'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ คู่มือหยุดทุกข์ : โดย พระยุทธนา เตชปัญโญ ~





คู่มือหยุดทุกข์
พระยุทธนา เตชปัญโญ
สนพ.อมรินทร์(พิมพ์ครั้งที่ ๘/ก.พ. ๒๕๕๓)
๒๒๒ หน้า ราคา ๑๗๕ บาท







โปรยปก :



หนังสือที่จะทำให้คุณเห็นความทุกข์เป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ

...........

เวลาเรามีความทุกข์ใจ มีปัญหาชีวิต เหมือนกับแบกภูเขาไว้
หนักเหลือเกิน ทำไมเราไม่หาทางวางมันลงเสียก่อนเล่า
แล้วออกมายืนมองดูมัน

เราควรพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
ดีกว่าแบกมันไว้แล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ หนัก เมื่อยล้าเปล่าๆ

หากเราวางภูเขาลง แล้วเดินเหยียบย่ำขึ้นไป นอกจากจะสบายกว่าแล้ว
ยังทำให้มีโอกาสเดินไปถึงจุดหมายสูงสุดบนยอดได้อีกด้วย





วันนี้วันพระ ขออนุญาตหยิบหนังสือธรรมะดี ๆ อ่านง่าย ๆ เล่มนี้
มาบอกเล่ากล่าวขานชวนอ่านชวนศึกษากันค่ะ

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น ๓ ภาคใหญ่ ๆ

ภาค ๑ ว่าด้วย "ความจริงของชีวิต"
มีบทย่อย ๆ ดังนี้

- โลกคืออะไร
- ธุรกิจล้มมีหนี้สินแก้ไขได้
- มีปัญญาเพื่อดับทุกข์
- เข้าใจธรรมชาติเข้าใจชีวิต
- ปฏิบัติธรรมทุกเวลา


ภาค ๒ "มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร"

- มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
- ไม่เอาอะไร
- จุดมุ่งหมายที่ถูกต้องในการทำบุญ


ภาค ๓ "สิ่งที่ดีที่สุด"

- ความสงบเย็นคือสุขที่ต้องการ
- จิตอิสระที่สุด
- งานที่เราต้องเรียนรู้
- รู้จักหยุดอย่าเชื่อความคิด
- หาใจให้เจอดีกว่าหาวัตถุ
- ความว่างมีคุณค่ามากที่สุด
- บ้าน....ที่ปลอดภัย







เป็นหนังสือธรรมะที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย ตัดตรงสู่ใจ...
นุ่ม ๆ เบา ๆ ทว่าลึกซึ้งกินใจ

ในแตละบทย่อยยังแยกออกเป็นบทความสั้น ๆ ประมาณตอนละ ๑-๒ หน้า
เวลาอ่านไม่ต้องใช้ที่คั่นเลยค่ะ เพราะเมื่อหยิบขึ้นมา
พลิกเจอหน้าไหนก็อ่านได้หน้านั้นเลย...

สำหรับหนังสือธรรมะแล้ว ไม่มีเรื่องต้องวิพากษ์วิจารณ์อันใด
เพียงแต่ขออนุญาตเลือกคัดตัดตอนมาบอกต่อก็แล้วกันค่ะ






จิตใจของเราเปรียบเสมือนลิง ที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง
ชอบคิดฟุ้งซ่านทำให้เป็นสุข เป็นทุกข์ คิดหาเรื่องใส่ตัวแบบเรื่องไม่เป็นเรื่อง
คิดเรื่อยเปื่อย น้อยอกน้อยใจ นี้คือธรรมชาติจิต
ชอบคิดไปในอดีต อนาคต จึงนำมาซึ่งความทุกข์ วุ่นวาย
เพราะจิตไม่หยุดนิ่ง ไม่สงบขาดการฝึกฝนควบคุม

ขอเพียงให้ท่านตั้งสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน
สลัดขจัดความคิดที่ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่เป็นประโยชน์ออกไปจากจิต
ด้วยการตั้งสติให้มั่นคงจิตใจจะไม่เหนื่อยล้า
มีพลังผลักดันความคิดฟุ้งซ่านออกไป

การคิดมากมายหลายเรื่องไม่ได้ทำให้ความคิดนั้นบรรลุผลสำเร็จ
มีแต่จะทำให้สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก
สติ สมาธิจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จิตจะต้องมีอยู่ทุกเวลานาที อย่าเผลอ
จงมีสติรู้เท่าทันกับปัญหาเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว
แล้วคิดด้วยความสงบ ไม่วุ่นวาย
คิดแบบเบาสบาย ก็จะสามารถแก้ไขบรรลุความสำเร็จได้ไม่ยาก

(ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยปัญญา หน้า ๒๑)









การฝึกจิตปฏิบัติธรรม นอกจากมีสติแล้วเราจะต้องมีสัมปชัญญะด้วย
คือการมีความรู้สึกตัวทั่วถึงว่าในขณะนั้นๆกำลังทำอะไร พูดหรือคิดอะไร
เป็นการรู้เท่าทันการณ์ แล้วพิจารณาว่าจะเอาไว้หรือสลัดออกไปจากจิต

การดำเนินชีวิตต้องประพฤติธรรมไปด้วย
เพื่อเวลาที่เราฟังอะไรจะได้ยิน ดูอะไรจะได้เห็น
ไม่ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปโดยขาดสติสัมปชัญญะ
เมื่อเราปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ย่อมแลเห็นความงดงาม

ความอัศจรรย์ใจซึ่งปรากฎอยู่ต่อหน้าเรา
เหมือนยืนอยู่บนภูเขา ย่อมมองเห็นได้กว้างไกลและชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำค้างที่จับเกาะตามใบไม้ หญ้า ดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นหรือลับจาก
ขอบฟ้า ระลอกน้ำที่ถูกกระแสลมพัดพริ้วไหว
เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่นำความสับสนเป็นทุกข์มาให้
และจิตที่นำความสงบสุขไร้ทุกข์มาให้ แล้วเราจะได้เลือกทางดำเนินชีวิตได้ถูก
ว่าจะเอาอย่างไร จะไปทางไหนดี ต้องดู รู้ เห็น มันด้วยปัญญา

จงอยู่กับธรรมชาติบ่อยๆ แล้วท่านจะเกิดปํญญา รู้จัก เข้าใจชีวิตมากขึ้น
จนมีแนวทางดับทุกข์ทางใจได้
เมื่อมีปัญหาชีวิต จงน้อมจิตเข้าสู่ความสงบ
แล้วพิจารณาปัญหาด้วยปัญญาแก้ไขให้ดี ถูกต้องที่สุด
โดยที่ไม่หนี ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่ไป ไม่ปรุงแต่ง ทำจิตให้ว่างเปล่าปล่อยวางทุกสิ่ง
สิ่งสูงสุดและความสำเร็จจะเกิดขึ้นในใจของท่าน

("เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจชีวิต" หน้า ๕๖)








โลกนี้คือละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
เขาไม่ให้เราแสดงนานหรอกนะเดี๋ยวก็ต้องเลิกเล่นกันแล้ว
อย่าได้ไปยึดติดผูกพัน อาลัยอาวรณ์กับบทบาทการแสดงในชีวิตนี้เลย
ถ้าเราตกงาน กิจการล้มหมดตัว ก็ไม่จำเป็นต้องไปกลุ้มใจ เครียด เป็นทุกข์กับมัน
ให้คิดเสียว่าเราโชคดีแล้วที่ได้พักผ่อนร่างกายและจิตใจ
ไม่ต้องไปแบกภาระให้มันหนักใจ
เราจะได้มีโอกาส มีเวลาเรียนรู้ศึกษาปฎิบัติชีวิตและธรรมะ
จะได้พบสิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะได้รับ
จะได้พบหนทางออกจากปัญหามีธรรมะเป็นที่พึ่ง จึงหมดทุกข์

("ชีวิตนี้คือละคร" หน้า ๘๕)







ความทุกข์เหมือนกับหัวงูเห่า ความสุขเหมือนกับจับหางงูเห่า
ความรักเปรียบเหมือนกำลังจับหางงูเห่า ไม่นานงูเห่าก้อจะแว้งกัด
ทำให้ได้รับทุกข์ทรมาน หมายถึง จะเกิดความวิตกกังวล โกรธ คับแค้นใจ
อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท ผิดหวัง พลัดพราก สูญเสีย

ความรัก ที่เห็นแก่ตัว ต่างคนต่างต้องการความสุขจากอีกฝ่ายหนึ่ง
เส้นทางของความรักเกิดจากกามารมณ์ กามตัณหา
ต่างคนต่างพอใจในเนื้อหนังมังสา (รูป) + ทรัพย์สมบัติ ต่างคน
ต่างมีความหวังจะได้รับความสุขจากเขา แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขอย่างที่คาดหวังไว้
ต่างคนต่างเรียกร้องความสุขจากอีกฝ่าย แต่ได้รับความสุขไม่เพียงพอกับความต้องการ
บางทีก็ไม่มีความสุขเลย มีแต่ทุกข์ ในที่สุดจึงแตกร้าว กลายเป็นอดีตไป

ชีวิตจริงเป็นของขม เปรี้ยว เผ็ดร้อน จืด เน่าเหม็น ไม่มีรัก
ไม่แต่งงาน เป็นลาภอันประเสริฐ
รักแท้ก็ไม่เอา เอาแต่รักที่บริสุทธิ์ ต่างคนต่างเข้าใจกัน
รักด้วยความจริงใจ มีสุขด้วยการให้
สิ่งใดไม่ถูกใจก็ให้อภัยกัน
ต่างคนต่างคิดแต่จะให้ ไม่เรียกร้องความสุขจากเขาจึงไม่มีการผิดหวัง
มีแต่ให้ ๆ ๆ ไม่ใช่มีแต่เอา ๆ ๆ

("ธาตุแท้ของความรัก" หน้า ๒๑๗)









สรุปว่า หนังสือธรรมะเล่มนี้ตอกย้ำกับเราว่า...
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่งดงามทั้งในเบื้องต้น
ในท่ามกลาง และในบั้นปลายจริง ๆ

และหากผู้ใดได้ศึกษาและปฏิบัติตามอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว
ก็จะสามารถ"หยุดทุกข์"ในใจตนได้อย่างสิ้นเชิง

สาธุ!
















 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 8 มกราคม 2561 13:40:40 น.
Counter : 3096 Pageviews.  

~ 'อัตตาสลาย จึงคลายทุกข์' บทความโดยพระไพศาล วิสาโล ~



'อัตตาสลาย จึงคลายทุกข์'
บทความโดย พระไพศาล วิสาโล






มีสาววัย ๑๗ ผู้หนึ่งป่วยหนักด้วยโรคพุ่มพวง เธอทุกข์ทรมานมาก
เมื่อบาทหลวงมาเยี่ยมเธอ เธอตัดพ้อกับท่านว่า

“ทำไมพระเจ้าจึงทำให้หนูเป็นอย่างนี้ ?”

บาทหลวงตอบอย่างซื่อตรงว่า ท่านไม่ทราบ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านอยากแนะนำก็คือ ขอให้เธอสวดภาวนาถึงพระเจ้า
และสวดให้แก่ผู้ป่วยทั้งหลายที่อยู่วอร์ดเดียวกับเธอด้วย

ไม่กี่วันต่อมาเมื่อบาทหลวงไปเยี่ยมเธอ ก็พบว่าเธอมีสีหน้าดีขึ้น
หน้าตาหม่นหมองน้อยลง

บาทหลวงไปเยี่ยมเธออีกหลายครั้ง
แต่ละครั้งได้เห็นเธอเบิกบานมากขึ้น สดใสกว่าเดิม

เธอบอกว่าได้สวดภาวนาและแผ่ความปรารถนาดี
ให้แก่ผู้ป่วยทุกคนในห้องของเธอ ตามที่บาทหลวงแนะนำ





มีช่วงหนึ่งที่บาทหลวงติดกิจธุระในต่างจังหวัดนานนับเดือน
ทันทีที่เข้ากรุงเทพฯ ก็ไปเยี่ยมเธออีก แต่พบว่าเธอได้สิ้นชีวิตแล้ว

สิ่งหนึ่งที่บาทหลวงแปลกใจก็คือ ผู้ป่วยที่อยู่วอร์ดเดียวกับเธอต่างพูดถึงเธอด้วยความชื่นชม
พวกเขาเล่าว่าทั้ง ๆ ที่เธอป่วยหนัก แต่ก็ยังลุกมาเยี่ยมเยียน
และพูดให้กำลังใจผู้ป่วยทุกคนเป็นประจำ
ทุกคนประทับใจในรอยยิ้มและความเอื้อเฟื้อของเธอ

พวกเขายังเล่าว่า ตอนที่เธอสิ้นใจนั้น เธอมีอาการสงบมาก
ช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกับวันแรกที่บาทหลวงได้พบเธอ

...ความดีนั้นขยายหัวใจของเราให้ใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้อัตตาของเราเล็กลง
จึงมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับเปิดรับความสุข
ในทางตรงข้ามคนที่นึกถึงแต่ตัวเองนั้น หัวใจจะเล็กลง ขณะที่อัตตาใหญ่ขึ้น
จึงเหลือที่ว่างน้อยลงสำหรับความสุข คนที่เห็นแก่ตัวจึงสุขยากแต่ทุกข์ง่าย

ถ้าอยากเป็นคนสุขง่ายทุกข์ยาก ก็ควรหมั่นทำความดี






*ภาพและบทความได้รับแบ่งปันจากเฟซบุ้ก
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญแด่ท่านผู้เขียนและผู้แบ่งปันมา ณ ที่นี้ค่ะ







 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 11:18:51 น.
Counter : 1489 Pageviews.  

~ ความงามแห่งรุ่งอรุณ บทความโดย พระไพศาล วิสาโล ~



ความงามแห่งรุ่งอรุณ
บทความโดยพระไพศาล วิสาโล







ท้องฟ้ายามอรุณรุ่งคือความงดงามที่ชื่นชมได้ไม่รู้เบื่อ
แต่จะงามประทับจิตยิ่งขึ้นหากได้ตื่นขึ้นมาก่อนฟ้าสาง
เมื่อท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยน จากมืดมิด...
แล้วค่อย ๆ เรื่อเรืองด้วยแสงเงินแสงทอง
จิตใจของผู้ชมก็จะค่อย ๆ แจ่มใสและเบิกบาน
จนรู้ตื่นเต็มที่เมื่อท้องฟ้าสว่างไสวไปทุกทิศ

แสงเงินแสงทองงามที่สุดเมื่อประชันกับความมืดมิด
ความงามของธรรมชาติเบื้องหน้าจะจับใจ
เมื่อความมืดมนค่อย ๆ ละลายหายไป กลายเป็นความสว่างเรือง





ใครที่ไม่ได้เห็นความมืดมิดของท้องฟ้ามาก่อน
ไหนจะเลยประจักษ์ถึงความงามของอรุณรุ่งได้อย่างเต็มที่

รุ่งอรุณงดงามจับใจยิ่งสำหรับผู้ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมาก่อน
ในยามทดท้อสิ้นหวังกับชีวิต จนไม่อยากอยู่ต่อไปในโลกนี้
เพียงแค่เห็นแสงอรุณจับขอบฟ้า ไล่ความมืดมิดไปทีละน้อย ๆ จิตก็สว่างไสว
และหลุดพ้นจากความมืดมน เกิดความหวังและกำลังใจที่จะสู้ทุกข์ต่อไป

ใช่หรือไม่ว่าเมื่อถึงที่สุดแห่งรัตติกาล อรุณรุ่งก็ปรากฏ
เมื่อมืดมิดอย่างที่สุด ความแจ่มกระจ่างก็บังเกิด





ผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมิดย่อมซึ้งใจในคุณค่าของแสงสว่าง
แม้เพียงประพิมประพาย
ฉันใดก็ฉันนั้น น้ำใจแม้เพียงเล็กน้อย
กลับเป็นสิ่งยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่จมอยู่ในความทุกข์
ที่อาจตราตรึงใจเขาอย่างมิรู้ลืม

ปราศจากความทุกข์ ไยจะเห็นคุณค่าของความเอื้อเฟื้อและความอิ่มเอิบใจ

หากสุขสบายไปทั้งชาติไหนเลยจะซาบซึ้งใจกับความดีที่ผู้อื่นกระทำแก่ตน

บางครั้งความทุกข์ก็ทำให้เราเห็นน้ำใจที่งดงามของเพื่อนมนุษย์ได้ชัดเจน
เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในความมืดเท่านั้น
ที่จะประจักษ์ถึงความงามยามอรุณรุ่งอย่างยากจะพรรณนา





*ภาพและบทความได้รับแบ่งปันจากเฟซบุ้ก
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญแด่ท่านผู้เขียนและผู้แบ่งปันมา ณ ที่นี้ค่ะ







 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 11:19:17 น.
Counter : 3365 Pageviews.  

~ คืนดีรับปีใหม่ : บทความโดยพระไพศาล วิสาโล ~





คืนดีรับปีใหม่
บทความโดยพระไพศาล วิสาโล




ความคิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรา
ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยได้ทำให้ความคิดจิตใจกลายเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง
ดังนั้นจึงเท่ากับทำให้ตัวเองเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง
ผลก็คือเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายจนหาความสงบไม่ได้
อยู่ว่าง ๆ คนเดียวเมื่อไร สงครามเป็นต้องเกิดขึ้นภายในใจ

ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงชอบหนีตัวเอง คอยทำตัวไม่ให้ว่าง
ถ้าไม่ทำงานซก ๆ ก็ดูโทรทัศน์เป็นชั่วโมง เที่ยวเตร่จนดึกดื่น
คุยโทรศัพท์หรือสนทนาอินเตอร์เน็ตจนสายแทบจะไหม้
หนักกว่านั้นก็เข้าหายาเสพติดไปเลย

วิธีเหล่านี้ยังให้ผลพลอยได้ประการหนึ่งคือ เป็นโอกาสที่จะหนีคนรอบข้างด้วย
ทั้งนี้เพราะนับวันเราไม่เพียงแต่หมางเมินกับตัวเองเท่านั้น
หากยังแปลกแยกกับคนรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่พี่น้องหรือคู่ครอง
สงครามจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น หากยังมักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์
กับผู้อื่นรอบตัวด้วย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนต้องหาทางออกด้วยการไปหมกมุ่นกับสิ่งอื่นแทน

แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่มีวันที่จะหนีตัวเองได้
และไม่ว่าจะแสวงหาเท่าไร ก็ไม่มีวันพบใครที่จะเป็นมิตรอันประเสริฐไปกว่าตัวเองได้
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันกลับมาเผชิญหน้าและผูกมิตรกับตัวเองสียที
นี้เป็นวิธีเดียวที่จะสงบศึกภายในใจได้





เรามาสงบศึกและสร้างสันติภายในใจเราด้วยการหันมาให้เวลากับชีวิตด้านในของตนเองดีไหม
ความคิดจิตใจของเราถูกอัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสารมามากจนเต็มอิ่มแล้ว
แต่กลับหิวโหยความสงบสุขและการผ่อนพัก
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการแสวงหาความสงบสุขมาหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา
ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ความคิดของเราได้พักผ่อนบ้าง
การจัดสรรโอกาสเพื่อให้ความคิดจิตใจได้สงบนิ่งอย่างน้อย๑๐ นาทีต่อวัน
เป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของการทำสัญญาสงบศึกกับตัวเอง
และถ้าต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน เราต้องเต็มใจที่จะอุทิศเวลาและความเพียรให้มากขึ้นกว่านี้

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับสันติภาพที่แท้จริงก็คือเมตตาหรือความรัก
นอกจากเวลาและความสงบแล้ว เราควรให้ความรักแก่ตนเองมาก ๆ ด้วย
อย่ารังเกียจตนเองถึงแม้หน้าตาจะไม่สะสวย หุ่นไม่ผอมบาง หรือฉลาดสู้คนอื่นไม่ได้
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรู้จักแผ่เมตตาให้ตนเองเมื่อประสบกับเรื่องที่ไม่น่าพึงพอใจ
แทนที่เราจะทำร้ายตัวเองด้วยการเอาความโกรธเกลียดมาเผาลนจิตใจ
หรือเติมฟืนไฟให้มันพลุ่งพล่านรุนแรงขึ้น
ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะสงสารตัวเอง และนำเมตตาธรรมมาชโลมใจแทน





แม้จะแผ่เมตตาให้แก่คนที่เบียดเบียนเราไม่ได้
อย่างน้อยก็น่าที่จะแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองว่า ขอให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด
เพียงถูกเขากระทำแค่นี้เราก็ทุกข์พอแล้ว นี่เราจะมาซ้ำเติมตัวเองอีกหรือ
ยิ่งเราโกรธเกลียดเขามากเท่าไร เราเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์มากเท่านั้น
ใช่ว่าเขาจะทุกข์ร้อนไปด้วยก็หาไม่

ยิ่งเรารักตัวเอง เมตตาตัวเองมากเพียงใด ยิ่งจำต้องดับไฟแห่งความโกรธเกลียดให้เร็วเพียงนั้น
ทั้งนี้ด้วยการถอนจิตออกไปจากเรื่องนั้น หรือเอาความคิดไปจดจ่อกับเรื่องอื่นที่สบายใจกว่าแทน
และหากเรามีเมตตามากพอ ก็ควรแผ่ไปให้แก่ผู้ที่กระทบใจเราด้วย
อย่างน้อยผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราเองคือทำให้ใจเราสงบเย็นขึ้น
ถ้าจะเมตตาตัวเองให้เป็น เราต้องรู้จักเมตตาผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็น”ศัตรู”ของเราด้วย

สิ่งประเสริฐสุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตนี้ก็คือ การมอบความเป็นมิตรให้แก่ตนเอง
นานมาแล้วที่เราเหินห่างหมางเมินกับตนเอง จนบางครั้งถึงกับเป็นปฏิปักษ์กัน
ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่เราจะหันมาเป็นมิตรกับตนเอง เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับตนเองอย่างสงบสันติเสียที

ปีใหม่นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มต้นคืนดีกับตัวเอง
ปีแล้วปีเล่าที่เราให้ของขวัญใครต่อใครมากมาย
ไยปีนี้ไม่ลองมอบมิตรภาพให้แก่ตัวเองบ้าง
แล้วอย่าลืมหันไปคืนดีกับคนรอบข้างด้วยล่ะ

ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เราและคนรอบข้างมีความสุขเท่ากับของขวัญวิเศษอย่างนี้





*คัดจาก"สุขใจในนาคร" พฤศจิกายน ๒๕๔๓
กราบอนุโมทนาท่านผู้เขียนมาณ ที่นี้ค่ะ







 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 0:38:44 น.
Counter : 1799 Pageviews.  

~ 'ไม่หอบสังขารหนีความตาย' บทความโดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง ~



ไม่หอบสังขารหนีความตาย
โดย ศ.นพ.ธีระ ทองสง







ผู้รู้แจ้งจะไม่หอบสังขารหนีความตาย รู้แล้วอย่างแจ่มแจ้ง หนีไปไหนก็ไม่พ้น
ที่ไอซียูหรูหรา หรือเตียงอนาถา จะแตกต่างกันปานใด
ผู้ไม่รู้จริงย่อมพยายามเข็นร่างที่บอบช้ำไปต่ออายุยืดลมหายใจ
เพื่อเสพย์ความมีชีวิตให้ยาวนานที่สุด
แท้จริงแล้วการดูแลเอาใจใส่สรีระควรพยายามตามควรแก่เหตุ
เมื่อถึงเวลาสละร่างกายตามพยากรณ์ที่ควรจะเป็นก็ควรจะเป็นไปด้วยใจผ่องแผ้ว
ควรหรือที่เราต่อชีวิต ฉุดยื้อชีวิตด้วยเพียงชีพจร

ในขณะที่ผู้รู้แจ้งทั้งหลายต่างรู้พยากรณ์ชีวิต จะเร่งฝึกใจให้ถึงขั้นยิ้มรับกับความตายได้
มากกว่าการต่อสู้กับความตายทุกรูปแบบ
โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของลมหายใจที่ยืดยาวออกไป
จะอยู่ไปใยเมื่อลมหายใจเป็นเพียงปานประหนึ่งหมุดคม
หรือลมมัจจุราชที่กระพือเข้าออกทิ่มตำหัวใจอยู่ทุกขณะ

เมื่อเรารู้พยากรณ์การมีชีวิตอย่างดี
ภารกิจหลักของทั้งหมอทั้งเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งผอง และตัวผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของชีวิต
คือการฉุดยื้อซื้อเวลา หรือว่าควรจะส่งเสริมทุกอย่างเพื่อการทำใจได้ สุขได้ สงบได้

ไม่ว่าส่วนใดในร่างกายจะหยุดทำงาน หรือแตกสลายหมดสิ้น
หากเลือกได้จะตายที่ไหนดี เมื่อทุกที่ก็หนีไม่พ้น

ศาสตร์แห่งการทำใจได้ ไม่ใช่เรื่องของการหนีปัญหา
หากแต่คือการเผชิญกับปัญหาอย่างยิ้มแย้ม
นี่คือการจากอย่างสุขสงบและเต็มใจจาก มิใช่จำใจจากไปอย่างเจ็บ ๆ




Photobucket



เมื่อความผูกพันทั้งหลายได้ถูกปลดปล่อยไปนานแล้ว
ตายทางใจไปแล้วตั้งแต่ยังมีชีวิต
เมื่อตายไปแล้วก่อนตาย ร่างกายจะแตกดับที่ไหนเมื่อไร ใช่จะสำคัญนัก
เอาแต่พอดี ๆ ที่เหมาะสม อย่าถึงกับหอบสังขารหนีความตายกันเลย จริงไหม

เมื่อเราต่างก็รู้แล้ว ราวกับว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้มันมานานกำลังจะสิ้นสุดอายุลง
เก่าแก่เต็มทน พ้นสภาพเกินกว่าจะซ่อมแซม
ไม่ว่าจะซ่อมด้วยเงินกี่แสนกี่ล้านก็ไม่อาจกลับคืนมา

เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าซ่อมก็ไม่หาย
ควรหรือที่เราจะหอบหิ้วไปไปทั่วสารทิศ เผื่อมีความหวังใด

ชีวิตก็เช่นกัน วันหนึ่งที่ชิ้นส่วนการปฏิบัติงานของชีวิตทรุดโทรมเสื่อมสภาพ
พยากรณ์ชีวิตบอกได้แน่นอน ไตล้มเหลว หัวใจเหนื่อยล้า ตับพัง ปอดขาดเลือด
สมองไม่มีออกซิเจนหล่อเลี้ยง
ดูไปแล้ว เราสมควรตายแล้วนี่ จะยืดต่อชีวิตอีกสักสองสามวันไปทำไม
มีรสชาติใดในโลกมนุษย์นี้หลงเหลือให้เราติดใจไปลุ่มหลงอีกหรือ
จะขอต่อชีวิตไปเสพย์สมบัติพัสถานที่อุตส่าห์หิ้วหอบครอบครองไว้กระนั้นหรือ

จะอยู่อย่างหวาดกลัวความพลัดพรากเพิ่มเติมอีกสักสี่ห้าวันกระนั้นหรือ
หรือว่าเราควรยินดีกับการจากไป จบฉากหนึ่งการแสดงไป ไม่มีอะไรต้องแบก
ภารกิจที่พอจะทำได้ก็ทำเสร็จสิ้นแล้ว ร่างกายไม่เหมาะจะทำ คิด อ่าน อะไร ก็พอทีดีไหม

ควรหรือไม่ที่แพทย์ทั้งปวงจะหันมาให้ความสำคัญ
ในการรักษามนุษย์ให้มีลมหายใจที่ยิ้มได้ในทุกสถานการณ์
มากกว่ายืดยื้อชีพจรให้เต้นนานที่สุด

อันคือเกมความตายไล่ล่าคนเป็น จนชีวิตระหกระเหิน
ดิ้นรนทุรนทุราย ก่อนพ่ายแพ้จบฉากชีวิตไปอย่างเจ็บ ๆ

เกมนี้ไม่เล่นไม่ได้หรือ ?



Photobucket


*บทความคัดจากหนังสือ"ศาสตร์และศิลป์การสิ้นชีวิต"โดยศ.นพ.ธีระ ทองสง
**ภาพประกอบบล็อกจาก forwarded mail
ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์มา ณ ที่นี้ค่ะ






 

Create Date : 28 ธันวาคม 2555    
Last Update : 28 ธันวาคม 2555 15:40:45 น.
Counter : 1677 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.