'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

เรื่องของ "พ่อ" (๗)

ตอน...เมื่อเอื้องสามปอยบานบนลานดิน

สำหรับพ่อ แม่มีตัวตนในสายตาพ่อมาเนิ่นนานแล้ว...หากในฐานะเพื่อนบ้านสาวรุ่นพี่ที่สวย สูง และห่างไกล...จนพ่อไม่เคยแม้แต่จะคิดเอื้อมมือคว้า...
ด้วย 'แม่' ในสายตาพ่อนั้น เปรียบได้กับดอกเอื้องสามปอยหลวงนั่นทีเดียว...เบ่งบานชูช่ออยู่แต่บนคบไม้ใหญ่...ในดงดอย...รอคอยผู้กล้าเท่านั้นจะไปเอื้อมสอย

หลังจากที่ได้มาร่วมวงสังสรรค์บันเทิงกับอาวครั้งหนึ่งแล้วพ่อก็ชักติดใจ...พ่อรู้สึกปลดปล่อย ผ่อนคลายจากอะไรก็ตามที่มันรึงรัดพ่ออยู่ในห้วงเวลานั้น...ทั้งความรักความปรารถนาอันไม่สมหวัง...ทั้งภาระหน้าที่อันหนักหน่วง
เมื่อได้มาพูดคุย ร้องรำทำเพลงกับเพื่อน ๆ พ่อก็รู้สึกได้ว่า...สิ่งต่าง ๆ ที่มันหนักอึ้งอยู่ในใจมันเบาลงไป...แม้จะยังไม่หมดเลยทีเดียวแต่พ่อก็รู้สึกก็โล่งและสบายใจขึ้นเยอะ

และจากการได้พูดคุยกับอาวหลายครั้งเข้า พ่อก็เริ่มมีทัศนคติต่ออาวในทางที่ดีขึ้น พ่อบอกว่า พ่อได้เรียนรู้ ได้เห็นสาระบางอย่างภายใต้ท่าทีที่ดูเหมือนจะเหลวไหลไร้สาระของอาว
พ่อเริ่มวางใจในตัวอาวมากขึ้น จนกล้าพอที่จะปรารภเชิงปรึกษาปัญหาหัวใจของพ่อกับอาว...พ่อบอกว่าพ่อจริงจังและจริงใจในความสัมพันธ์ที่พ่อได้สร้างขึ้นกับสมศรีมาก...ประมาณว่า...รักจริงหวังแต่ง

แต่...เมื่อพ่อพูดถึงความคิดและความมุ่งหวังที่พ่อมีต่อคนที่จะมาเป็นแม่ของลูกของพ่อในอนาคต...อาวก็ตบเข่าตัวเองฉาด...แล้วบอกว่า..."กูว่าแล้ว"
อาวบอกพ่อว่า...พ่อไม่จำเป็นต้องรีบร้อนมีชีวิตครอบครัวหรอก ให้ดู ๆ กันไปก่อน คนเราหากคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันไปไหนหรอก...สมศรีเองก็อายุยังน้อย ความคิดความอ่านอะไรก็คงยังเยาว์ตามอายุ
พ่อรู้สึกแปลกใจตัวเองที่พ่อเห็นคล้อยตามอาวอย่างง่ายดาย...

พ่อคิดถึงสมศรีอยู่บ้าง ในช่วงที่ต้องห่างกันไป แต่เมื่อพ่อได้มานั่งปล่อยอารมณ์อยู่ที่บ้านอาว พ่อก็ดูเหมือนจะเลือน ๆ ความคิดถึงนั้นลงไป...ด้วยมีสิ่งอื่นให้พ่อได้เพลิดเพลินจำเริญใจมากกว่า...
ฉันลืมเล่าไปอย่างหนึ่งว่าพ่อมีหัวทางดนตรีด้วย...พ่อเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสะล้อ ซอ ซึง...แต่ที่พ่อถนัดที่สุดก็คือระนาด...
เมื่อพ่อมาคลุกคลีอยู่กับอาว พ่อไม่ดื่มเหล้า แต่พ่อจะอาสาเล่นดนตรีให้กับพวกขี้เหล้าฟัง นานวันเข้าก็มีคนอื่นมาร่วมวงเล่นดนตรีกับพ่อ บางคนที่ยังเล่นไม่เป็นก็ค่อยมาหัด มาเรียนเอา...ซึ่งแต่ละคนก็สามารถเล่นได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ


(ฉันคิดว่าคนสมัยโบราณ(หรือที่บ้านฉันเรียกว่า 'คนบ่ะเก่า') เขาคงมีวิถีชีวิตและจิตวิญญาณที่ไม่ซับซ้อนเหมือนผู้คนในยุคปัจจุบัน เพราะจะสังเกตได้ว่าพวกเขาสามารถรังสรรค์งานศิลปะออกมาได้ง่าย ๆ แต่งดงามและเป็นธรรมชาติกว่าบรรดาศิลปินในยุคปัจจุบันมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง บทกวี รวมถึงงานศิลปะแขนงอื่น ๆ )

ในไม่ช้า...พ่อก็สามารถตั้งวงดนตรีพื้นเมืองขึ้นมาเป็นวงแรกของหมู่บ้าน...รับเล่นตามงานต่าง ๆ ในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับ "แห่" ในงานศพ...บางงานเจ้าภาพก็มีเงินใส่ซองให้ บางงานที่เจ้าภาพจนหน่อยก็เล่นกันฟรี ๆ ถือเป็นการกุศลไป...ซึ่งพ่อก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนักหนากับบุญที่ได้รับ

วันหนึ่งในต้นฤดูหนาว...ต้นข้าวในท้องทุ่งกำลังออกรวง... พ่อก็ได้ข่าวสมศรีรับผูกข้อมือ...เข้าพิธีวิวาห์กับชายหนุ่มข้างบ้านแล้วเรียบร้อย
ในตอนนั้นพ่อยังไม่รู้จักคำว่าอกหัก...แต่พ่อก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กดทับจนทึบตื้อ ตีบตัน แน่นอยู่ในหัวอก...
พ่อบอกว่าพ่อบรรยายไม่ถูกหรอกว่าพ่อรู้สึกยังไง จะว่าเสียใจ เสียดายก็ไม่เชิงนัก...มันงง ๆ มากกว่า
พ่อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักมวยที่แค่เดินขึ้นไปบนสนาม ยังไม่ทันได้ไหว้ครู ก็ถูกคู่ต่อสู้ไล่ถลุงจนไม่มีโอกาสตั้งตัว...ทำให้พ่อต้องกระโดดลงจากเวทีไปอย่างมึน ๆ

อาวเป็นคนนำข่าวนี้มาบอกพ่อ เมื่อจบการรายงานข่าวอาวก็สรุปสั้น ๆ ว่า..."กูว่าแล้ว..."
ปฏิกิริยาของพ่อต่อข่าวนี้ดูจะเกินความคาดหมายของอาว...แต่อาวก็เข้าใจและเห็นใจพ่อ เพราะนั่นเป็นรักครั้งแรกของหนุ่มน้อยที่เพิ่งพ้นออกมาจากเขตรั้วพัทธสีมา...

อาวสงสารพ่อจนเอาไปปรารภกับแม่...ซึ่งในระยะหลังนี้แม่จะรับฟังเรื่องราวของพ่อด้วยความใส่ใจมากขึ้น แม่ซักถามอาการของพ่ออย่างสนใจ จนอาวชักเอะใจ...เมื่อเกิดเอะใจขึ้นมาอาวก็ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นค้างคาอยู่...

อาวเฝ้าจับตาดูความสัมพันธ์ของแม่กับคนรักหนุ่มคุณครูอย่างใกล้ชิดแล้วอาวก็ได้เห็นรอยแยกของความสัมพันธ์นั้น ๆ... และดูเหมือนว่ารอยแยกนั้นกำลังจะปริแตกออกมากขึ้น ๆ เมื่อคุณครูคนนั้นเริ่มหายหน้าไปทีละหลาย ๆ วัน และบางวันที่มาช่วงเวลาของการพูดคุยก็สั้นลง...แม่บอกว่า...ก็ไม่รู้จะคุยอะไรนี่...แล้วอาวก็จับได้ถึงความไม่แยแสในน้ำเสียงของแม่...

อาวจึงไม่รู้สึกผิดเลยที่...วันหนึ่ง...อาวคิดจะจับคู่ให้พ่อกับแม่...คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่อาวชื่นชม อีกคนก็เป็นพี่สาวที่แสนรักแสนสนิท...จะดีแค่ไหนถ้าคนทั้งสอง จะได้มาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กันและกัน...

อาวเริ่มปฏิบัติการด้วยการยุบ้างแหย่บ้างทางโน้นที ทางนี้ที ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนักในตอนแรก เพราะพ่อยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ส่วนแม่ในตอนนั้นแม้จะสงสารอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงมองพ่อในฐานะเพื่อนน้องชาย...

หากคงเป็นด้วยบุพเพสันนิวาส...แท้เชียวที่ส่งใครอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาในแวดวงชีวิตของแม่...เบี่ยงเบนความสนใจของคุณครูหนุ่มที่เคยมีต่อแม่ให้หันไปทางเธอผู้นั้น...ซึ่งเป็นคุณครูเช่นเดียวกับเขา

เมื่อคนรักเริ่มห่างหายไป...แม่บอกว่าแม่ไม่รู้สึกเสียดายเสียใจเลยแม้แต่น้อย แต่คงเป็นด้วยอารมณ์อยากเอาชนะตามประสาหญิง ที่ทำให้แม่หันมาพิจารณา 'คนใกล้ตัว' ตามถ้อยคำยุแหย่ของอาวอย่างสนอกสนใจ โดยประกอบกับแรงสนับสนุนจากพี่สาวอีกคนของแม่ที่เพิ่งออกเรือนไปกับคนในอาชีพครูแล้วไม่มีความสุขในชีวิตคู่นัก...

และแล้ว...ดอกเอื้องสามปอยหลวงก็ร่วงลงมาเบ่งบานบนลานพื้นดินให้ไอ้หนุ่มผู้แสนจะเจียมตัวอย่างพ่อได้คว้าเด็ดมาเชยชม...

พ่อกับแม่เข้าสู่พิธีผูกข้อมือ กินแขกกันในช่วงต้นฤดูฝนของปีถัดมา...หลังงานวิวาห์ของครูหนุ่ม-สาวคู่นั้นเพียงสองสัปดาห์
















 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 20:04:16 น.
Counter : 645 Pageviews.  

เรื่องของ"พ่อ" (๖.๒)

ตอน...เรื่องของแม่ (๒)

เมื่อพ่อคบกับสมศรีได้สักระยะหนึ่ง แล้วเริ่มมีปัญหา
(อย่างที่เล่าไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้)...

ทั้งปัญหาจากการถูกกีดกันจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และปัญหาจากตัวตนของสมศรีที่พ่อได้เรียนรู้มากขึ้น...พ่อก็ต้องการที่ปรึกษา ต้องการเพื่อนที่จะมาร่วมรับรู้ปัญหาของพ่อ...อย่างน้อย...เพียงเขารับฟังความอัดอั้นตันใจของพ่อที่พ่ออยากระบายออกมาบ้างก็พอแล้ว

พ่อพอจะมีเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่หลายคน แต่มาถึงตอนนั้นเพื่อน ๆ เหล่านั้นต่างก็มีเหย้ามีเรือนกันไปบ้างแล้ว หลายคนยุ่งอยู่กับการสร้างครอบครัว ทำมาหาเลี้ยงชีพ...ไม่มีใครที่พอจะมีเวลามาร่วมรับรู้ปัญหาของพ่อได้ดีเท่าเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ในตอนแรกพ่อมองข้ามเขาไปด้วยเห็นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ ชอบพูดคุยแต่เรื่องตลกโปกฮา ใช้ชีวิตที่ดูเหมือนจะไร้สาระนักหนา...ในสายตาของพ่อ...อย่างน้าชายคนเล็กของพวกเรา...ที่พวกเราเรียก'อาว'

อาวเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวใหญ่ มีพี่ชาย-หญิงถึง ๘ คน วัยเด็กของอาวจึงอบอุ่นจนล้นเหลือ หล่อหลอมให้อาวเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มที่มองโลกในแง่ดี ร่าเริง สนุกสนาน มีความสุขในชีวิต ที่ถึงแม้...จะแร้นแค้นขัดสนบ้าง แต่นั่นก็เป็นปัจจัยภายนอกหรอก

อาวกับพ่ออายุเท่ากัน...อาวชอบและชื่นชมพ่อมาก...ในบรรดาเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันอาวมองว่าพ่อเป็นคนเดียวที่ก้าวนำหน้าเพื่อนไปได้ไกลที่สุด และคงจะยังก้าวต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ อาวเชื่อเช่นนั้น...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... พ่อก้าวไปด้วยขาของตัวเองอย่างแท้จริง

เมื่อรู้ว่าพ่อคบหาดูใจอยู่กับสมศรี อาวรู้สึกผิดหวังนิด ๆ (ง่ะ...ไม่ใช่อย่างนั้นน่า) เพราะอาวคิดว่าคนที่มีความรู้ ความคิดความอ่านเฉลียวฉลาดอย่างพ่อน่าจะได้พบกับผู้หญิงที่...ถึงแม้จะไม่มีความรู้ทัดเทียมกันแต่อย่างน้อยก็น่าจะฉลาดพอที่จะก้าวตามพ่อได้ทัน...อาวยืนยันกับแม่ว่า...ณ ตอนนั้นอาวไม่ได้นึกถึงพี่สาวของตนเลย...
แต่อาวก็เพียงเฝ้ามองความสัมพันธ์ของพ่อกับสมศรีอยู่ห่าง ๆ ..
เงียบ ๆ ...ก็อย่างที่บอก...อาวเป็นคนเรื่อยเฉื่อยไม่ค่อยเอาจริงเอาจังอะไรนัก...ก็ขนาดเรื่องราวของชีวิตตัวเองอาวยังไม่คิดจะเอาใจใส่...อย่างนี้แล้วอาวจะจะไปเอาเรื่องราวในชีวิตของผู้อื่นมาครุ่นคิดทำไมให้หนักสมอง...

อาวมักจะมีคำพูดติดปากอาวอยู่ประโยคหนึ่ง... คือ... "กูว่าแล้ว..."
ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ที่ไหน เมื่อไร...พอข่าวมาถึงหูอาวเท่านั้น อาวก็จะตบเข่าตัวเองฉาดหนึ่ง แล้วก็บอกว่า "กูว่าแล้ว..." (ซึ่งวลีสั้น ๆ นี้ติดปากอาวมาจนกระทั่งพวกเราเกิดและเติบโตขึ้นจนรู้ความพอที่จะเบรคอาวว่า... "อาวว่าอะไร เมื่อไหร่เนี่ย...พวกหนูไม่เห็นได้ยินเลย..." ว่าแล้วพวกเราก็ต้องรีบชิ่งตัวเองให้พ้นจากรัศมีมะเหงกของอาว ที่อาจจะ 'ป๊อก' มาบนหัวของพวกเราคนใดคนหนึ่ง)

เมื่อวันหนึ่งต่อมา อาวระแคะระคายถึงปัญหาของพ่อ อันเกี่ยวข้องกับทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกันของพ่อกับสมศรี และความสัมพันธ์อันง่อนแง่นด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกัน อาวก็แอบมากระซิบกับแม่ว่า..."กูว่าแล้ว..." ซึ่งแม่ก็รับฟังอย่างไม่ได้สนใจ ใส่ใจมากมายนัก เห็นว่าเป็นเรื่องของชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่อาวมักจะเอามาเล่าสู่แม่ฟังอยู่เป็นประจำ

ในบรรดาพี่ทั้งหมด อาวสนิทกับแม่มากที่สุดเพราะอายุใกล้เคียงกันที่สุด และเป็นคู่เล่น คู่ทะเลาะกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ แม่บอกว่า...อาวกับแม่ทะเลาะกันเพราะแย่งตำแหน่ง "น้องหล้า(น้องคนสุดท้อง)".กัน...อาวเป็นลูกคนสุดท้องก็จริง แต่แม่ก็ถือตัวว่าเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่ตากับยายรักนักรักหนาเพราะมีแม่เอาตอนที่อายุมากแล้ว...และพากันเรียกแม่ว่า "อี่หล้า" มาตลอดสามปีกว่าจะมีอาวหลงมาอีกคนหนึ่ง...หลายครั้งที่แม่เถียงอาวไม่ขึ้น...แม่ก็มักจะเกทับอาวว่า...แม่น่ะเป็นลูกหล้าจริง ๆ แต่อาวน่ะมันลูกหลง...พวกผู้ใหญ่ก็จะได้แต่หัวเราะเวลาเห็นแม่กับอาวทุ่มเถียงกันในเรื่องนี้
แม่บอกว่าแม่กับอาวทะเลาะกันมาจนตากับยายตายลงไปนั่นแหละถึงเลิก...เมื่อต่างคนต่างโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่มเป็นสาว แม่กับอาวก็กลายเป็นคู่พี่น้องที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากที่สุด

อาวมักจะพาเพื่อน ๆ มาเที่ยวที่บ้านอยู่เป็นประจำ อาวมีเพื่อนเยอะมาก เพราะอาวเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีและชอบในเรื่องของความบันเทิงแทบทุกชนิด เวลามีเพื่อนมาบ้านอาวก็จะพากันตั้งวงร้องเพลงบ้าง จ๊อยซอบ้าง...เป็นที่ครื้นเครงสนุกสนาน (จึงไม่แปลกเลยที่ต่อมาอาวจะมีภรรยาเป็น "จ้างซอ - คนขับร้องเพลงซอ")

นอกเรื่องไปซะไกล...

เย็นย่ำค่ำวันหนึ่ง พ่อก็ได้จับพลัดจับผลูมาร่วมวงเสวนาบันเทิงกับอาวและเพื่อน ๆ
ซึ่งในวันนั้น...คนรักหนุ่มของแม่ก็มาแอ่วหาแม่ตามปกติ...
แม่บอกว่า...ขณะที่แม่นั่งทอผ้าไป คุยกับคนรักไปอยู่มุมหนึ่งของใต้ถุนบ้าน หูแม่ก็แว่วได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากวงเหล้าของน้องชาย เป็นเสียงที่แปลกไปจากทุก ๆ วัน...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่คนร้องร้องนั้นเป็นเพลงโปรดของแม่เสียด้วย...

แม่ชะงักการพูดคุย แล้วเพ่งมองไปทางหนุ่ม ๆ กลุ่มนั้นอย่างตั้งใจ...
พ่อนั่นเองที่เป็นคนร้องเพลงนั้น...เพลงที่พ่อร้องในวันนั้นชื่อเพลง "กล้วยไม้"

แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พ่อมี "ตัวตน" ขึ้นมาทันใดในสายตาแม่...











 

Create Date : 30 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 20:05:10 น.
Counter : 605 Pageviews.  

เรื่องของ"พ่อ" (๖.๑)

ตอน...เรื่องของแม่

(เรื่องของแม่ค่อนข้างยาววว...ไปนิด ขออนุญาตแบ่งเป็นสองตอนแล้วกันนะคะ)

พ่อกับแม่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยวัยละอ่อน เพราะอยู่บ้านในละแวกเดียวกัน ถ้าจะสาวไปลึก ๆ พ่อกับแม่ก็อาจจะนับเนื่องเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันด้วยซ้ำ... แต่ก็ห่างเต็มที

แม่บอกว่า...ตั้งแตเป็นเด็กจำความได้ จนเติบโตขึ้นมาเป็นสาวรุ่น...และเป็นสาวใหญ่ในเวลาต่อมา...'พ่อ' ไม่เคยใกล้กรายเข้ามาอยู่ในสายตาสายใจของแม่เลยแม้แต่น้อย...ทั้งนี้ก็เพราะแม่มีอายุมากกว่าพ่อถึงสามปี...ซึ่งก็ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันพอสมควรทีเดียวในสมัยนั้น...ตอนที่พ่อบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี แม่ก็เริ่มเป็นสาวรุ่นวัยสิบหก มีบ่าวบ้านเหนือบ้านใต้แวะเวียนมาแอ่วหาจนหัวกะไดบ้านพี่สาวของแม่ที่แม่อาศัยอยู่ด้วยไม่เคยแห้งแล้ว...

แม่เป็นเด็กกำพร้าเช่นเดียวกับพ่อนั่นแหละ แต่แม่โชคดีกว่าพ่อหน่อยตรงที่มาเป็นกำพร้าเอาตอนที่โตมากแล้ว...แม่บอกว่า ตากับยายตายในเวลาไล่ ๆ กันตอนแม่อายุสิบสี่สิบห้า
อีกอย่างหนึ่งที่แม่คิดว่าแม่โชคดีกว่าพ่อก็คือ แม่มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างใหญ่ ด้วยแม่มีพี่น้องรวมกันทั้งหมดถึง ๙ คน
ชีวิตในวัยเด็กของแม่ถึงแม้จะค่อนข้างแร้นแค้นด้วยความยากจน เพราะตากับยายมีลูกเยอะ หากแม่ก็อบอุ่นอยู่ท่ามกลางความรักของพ่อแม่และพี่ ๆ น้อง ๆ
แม่เป็นลูกคนรองสุดท้อง มีพี่สาวสี่คน พี่ชายสามคน และมีน้องชายอีกหนึ่งคน...ซึ่งน้องชายคนนี้นี่เองที่มีบทบาทสำคัญในการชักนำพ่อให้เข้ามาในชีวิตของแม่

ก่อนที่ตากับยายจะเสียชีวิตนั้น พี่สาวคนหนึ่งของแม่ก็เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ด้วยอาการ 'ผิดเดือน' (เชื่อว่าเกิดจากการที่ผู้หญิงเมื่อคลอดลูกแล้ว ไม่ได้อยู่ไฟจนครบเดือนตามแบบที่โบราณทำ ๆ กันมา - เรื่องราวชีวิตของป้าคนนี้ก็น่าสนใจมาก ซึ่งฉันได้แอบ ๆ บันทึกตามคำบอกเล่าของแม่กับป้าไว้บ้างแล้ว วันหลังจะอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง)... และพี่สาวอีกคนที่ถัดจากแม่ขึ้นไปก็เพิ่งออกเรือนไปกับครูหนุ่มต่างบ้าน ดังนั้น เมื่อตากับยายตายลงไป แม่....ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวที่ยังไม่ได้แต่งงานจึงต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับพี่สาวคนโตกับพี่เขย ที่มีอายุห่างกับแม่เกือบสามสิบปี จนเรียกได้ว่าสามารถเป็นแม่คนใหม่ให้แม่ได้เลยทีเดียวแหละ...

เมื่อมาอยู่กับพี่สาวแม่ต้องทำหน้าที่เป็นกึ่ง ๆเพื่อนเล่น กึ่ง ๆ พี่เลี้ยงให้กับหลาน ๆ ที่มีวัยน้อยกว่าแม่ไม่กี่ปี และแต่ละคนก็ซนเป็นเซียน...ป้า – พี่สาวคนโตแม่คงจะเจริญรอยตามยาย เพราะป้ามีลูกมากถึงแปดคนด้วยกัน แม่จึงไม่ค่อยรู้สึกเหงา หรือว้าเหว่นักตอนที่เสียพ่อกับแม่ไป...

ถึงตอนนี้...แม่บอกว่าตากับยายบุญน้อยนักที่ไม่ได้อยู่เห็นหลาน ๆ ลูกของแม่ แต่ฉันกลับคิดว่าพวกเราต่างหากที่ไม่มีบุญ ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับญาติผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นปู่กับย่า หรือตากับยาย...เพราะทุกครั้งที่ฉันได้ยินได้ฟังแม่พูดถึงตากับยาย ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นของความรักความอาทรที่ตากับยายมีต่อแม่ ซึ่งไหลวนอวลอายอยู่ในตัวแม่แล้วถ่ายทอดมาถึงพวกเรา ตลอดถึงบรรดาลูก ๆ ของพวกเรา...หลาน ๆ ของแม่

กลับมาเล่าเรื่องของพ่อต่อ...

ตอนที่พ่อเริ่มคบหาดูใจอยู่กับสมศรีนั้น แม่เองก็มีคนรักอยู่แล้วเช่นกัน คนรักของแม่เป็นคุณครู ซึ่งก็ด้วยความเป็นคุณครูนี่แหละที่ทำให้เขาสามารถแหวกวงล้อมหนุ่ม ๆ แถวนั้นจนเข้าถึงตัวแม่ได้ เพราะแม่ของฉันเป็นคนสวย...(ไม่เข้าใจเล้ย...พ่อก็หน้าตาดี แม่ก็สวย ทำไม๊...ทำไมเราถึงได้ออกมาอัปลักษณ์อัปราชัยเช่นนี้...เฮ้อ...มีบ่น ๆ แหะ ๆ )

แต่ความเป็นคุณครูก็ใช่ว่าจะเป็นใบรับประกันความประพฤติของคนได้เสมอไป..แม่บอกว่า...คุณลุงคนนั้น (ขอเรียกคุณลุงเถอะ ก็เขาอายุมากกว่าแม่ตั้งสามสี่ปี)
อะไรก็ดีหรอก ใจดี ใจกว้าง มาแอ่วหาแม่ก็มักจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากแม่กับคนที่บ้านแม่เป็นประจำ แต่เขาก็มีข้อเสีย...ข้อเสียใหญ่ ๆ ของเขาที่แม่มองเห็นตั้งแต่ก่อนเริ่มคบหากันแล้ว...มีอยู่สองประการ...

ซึ่งทั้งสองประการนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ต้องคิดหนักอยู่เอาการ นั่นก็คือ...
หนึ่ง เขาเป็นคนเจ้าชู้มาก...มากจนทำให้แม่นึกถึงคำเปรียบเปรยที่แม่เคยอ่านในหนังสือที่เขาบอกว่า...เจ้าชู้ประตูดิน หมูหมาเกี้ยวสิ้นไม่เลือกหน้า...ประมาณนั้นเลยทีเดียว
และ... ประการที่สอง เขาเป็นมนุษย์คอทองแดง...สามารถดื่มเหล้าแทนน้ำได้ตลอดเวลา...แม่บอกว่า ที่แม่คิดหนักก็เพราะแม่ไม่อยากเป็นม่ายก่อนวัยอันควรหากคิดจะตกร่องปล่องชิ้นกับคุณครูคนนั้น ถึงแม้ทั้งพี่สาวกับพี่เขยจะสนับสนุนเต็มที่ก็ตามด้วยเห็นแก่หน้าตา ฐานะทางสังคม และอามิสเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาหยิบยื่นให้...

พี่สาวแม่เขาเป็นห่วงกลัวแม่จะต้องกลายเป็น 'สาวเคิ้น' (สาวเทื้อ -โอลด์เมดนั่นแหละ) ด้วยความเรื่องมาก - เลือกมากของแม่ เพราะตอนนั้นแม่ก็มีอายุปาเข้าไปยี่สิบหกปีแล้ว...ก็ผู้หญิงอายุ ๒๖ ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานในสมัยห้าถึงหกสิบปีก่อน....สามารถเรียกว่าเป็นสาวแก่... เปรียบเป็นมะพร้าวก็เป็นมะพร้าวทึนทึกนั่นเลยทีเดียว...

แต่..แม่บอกว่า...ตัวแม่เองไม่ได้คิดกังวลในเรื่องนั้นเท่าไหร่นักหรอก อาจจะเป็นด้วยตอนที่แม่เป็นสาวรุ่น ๆ อายุ ๑๒ - ๑๓ ปี แม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเมือง โดยไปอยู่กับญาติของแม่ที่มีตำแหน่งเป็นถึง 'หม่อม' ของเจ้าคนหนึ่ง...
นั่นทำให้แม่ได้เห็นถึงรูปแบบชีวิตที่หลากหลายและซับซ้อน แตกต่างไปจากชีวิตอันราบเรียบของชาวชนบทมากมายนัก...หลายชีวิตอยู่แบบจำทน...หลายคนอยู่แบบจำยอม...เพียงเพราะความเป็นผู้หญิง ทำให้ไม่มีสิทธิ์ 'เลือก' อย่างนั้นหรือ?











 

Create Date : 29 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 20:06:02 น.
Counter : 599 Pageviews.  

เรื่องของ"พ่อ" (๕)

รักแรก

พ่ออายุ ๒๓ ปีเมื่อมีรักครั้งแรก

แม่เล่าว่า...(พ่อไม่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความรักครั้งแรกไว้เลย ฉันเลยต้องถามเอากับแม่)

ตอนนั้นพ่อดูเป็นหนุ่มโก้ทีเดียว เมื่อเทียบกับหนุ่ม ๆ ในวัยเดียวกัน ในละแวกเดียวกันที่ส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ไถนา
พ่อออกจะเป็นคนเจ้าสำอางนิด ๆ ด้วย ผมงี้หวีน้ำมันเรียบแปร้อยู่ตลอดเวลา
พ่อช่างแต่งเนื้อแต่งตัว ถึงแม้เสื้อผ้าจะไม่ถึงกับใหม่หมาดทันสมัยนัก แต่ก็ดูดีมีสกุลละ แถมสะอาดสะอ้านเรียบร้อย
จึงทำให้มีคนมา 'ถูกตาต้องใจ' พ่ออยู่หลายคนทีเดียว
ในจำนวนนี้ก็มีสาวน้อยนางหนึ่ง สมมติชื่อ 'สมศรี' (ที่ต้องสมมติชื่อเพราะปัจจุบันเธอยังมีชีวิตอยู่...)

สมศรีเป็นสาวบ้านเหนือ อายุอ่อนกว่าพ่อห้าปี...
เธอตามพ่อของเธอมาส่งอ้อย จึงได้พบกับพ่อ...
สมศรีรู้สึก 'ถูกตาต้องใจ' ในตัวพ่อทันทีที่พบหน้า
พ่อเองก็(คงจะ)'ต้องมนต์ของใครคนหนึ่ง' อย่างสมศรีเข้าเต็มเปาเหมือนกัน...
เพราะหนุ่มน้อยที่...แม้วัยจะล่วงเลยเกินยี่สิบ
หากก็ยังไม่เคยพานพบใครที่จับตาจับใจเช่นนี้มาก่อน....
เกิดอาการอ้ำอึ้งตะลึงแลจนบวกตัวเลขผิด ๆ ถูก ๆ ในวันนั้น

หลังจากนั้นสมศรีก็ตามพ่อของเธอมาที่สถานีอ้อยอีกบ่อย ๆ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อของเธอเคยมาแต่ลำพังผู้เดียวเสมอ ๆ
ทุกครั้งที่พบหน้ากันเธอก็จะมีท่าทีเอียงอาย...หน้าแดง แก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุก
ซึ่งกิริยานั้นก็ทำให้พ่อเกิดอาการเก้งก้าง จนหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูกอยู่เหมือนกัน...

พ่อของสมศรีก็คงจะชอบพ่ออยู่บ้าง เพราะเขาไม่ได้ห้ามปรามลูกสาวแต่อย่างใด
เมื่อลูกสาวตามติดมาส่งอ้อยด้วยและตอบรับคำทักทายของพ่ออย่างสนิทสนม...
พ่อเองแม้จะเป็น'พี่หน้อย'...ไม่เคยเกี้ยวสาวมาก่อน...
แต่พ่อก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วมาก
และแล้วทั้งสองก็ตกลง 'อู้กัน' (คบหาดูใจเป็นคู่รักกัน)ภายในเวลาไม่ถึงเดือน...

แม่บอกว่า...ในสมัยก่อนหมู่บ้านของเราไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้
นั่นคือขอบเขดของหมู่บ้านดูเหมือนจะกว้างใหญ่ไพศาล
การจะไปมาหาสู่กันค่อนข้างลำบากต้องเดินเท้าลัดเลาะไปตามพงไม้บ้าง ทุ่งนาบ้าง บางครั้งก็ต้องป่ายปีนตลิ่งที่สูงชัน ด้วยไม่มีถนนหนทาง หรือตรอกซอกซอย
ซอกซอนต่อเชื่อมไปจนทั่วทุกซอกทุกมุมหมู่บ้านอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ถ้าเป็นเวลากลางวันก็พอทำเนา แต่พอตกกลางคืน...
ไม่ต้องถึงกลางคืนหรอก แค่โพล้เพล้ ๆ เท่านั้นแหละ
ทางเดินนั้นก็เป็นทางเดินเข้าป่าเราดี ๆ นี่เอง
พ่อเป็นบ่าว(หนุ่ม)บ้านใต้...สมศรีเป็นสาวบ้านเหนือ
แถมพ่อยังต้องทำงานหนักทั้งวัน ไม่มีเวลาไปแอ่วหาสาว
แต่นั่นยังไม่ใช่อุปสรรคสำหรับรักแรกของพ่อ...

อุปสรรคที่ขวางกั้นความรักครั้งแรกของพ่อปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นานนักหลังจากที่พ่อกับสมศรีตกลงเป็นแฟนกัน...ซึ่งมีอยู่สองประการ
ประการที่หนึ่งก็คือแม่อุ๊ยนั่นเอง...
พอแม่อุ๊ยรู้ว่าหลานชายมีแฟน แม่อุ๊ยถามไถ่จนรู้ว่าแฟนของหลานชายเป็นสาวบ้านไหน ลูกเต้าเหล่าใคร เมื่อรู้แล้วแม่อุ๊ยก็ฟันธงฉับว่า...คบกันไม่ได้...เหตุผลก็คือ แม่อุ๊ยไม่ชอบแม่ของสมศรี..ไม่ใช่ไม่ชอบธรรมดา ถึงขั้นเกลียดเลยทีเดียวแหละ(อันนี้...แม่บอกว่าแม่เองก็ไม่รู้ว่าทำไม...)
ทางฝั่งของสมศรีก็เช่นเดียวกัน...พอแม่ของสมศรีรู้ว่าสมศรีริมีความรักกับบ่าวบ้านใต้...โดยเฉพาะกับไอ้หนุ่มลูกกำพร้าที่มีแม่เป็นหญิงสองผัว (ความจริงยังไม่ถึงสามเลยทำไมรังเกียจกันนักก็ไม่รู้)
มิใยที่ตัวสมศรีเองกับพ่อของเธอจะพร่ำชื่นชมสรรเสริญความดีของพ่อให้ฟัง...แม่ของสมศรีก็ไม่สนใจ...ประกาศห้ามสมศรี...สั่งให้เลิกคบกับพ่อทันที...

นั่นเป็นเพียงปราการด่านแรกเท่านั้น...ที่กั้นกางทางรักของพ่อกับสมศรี
ปราการด่านที่สองนั้น...แม่เล่าว่า...เกิดจากความเป็นคนช่างคิดของพ่อเองแหละ
นั่นก็คือ...เมื่อ 'อู้กัน' มาได้ระยะหนึ่ง พ่อก็ได้เรียนรู้ถึงนิสัยใจคอ
ตลอดจนถึงทัศนคติในการดำเนินชีวิตของสมศรีมากขึ้น...ซึ่งมีอยู่หลายอย่างที่ขัดแย้งกับพ่อ...ที่สำคัญที่สุดก็คือ...สมศรีอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้...เพราะเธอได้เรียนหนังสือถึงแค่กลางประถมสอง แล้วต้องออกมาช่วยแม่เลี้ยงน้องและทำงานบ้าน...
ในตอนแรกที่พ่อรู้...พ่อคิดว่า..ไม่เป็นไร เมื่ออยู่กันไปพ่ออาจจะค่อย ๆ สอนเธอเอง...ในวัยเพียง ๑๘ ปีของเธอพ่อเชื่อว่าพ่อจะสามารถสอนให้เธอได้รู้จักโลกกว้างผ่านหนังสือได้ไม่ยากนัก...

แต่พ่อก็คิดผิด...สมศรีไม่เพียงไม่ยอมเรียนหนังสือกับพ่อเท่านั้น...
แต่เธอยังมีอาการกระบึงกระบอน โกรธขึ้งทุกครั้งที่พ่อเสนอความคิดในเรื่องนี้กับเธอ เธอบอกว่า...เธอจะต้องเรียนรู้ไปทำไม...ถ้าเธอแต่งงานกับพ่อเป็นภรรยาของพ่อ หน้าที่ในการเป็นผู้นำครอบครัวก็ต้องเป็นของผู้ชายอยู่แล้ว...
พ่อก็เก่งแล้วนี่...เธอเชื่อมั่นว่าความรู้ของพ่อคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะนำพาครอบครัวของเธอให้อยู่รอดได้...เธอยินดีที่จะเป็นช้างเท้าหลังของพ่ออย่างเต็มที่ จะปฏิบัติหน้าที่ศรีภรรยาอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
เพียงแต่อย่าบังคับให้เธอต้องเรียนหนังสือเลย เธอบอกว่าเธอแก่เกินไปที่จะมานั่งเรียนหนังสือเหมือนเด็ก ๆ อีกอย่างหนึ่ง...เธอบอกว่าเธอน่ะ "ผะหญาปึก" เรียนหนังสือไม่ได้หรอก

ได้ยินดังนั้น...พ่อจึงเริ่มคิดหนัก...
พ่อคิดไกลไปถึงว่า...ถ้าพ่อแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้หนังสือ ...
ในอนาคตข้างหน้า...ลูก ๆ ของพ่อที่จะเกิดกับแม่ที่ไม่รู้หนังสือ และไม่ฝักใฝ่ที่จะเรียนรู้...จะเป็นอย่างไร?

ในช่วงเวลาแห่งความครุ่นคำนึงหนักของพ่อนั่นเอง
ก็ประจวบกับเป็นช่วงเวลาของการเริ่มทำนา...นั่นหมายถึงว่า...หมดฤดูกาลของอ้อย พ่อของสมศรีไม่ได้มาส่งอ้อยอีก...
พ่อเองก็ต้องทำงานหนัก ไม่มีเวลาที่จะเดินย่ำคันนาไปแอ่วหาสมศรีถึงบ้านเหนือ...
ถึงไปได้ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างไรจากแม่ของเธอ...
พ่อกับสมศรีจึงค่อย ๆ ห่างกันไปโดยปริยาย...

อีกสามเดือนถัดมา พ่อก็ได้ข่าวสมศรีแต่งงาน...กับคนไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นหนุ่มข้างบ้านของเธอเอง

ในช่วงเวลานั้นพ่อจึงกลายเป็นหนุ่มร้างรัก...ที่ดูน่าสงสารนักในสายตาของแม่ของพวกเรา...












 

Create Date : 25 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 20:06:52 น.
Counter : 779 Pageviews.  

เรื่องของ"พ่อ" (๔)

~วัยหนุ่ม~

พ่อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์นาน ๗ ปี
พอพ่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ พ่อก็มาถึงทางแยก...
สามเณรเมื่อมีอายุครบยี่สิบปี ก็ต้องมีการ 'เป๊ก' (อุปสมบท)
เปลี่ยนสถานภาพจาก 'พระน้อย' เป็น 'ตุ๊เจ้า'
หรือจะสึกหาลาเพศออกไปเป็นคฤหัสถ์ ทำมาหากิน มีครอบมีครัวต่อไป

พ่อบอกว่า...ถึงตอนนี้พ่อเข้าใจความหมายของคำว่า...'ร้อนวิชา'...
ขึ้นมาทีเดียวเชียว
ตอนแรกพ่อก็มีอาการสองจิตสองใจอยู่บ้าง
เป็น 'ตุ๊เจ้า' ก็ดูเหมือนชีวิตจะเรียบ ๆ ง่าย ๆ สงบสบายดี
ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าอะไร...
แต่อีกด้านของความรู้สึกนึกคิดพ่อก็อยากออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าขอบเขตพัทธสีมานี้มากนัก...ตามประสาวัยหนุ่ม

ที่สำคัญ...พ่อเกิดอาการ 'ร้อนวิชา'

พ่อบอกว่า...สิ่งที่พ่อได้เรียนรู้จากตุ๊พี่...จากหนังสือทั้งหลายที่พ่อได้อ่าน...มันเป็นเรื่องราวของทางโลกไปเสียมากกว่า ๘๐ %...
ซึ่ง...พ่อคิดว่า...มันน่าจะได้นำออกไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ทั้งต่อตัวเอง... ต่อวงศ์ญาติที่เกื้อกูลพ่อมาตลอดถึง ๒๐ ปี...
ต่อชุมชนที่พ่อเติบใหญ่ขึ้นมา...และ...ตอนนั้น...
พ่อคิดไกลไปถึง...ต่อประเทศชาติบ้านเมืองเลยทีเดียว...
ด้วยช่วงนั้นเป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤติทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจพอดี...(เหมือนตอนนี้เลยแฮะ)...
เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง...ชาวบ้านต้องอยู่กันแบบกระเบียดกระเสียร
การอุปสมบทจำต้องมีเจ้าภาพ...ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์มากพอสมควร...
พ่อก็เลยรู้สึกเกรงใจใครก็ตามที่จะมาเป็นเจ้าศรัทธา...

พ่อจึงตัดสินใจลาสิกขา...ออกมาเป็น 'พี่หน้อย'
(คนที่สึกจากสามเณรเรียกว่า 'หน้อย'...ออกเสียงเป็น น่อย...
หากสึกจากการเป็นพระจะเรียกว่า 'หนาน' )

เมื่อสึกแล้ว พ่อก็กลับมาอยู่ที่บ้านพ่ออุ๊ย แม่อุ๊ยเหมือนเดิม...
ช่วงแรก ๆ พ่อก็ไปช่วยญาติ ๆ ทำนาทำไร่ไปตามประสา...
ต่อมาพ่ออุ๊ยก็แบ่งที่นาให้พ่อแปลงหนึ่ง ไม่เล็กไม่ใหญ่...
กะว่าอย่างน้อยให้พ่อพอมีที่นาทำกินพอเลี้ยงตัวได้...
แต่พ่อบอกว่า...พ่อไม่ถนัดเลยกับงานทำไร่ไถนา...
เพราะพ่อโตมากับวัด เคยแต่ท่องบ่นสวดมนต์ อ่านหนังสือหนังหา...
ให้พ่อมาจับจอบจับเสียมพ่อรู้สึกเก้งก้างอย่างไรบอกไม่ถูก...
พ่อจึงได้ทำนาบนที่นาของตัวเอง...เป็นเวลา ๒ ปี...
พอให้ได้รู้ว่าอาชีพนี้พ่อทำได้ไม่รุ่งแน่...
พ่อจึงเริ่มมองหางานที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับตัวเองในทันที

พ่อบอกว่า...พ่อโชคดีที่...ถึงแม้พ่อจะเรียนหนังสือจบแค่ชั้นประถมสี่...
แต่เมื่อได้รับการต่อยอดจากตุ๊พี่...และจากการเรียนรู้ศึกษาด้วยตัวเอง...
ผ่านทางหนังสือ...
ทำให้เมื่อพ่อไปสมัครงานในที่แรกพ่อก็ได้รับคัดเลือกเข้าทำงานทันที

พ่อประเดิมงานแรกในชีวิตด้วยตำแหน่งนายสถานีรถไฟ...
ณ สถานีรถไฟใกล้บ้าน...ไม่ใช่รถไฟโดยสารหรอก
แต่เป็นรถไฟที่ใช้ในการขนอ้อยเข้าสู่โรงงานน้ำตาลแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเกาะคา
พ่อได้รับเงินเดือนเดือนละ ๔๐๐ บาท...ซึ่งมากโขอยู่ในสมัยนั้น...
ในสมัยที่เกลือห่อละ ๕ สตางค์ (ขนาดบรรจุเท่ากับห่อละสิบบาทในปัจจุบัน)ก๋วยเตี๋ยวชามละหนึ่งสลึง...ผ้าเมตรละบาท...เป็นต้น

แต่พ่อก็ต้องทำงานหนักตามค่าเงินที่ได้รับ...
พ่อเล่าว่า...ทุก ๆ เช้าพ่อต้องตื่นแต่เช้า...
ขึ้นรถเลื่อนไปสำรวจรางรถไฟ...ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องตรวจเช็คจำนวนอ้อยที่จะขนเข้าโรงงานในวันนั้น...ต้องคัดแยกเกรดของอ้อยด้วย เพราะอ้อยมีหลายชนิด มีหวานมาก หวานน้อย และมีทั้งไม่หวานเลย...จริง ๆ แล้วพ่อได้รับคำสั่งให้ปฏิเสธ...ไม่รับซื้ออ้อยชนิดหลังสุดนี้ แต่พ่อก็สงสารชาวสวน ที่เมื่อขนอ้อยมาถึงสถานีแล้ว หากไม่ได้ขายเขาก็ไม่รู้จะเอากลับไปทำอะไร พ่อจึงรับซื้อทั้งหมด แล้วนำไปเฉลี่ย ๆ แทรกเข้าไปในอ้อยชนิดหวาน...
แต่ราคารับซื้อก็ต้องเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ทางโรงงานกำหนด
ซึ่งพ่อก็ต้องหาวิธีปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด(โรงงานกับชาวสวนอ้อย)เสียเปรียบ
ซึ่งพ่อก็ทำได้...จนเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้จัดการโรงงานและชาวสวนชาวไร่...

พ่อต้องทำงานทุกอย่างในสถานี เพราะทั้งสถานีมีพ่อที่ทำงานประจำอยู่คนเดียว
นอกนั้นเป็นคนงานขนอ้อยที่ทำงานรายวัน...
บางวันที่คนงานขนอ้อยขาดงาน พ่อก็ต้องลงไปขนอ้อยด้วยตัวเอง...
ตกเย็น...พ่อก็ต้องทำบัญชีสรุปยอดรับและจ่ายอ้อยเป็นประจำทุกวัน...

ในบางช่วง บางฤดูที่ไม่มีอ้อยพ่อก็ต้องทำหน้าที่ดูแลสถานี
ตลอดถึงบริเวณรางรถไฟที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีของพ่อทั้งหมด...
ซึ่งยาวประมาณเกือบยี่สิบกิโลเมตร

ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบ...หน้าตาดี(พอสมควร...แหะ ๆ เดี๋ยวคนอ่านจะหมั่นไส้ว่าชมพ่อตัวเองก็ได้ )
นิสัยดี สุภาพเรียบร้อย มีหน้าที่การงานที่ดี...
จึงไม่แปลกที่...วันหนึ่ง...พ่อก็มีความรัก...
รักครั้งแรกของพ่อ...ที่ไม่ใช่กับแม่ของฉัน...












 

Create Date : 19 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 20:07:51 น.
Counter : 577 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.