'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ “สู่เส้นทางรัก” โดย "แพทย์เชิงดอย" ~






“สู่เส้นทางรัก”
โดย "แพทย์เชิงดอย"
กองทุนวุฒิธรรม จัดพิมพ์






ใกล้เทศกาลวันแห่งความรักเข้ามาทุกทีแล้ว...

ขออนุญาตหยิบหนังสือเกี่ยวกับความรักเล่มโปรดตลอดกาลของตัวเองมานำเสนอณ ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง
มุมมองของความรักทั้งหมดที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ นับได้ว่าเป็นบทสรุปจากประสบการณ์ชีวิตของผู้เขียน ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ที่เฝ้าตามดูรู้ทันจิตใจตนเองอยู่เสมอ

สู่เส้นทางรัก จึงมิใช่ทฤษฎีความรักที่เราเห็นกันอยู่เกลื่อนเมือง
หากแต่เป็นการแลกเปลี่ยน แบ่งปันประสบการณ์ จากเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
อันอาจจะช่วยเรียกสติให้ฟื้นคืนมาในยามที่ตกอยู่ท่ามกลางไฟร้อนแห่งความรัก หรืออาจจะถลำจมอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ อันเป็นห้วงน้ำใหญ่ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ...





บางส่วนจากคำนำ:

ความรักคือความงดงามของชีวิต ทำให้จิตใจมีค่ามีความหมาย และช่วยให้สังคมน่าอยู่

แต่บ่อยครั้ง ความรักที่ว่าดีนั้นกลับกลายเป็นยาพิษ
ทำลายชีวิต กัดกร่อนจิตใจของบุคคลผู้อกหัก ให้จมปลักอยู่ในความทรมานและสิ้นหวัง
จนถึงกับทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ เพราะเกิดมลทิน คือความเห็นแก่ตัวขึ้นเจือปนในความรัก...

ความรักเป็นดั่งเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นสุข อีกด้านหนึ่งย่อมเป็นทุกข์เสมอ
รักมากก็ทุกข์มาก เมื่อไม่เป็นดังใจ...

รักนั้นอบอุ่นอ่อนหวานดึงรั้งให้เข้าใกล้ แต่ยิ่งใกล้กลับยิ่งเร่าร้อนและทิ่มแทง
จะอยู่ก็รำคาญใจ จะไปก็เสียดาย...

...ทำอย่างไร เราถึงจะสามารถทำให้เหรียญนั้นเย็นพอที่จะจับต้องได้
ไม่เป็นเหรียญที่อมความร้อนจนหยิบจับไม่ได้...?

สู่เส้นทางรัก นำเราให้มาหวนมองธรรมชาติของความรักภายในจิตของตนเอง
เพื่อที่จะได้รู้จักกับกลโกง ความเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตนฯลฯ อันเป็นมลทินของความรัก
ทำให้ความรักสิ้นสภาพและเศร้าหมอง....
และเผยให้เห็นหนทางถอดถอนจิตจากสภาวะดังกล่าว เพื่อจะมีรักแท้ ไร้ซึ่งทุกข์ - ร้อนอีกต่อไป





ขออนุญาตหยิบยกเพียงบางบทบางตอน...มาบอกต่อ

“ความรักที่แท้จริงควรหมายถึงความกรุณา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
เป็นจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่ในการเสียสละ ต้อนรับกับสรรพชีวิตอย่างให้เกียรติ ให้อภัย จิตใจเผื่อแผ่
รักแท้จึงเป็นภราดรภาพอันลึกซึ้งระหว่างชีวิตต่อชีวิต...
ผู้มีความรัก...มิได้หมายความว่าเขาจะต้องได้อะไรมาครอบครองตอบแทน หรือกำหัวใจใคร ๆ เอาไว้
บางทีเขาอาจไม่ได้สิ่งใดเลย นอกจากปีติสุขอันเปี่ยมล้นในชีวิต...”

(หน้า ๑)


“ความรักมิใช่การเพิ่มพันธนาการให้แก่กัน แต่เป็นการปลดปล่อยให้เขามีสันติสุข
มิได้ผูกมัดเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากกัน...
หญิงชายที่มาใช้ชีวิตร่วมกันฉันคนรักไม่ควรหมายถึงเชือกสองเส้นมาพันเป็นเกลียวแน่นหนา
แต่ควรเสมือนหนึ่งสายพิณคนละสายที่อิสระ แต่ร่วมบรรเลงเพลงเดียวกัน...ประสานกันไปด้วยความเข้าใจ”

(หน้า ๓)


" ..."ความรัก" ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะต้องไปค้นหามาจากใคร หากเป็นสิ่งที่จะต้อง"ให้"ออกไปจากใจของเรา
ดั่งสายน้ำที่ไม่เคยเลือกแหล่งไหล..."

(หน้า ๕)






ชีวิต เมื่อมีได้ย่อมมีเสีย เป็นของคู่กัน...

“ถ้าเราเข้าใจว่าการได้มา และการสูญเสีย คือเรื่องธรรมดา เราจะมีชีวิตที่สุขสบายใจขึ้นอีกมาก...
ทุก ๆ สิ่งที่เราเคยรักหวงแหน ที่แท้ก็เป็นของธรรมดา อะไร ๆ มันก็ธรรมดา... มันก็เท่านั้นเอง
มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน มันเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีเหตุปัจจัยต้องให้เปลี่ยนไป...”

(หน้า ๓๘)

ความรักของพ่อและแม่...

“พ่อแม่ที่หมายมั่นปั้นลูกเพื่อความมีหน้ามีตาของตน เพื่อเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูลมากกว่าที่จะเป็นไปเพื่อหาความสุข ความเบิกบานแท้จริงของลูก
รักนั้นไม่อาจจัดได้ว่าสูงส่งเลย และมิได้เป็นการเสียสละเพื่อลูกอย่างแท้จริง...”

(หน้า ๑๐๖)





ความรักแห่งมวลมนุษยชาติ...

“โลกเป็นเพียงศาลาให้อาศัยชั่ววัย ร่วมกับสรรพชีวิต
ไยต้องมากีดกันความสุขของเพื่อนมนุษย์ ด้วยการไขว่คว้า กักตุน...
ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์ของชนเฉพาะพวก พร้อมทั้งแผดเผาใจตนเองให้เร่าร้อน
ถึงเราจะมีสมบัติมากมาย มีเกียรติขจรขจาย แต่เราก็อาจอับจนความสุข อับจนความรัก
ไม่รู้จักพอ หาความสุขในชีวิตได้ยาก”

(หน้า ๑๑๔)

“บางทีเราอาจมีชีวิตอยู่อย่างระวังใจตนเองน้อยเกินไป จึงมีความรักน้อยเกินไป ...
มีไม่น้อยเลยที่เราทะเลาะกับใครต่อใครอยู่ในใจเพียงผู้เดียว อยากเอาชนะใครบางคน หมั่นไส้อีกคนอยู่ในใจลึก ๆ
แม้ท่าทีภายนอกเหมือนเราคบหาด้วยความอ่อนหวานสุภาพ แต่ทำไมเล่าถึงต้องหม่นหมอง เพราะไม่ชอบหน้ากันอยู่ในดวงใจ...
เราทำลายความหวังอันงดงามของความรัก ที่สำนึกว่ามนุษย์นี้พี่น้องกัน แล้วปล่อยตัวเองจมอยู่ในปลักความผูกพยาบาท”

(หน้า ๑๒๖-๑๒๗)





และสุดท้าย...มาร่วมกันหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งรัก...

"ความรักเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยย้อนมาทำลายตัวเองเลย...
เมล็ดพืชพันธุ์แห่งความรัก ย่อมแตกหน่อ กิ่ง ใบ เป็นความรัก
มีเพียงความรักและเสียสละเท่านั้นที่จะสรรค์สร้างความรักและเสียสละขึ้นมาในจิตใจของผู้อื่นได้
เราพึงยินดีที่จะโปรยปรายความรักไว้ในสังคม ไม่ว่าพืชพันธุ์แห่งความรักเหล่านั้นจะตกลงบนผืนดินชุ่มฉ่ำ พร้อมแตกหน่อกอใบ
หรือบนผืนแผ่นดินที่แห้งผาก บางที...อาจจะมีสักวันที่สายฝนผ่านมาก็ได้
และถึงแม้จะไร้ใครใยดี รักนี้ย่อมมีผลให้ตนเบิกบานอยู่เสมอ..."

(หน้า๑๕๓)






**เชิญเลือกอ่านหนังสือเล่มอื่น ๆ ในบล็อกนี้ได้ที่... ~ สารบัญหนังสือในบล็อก ~ ค่ะ










 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 15:13:45 น.
Counter : 2094 Pageviews.  

~ เป็นสุขในทุกความเปลี่ยนแปลง ~พระไพศาล วิสาโล








เป็นสุขในทุกความเปลี่ยนแปลง
พระไพศาล วิสาโล






คนเราย่อมปรารถนาความเปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในอำนาจของเรา หรือสอดคล้องกับความต้องการของเรา ไม่มีใครอยากขับรถคันเดิม ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม หรืออยู่กับที่ไปตลอด มิจำต้องพูดถึงการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เราต้องการสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เราไม่ต้องการแต่หนีไม่พ้น ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละที่ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึง วิตกกังวลเมื่อนึกถึงมัน และเป็นทุกข์เมื่อมันมาถึง

แต่ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เราพึงตระหนักก็คือ สุขหรือทุกข์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่า เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้นต่างหาก แม้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราไม่รู้สึกย่ำแย่ไปกับมัน หรือวางใจให้เป็น มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ทำให้เธอมีร่างกายแคระแกร็น กระดูกเปราะและเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนนานาชนิด ซึ่งมักทำให้อายุสั้น แต่เธอกับน้องสาวไม่มีสีหน้าอมทุกข์แต่อย่างใด กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเองว่า...
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นอย่างไรหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราคิดกับมันยังไงต่างหาก สำหรับเราสองคน ความสุขเป็นเรื่องที่หาง่ายมาก ถ้าใจของเราคิดว่ามันเป็นความสุข”





โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ เกิดมาพิการ ไร้แขนไร้ขา แต่เขาสามารถช่วยตัวเองได้แทบทุกอย่าง ในหนังสือเรื่อง ไม่ครบห้า เขาพูดไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมเกิดมาพิการแต่ผมมีความสุขและสนุกทุกวัน” ใครที่ได้รู้จักเขาคงยอมรับเต็มปากว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่ง อาจจะสุขมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ (แต่กลับเป็นทุกข์เพราะหน้ามีสิว ผิวตกกระ หุ่นไม่กระชับ)

ในโลกที่ซับซ้อนและผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา แต่เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นอย่างไร รวมทั้งเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อเราอย่างไรและแค่ไหน


ในวันที่แดดจ้าอากาศร้อนอ้าว บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งยืนรอส่งเอกสารหน้าบ้านหลังใหญ่ หลังจากเรียกหาเจ้าของบ้านแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับ เขาก็ร้องเพลงไปพลาง ๆ เสียงดังชัดเจนไปทั้งซอย ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ออกจากห้องแอร์มารับเอกสาร เธอมีสีหน้าหงุดหงิด เมื่อรับเอกสารเสร็จเธอก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “ร้อนแบบนี้ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ” เขายิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าโลกร้อนแต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป” ว่าแล้วเขาก็ขับรถจากไป

เราสั่งให้อากาศเย็นตลอดเวลาไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมให้อากาศร้อนมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้แค่ไหน นี้คือเสรีภาพอย่างหนึ่งที่เรามีกันทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะใช้เสรีภาพชนิดนี้หรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเราหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน นั่นแสดงว่าเราเลือกแล้วที่จะยอมให้มันยัดเยียดความทุกข์แก่ใจเรา







ถึงที่สุดแล้ว สุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก มิใช่มีใครมาทำให้ ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้าย เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ โจว ต้า กวน เด็กชายวัย ๑๐ ขวบ เป็นโรคมะเร็งที่ขา จนต้องผ่าตัดถึง ๓ ครั้ง เขาได้เขียนบทกวีเล่าถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นว่า เมื่อพ่อแม่จูงมือเขาเข้าห้องผ่าตัด เขาเลือก “น้องสงบ” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “น้องกังวล”) เมื่อเขาห้องผ่าตัดครั้งที่สอง เขาเลือก “ลุงมั่นคง”เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “ป้ากลัว”) เมื่อพ่ออุ้มเขาเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่สาม เขาเลือก “ชีวิต” (แทนที่จะเป็น “ความตาย”) ด้วยการเลือกเช่นนี้มะเร็งจึงบั่นทอนได้แต่ร่างกายของเขา แต่ทำอะไรจิตใจเขาไม่ได้

เมื่อใดก็ตามที่ความเปลี่ยนแปลงอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น หากเราไม่สามารถสกัดกั้นหรือบรรเทาลงได้ ในยามนั้นไม่มีอะไรดีกว่าการหันมาจัดการกับใจของเราเอง เพื่อให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด หรือใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยวิธีการต่อไปนี้...







๑. ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

การยอมรับความจริงที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เราเลิกบ่น ตีโพยตีพาย หรือมัวแต่ตีอกชกหัว ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตนเอง คนเรามักซ้ำเติมตัวเองด้วยการบ่นโวยวายในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้

เรามักทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่น่าเกิด ไม่ยุติธรรม (“ทำไมต้องเป็นฉัน ?”) แต่ยิ่งไปยึดติดหรือหมกมุ่นกับเหตุผลเหล่านั้น เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการบ่นโวยวาย ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะเอาเวลาและพลังงานเหล่านั้นไปใช้ในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ แต่ระหว่างที่กำลังขนของ เด็กชาย ๒ คนก็ผละไปดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการชกมวยของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิค เมื่อมีคนถามเด็กหญิงซึ่งกำลังขนของอยู่คนเดียวว่า เธอไม่โกรธหรือคิดจะด่าว่าเพื่อน ๒ คนนั้นหรือ เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูเหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขา หนูก็ต้องเหนื่อยสองอย่าง”

ทุกครั้งที่ทำงาน เราสามารถเลือกได้ว่าจะเหนื่อยอย่างเดียว หรือเหนื่อยสองอย่าง คำถามคือทุกวันนี้เราเลือกเหนื่อยกี่อย่าง นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เรายังเหนื่อยใจด้วยหรือไม่

การยอมรับความจริง ไม่ได้แปลว่ายอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกที่จะไม่ยอมทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังทำให้สามารถตั้งหลักหรือปรับตัวปรับใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างดีที่สุด







๒. ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

นอกจากบ่นโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เรามักทุกข์เพราะอาลัยอดีตอันงดงาม หรือกังวลกับสิ่งเลวร้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต สุดท้ายก็เลยไม่เป็นอันทำอะไร

ไม่ว่าจะอาลัยอดีตหรือกังวลกับอนาคตเพียงใด ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับทำให้เราย่ำแย่กว่าเดิม สิ่งเดียวที่จะทำให้อะไรดีขึ้นก็คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลและลำบากเพียงใด แต่เราไม่มีวันถึงจุดหมายเลยหากไม่ลงมือก้าวเสียแต่เดี๋ยวนี้ รวมทั้งใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดี ถ้าก้าวไม่หยุดในที่สุดก็ต้องถึงที่หมายเอง

บรู๊ซ เคอร์บี นักไต่เขา พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ทุกอย่างมักจะดูเลวร้ายกว่าความจริงเสมอเมื่อเรามองจากที่ไกล ๆ เช่น หนทางขึ้นเขาดูน่ากลัว....บางเส้นทางอาจดูเลวร้ายจนคุณระย่อและอยากหันหลังกลับ นานมาแล้วผมได้บทเรียนสำคัญคือ แทนที่จะมองขึ้นไปข้างบนและสูญเสียกำลังใจกับการจินตนาการถึงอันตรายข้างหน้า ผมจับจ้องอยู่ที่พื้นใต้ฝ่าเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว”







๓. มองแง่บวก

มองแง่บวกไม่ได้หมายถึงการฝันหวานว่าอนาคตจะต้องดีแน่ แต่หมายถึงการมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าเจ็บป่วย ตกงาน หรืออกหัก ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่รอบตัวและในตัวเรา รวมทั้งมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย

แม้กนกวรรณ ศิลป์สุข จะป่วยด้วยโรคร้าย แต่เธอก็มีความสุขทุกวัน เพราะ “เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข” ส่วนจารุวรรณ ศิลป์สุข น้องสาวของเธอ ซึ่งขาหักถึง ๑๔ ครั้งด้วยโรคเดียวกัน ก็พูดว่า “ขาหักก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปโรงเรียน ได้อยู่กับบ้าน ฟังยายเล่านิทาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือ อยู่กับดอกไม้ กับธรรมชาติ กับสิ่งที่เราชอบ ก็ถือว่ามีความสุขไปอีกแบบ”

โจว ต้า กวน แม้จะถูกตัดขา แต่แทนที่จะเศร้าเสียใจกับขาที่ถูกตัด เขากลับรู้สึกดีที่ยังมีขาอีกข้างหนึ่ง ดังตั้งชื่อหนังสือรวมบทกวีของเขาว่า “ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่ง”

หลายคนพบว่าการที่เป็นมะเร็งทำให้ตนเองได้มาพบธรรมะและความสุขที่ลึกซึ้ง จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” ขณะที่บางคนบอกว่า “โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” เพราะหากเป็นมะเร็งปากมดลูกเธอจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่านี้

ถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ล้วนดีเสมอ อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้







๔. มีสติ รู้เท่าทันตนเอง

เมื่อความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น เรามักมองออกนอกตัว และอดไม่ได้ที่จะโทษคนโน้น ต่อว่าคนนี้ และเรียกหาใครต่อใครมาช่วย แต่เรามักลืมดูใจตนเอง ว่ากำลังปล่อยให้ความโกรธแค้น ความกังวล และความท้อแท้ครอบงำใจไปแล้วมากน้อยเพียงใด เราลืมไปว่าเป็นตัวเราเองต่างหากที่ยอมให้เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวยัดเยียดความทุกข์ให้แก่ใจเรา ไม่ใช่เราดอกหรือที่เลือกทุกข์มากกว่าสุข การมีสติ ระลึกรู้ใจที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ จะช่วยพาใจกลับสู่ความปกติ เห็นอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยไม่ไปข้องเกี่ยว จ่อมจม หรือยึดติดถือมั่นมัน อีกทั้งยังเปิดช่องและบ่มเพาะปัญญาให้ทำงานได้เต็มที่ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือมองเห็นด้านดีของมันได้

สติและปัญญาทำให้เรามีเสรีภาพที่จะเลือกสุข และหันหลังให้กับความทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าอิสรภาพที่แท้คือความสามารถในการอนุญาตให้สิ่งต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราได้เพียงใด ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ของทรัพย์สิน ของผู้คนรอบตัว รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ หากเราเข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว แทนที่เราจะมัววิงวอนเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ถูกใจเรา ไม่ดีกว่าหรือหากเราพยายามพัฒนาตนบ่มเพาะจิตใจให้เข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม





***จาก www.visalo.org/

อาศัยคำรับรองบนหน้าเว็บที่ว่า All Rights ไม่ Reserved
จึงขออนุญาตคัดมาฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ ในวาระพิเศษ สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓ ค่ะ









 

Create Date : 01 มกราคม 2553    
Last Update : 1 มกราคม 2553 13:48:31 น.
Counter : 1614 Pageviews.  

ระลึกถึงความตายสบายนัก : การเจริญมรณสติในชีวิตประจำวัน โดย พระไพศาล วิสาโล





ระลึกถึงความตายสบายนัก:การเจริญมรณสติในชีวิตประจำวัน
โดย พระไพศาล วิสาโล
เครือข่ายพุทธิกา /จัดพิมพ์






(ได้รับหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ เล่มนี้จากงานศพญาติเมื่อวันก่อน
อ่านแล้ว "ได้" อะไรมากมาย ขอหยิบยกบางส่วนมาแบ่งปันค่ะ)




ระลึกถึงความตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ


พระศาสนโสภณ (จตตสลลเถร)


สำหรับคนทั่วไปไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความตาย เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น หากยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวดก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคนรองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือเราทุกคนต้องตาย

ความตายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็จริง แต่ใครบ้างที่ยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนเป็นอันมากจึงพยายามหนีห่างความตายให้ไกลที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามไม่นึกถึงมัน โดยทำตัวให้วุ่น หาไม่ก็ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับความสุขและการเสพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีชีวิตราวกับลืมตาย ดังนั้นจึงไม่พอใจหากมีใครพูดถึงความตายให้ได้ยิน ถือว่าเป็นอัปมงคล คำว่า “ความตาย”กลายเป็นคำอุจาดที่แสลงหู ต้องเปลี่ยนไปใช้คำอื่นที่ฟังดูนุ่มนวล เช่น “จากไป” หรือ “สิ้นลม”

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ไปตายเอาดาบหน้า” คือ ความตายมาถึงเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที แต่วันนี้ขอสนุกหรือขอหาเงินก่อน ผลก็คือเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า จึงตื่นตระหนก ร่ำร้อง ทุรนทุราย ต่อรอง ผัดผ่อน ปฏิเสธผลักไส ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ แต่ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้ เตรียมตัวเตรียมใจเพียงใด ก็ได้รับผลเพียงนั้น ถ้าเตรียมมามากก็ผ่านความตายได้อย่างสงบราบรื่น ถ้าเตรียมมาน้อย ก็ทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าจะหมดลม หากความตายเปรียบเสมือนการสอบ ก็เป็นการสอบที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง





จะว่าไปชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวสอบครั้งสำคัญนี้ สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการสอบดังกล่าว ไม่ว่าการคิด พูด หรือทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ ที่สำคัญก็คือการสอบดังกล่าวมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัวหรือสอบซ่อม หากสอบพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลม

ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตายหรือคิดแต่จะไปตายเอาดาบหน้า แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี อันที่จริงถ้ารู้จักความตายอยู่บ้าง ก็จะรู้ว่าความตายนั้นมิใช่เป็นแค่ “วิกฤต” เท่านั้น แต่ยังเป็น “โอกาส”อีกด้วย กล่าวคือเป็นวิกฤตในทางกาย แต่เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายกำลังแตกดับ ดิน น้ำ ลม ไฟ กำลังเสื่อมสลาย หากวางใจได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถพบกับความสงบ ทุกขเวทนาทางกายมิอาจบีบคั้นบั่นทอนจิตใจได้ มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่งเมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยแบกยึดเอาไว้ หลายคนหันเข้าหาธรรมะจนค้นพบความหมายของชีวิตและความสุขที่แท้ ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาคืนดีกับคนรักจนไม่เหลือสิ่งค้างคาใจใด ๆ และเมื่อความตายมาถึง มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ โดยมีสติรู้ตัวกระทั่งนาทีสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้นมีบางท่านที่เห็นแจ้งในสัจธรรมจากทุกขเวทนาอันแรงกล้าที่ปรากฏเฉพาะหน้า จนเกิดปัญญาสว่างไสว และปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
บรรลุธรรมขั้นสูงได้ในขณะที่หมดลมนั้นเอง


สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ความตายจึงมิใช่ศัตรู หากคือครูที่เคี่ยวเข็ญให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง คอยกระตุ้นเตือนให้เราอยู่อย่างไม่ประมาท และไม่หลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่มิใช่สาระของชีวิต ขณะเดียวกันก็สอนแล้วสอนเล่าให้เราเห็นแจ้งในสัจธรรมของชีวิต ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรน่ายึดถือ และไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นของเราได้เลยแม้แต่อย่างเดียว ยิ่งใกล้ความตายมากเท่าไร คำสอนของครูก็ยิ่งแจ่มชัดและเข้มข้นมากเท่านั้น หากเราสลัดความดื้อดึงได้ทันท่วงที นาทีสุดท้ายของเราจะเป็นนาทีที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกนาทีนั้นว่า “นาทีทอง”





ทำไมถึงกลัวตาย : ความตายไม่ว่าจะน่ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไป ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ทุกข์เมื่อนั้น จึงมีภาษิตว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว แต่คนขลาดตายหลายครั้ง” ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ไกลที่สุด จนแม้แต่จะคิดถึง เรียนรู้ หรือทำความรู้จักกับมัน ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู

ทำใจให้คุ้นชินกับความตาย : ไม่ว่าจะหลีกหนีให้ไกลเพียงใด เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น ในเมื่อจะต้องเจอกับความตายอย่างแน่นอน แทนที่จะวิ่งหนีความตายอย่างไร้ผล จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเตรียมใจรับมือกับความตาย ในเรื่องนี้ มองแตญ ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวแนะนำว่า “เราไม่รู้ว่าความตายคอยเราอยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นขอให้เราคอยความตายทุกหนแห่ง”





เราสามารถทำใจให้คุ้นชินกับความตายได้ด้วยการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ
นั่นคือเจริญ “มรณสติ” อยู่เป็นประจำ

การเจริญมรณสติคือการระลึกหรือเตือนตนว่า ...

๑) เราต้องตายอย่างแน่นอน

๒) ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ คืนนี้ หรืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องสำรวจหรือถามตนเองว่า...

๓) เราพร้อมที่จะตายหรือยัง เราได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง และพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้วหรือยัง

๔)หากยังไม่พร้อม เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เร่งทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หาไม่แล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยก็ได้


เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ได้ตรัสแนะนำให้ภิกษุเจริญมรณสติเป็นประจำ อาทิ ให้ระลึกเสมอว่า เหตุแห่งความตายนั้นมีมากมาย เช่น งูกัด แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด หาไม่ก็อาจพลาดพลั้งหกล้ม อาหารไม่ย่อย ดีซ่าน เสมหะกำเริบ ลมเป็นพิษ ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์ทำร้าย จึงสามารถตายได้ทุกเวลา ไม่กลางวันก็กลางคืน ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่า บาปหรืออกุศลธรรมที่ตนยังละไม่ได้ ยังมีอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่ ควรพากเพียร ไม่ท้อถอย เพื่อละบาปและอกุศลธรรมเหล่านั้นเสีย หากละได้แล้ว ก็ควรมีปีติปราโมทย์ พร้อมกับหมั่นเจริญกุศลธรรมทั้งหลายให้เพิ่มพูนมากขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน

แม้กระทั่งเมื่อพระองค์ใกล้จะปรินิพพาน โอวาทครั้งสุดท้ายของพระองค์ก็ยังเน้นย้ำถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ดังตรัสว่า

“สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”






*ขอบคุณภาพประกอบจาก wallcoo.net ค่ะ







 

Create Date : 25 กันยายน 2552    
Last Update : 26 กันยายน 2552 14:09:34 น.
Counter : 3016 Pageviews.  

~ เติมความว่างให้จิตบ้าง ~ พระไพศาล วิสาโล



เติมความว่างให้จิตบ้าง
พระไพศาล วิสาโล

ไม่มีวันไหนที่เราจะเว้นว่างจากความคิด ความคิดติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงนับว่าใกล้ชิดสนิทกับเรายิ่งกว่าเงาเสียอีก เพราะแม้แต่ยามค่ำคืนเดือนมืด ความคิดก็มิได้หายไปไหน
ถึงตาจะมองอะไรไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น แต่ความคิดก็ยังคอยช่วยเราคาดเดาว่า มีสิงสาราสัตว์หรือภยันตรายอยู่รอบตัวเราหรือไม่

แต่ถ้าจะบอกว่าความคิดเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเรา ก็คงไม่ได้
บ่อยครั้งความคิดแทนที่จะคอยติดตามเรา กลับชักลากเราไปไหนต่อไหนตามใจมันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เราเครียดก็เพราะห้ามความคิดไม่ ได้มิใช่หรือ รู้ทั้งรู้ว่าความโกรธนั้นไม่ดี แต่ใจก็คอยคิดแต่เรื่องที่ทำให้เราโกรธอยู่นั่นแหละ
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และยิ่งโกรธก็ยิ่งคิด สลัดความคิดไปไม่ได้สักที
ราวกับว่าเจ้าตัวความคิดคอยบัญชาเราให้เวียนกลับไปหาเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ามันจะพอใจ

แต่มันก็ไม่เคยพอใจสักที ต่อเมื่อเจอฤทธิ์ยานอนหลับนั่นแหละ จึงสงบลงได้





ถ้าชีวิตนี้ เรามีอำนาจที่จะควบคุมอะไรได้สักอย่างหนึ่ง เราคงอยากมีอำนาจควบคุมความคิดกันทั้งนั้น
แต่เป็นเพราะควบคุมความคิดไม่ได้ เราจึงอยู่อย่างสุขๆ ทุกข์ๆ ขึ้นๆ ลงๆ หาความสงบใจไม่ได้
อยู่ว่างเมื่อไร เป็นต้องกระสับกระส่ายเมื่อนั้น
คนสมัยนี้ พอถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ต้องหาเรื่องออกไปช็อปปิ้ง เพื่อ "ความสบายใจ"
ด้วยเหตุนี้เอง ศูนย์การค้าจึงกลายเป็นวัดสมัยใหม่ของคนยุคนี้ไปแล้วอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่เราจะขลุกอยู่ในศูนย์การค้าได้นานสักเท่าใดกัน พอเบื่อแล้วก็ต้องแล่นไปที่อื่นต่อ
อย่างน้อยไปเที่ยวบ้านเพื่อนก็ยังดี โรงหนังก็ยังได้ แต่แล้วในที่สุดก็ต้องกลับบ้าน
เพื่อจะต้องมาเจอความหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี
เลยต้องเอาเวลาว่างมา"ฆ่า" ด้วยการเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็หาเรื่องคุยโทรศัพท์กับเพื่อนคนโน้นคนนี้
แต่ทั้งหมดนี้อาจจะเชย หรือดูเป็นเด็กๆไปแล้วก็ได้ สู้ไปเที่ยวเธคเที่ยวผับไม่ได้

แต่ไม่ว่าจะหาเรื่องหลบไปไหนต่อไหน ในที่สุดเราก็ต้องกลับมาอยู่กับตัวเองจนได้
ทีนี้แหละเจ้าตัวความคิดก็จะมาก่อกวนเราอีก พาเราถูลู่ถูกังไปกับอารมณ์ร้อยแปด
เรื่องสุขนั้นน้อย เรื่องทุกข์สิมาก...และแล้วเราก็ต้องหาเรื่องหนีจากตัวเอง
หลบจากความคิด ไปขลุกอยู่กับอะไรก็ได้ที่ทำให้เราลืมตัวเอง หรือสะกดความฟุ้งซ่านให้สงบลง

ความคิดนั้นเราปรุงมันขึ้นมาเอง แต่แล้วเราก็กลับพาตัวเข้าไปอยู่ในอำนาจของมัน
ทั้งๆ ที่อาจจะรู้อยู่แก่ใจว่า ความคิดทำให้เราทุกข์ได้ไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องคอยพึ่งมัน
จะขึ้นรถลงเรือ จะกินจะนอน ก็ต้องอาศัยความคิดมาช่วยกำกับ
เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหูแล้ว ก็ยังไม่แน่ใจ ต้องเอาความคิดมาสำรวจตรวจสอบอีก
เราอยู่กับความคิดจนกระทั่งไม่แน่ใจว่า เมื่อใดที่จิตว่างจากความคิดแล้ว
เราจะอยู่อย่างไร คงจะรู้สึกเวิ้งว้างล่องลอย ไร้ที่ยึดเกาะปานนั้นเลยทีเดียว





ความคิดนั้นมีคุณอย่างไร? เห็นได้ไม่ยาก แต่ขณะเดียวกันมันก็มีโทษด้วย
และโทษของความคิดเกิดขึ้นได้ สาเหตุสำคัญก็เพราะเราคิดมากเกินไป
การคิดในทุกเรื่องนั้นยังพอทำเนา (แม้ว่าในความเป็นจริง มีเรื่องที่เราไม่ค่อยได้คิดเท่าไร)
แต่การคิดในแทบทุกที่ทุกเวลานี้สิเป็นตัวปัญหา
เรามักไม่ตระหนักว่าการคิดเรื่อยเปื่อยเป็นการสร้างอำนาจให้แก่ความคิดในทางที่ผิด
ยิ่งปล่อยใจไปตามความคิดมากเท่าไร ความคิดก็ยิ่งเติบใหญ่มีพลังมากเท่านั้น
จนในที่สุดเราคุมมันไม่อยู่ เปรียบดังกองไฟที่เราปล่อยให้ลามไปเรื่อยๆ
ทีแรกอาจเป็นเพียงแค่สะเก็ดไฟ แต่ถ้าได้เชื้อไม่หยุด ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะกลายเป็นกองเพลิงท่วมหัวเกินกว่าจะดับได้

วันแล้ววันเล่าที่เราเติมเชื้อเติมฟืน ให้แก่ความคิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยการคิดอย่างเรื่อยเปื่อย
แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือการหลงเข้าใจไปว่า ยิ่งคิดยิ่งดี อยู่ว่างเมื่อไรจะต้องหาเรื่องคิด เพราะถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ยุคนี้เป็นยุคที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดไม่ว่าอะไรก็ตาม จะปล่อยไว้ "เปล่าๆ" ไม่ได้ ถือว่าไร้ประโยชน์
เพราะฉะนั้นถ้ามีป่า ก็ต้องตัดเอาไม้มาขาย หรือไม่ก็ถางเตียนเพื่อ"พัฒนา"ที่ดิน
ในทำนองเดียวกัน สมองหรือจิตใจจะปล่อยไว้เปล่าๆ หาได้ไม่
ระหว่างที่อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว นั่งรถ ฯลฯ จะต้องคิดเรื่องงานเรื่องการ วางแผนสารพัดไปด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้เวลาให้เป็น "ประโยชน์"
หรือที่สมัยใหม่เรียกว่า "การบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด"
แต่หารู้ไม่ว่านี่เป็นการสร้างนิสัยที่บั่นทอนตนเอง เครื่องยนต์ยิ่งเร่งเท่าไร นอกจากจะเสื่อมเร็วแล้ว ยังหยุดยากอีกด้วย
เป็นเพราะเหตุนี้มิใช่หรือคนจำนวนไม่น้อยจึงต้องพึ่งยานอนหลับ เพราะหยุดความคิดไม่ได้





จิตที่มีประสิทธิภาพมิได้หมายถึงจิตที่อัดแน่นไป ด้วยความคิดหรือมีเรื่องครุ่นคิดเต็มไปหมด
ตรงกันข้ามจิตที่ทรงประสิทธิภาพคือจิตที่รู้จักว่างจากความคิดด้วย การใช้จิตแต่เพียงด้านเดียว คือด้านที่เอาแต่คิดกลับจะเป็นการบั่นทอนคุณภาพจิตเสียด้วยซ้ำ
เรามักเห็นประโยชน์แต่ความมี ความเต็ม ดังนั้นเราจึงมักหาเรื่องคิดเพื่อจิตจะได้เต็ม ไม่โหรงเหรง
แต่ประโยชน์ของความว่าง เรากลับมองไม่เห็น ทั้งๆ ที่ความว่างสำคัญพอๆ กับความเต็ม
ลองนึกถึงบ้านที่มีข้าวของอัดแน่นเต็มไปหมด จะน่าอยู่หรือไม่ เก้าอี้จะมีประโยชน์ต่อเมื่อมันว่าง
เช่นเดียวกับหน้าต่าง ล้อรถ แม้แต่เสียงดนตรี ถ้าตัวโน้ตเรียงติดต่อกันเป็นพืด ไม่เว้นจังหวะหรือช่องว่างเลย จะไพเราะอะไร

เราควรรู้จักทำจิตให้ว่างจากความคิดบ้าง ความสงบใจเป็นประโยชน์ข้อหนึ่งที่แลเห็นได้ไม่ยาก แต่ความสงบใจกินได้เมื่อไหร่?
ในยุคบริโภคนิยม คำถามแบนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เพราะเรื่องกินมีความสำคัญสำหรับคนสมัยนี้ยิ่งกว่าอะไรอื่น จนกระทั่งอุดมคติก็โยนทิ้งไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้เราจึงเชิดชูความคิดกัน เพราะอย่างน้อยก็ใช้ทำมาหากินได้

แต่เรามักจะไม่ตระหนักว่า จิตที่ไม่รู้จักว่างจากความคิดเลยนั้นมีขีดจำกัดมากในการคิดและแก้ปัญหา
ความคิดจะมีประสิทิภาพได้ต่อเมื่อจิตรู้จักว่างจากความคิดด้วย ทั้งนี้เพราะการว่างจากความคิดเป็นสิ่งสำคัญที่จะมาช่วยเสริมความคิดให้มีพลัง
ถ้าเราเอาแต่คิด จิตก็เหนื่อย แต่เมื่อหยุดคิดเสียบ้าง จิตก็ได้พักและพร้อมที่จะคิดได้อย่างเต็มที่

การคิดยืดยาวเป็นสายไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ในทางตรงข้ามบ่อยครั้งเราจะพบว่าเมื่อหยุดคิดไปสักระยะหนึ่ง
พอจิตผ่อนคลายความคิดดีๆ ก็จะผุดขึ้นมาเองดังฟองอากาศ โดยที่เราไม่ต้องเสียแรงไปคิดให้เหนื่อยยาก

อาร์คีมีดิสค้นพบกฏแห่งความหนาแน่นของวัตถุอย่างไม่นึกฝันก็ตอนกำลังหย่อนตัวลงอ่างอาบน้ำ
เช่นเดียวกับที่นิวตันเกิดปัญญาสว่างวาบในเรื่องแรงโน้มถ่วงขณะนั่งเอกเขนกใต้ต้นแอปเปิ้ล
ท่านพุทธทาสเอง ก็เกิดความรู้ความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ระหว่างที่จิตมีสมาธิกับการเดินบิณฑบาต
คุณสมบัติของจิตในการรู้เองโดยไม่ต้องคิด
หรือเกิดความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่โดยไม่ตั้งใจ เรียกว่าญาณทัศน์ หรือ intuition
เราอาจไม่ใช่คนพิเศษที่ทรงความสามารถดังบุคคลที่เอ่ยนามมานี้ แต่ในชีวิตประจำวันของเรา
หากสังเกต ก็อาจพบว่าได้เคยประสบกับภาวะดังกล่าวมาแล้วไม่มากก็น้อย






การทำจิตให้ว่างจากความคิด ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความคิดของเราให้สามารถคิดได้ดีขึ้นเท่านั้น
หากยังสามารถนำเราให้เข้าถึงสัจธรรมได้อีกด้วย
พรมแดนของความคิดนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสุดจักรวาล แต่ก็ยังมีขอบเขตจำกัด
ไม่ว่าเราจะครุ่นคิดเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะอันลุ่มลึกในทางจิตวิญญาณได้
ความสุขล้ำในภาวะสมาธิเป็นอย่างไร ความคิดไม่อาจช่วยให้เราเข้าใจได้
แม้แต่สัจธรรมหรือความจริง ความคิดก็พาเราเข้าถึง ได้เพียงระดับสามัญที่เรียกว่าสมมติสัจจะเท่านั้น
แต่จิตที่ว่างจากความคิดสามารถพาเราไปได้ไม่มีขอบเขต และนำเราให้เข้าถึงทั้งความสุขและความจริงขั้นสูงสุดอันได้แก่วิมุติและปรมัตถสัจจะ

เราอาจเป็นคนมักน้อย ไม่นึกหวังว่าชีวิตจะไปได้ไกลถึงขั้นนั้น
แต่อย่างน้อยเราก็คงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่จะมารั้งมาคานความคิดบ้าง
มิให้ความคิดแล่นไปไกลสุดโต่งหรือกลายเป็นเจ้าตัวร้ายที่คุมไม่อยู่
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมาถ่วงความคิดได้เท่ากับการว่างจากความคิด
ยามใดที่เราหยุดคิด ความคิดก็ไม่มีเชื้อฟืนที่จะหล่อเลี้ยง มันจึงอ่อนแรงไปโดยปริยาย และอาจดับมอดในที่สุด
กาลเวลาสามารถดับความโกรธความร้อนรนได้ก็เพราะเหตุนี้

แต่บ่อยครั้งเราก็รอไม่ได้ว่าเมื่อไรความคิดจะจางคลายไปเอง
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกจิตให้รู้จักว่างจากความคิดบ้าง
ว่ากันที่จริงแล้ว ความคิดนั้น การจะเข้าไปหยุดมันเป็นเรื่องยาก
เราอาจจะกดมันไว้ แต่มันก็จะพลุ่งพล่านอยู่ลึกๆ และไม่ช้าไม่นานก็จะระเบิดออกมา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือ น้อมจิตมาอยู่กับความรู้สึก ความรู้สึกนั้นมิได้หมายความเพียงแค่ความรู้ร้อนรู้หนาว สุขๆ ทุกข์ๆ
หากกินความรวมถึงการสัมผัสรับรู้ด้วยใจ โดยไม่ต้องอาศัยความคิด
การเอาจิตแนบกับเสียงเพลงอันไพเราะ ซึมซับรับรู้ความงามของธรรมชาติและภาพศิลป์ เป็นวิธีการช่วยจิตให้ว่างจากความคิดอย่างง่ายๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

น่าเสียดายที่ ชีวิตประจำวันไม่เอื้อให้เรามีเวลาอยู่กับเสียงเพลงและทิวทัศน์ได้นานนัก
แต่ถึงอย่างไรเราก็มีเวลาหายใจมิใช่หรือ การน้อมจิตให้แนบกับลมหายใจเข้าออกทุกขณะเป็นวิธีฝึกจิตให้ว่างจากความคิดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
ถ้ารู้สึกว่าลมหายใจเป็นสิ่งละเอียดอ่อนเกินไปจนยากที่จิตจะอิงแอบได้อย่างต่อเนื่อง ก็อย่าเพิ่งท้อใจ
เพราะเรายังมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่พึ่งของจิตได้ นั่นก็คือความรู้สึกตัว หรือที่พระเรียกว่าความรู้ตัวทั่วพร้อม
ความรู้ตัวทั่วพร้อมช่วยให้เรามีเวลามากมายที่จะว่างจากความคิด
เพียงแต่น้อมใจให้อยู่กับการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันหรือการงาน
เมื่อใจแนบอยู่กับสิ่งนั้น ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็เกิดขึ้นทันที
ในยามนี้ ความรู้สึกตัวจะชัดเจน ไม่คลุมเครือเลือนรางดังแต่ก่อน
เพราะความฟุ้งซ่านไม่อาจหันเหจิตใจออกจากอิริยาบถหรือการกระทำนั้นๆ ได้อย่างเคย

น้ำเสียนั้น เราไม่จำต้องวิดให้เหนื่อยดอก เพียงแต่ปล่อยน้ำดีให้เข้ามาเท่านั้น น้ำเสียก็ถูกไล่ไปเอง
ฉันใดก็ฉันนั้น ความรู้สึกตัวจะช่วยกันความคิดให้ออกไปจากจิต เพื่อจิตจะได้พักและสัมผัสกับมิติใหม่ๆ บ้าง
ไม่ว่าจะอาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ล้างจาน ล้วนเป็นเวลาอันสำคัญยิ่งสำหรับการฝึกจิตให้ว่างจากความคิด
ทุกวันนี้เราคิดมากเกินไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอให้ใจได้สัมผัสกับความว่างบ้าง
อย่างน้อยว่างจากความคิดสักครั้งคราวก็ยังดี





ขอบคุณที่มา : //www.visalo.orgค่ะ

ขอบคุณผู้สร้างสรรค์ภาพประกอบสวย ๆ จากฟอร์เวิดเมล์ค่ะ










 

Create Date : 21 สิงหาคม 2552    
Last Update : 21 สิงหาคม 2552 16:02:14 น.
Counter : 1840 Pageviews.  

ขจัดสารพิษในจิตใจ บทความโดย...พระไพศาล วิสาโล




ขจัดสารพิษในจิตใจ
พระไพศาล วิสาโล





เดี๋ยวนี้ผู้คนนิยมทำ “ดีท็อกซ์” กัน
ดีท็อกซ์เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
เช่น การสวนทวาร เดี๋ยวนี้คนนิยมมาก สวนทวารด้วยน้ำก็มี
สวนด้วยกาแฟก็มี ไม่น่าเชื่อว่าจะแพร่หลายไปได้
คนที่มีการศึกษาใช้วิธีการนี้กันเยอะ บางคนเสียเงินเป็นหมื่นไปเข้าโปรแกรมดีท็อกซ์
มีการขจัดสารพิษวิธีหนึ่งที่เชื่อว่าได้ผลมาก ก็คือการอดอาหาร
เหตุผลก็คือเมื่อร่างกายไม่มีอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารก็ได้พักผ่อน เพราะไม่มีอะไรจะให้ย่อย
ทีนี้ระบบย่อยอาหารก็จะเปลี่ยนหน้าที่ไปทำการขับสารพิษที่สะสมในร่างกายออกมา
มันสลับกัน ถ้ารับอาหารเข้าไป มันจะทำหน้าที่ย่อย ย่อยแล้วก็ดูดเอาสารอาหารไปเลี้ยงร่างกาย
แต่พอไม่มีอาหารเข้ามามันจะทำหน้าที่ตรงข้าม คือขับเอาสารพิษออกจากร่างกาย

ใครที่ได้อดอาหารจะเห็นเลยว่าสารพิษมันออกมามากมาย บางทีออกมาทางลิ้น จนลิ้นเป็นฝ้า
บางทีออกมาตามผิวหนัง จนส่งกลิ่นเหม็น หรือทำให้ผิวหนังเป็นปุ่มเหมือนกับเป็นสิว
บางทีก็ออกมาทางอุจจาระปัสสาวะ คนที่อดอาหารล้างพิษจะเจอแบบนี้
การล้างพิษบางทีแค่ไม่ต้องกินอะไร ร่างกายก็จะทำงานของมันเอง





ถามว่านอกจากสารพิษในร่างกายและในสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีที่อื่นอีกไหม
อาตมาว่ามีนะ นั่นก็คือสารพิษในจิตใจ สารพิษในจิตใจก็น่ากลัวเหมือนกัน
สารพิษในร่างกายมากับอาหาร สารพิษในจิตใจก็มาจากอาหารเหมือนกัน คืออาหารใจ
ซึ่งก็คือความคิดหรืออารมณ์นั่นแหละ
อาหารที่เรากินถ้าย่อยไม่หมดจะกลายเป็นสารพิษ อันนี้เราคงรู้กันดี
สารพิษเหล่านี้จะสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ในลำไส้ใหญ่ หรือในตับ
ส่วนความคิดหรืออารมณ์ก็เช่นกัน ถ้าเราเสพเข้าไปแล้วไม่รู้จักขจัดออกไป
มันก็หมักหมมนะ
กลายเป็นสารพิษในจิตใจของเรา

ความโกรธ ความหงุดหงิด ความกังวล ถ้าเกิดขึ้นแล้วต่อมามันหายไป ใจกลับสงบ
เจอแบบนี้อย่าเพิ่งคิดว่าจบแล้ว ส่วนใหญ่มันยังไม่จบหรอก อารมณ์เหล่านี้ทิ้งอนุสัยเอาไว้
อนุสัยเป็นเหมือนเศษหรือตะกอนอารมณ์ที่ตกค้าง โกรธก็ดี เกลียดก็ดี อิจฉาริษยาก็ดี โลภก็ดี พวกนี้มันทิ้งตะกอนอารมณ์เอาไว้
ถ้าสะสมมากๆ เราก็จะโกรธง่าย เกลียดง่าย อิจฉาง่าย โลภง่าย
แต่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อนุสัยหรือตะกอนอารมณ์ตะกอนกิเลสอย่างเดียว
เพราะว่าอารมณ์ที่เราเสพหรือรับเข้ามา ส่วนใหญ่เราไม่ปล่อยให้จบแค่นั้น
แต่ยังไปปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาว อันนี้แหละจะกลายเป็นสารพิษที่น่ากลัวมาก
เหมือนกับเราไปเติมเชื้อเติมฟืนให้กองไฟ ไฟเลยไม่ยอมมอด กลับลามใหญ่เลย





ถ้ามอดเป็นเศษถ่าน เราก็เรียกว่าอนุสัย มันพร้อมที่จะช่วยให้ไฟลุกขึ้นใหม่ ยิ่งมีมากก็ยิ่งลุกง่าย
แต่ว่าถ้าไม่ปล่อยให้มันมอด กลับไปเติมฟืนเติมเชื้อเข้าไปอีก
กองไฟก็จะใหญ่ขึ้นๆๆ และร้อนขึ้นๆๆ เหมือนไฟป่าอยู่ห่าง ๑๐ เมตรก็ยังรู้สึกร้อน
ใครที่มีไฟโทสะเผาใจ แม้ลูกหลานที่อยู่รอบตัว ก็ยังรู้สึกร้อนตามไปด้วย
นับประสาอะไรกับเราซึ่งมีไฟโทสะเผาลุกอยู่ในใจจะไม่ร้อนยิ่งกว่า
ร้อนจนอยู่ไม่สุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจทำให้ป่วยเป็นโรคความดัน โรคหัวใจ โรคประสาท
หรืออาจอยากไปทำร้ายคนอื่น อันนี้แหละอาตมาเรียกว่าสารพิษในจิตใจซึ่งอันตรายมาก

ถามว่าจะจัดการอย่างไร ประการแรกสุดก็คือเสพให้น้อยลง เหมือนกับการจัดการกับสารพิษในร่างกาย
บางวันเราต้องงดบ้าง อาทิตย์หนึ่งงดสักหนึ่งวัน หรืองดเป็นบางมื้อ ปีหนึ่งอาจงดสัก ๗ วัน
ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักเลือกกินอาหาร อาหารขยะควรงดหรือไม่ก็กินให้น้อยลง
พูดง่ายๆ คือต้องรู้จักลดและละบ้าง สารพิษในจิตใจก็เหมือนกัน
จัดการได้ด้วยการเสพอารมณ์ให้น้อยหรืองดเสียบ้าง
หมายความว่าลดการออกไปเสพสิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจให้น้อยลง
ไม่ว่าแสง สี เสียง หรือสิ่งเสพ ก็ควรเพลาการบริโภคลงบ้าง
ทุกวันนี้ผู้คนใช้เวลาไปกับการเสพสิ่งบริโภคทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเยอะมาก
อยู่ว่างๆ ก็ทนไม่ได้ ต้องออกไปเที่ยวห้างฯ ไปดูหนัง เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้
หรือไม่ก็ไปร่วมวงซุบซิบนินทากับเพื่อน
วันๆ หนึ่งจึงเสพอารมณ์เยอะเหลือเกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะ คือไม่มีประโยชน์






นอกจากลดการออกไปเสพสิ่งเร้าแล้ว การออกไปรับรู้เรื่องราวที่รบกวนจิตใจ
ที่กระตุ้นให้เกิดความกังวล โทสะ และโลภะ ก็ควรจะลดลง
ควรใช้ตาดูหูฟังรับรู้สิ่งดี ๆ ที่ไม่กระตุ้นกิเลส พูดง่ายๆ คือรู้จักเลือกรับสิ่งที่ดี
แต่ไม่ใช่ปิดหูปิดตานะ ปิดหูปิดตาไม่ใช่วิธีการที่ดี เราต้องรู้จักใช้ตาดูหูฟังในสิ่งที่ดี
อะไรที่กระตุ้นโลภะ โทสะ โมหะ หรือสร้างสารพิษในจิตใจ เช่น ภาพยนตร์หรือละครน้ำเน่า สื่อลามก
หรือรายการทางวิทยุโทรทัศน์ที่กระตุ้นความโกรธเกลียด เราควรลดหรือเลิกเสพ
เหมือนกับที่เราสอนลูกว่าอย่าไปกินขนมขยะนะ เพราะมันมีสารพิษ หรือไม่ก็กินให้น้อย ไม่เช่นนั้นร่างกายจะเจ็บป่วย

บางช่วงบางขณะก็ควรจะงดเสพงดรับสิ่งเหล่านี้ไปเลย เช่น มาอยู่วัด หรือหลีกเร้นมาอยู่ป่า
เพื่อให้ใจว่างเว้นจากการเสพรับอารมณ์ต่างๆ บ้าง ใจจะได้พักผ่อนเต็มที่
ก็เหมือนกับที่เราควรอดอาหารบ้างอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้กระเพาะอาหารได้พักบ้าง
พอใจได้พักแล้ว การจัดการกับตะกอนอารมณ์หรือสารพิษในจิตใจก็ทำได้ง่ายขึ้น







นอกจากการเลือกรับเลือกเสพ หรือการงดรับอารมณ์แล้ว เรายังควรเรียนรู้วิธีดึงจิตกู้ใจออกจากอารมณ์ด้วย
นี่คือการขจัดสารพิษออกไปจากใจ ช่วงนี้แหละที่ต้องอาศัยสติ ต้องอาศัยปัญญาเข้ามาจัดการ
หลบมาอยู่ที่วิเวกไม่พอ ต้องฝึกสติให้มาทำหน้าที่ขจัดสารพิษออกไปจากจิตใจของเรา
นอกจากจะไม่รับเพิ่มแล้ว ยังต้องเอาขจัดสิ่งที่สะสมอยู่ในใจออกไปด้วย
อันนี้เป็นหน้าที่ของสติและปัญญาโดยตรง สติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
รู้แล้วก็ปล่อยวางได้ ไม่เก็บเอามาปรุงแต่งจนลุกลามใหญ่โต
อารมณ์เหล่านี้หากสติเข้าไปรู้ทัน เมื่อมันหายไป มันจะไม่ทิ้งตะกอนหรืออนุสัยเอาไว้
ไม่เหมือนกับการห้ามความคิดหรือกดข่มอารมณ์ นอกจากมันจะไม่หายง่าย ๆ แล้ว
มันยังทิ้งตะกอนอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุขึ้นใหม่ได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าสารพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษในร่างกาย สารพิษในจิตใจ ล้วนเป็นอันตรายทั้งนั้น
เราจึงต้องรู้จักหาวิธีขจัดสารพิษออกไปจากสิ่งแวดล้อม ร่างกายและจิตใจให้ได้
สำหรับสารพิษอย่างหลัง จะขจัดได้ก็ต้องเริ่มจากการหมั่นมองตนอยู่เสมอ





ขอบคุณที่มา : //www.visalo.org

ขอบคุณภาพจาก : //www.wallcoo.net ค่ะ





 

Create Date : 04 สิงหาคม 2552    
Last Update : 4 สิงหาคม 2552 14:56:30 น.
Counter : 4043 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.