|
ม่านทิวาพชร ผู้เขียน : บุลินทร ผู้พิมพ์ : สนพ.อรุณ ม.ค. ๕๗ ๓๕๕ หน้า ราคา ๒๗๕ บาท
คำโปรย
กำไลเพชรต้องคำสาปชักพาเธอไปพบชายแปลกหน้า ณ ดินแดนอันแสนไกล... ยิ่งใกล้ชิดเขาเท่าไหร่ ปริศนาในหัวใจยิ่งเพิ่มขึ้นทุกที
ความเป็นมาโดยย่อ...
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากซีรีส์มนตราอัญมณี ตอน "ม่านธาราเร้นดาว" ซึ่งในชุดก่อนมาเป็นลำดับสุดท้าย เพราะเป็นเรื่องราวของน้องสาวคนเล็กสุดในบรรดาพี่น้องสามสาว โดยที่อัญมณีในเรื่องนั้นเป็นอะความารีน...หรือพลอยทะเล จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ จำได้ว่า...ตอนที่อ่านเรื่องนั้นออกอาการ...เวิ่นเว้อ...วึ่นวือชอบก๊ล เพราะผู้เขียนเล่นพาออกทะเลตลอด ๆ นางเอกก็วุ่นวาย เรื่องมาก...บลา บลา บลา... มาถึงชุดนี้ ขอสารภาพเลยว่า ลังเลนิด ๆ ก่อนจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านต่อจากเล่มแรก (เพราะยังจำอารมณ์ตอนที่อ่านม่านธาราฯได้ดีอยู่ แหะ ๆ ) ร่ำ ๆ จะข้ามช็อตไปหยิบเล่มสามมาอ่านก่อนเสียแล้ว ... แต่จากหน้าคำนำสำนักพิมพ์ เขายืนยันว่าเราควรอ่านตามลำดับ เพื่อจะได้เข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นมาของตัวละครในภาพรวม ส่วนตัวเป็นนักอ่านที่...ว่าง่ายค่ะ ค่อนข้างจะเชื่อฟังบ.ก.อะ ก็เลย...เอาเหอะ หยิบมาอ่านแบบคาดหวังนิด ๆ ... (ในความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของผู้เขียน)
...................
เรื่องนี้เป็นเรื่องของชลันธร นักเขียนสาวไฟแรง น้องของชลธิศ(พระเอกจาก"ม่านธาราเร้นดาว")
เธอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศภูทิวา ซึ่งบอกเล่าถึงกำไลเพชรที่หายสาบสูญไปพร้อมกับธศิยา ลูกสาวผู้ว่าการเขตเขตหนึ่งในประเทศนั้น ซึ่งจุดประกายให้เธออยากรู้เรื่องให้มากขึ้น แต่ข้อมูลที่เธอค้นได้ก็มีเพียงน้อยนิด
แต่แล้ววันดีคืนดีเธอก็ได้พบร้าน"กาลเวลา"ร้านขายอัญมณีของ"มิตร" และได้ซื้อกำไลเพชรมาจากร้านนั้นด้วยราคาที่ถูกแสนถูก... ซึงกำไลวงนั้นกลายเป็นสื่อให้เธอได้เข้าไปรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกมิติหนึ่ง
เบื้องต้นเป็นการรับรู้ผ่านความฝัน...เธอฝันเป็นเรื่องเป็นราวถึงผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง - ธศิยา ในความฝันเธอรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนราวกับว่าเธอได้ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับประเทศภูทิว่า และชะตากรรมของหญิงสาวที่ชื่อธศิยาขึ้นในใจของชลันธร
และแล้ววันหนึ่ง เธอก็ถูกพลังอำนาจลึกลับบางอย่างดึงดูดให้หลุดเข้าไปในโลกต่างมิติ...ประเทศภูทิวา เธอได้พบกับจิณลี ชายหนุ่มผู้อบอุ่น อ่อนโยน ที่คอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ เพราะเธอทำกำไลเพชรที่เป็นประหนึ่งสื่อกลางระหว่างโลกทั้งสองของเธอสูญหายไป
ระหว่างหาทางกลับบ้าน ชลันธรได้ไปพักอยู่ที่บ้านชายหนุ่มชั่วคราว แล้วความใกล้ชิดก็ทำให้สายใยความรักเริ่มถักทอขึ้นทีละน้อย นอกจากนั้นหญิงสาวยังได้รับรู้เรื่องราวของธศิญาผ่านความฝันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ชลันธรก็ได้กำไลหงส์ทิวากลับคืนมาอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้เรียนรู้ว่าการที่เธอต้องหลุดเข้ามาสู่มิตินี้ เป็นเพราะเธอถูกกำหนดให้เป็นผู้มาปลดปล่อยธศิยาให้เป็นอิสระจากคำสาปนั่นเอง
แต่ภารกิจนี้มันไม่ได้ง่ายดายเลย เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายนานัปการ จากผู้ที่จองจำดวงวิญญาณของธศิยาด้วยมนตราลึกลับอันทรงพลัง... โดยมีจิณลีคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างตลอดเวลา
หลังอ่าน... รู้สึกว่าเหมือนจะคิดผิดสักเล็กน้อยทีเลือกอ่านเรื่องนี้ทันทีหลังจากอ่านเรื่องแรก(โมรารัตติกาล)จบลง เพราะอารมณ์มันพลิกกลับสลับขั้วจนตัวเองปรับตัวแทบไม่ทัน...
หากจะเปรียบกับการไปเที่ยวสวนสนุก... ขณะที่อ่าน"โมรารัตติกาล"เราจะรู้สึกเหมือนกับกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกาอยู่ยังไงยังงั้น ต้องร้องอู้ววว...ร้องโอ้ววว...ตลอดเวลา บางครั้งบางตอนถึงขั้นกรี๊ดกร๊าดด้วยความตื่นเต้นหวาดเสียว เมื่ออ่านจบลง(ลงจากรถไฟเหาะ) ในใจยังคงเต้นตึกตักๆ ระทึกคึกคักอยู่เป็นนานสองนาน
แต่พอมาเริ่มต้นอ่านเรื่องนี้...เรื่องราวมันอ่อนเอื่อย เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนขึ้นนั่งม้าหมุนที่ไร้ร้างผู้คน แล้วม้าหมุนก็หมุนช้ามากกกก... โยกเยก โยกเยก...น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ...อือม์ สบายจัง แต่...ง่วงนอนชมัด มันคนละเรื่อง คนละโทนจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นซีรีส์ชุดเดียวกัน
ในโมรารัตติกาล ผู้เขียนกำหนด"กาล"ไว้ว่าเป็น"รัตติกาล" ซึ่งเปรียบเป็นห้วงเวลาในอดีต... เรื่องนั้นผู้เขียนก็เลยพาเราย้อนอดีตไปถึงร้อยปีแน่ะ
พอมาถึงเรื่องนี้ ชื่อเรื่องก็บ่งบอกว่า...ม่านทิวา...กาละของเรื่องนี้จึงเป็นเวลากลางวันอันเปรียบเป็นปัจจุบัน ผู้เขียนเขาก็กิ๊บเก๋ค่ะ ถ้าจะพารานอร์มอลในยุคปัจจุบันก็เล่นเรื่องต่างมิติเสียเลย... โดยการสร้างเป็นเมืองสมมติในโลกคู่ขนานขึ้น แล้วก็ใช้เป็นฉากของเรื่องเกือบจะทั้งหมด ส่วนนี้ต้องขอชมแนวคิดค่ะ...
แต่...พล็อตออกจะซ้ำ ๆ ช้ำ ๆ ไปหน่อยไหมอ่า... แม้จะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นความซับซ้อนที่คุ้นเคย... บอกตามตรงว่าขณะที่อ่าน มีหลายมุกหลายมุมมันรีมายนด์ (ขอโทษค่ะ มันนึกคำไทยเหมาะ ๆมาแทนไม่ได้จริง ๆ)เราให้นึกถึงนิยายมั่ง หนัง - ซีรีส์มั่งเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา... ถึงได้บอกว่ามันคุ้นเคย แหะ ๆ (ยกต.ย.หน่อยแล้วกัน เช่น มุกดอกไม้กินคน... มุกกักขังวิญญาณ...มุกสมุนไพรลบความทรงจำ...ฯลฯ และสุดท้าย... ยังแถมมุกนิยายซ้อนนิยายเข้ามาอีก!)
บางจุดบางปมยังค่อนข้างจะหลวม ๆ ลอย ๆ เสียด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ คือ...ถึงจะได้ขื่อว่าเป็นนิยายแนวพารานอร์มอล แต่มันก็น่าจะอยู่บนพื้นฐานที่สมจริงและสมเหตุสมผลอยู่บ้างสิน่า
มีการดำเนินเรื่องโดยใช้พล็อตสองพล็อตคู่ขนานกัน แล้วก็พยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงให้มันลงตัว แต่กว่าที่มันจะลงตัวได้มันอ้อมค้อม วกวนเวียนนานไปหน่อย กว่าจะถึงบทเฉลยก็ปาเข้าไปกว่าครึ่งค่อนเรื่อง แต่พอเฉลยเสร็จ เรื่องราวก็รวดเร็วขึ้นอย่างปุบปับ ราวกับมีคนมาเขย่า ๆ ๆ ม้าหมุนแล้วก็เร่งเครื่องให้มันหมุนเร็วจี๋ จนเราออกอาการเวียนหัวแน่ะ
แต่ต้องยอมรับค่ะว่าจาก"ม่านธาราเร้นดาว" มาถึงเล่มนี้ "ม่านทิวาพชร" ผู้เขียนมีพัฒนาการขึ้นมากในเรื่องของสำนวนภาษากับการสร้างสรรค์ตัวละคร
ในเล่มก่อน เราเคยรำคาญบุคลิกง๊องแง๊ง ๆ ของนางเอก(มาริณ) แล้วก็สงสัยว่า ผู้หญิงแบบนี้ พระเอกรักเข้าไปลงได้ยังไง
มาถึงเล่มนี้ นางเอกอย่างชลันธรดูจะมีวุฒิภาวะขึ้นมาก ไม่งี่เง่าง๊องแง๊ง แต่ถึงกระนั้น ก็ยังห่างไกลกับคำว่าโดดเด่นหรือมีเสน่ห์ จน...ก็ยังสงสัยต่อไปว่าทำไมพระเอกรักเธอได้ง่ายดายจัง พอเกิดความสงสัยตรงนี้มันก็เลยไม่ค่อยอินกับความรักของคู่พระ-นางคู่นี้สักเท่าไหร่ (และยิ่งไม่อินไปกันใหญ่กับเลิฟซีนที่มาแบบทื่อ ๆ ลุ่น ๆ เหมือนใส่เข้ามาตามกระแส ตามขนบนิยายรักเท่านัน)
กลับไปอินและฟินกับคู่รองอย่างคุณธศิยากับองครักษ์หนุ่มในโลกต่างมิตินู่นมากกว่า ที่...ทำไปทำมา มันอดคิดไม่ได้ว่า หรือคู่นั้นต่างหากที่เป็นพระเอก-นางเอกตัวจริงของเรื่อง...หุหุ
บ่นมายืดยาว สรุปเลยละกันว่า ก็อ่านได้เพลิน ๆ สบาย ๆ อยู่ค่ะ โดยเฉพาะหากอ่านเดี่ยว ๆ เพียว ๆ ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นในชุดเดียวกัน นิยายเรื่องนี้ก็เป็นพารานอร์มอลที่น่าอ่านเล่มหนึ่งทีเดียว... ที่บ่น ๆ ไป ผู้เขียน(หากจะมีโอกาสผ่านมาอ่าน)ก็อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ การอ่านนิยายมันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวล้วน ๆ ค่ะ แบบลางเนื้อชอบลางยาไงคะ นักอ่านคนนี้อาจจะยังไม่ฟิน แต่คนอ่านคนอื่นอาจจะชื่นชอบก็ได้ค่ะ สู้ต่อไป ทาเคชิ!
|
พี่แม่ไก่ลองอ่าน ปลูกรักใต้เงารัก ของ บุลินทร ในชุดต้นรักเสน่หานะครับ
ผู้เขียนเอาอยู่กับแนวโรแมนติก คอเมดี้