ส่วนแม่พาหนูไปเดินดูที่อื่นๆต่อ สรุปว่าหนูทดสอบผ่านพรุ่งนี้ก็มาจ่ายค่าเทอม แล้วก็ซื้อชุดนักเรียน อุปกรณ์ต่างๆเพิ่ม แม่ฟังก็ใจหายเหมือนกัน คิดไปถึงโรงเรียนเก่า ยังไม่ได้พูดกล่าวล่ำลากับครูแล้วก็เพื่อนๆหนูเลย แม่บอกทางโรงเรียนไปว่าจะพาหนูมาเรียนอาทิตย์หน้า ขอไปลาที่โรงเรียนเก่าก่อน ซึ่งเค้าก็อนุญาต เย็นนั้นแม่นั่งคิดแล้วคิดอีกว่าทำถูกต้องหรือป่าวที่ให้หนูออกกะทันหันแบบนี้ คิดแล้วก็ใจหายเพราะส่วนตัวก็สนิทกับครูทุกคนที่ได้สอนหนูมา ครูจะทราบว่านิสัยและพฤติกรรมของหนูเป็นอย่างไร จึงไม่ค่อยเข้มงวดกับหนูเท่าไหร่ ทำให้หนูมีความสุขทุกวันที่ไปเรียน แต่กับโรงเรียนใหม่นี้แม่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ครูจะเข้าใจหนูมากน้อยแค่ไหน เพราะเด็กต่อห้องค่อยข้างมาก อาจจะดูแลไม่ทั่วถึง ยิ่งเวลาหนูแผลงฤทธิ ครูจะรับมือไหวหรือป่าว แต่พ่อหนูบอกว่าอย่างเพิ่งคิดมากไป ครูสอนเด็กมาเยอะ คงมีวิธีที่ดีที่จะกำหราบหนูได้ แม่เลยคลายกังวล วันสุดท้ายที่หนูเรียนที่โรงเรียนเดิมคือวันศุกร์ก่อนวันลอยกระทงที่ผ่านมา หนูแต่งชุดไทย ชุดเดิมที่มีอยู่ชุดเดียวคือชุดม่อฮ้อมสีน้ำเงิน ช่วงเย็นตอนที่พ่อไปรับจึงเข้าไปบอกครูใหญ่ของโรงเรียนว่าจะเรียนวันนี้วันสุดท้ายแล้ว เพราะบังเอิญหนูไปเข้าเรียนอีกโรงเรียนได้ ซึ่งครูใหญ่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกแต่ว่าค่าเทอมที่ชำระแล้วคืนไม่ได้นะค่ะ (5555) แล้วครูใหญ่ก็เรียกครูประจำชั้นห้องหนูมาบอกว่าหนูเรียนเป็นวันสุดท้ายแล้ว ครูก็บ่นเสียดายว่าหนูกำลังเรียนไปได้ดีอยู่ทีเดียว แถมงานกีฬาสีปีนี้จะให้เป็นนักวิ่งกับเค้าเสียหน่อยเลยอดเลย แต่พ่อสัญญาว่าไว้ปีใหม่จะพาหนูไปเยี่ยมครู หนูโบกมือลาบ๊ายบายกับครูแล้วก็เพื่อนๆ ปิดฉากโรงเรียนแห่งแรกของหนู มันอาจจะเป็นแค่ความทรงจำที่แสนสั้น ที่หนูจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับแม่โรงเรียนนี้คงจะอยู่ในความคิดของแม่ไปอีกนานแสนนาน เพราะโรงเรียนแห่งนี้นอกจากจะให้ความรู้ ความสุข สนุกสนานแก่หนูแล้ว ยังทำให้แม่ได้มีความรู้และมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับหนูอีกด้วย
ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ


ปล. แม่อยากจะให้การย้ายโรงเรียนครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่แม่เลือกให้ ครั้งต่อไปขอให้เราได้ตัดสินใจร่วมกันนะจ๊ะลูก




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 21:17:21 น.
Counter : 521 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

แม่เจ้าปัน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ขอรหัสผ่านหลังไมค์นะค่ะ
Free Counters
Friends' blogs
[Add แม่เจ้าปัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.