'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

บทสวดมนต์พิเศษสองบท...ที่ใช้เตือนใจตนตลอดมา ^^



สืบเนื่องจากบล็อกที่เล่าเรื่องพ่อวันก่อน
พูดถึงบทสวดมนต์พิเศษที่สวดให้พ่อฟังก่อนสิ้นใจ
จนถึงทุกวันนี้...แม่ไก่ก็ยังคงใช้บทสวดนี้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจตัวเอง...
เสมอมา จนกลายเป็นคติหลักของชีวิตไปแล้ว

ขอนำมาบันทึกไว้หน้านี้ เผื่อท่านผู้ใดสนใจจะนำไปใช้เป็นข้อคิดเตือนใจ...ก็คงจะดีไม่น้อย





เขมาเขมสรณทีปิกคาถา

พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรุกขะเจตยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา


มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง
ป่าไม้บ้าง อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ;


เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.


นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.


โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ


ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
เห็นอริยสัจจ์คือ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ;


ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง;


คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์;


เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง
เอตัง ส ะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.


นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด;
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.







ภัทเทกรัตตคาถา


อะตีตัง นานวา คะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง

บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอาลัย,
และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง


ยะทะตีตัม ปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง

สิ่งที่เป็นอดีตก็ละไปแล้ว, สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา

ปัจจุปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ
อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุพรูหะเย


ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง
ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้


อัชเชวะ กิจจะ มาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว

ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตาย แม้พรุ่งนี้

นะหิโน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา.

เพราะการผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ซึ่งมีเสนามาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา

เอวังวิหาริ มาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง
ตังเวภัทเทกะรัตโตติ สันโตอาจิกขะเตมุนิ.


มุนีผู้สงบ ย่อมกล่าวเรียก ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืนว่า "ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม."


คัดจากคู่มืออุบาสกอุบาสิกา ภาค ๑-๒
ทำวัตรเช้า - เย็น และสวดมนต์พิเศษบางบท แปลไทย









แถมท้ายด้วยบทกลอนที่ขยายความ "ภัทเทกรัตตสูตร"
โดยพระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ) อีกหนึ่งบทค่ะ

"ภัทเทกรัตต์"

สิ่งล่วงแล้ว แล้วไป อย่าใฝ่หา
ที่ไม่มา ก็อย่าพึ่ง คนึงหวัง
อันวันวาน ผ่านพ้น ไม่วนวัง
วันข้างหน้า หรือก็ยัง ไม่มาเลย

ผู้ใดเฟ้น เห็นชัด ปัจจุบัน
เรื่องนั่นนั้น แจ่มกระจ่าง อย่างเปิดเผย
ไม่แง่นง่อน คลอนคลั่ง ดั่งเช่นเคย
รู้แล้วเลย ยิ่งเร้า ให้ก้าวไป

วันนี้เอง เร่งกระทำ ซึ่งหน้าที่
อันวันตาย แม้พรุ่งนี้ ใครรู้ได้
เพราะไม่อาจ บอกปัด หรือผลัดไว้
ต่อความตาย และมหา เสนามัน

ผู้มีเพียร เวียนเป็น อยู่เช่นนี้
ทั้งทิพา ราตรี แข็งขยัน
นั่นแหละผู้ "ภัทเท- กรัตต์"อัน
สัตบุรุษ ผู้รู้ ท่าน กล่าวกันเอยฯ.











 

Create Date : 05 มีนาคม 2552    
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 13:33:10 น.
Counter : 3306 Pageviews.  

~ ๓ มีนาคม...วันที่คิดถึงพ่อ




วันที่ ๓ มีนาคมเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งในชีวิตฉัน...
เพราะวันที่ ๓ มีนาคมนี่เองที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันรักและรักฉันมากที่สุดในโลกได้จากไป...เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๙
แม้จะล่วงเลยมาถึง ๓ ปีเต็ม ๆ แต่เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในคลองความทรงจำของฉัน
และคิดว่ามันคงจะไม่มีวันลบเลือนไป...จนวันตาย


Photobucket



วันนั้นเป็นวันศุกร์...
วันก่อนหน้านั้นเป็นวันแรกในช่วงเกือบสองเดือนที่ฉันได้กลับไปนอนที่บ้าน...

โดยในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลมากกว่าที่บ้านโดยตลอด...
สลับกันไปมาระหว่างอยู่โรงพยาบาลสองสัปดาห์ กลับมาอยู่บ้านหนึ่งสัปดาห์...
แล้วก็กลับไปโรงพยาบาลอีก เป็นเช่นนี้อยู่ร่วมปีทีเดียว

จนท้ายที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Hospice* ของทางโรงพยาบาลชุมชนเล็ก ๆ ใกล้บ้าน

เพราะพ่อเคยบอกพวกเราไว้เสมอว่า ถ้าพ่อป่วยจนอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้แล้ว (พ่อมีอาการทางสมอง ซึ่งจะมีอาการเบลอ แต่ก็รู้สึกตัวเป็นพัก ๆ )
เมื่อถึงเวลาจะไปก็ขอให้ปล่อยพ่อไป อย่ายื้อ อย่ารั้งพ่อด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ใด ๆ ซึ่งพวกเราก็เข้าใจและรับปาก

วันนั้นฉันตื่นแต่เช้า... แม้ว่าคืนก่อนหน้านั้นจะได้นอนหลับไปในช่วงเวลาสั้น ๆ
พี่สาวโทรมาจากโรงพยาบาลบอกว่า...
แม่สั่งให้ไปบอกลุงช่วยทำพิธี "ขอสมาลาโทษ"**เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน ให้พ่อหน่อย...
และตัวเองก็ให้รีบมาที่โรงพยาบาล...

ฉันมือสั่น ใจสั่น ขณะวางหูโทรศัพท์ลง รู้ดีว่าเวลาที่เราหวั่นกลัวกำลังจะมาถึงจริง ๆ แล้ว
ฉันวิ่งไปบ้านลุงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แล้วก็วิ่งไปบ้านญาติอีกคนหนึ่ง วานให้เขาขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล
(ฉันเพิ่งได้รับอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์...
กระดูกไหปลาร้าหักยังต้องคล้องผ้าคล้องแขนอยู่)

ฉันไปถึงที่นั่นตอนประมาณ ๘ โมงเศษ ๆ ...พ่อนอนเหยียดยาว สงบนิ่งอยู่บนเตียง
โดยมีแม่นั่งฟุบอยู่ข้างเตียงด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งพี่สาวยืนกุมมือพ่อไว้

พอเห็นฉันเข้าไป พี่สาวก็เข้ามากระซิบบอกว่าหมอบอกว่าพ่อคงจะไม่พ้นวันนี้แล้ว
เพราะความดันพ่อตกจนไม่สามารถวัดได้ตั้งแต่เมื่อคืน
และไม่สามารถให้อาหารหรือน้ำเกลือได้อีกแล้ว...

ทั้ง ๆ ที่รู้... ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริง ๆ มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะยอมรับ


ฉันสะกิดบอกให้แม่ไปนอนที่เตียงเฝ้าไข้ แล้วฉันก็ขยับเข้าไปนั่งแทนที่แม่...
แต่การนั่งทำให้ฉันไม่สามารถมองหน้าพ่อได้ถนัด
ฉันจึงเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน
พี่ถอยไปนั่งเงียบ ๆ ที่ระเบียงหลังห้อง




ฉันทาบฝ่ามือข้างขวาลงบนตำแหน่งหัวใจของพ่อและใช้มือซ้ายจับมือข้างขวาของพ่อไว้...
การเคลื่อนไหวอ่อนและเบาใต้ฝ่ามือบอกให้รู้ว่า...พ่อยังอยู่กับฉัน
ฉันเริ่มต้นคุยกับพ่อ ทุกเรื่องที่อยากจะคุยอยากจะบอก ทุกเรื่องที่ฉันคิดว่าพ่ออยากจะรู้...
มือขวาของพ่อที่ฉันจับไว้ กระตุกเป็นระยะ ๆ เหมือนจะส่งสัญญาณการรับรู้...

นัยน์ตาที่เดิมทีดูเลื่อนลอย จับอยู่บนเพดานห้อง ถึงตอนนั้นค่อย ๆ เลื่อนมาจับนิ่งที่ใบหน้าฉัน...
ฉันจึงยิ้มให้พ่อ ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่แย้มออกมาจากหัวใจโดยตรง และพ่อก็ยิ้มตอบฉัน...ด้วยดวงตา

ฉันสวดมนต์บทสวดมนต์พิเศษแปล...ที่เราเคยสวดร่วมกันให้พ่อฟัง...แรงบีบน้อย ๆ ที่มือ บอกให้รู้ว่าพ่อรับรู้

พี่ ๆ น้อง ๆ และญาติ ๆ หลายคนทยอยเข้ามาในห้อง แต่ฉันก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ...
พยายามพูดและเคลื่อนไหวร่างกายส่วนอื่นให้แผ่วเบาที่สุด
เพื่อจะได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวใต้ฝ่ามือที่เนิบเนือยลง...
ผ่อนและแผ่วลงจนนิ่งสนิทในที่สุด

ในเวลา...๑๑.๕๐ น.






(ขอบคุณภาพประกอบจาก //www.olddreamz.com/ ค่ะ)

*Hospice เป็นโครงการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขและจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี สงบสุขและอบอุ่นท่ามกลางญาติมิตร เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ พ่อของจขบ.เป็นคนไข้รายที่ ๔ ของโครงการค่ะ(ผู้ใดสนใจโครงการนี้ติดต่อหลังไมค์ได้ค่ะ)

** การขอสมาลาโทษผีบ้านผีเรือนเป็นคติความเชื่อของคนโบราณล้านนาที่ผู้ป้วยในระยะสุดท้ายควรจะได้กระทำก่อนการจากไปอย่างสงบ







 

Create Date : 03 มีนาคม 2552    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 10:39:09 น.
Counter : 830 Pageviews.  

นิทานของพ่อ เรื่องที่ ๓ เรื่อง...ตำนานแห่งนกฮูก




ตำนานแห่งนกฮูก



ในสมัยก่อนกาลนานโพ้นนน...
นกฮูกก็เป็นนกธรรมดาๆ เหมือนกับนกตัวอื่น ๆ ทั่วไปที่ออกหากินกลางวัน และมีดวงตาขนาดปกติ...
พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าร่วมกันกับสัตว์ต่าง ๆ อย่างผาสุกมาโดยตลอด

แต่ในป่านั้น มีเจ้าเสือเกเรตัวหนึ่งชอบสร้างความเดือดร้อนให้กับบรรดาเพื่อนส่ำสัตว์ทั้งหลายโดยการไล่ล่าสัตว์อื่น ๆ เป็นอาหารอยู่เป็นประจำ...





วันหนึ่ง มันก็ไล่ล่าอีเก้งจนอีเก้งเตลิดหนีเข้าไปในถ้ำของหมูป่าผู้กล้าหาญ
หมูป่าบอกอีเก้งว่า...

"เจ้าอย่ากลัวไปเลย ให้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนี่แหละ ข้าจะออกไปรับหน้าเจ้าเสือร้ายนั่นเอง"

เมื่อเสือวิ่งมาถึงหน้าถ้ำหมูป่า ไม่พบอีเก้งจึงถามหมูป่าว่า
"นี่แน่ะ เจ้าหมูป่าสกปรก เจ้าเห็นอีเก้งวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า"

หมูป่าก็ปฏิเสธว่าไม่เห็น เสือก็ตวาดว่า
"เจ้าโกหก อีเก้งนั่นวิ่งมาทางนี้แล้วหายไป เจ้าต้องซ่อนมันไว้ในถ้ำของเจ้าใช่ไหม นั่นน่ะมันเป็นอาหารของข้านะ"

หมูป่ายืนยันว่า "ข้าไม่รู้ ข้าไม่เห็น"

เสือโกรธมาก จึงคาดโทษหมูป่าไว้ว่า
"แล้วเราจะได้เห็นดีกัน อีกสามวันข้าจะกลับมาสู้กับเจ้า เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ"
ว่าแล้วเจ้าเสือก็กลับไป

เจ้าหมูป่าจึงไปสั่งเสียกับอีเก้งให้ไปซ่อนตัวเสียบนภูเขาสูง และอย่าลงมาจนกว่าการต่อสู้จะสิ้นสุด
และสั่งว่า
"ถ้าข้าแพ้เจ้าเสือ ข้าจะส่งเสียงโหนหวนเตือนภัยกับเจ้าแล้วให้เจ้าหนีไปให้ไกลที่สุดเข้าใจไหม...?"
อีเก้งรับคำพร้อมกับขอบคุณหมูป่าที่ช่วยชีวิตแล้วก็วิ่งขึ้นเขาไปตามคำบอก






ในช่วงเวลาสามวันนั้น เจ้าหมูป่าก็เตรียมการโดยถูตัวเถลือกไถลไปกับพื้นดิน
จนเนื้อตัวพอกด้วยดินโคลนหนาเตอะ
ซึ่งในขณะเดียวกัน เจ้าเสือก็เที่ยวไปฝนเล็บของมันจนแหลมยิ่งกว่าหนาม

เมื่อถึงวันนัด สัตว์ทั้งสองก็มาพบกันและกระโจนเข้าหากันอย่างไปพูดพล่ามทำเพลง
เจ้าเสือกางกรงเล็บตะปบเจ้าหมูป่า แต่ปรากฏว่ามันต้องลื่นหลุดไปเพราะเล็บได้กรีดเอาโคลนหลุดติดออกมา
แม้มันพยายามตะปบกัดก็ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อตัวเจ้าหมูได้ จนมันเริ่มอ่อนแรงลงในที่สุด
เจ้าหมูป่าได้ทีจึงใช้เขี้ยวกัดเจ้าเสือจนเป็นแผลยาวเป็นริ้ว ๆ
เจ้าเสือเจ็บปวดมากจึงเตลิดหนีเข้าป่าไป
แม้ในภายหลังมันจะรักษาแผลที่ร่างกายของมันจนหายดีแล้วแต่ก็ยังปรากฏว่าขนที่ขึ้นใหม่บนรอยแผลนั้นกลายเป็นสีขาวแกมเหลือง
และมีรอยดินสีดำที่ติดมาจากตัวหมูป่าแซมอยู่บนขนสีขาวนั้นเป็นจุด ๆ มาจวบจนทุกวันนี้

ในจังหวะแห่งชัยชนะของเจ้าหมูป่านั่นเอง ก็มีนกฮูกตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้มองเห็นเหตุการณ์พอดี
มันจึงกรีดร้องเสียงดังมาก โหยหวนดังไปถึงหูอีเก้งที่รอฟังสัญญาณเสียงจากหมูป่าอยู่บนเขา





อีเก้งตกใจมากคิดว่าเป็นเสียงหมูป่าที่แพ้เจ้าเสือจึงวิ่งเตลิดออกจากที่ซ่อนแล้วไปเหยียบเอารังมดดำเข้า
ฝูงมดดำแตกกระเจิงและโกรธมาก
วิ่งวุ่นหาตัวการผู้ทำลายรังของพวกมัน
บังเอิญมีเจ้าหนูน้อยตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ฝูงมดดำก็กรูกันเข้าไปต่อยกัดเจ้าหนูอย่างเมามัน...

เจ้าหนูรู้สึกเจ็บปวดมากก็ลนลานหนีพร้อมกับไล่กัดแทะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
มันได้กัดแทะเอาเถาฟักทองจนขาดและผลฟักทองขนาดใหญ่ก็กลิ้งตกลงมาจากภูเขาที่ลาดชัน

ในขณะนั้น ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านกำลังต้มน้ำเพื่อหุงข้าวหม้อใหญ่อยู่ตรงเชิงเขา
ผลฟักทองลูกใหญ่นั้นก็กลิ้งหลุน ๆ มาชนเข้ากับหม้อน้ำร้อนที่กำลังเดือดพล่าน
หม้อน้ำร้อนนั้นล้มลงและน้ำร้อนก็ลวกลูกสาวหัวหน้าหมู้บ้านเธอจึงส่งเสียงกรีดร้องให้คนช่วย





เมื่อชาวบ้านได้ยินต่างก็พากันมา พวกเขาช่วยกันเก็บเจ้าฟักทองขึ้นมาและทำท่าว่าจะผ่าออกเป็นชิ้น ๆ เจ้าฟักทองก็รีบบอกกับพวกเขาว่า...

"ช้าก่อน นี่มันไม่ใช่ความผิดของข้าเลยนะข้าอยู่ของข้าดี ๆ จู่ ๆ ก็มีเจ้าหนูมากัดแทะเถาของข้าจนขาดทำให้ข้ากลิ้งตกลงมา"

พวกชาวบ้านจึงพากันเดินขึ้นเขาไปหาเจ้าหนูน้อย ก็พบมันกำลังนั่งเลียรอยกัดของมดอยู่จึงจะจับมันมาลงโทษ

"ช้าก่อนท่าน..." เจ้าหนูโวยวาย
"นี่ไม่ใช่ความผิดของข้าเลย ข้าเดินของข้าอยู่ดี ๆ เจ้ามดดำทั้งฝูงนั่นก็พากันมารุมกัดข้า แล้วจะให้ข้าอยู่เฉย ๆ ได้ยังไงล่ะ
ข้าก็ต้องทุรนทุรายไล่กัดมั่วไปหมดน่ะสิ"


พวกชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็พากันไปหาฝูงมดดำที่กำลังช่วยกันสร้างรังใหม่อยู่อย่างเรี่ยวแรงแข็งขัน
เมื่อชาวบ้านสอบถามถึงสาเหตุที่มดดำพากันรุมกัดเจ้าหนูน้อย หัวหน้าฝูงมดดำก็ตอบว่าเพราะตอนนั้นพวกเขาตกใจที่รังถูกทำลาย เจ้าหนูน้อยผ่านมาพอดีก็เลยเข้าใจว่าเป็นเจ็าหนูน่ะสิ ตอนหลังรู้แล้วว่าเป็นอีเก้งก็เลยขอโทษเจ้าหนูน้อยแล้วไง...





ชาวบ้านจึงพากันไปตามหาอีเก้ง ก็พบมันกำลังซ่อนตัวอยู่ในพุมไม้ใหญ่
ก็ถามว่าทำไมถึงไปเหยียบรังมดดำเข้า อีเก้งก็ตอบว่า

"ก็ตอนนั้นข้าตกใจนี่ เจ้านกฮูกจู่ ๆ ก็ส่งเสียงร้องทำให้ข้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสียงสัญญาณจากหมูป่าน่ะสิ
เลยวิ่งเตลิดไปเหยียบรังมดดำเข้า..."


ชาวบ้านจึงพากันไปหาเจ้านกฮูกที่ยังคงเกาะอยู่บนต้นไม้
เมื่อชาวบ้านถามมันว่าทำไมถึงส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างนั้น
ทำให้อีเก้งตกใจวิ่งไปเหยียบรังมดดำ
ฝูงมดดำไปรุมกัดเจ้าหนู เจ้าหนูไปกัดแทะเถาฟักทอง
เถาฟักทองขาดลูกฟักทองจึงกลิ้งไปชนหม้อน้ำร้อน
จนน้ำร้อนลวกลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านอาการสาหัส...

เจ้านกฮูกทำท่าไม่ยี่หระแล้วบอกว่า "ข้าก็แค่นึกสนุก อยากร้องก็ร้อง มีอะไรไหม...?"
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก จึงจับเจ้านกฮูกมาแล้วควกลูกตามันออกทั้งสองข้าง
เหลือไว้แต่เบ้าตากลวงโบ๋ แล้วปล่อยตัวไป



Photobucket



เจ้านกฮูกเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ทำให้บรรดานกอื่น ๆ ทั้งหลายรู้สึกสงสารเวทนาเป็นยิ่งนัก
ทั้งหมดจึงร่วมกันสละดวงตาให้เจ้านกฮูกตัวละนิดละหน่อย
เจ้านกฮูกก็นำดวงตานั้นมารวมกันใส่เข้าไปในเบ้าตาของตน
ทำให้ดวงตาของมันมีขนาดที่โปนใหญ่ผิดปกติไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เจ้านกฮูกรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของบรรดานกทั้งหลายที่ทำให้มันได้มีโอกาสกลับมาเห็นโลกอีกครั้ง
แต่มันก็รู้สึกอับอายในขนาดที่ผิดปกติของดวงตาทั้งสองข้าง
จึงต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในโพรงและออกหากินเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น
บางครั้งมันก็ส่งเสียงร้องสาปแช่งมนุษย์ที่ทำให้มันต้องเคราะห์ร้ายมาจนตราบเท่าทุกวันนี้...


เรื่องของเจ้านกฮูกก็จบลงด้วยประการฉะนี้ อิอิ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ผลย่อมมาจากเหตุ เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด



Photobucket


** เชิญอ่านนิทานของพ่อ เรื่องที่ ๑ เรื่อง...เสือ ช้างใหญ่ กับกระต่ายเจ้าปัญญา
และ เรื่องที่ ๒ เรื่อง... สุกร กับ สุนัข ค่ะ







 

Create Date : 26 มกราคม 2552    
Last Update : 6 มิถุนายน 2552 15:44:01 น.
Counter : 3817 Pageviews.  

อุ่นไอหนาว




ลำปางหนาวมากกกกก........
ฉันเคยนึกขำกับวลียอดฮิตวลีนี้ ไม่คิดว่าจะได้พูดมันอย่างจริงจัง จริงใจในวันนี้
วันที่ระดับอุณหภูมิที่ปรากฏบนหน้าปัดเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิตอลที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ระบุว่า อุณหภูมิได้ลดลงอยู่ที่ ๙.๕ องศาเซลเซียส...
ใครอย่าคิดว่าเว่อร์ล่ะ...เพราะอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของเมืองลำปางไม่ต่ำขนาดนี้
เทอร์โมมิเตอร์เสียหรือเปล่า...
ไม่เสียค่ะ จะคลาดเคลื่อนบ้างก็เล็กน้อยเต็มที บวกลบไม่เกินหนึ่งองศา
แต่ที่บ้านฉันเย็นยะเยือกกว่าใครเขาเป็นเพราะที่บ้านอยู่ติดแม่น้ำยังไงล่ะ
ไอหนาวจากลำน้ำคงพัดโชยเข้ามาในบ้าน ทำให้บรรยากาศในบ้านหนาวเย็นจับใจตลอดทั้งวัน

แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ฉันก็ตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน
หลังจากลุกขึ้นมาสลัดแขนสลัดขาไล่ความงัวเงียออกไป หากยังไม่ได้ผล ก็ใช้น้ำเย็นลูบหน้าลูบตาเพียงเล็กน้อย รับรองว่าตื่นเต็มตาแน่ เพราะน้ำจากก๊อกตอนเช้ามืดมันเย็นจับขั้วหัวใจทีเดียว...
คว้าแจ็กเก็ตตัวโปรดมาสวมทับก่อนจะจูงจักรยานคันเก่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่ตลาดเช้า ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณสองกิโลเมตร...





ในบรรยากาศอันสลัวรางของยามเช้า ขณะที่ถีบจักรยานผ่านบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีควันไฟลอยอ้อยอิ่งออกมาจากด้านหลังบ้าน ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกฉันด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก...
ฉันชะงักและจูงจักรยานเข้าไปใกล้ ๆ ...มีผู้คนอยู่ที่นั่นสามสี่คนด้วยกัน กำลังนั่งล้อมวงรอบกองไฟ เหนือกองไฟมีข้าวหลามวางพาดอยู่สี่ถึงห้ากระบอก...
คนที่เรียกฉันก็คือน้าธรรมนั่นเอง...น้าธรรมกำลังใช้มีดปอกข้าวหลามที่เผาจนสุกได้ที่แล้วอย่างขมักเขม้น
เมื่อเห็นฉันเข้าไปใกล้ น้าก็บอกว่าเดี๋ยวไปกาดมาแล้วก็มาแว่ตรงนี้เน้อ...จะฝากข้าวหลามไปแม่หนูหน่อย...
ฉันรับปาก...ก่อนจะถีบจักรยานออกมา

น้าธรรมมีศักดิ์เป็นน้าเขยของฉัน เพราะภรรยาของน้าที่เสียไปเมื่อปีกลายเป็นลูกผู้น้องของแม่...
ปกติในพื้นบ้านเราไม่มีคำว่า "น้า" เราจะเรียกทั้งน้องพ่อน้องแม่ว่า "อา" หรือ"อาว" หมด...
แต่น้าธรรมเป็นคนต่างถิ่น เมื่อมาแต่งงานกับคนบ้านเรา น้าก็ได้นำเอาวัฒนธรรมการเรียกขานแบบใหม่เข้ามาเผยแพร่...
น้าธรรมจึงเป็นคนแรกที่สอนให้พวกเราเรียก "น้า"

แต่ที่สำคัญกว่านั้น น้าธรรมเป็นครูคนแรกของฉัน ...
น้าธรรมย้ายมาเป็นครูใหญ่ในโรงเรียนประถมใกล้บ้านในช่วงก่อนเกษียณอายุราชการและรับหน้าที่สอนชั้นประถมหนึ่ง...
ในปีที่ฉันเข้าโรงเรียนพอดี และเมื่อฉันเรียนจบชั้นประภมสี่ น้าธรรมก็ปลดเกษียณ

เด็ก ๆ หลายคนร่ำลือว่าน้าธรรมดุ แต่สำหรับฉันน้าธรรมเป็นคุณน้าและคุณครูที่ใจดีที่สุดในโลก...
นอกจากพ่อแล้ว น้าธรรมมีส่วนอย่างมากที่ส่งเสริมให้ฉันเติบโตขึ้นมาเป็นคนช่างคิด ช่างฝัน และรักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ
น้าธรรมเป็นนักอ่าน ในบ้านของน้ามีหนังสือมากมาย หลายหลากประเภท
พ่อกับน้าธรรมมักจะแลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านอยู่เป็นประจำ ว่าง ๆ ก็จะนั่งคุยกันถึงหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ นักเขียนคนโน้นคนนี้
น้าไม่เคยหวงหรือกีดกัน หากบางครั้งในช่วงวันหยุดหรือปิดเทอมพวกเราจะพากันขลุกอยู่กับกองหนังสือในบ้านน้าเป็นวัน ๆ






วัยและวันผ่านไป...........
เส้นทางชีวิตพาฉันออกห่างจากบ้านไปเนิ่นนาน...พบพานผู้คนมากขึ้น
นาน ๆ ครั้งที่กลับมาบ้าน ...หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป...
น้าธรรมยังนั่งอยู่ตรงนั้น ตรงเก้าอี้โยกเก่า ๆ หน้าบ้าน บางครั้งฉันก็ได้แต่ยกมือไหว้สวัสดีหากพบหน้า...
แต่หลายครั้งฉันก็เพียงเดินผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปทักทายท่าน...

ความคิดและความทรงจำใหม่ ๆ ไหลเวียนเข้ามาในคัลลองแห่งการเรียนรู้
โลกและชีวิตของฉันเปลี่ยนไป สับสน ซับซ้อนและวุ่นวาย...
จนแทบกลบและลบเลือนความทรงจำเก่า ๆ ไปเสียสิ้น...

..........

เช้าวันนี้...
ในตะกร้าหน้ารถจักรยานของฉัน นอกจากบรรดาผักสดและผลไม้ที่ฉันซื้อมาเพื่อปรุงเป็นอาหารประจำวันแล้ว...
ฉันยังเจียดตังค์ค่ากับข้าวซื้อดอกกล้วยไม้ใส่กระถางมาด้วยอีกหนึ่งกระถาง

ฉันมาแวะที่บ้านน้าธรรมตามคำบอกกล่าว...
น้าธรรมกุลีกุจอหยิบข้าวหลามที่ปอกแล้วออกมาให้ฉัน...
ฉันก็หยิบกระถางกล้วยไม้ส่งให้น้าธรรม...พร้อมกับคำขอบคุณ
ข้าวหลามสองกระบอกอุ่นระอุอยู่ในมือ...
หากรอยยิ้มของชายชราวัย ๘๕ ขณะที่รับกระถางกล้วยไม้จากมือฉันเมื่อเช้าวันนี้ อบอุ่นอยู่ในหัวใจ
และจะยังคงค้างคา ติดตรึงใจอยู่เช่นนั้น...อีกนานเท่านาน











 

Create Date : 16 มกราคม 2552    
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 14:42:15 น.
Counter : 744 Pageviews.  

นิทานของพ่อ เรื่องที่ ๒ เรื่อง...สุกรกับสุนัข



สุกร กับ สุนัข





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีชาวไร่ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในไร่เชิงเขาเพียงลำพัง เขาเลี้ยงสุนัขกับสุกรไว้อย่างละหนึ่งตัว

วันหนึ่ง เขาก็เรียกสัตว์ทั้งสองมาพบและสั่งความว่า

"ข้ามีธุระจะต้องเดินทางไกล และอาจจะต้องพักอยู่ที่อื่นเป็นเวลานาน พวกเจ้าทั้งสองต้องเฝ้าบ้านให้ข้า และถางไร่ไว้ เมื่อข้ากลับมาจะซื้อเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาด้วยจะได้ลงมือเพาะปลูกได้ทันที แล้วข้าจะให้รางวัลพวกเจ้าอย่างงาม"

เจ้าสุนัขกับสุกรก็รับปากกับเจ้านายของพวกมันให้วางใจ
พวกมันทั้งสองจะช่วยกันถางไร่เตรียมดินไว้รอเจ้านายกลับมา

เมื่อชายคนนั้นออกเดินทางไปแล้ว สุกรกับสุนัขก็เข้าไปที่ไร่ทุกวัน
แต่เจ้าสุนัขมีนิสัยที่เสีย ชอบเอาเปรียบเพื่อน
โดยมักจะมีข้ออ้างในการที่ไม่ยอมทำงานอยู่เสมอ ๆ

มันมักจะวิ่งเล่นอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น แล้วอ้างว่าต้องไล่นกไล่หนูบ้าง
ปล่อยให้เจ้าสุกรทำงานหนักอยู่ตัวเดียว ทั้งถอนหญ้า
ทั้งใช้เท้าขุดดินแล้วยังพรวนดินจนทั่ว

ฝ่ายเจ้าสุนัข เมื่อเห็นสุกรพรวนดินจนทั่วไร่ดีแล้ว
มันก็เที่ยววิ่งเล่นไปจนทั่วไร่เหมือนกัน
เพื่อให้รอยเท้าของตนกลบรอยเท้าสุกรเสียหมด





เมื่อเจ้านายของสัตว์ทั้งสองกลับมา เขาก็ถามสัตว์ทั้งสองว่าพวกมันได้ทำงานตามที่เขาสั่งไว้ก่อนเดินทางไปหรือไม่
เจ้าสุกรก็ตอบว่า...

"เสร็จแล้วเจ้านาย ข้าทำงานหนักมากทุกวัน
แต่เจ้าหมาไม่ยอมทำอะไรเอาแต่วิ่งเล่นอยู่ในป่า"


ชายชาวไร่ได้ยินดังนั้นก็ถามเจ้าสุนัขว่า

"ที่เจ้าหมูพูดมานั้นจริงหรือเปล่า ?"

เจ้าสุนัขก็ตอบว่า

"ไม่จริงเลยนาย เจ้าหมูโกหก ข้าต่างหากล่ะที่เป็นคนทำงานทั้งหมด เจ้าหมูเอาแต่นอนสบาย ไม่เชื่อนายไปดูที่ไร่สิ "

เมื่อชายชาวไร่เข้าไปในไร่ก็เห็นว่าบนพื้นดินนั้นมีแต่รอยเท้าเจ้าสุนัขเต็มไปหมด ไม่มีรอยเท้าเจ้าสุกรเลย เขาจึงโกรธมาก บอกกับเจ้าสุกรว่า

"เจ้ามันสัตว์เนรคุณแท้ ๆ แถมยังโกหกหน้าด้าน ๆ ข้าจะทำโทษเจ้าโดยเจ้าต้องไปอยู่นอกบ้าน อย่ามาอยู่ร่วมบ้านกับข้าเลย ส่วนเจ้าหมานั้นซื่อสัตย์และรู้คุณนัก ข้าขอตกรางวัลโดยการอนุญาตให้เข้ามาอยู่ มากินนอนอยู่ในบ้านร่วมกับข้าได้ตามสบาย"


ด้วยเหตุนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เราจึงเห็นผู้คนเลี้ยงสุกรไว้นอกบ้าน
ให้อยู่ในเล้าที่สกปรก นอนกับดินกินกับทราย

ส่วนเจ้าสุนัขนั้นเจ้าของบ้านมักจะปล่อยให้เข้าออกบ้านได้อย่างสบาย
แถมปรนเปรอด้วยข้าวปลาอาหารอันโอชารสในขณะที่เจ้าสุกรได้รับเพียงกากข้าวและรำเท่านั้น

นิทานปรัมปราเรื่องนี้เป็นที่มาของคำกล่าวของคนโบราณล้านนาที่ว่า "หมูสร้าง หมางับ" ซึ่งหมายความว่า คนทำความดีบางคนสมควรได้รับบำเหน็จความดีความชอบกลับถูกขับไล่ไสส่ง แต่คนบางคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่ประจบเลียขาเจ้านายกลับได้รับการยกย่องสรรเสริญ...อันมีปรากฏให้เห็นอยู่ทุกที่ ๆ ไป









 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 14:40:54 น.
Counter : 1750 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.