|
ตอนที่ 2..โรงเรียนอะไรก็ไม่รู้
ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่บอกจริงๆ แต่ด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ทำให้ผมเผลอหลับไป นานแค่ไหนก็ไม่รู้ก็คนมันหลับนี่นา เสียงบอกทางให้เลี้ยวซ้ายบ้าง ตรงไปบ้างนี่เองที่ปลุกให้ผมตื่น พอลืมตาขึ้นก็พบคนที่นั่งด้านข้างนายดำคนขับรถก็คือคนๆเดียวกันที่ยืนโบกมือให้เขาก่อนออกจากบ้าน
“ดำ...นายรับใครขึ้นมาเนี่ย เผื่อเป็นคนร้ายจะว่าไง”
นายดำไม่ตอบยังคงขับรถไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกโมโหนี่ถ้าพ่อมาพบเหตุการณ์แบบนี้คงไล่นายดำออกเป็นแน่
“อย่าไปว่าเขาเลย ฉันเป็นคนขอเขาขึ้นมาเอง”
“ขึ้นตอนไหน..ขึ้นเมื่อไหร่...แล้วคุณเป็นใคร”
“โอ้..ถามเยอะจัง..ฉันคืออาจารย์ฝ่ายปกครอง ซึ่งต้องดูแลพวกเธอจนกว่าจะจบการศึกษา ไม่คิดทักทายอาจารย์หน่อยเหรอ เหอๆๆๆ”
เสียงหัวเราะน่าเกลียดแต่ไม่น่ากลัวทำอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว แต่อยู่ห่างๆหมอนี่ไว้หน่อยก็ดี ผมรีบขยับตัวมาชิดประตูอีกข้างด้านคนขับ เพียงเท่านี้น่าจะปลอดภัย ต่อให้คนบ๊องรายนี้คิดร้ายต่อเขาก็ยังเปิดประตูหลบหนีทัน
อาจารย์ฝ่ายปกครองนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นผมไม่อยากจะคุยด้วย ผมเลยมองทิวทัศน์ด้านนอกตัวรถพยายามนึกว่าบริเวณนี้มันอยู่ตรงจุดในของกรุงเทพ สภาพการจราจรแม้ไม่ติดขัดแต่ก็ค่อนข้างหนาแน่น สายตาของผมมองเลยไปไกลผ่านกระจกหน้าเห็นสะพานโค้งทอดยาวข้ามแม่น้ำสายหนึ่งรับประกันได้ว่าไม่ใช่แม่น้ำเจ้าพระยาแน่ แต่ถ้านี่เป็นกรุงเทพจริง ไอ้สะพานโค้งกับแม่น้ำสายนี้มีมาตั้งแต่สมัยไหนกัน
ผมรู้สึกเวียนหัวเลยบอกให้นายดำปิดเครื่องปรับอากาศ ทันทีที่เสียงกระจกไฟฟ้าเลื่อนตัวลง เสียงกุบกับ กุบกับก็เคลื่อนผ่านด้านข้างเขาไป เงาบางอย่างเคลื่อนไหวแซงรถไปมองเห็นเพียงหางม้าและเครื่องแต่งตัวประหลาดๆของคนขี่
ผมขยับไปอีกด้านของตัวรถมองขึ้นไปบนฟ้าเห็นผู้หญิงตัวเล็กๆนั่งบนหลังมังกรตัวมหึมาเจ้ามังกรไฟก็แสนจะขี้เล่นอ้าปากพ่นไฟมาทางผมจนต้องรีบถอยหลบมาที่เดิม
“เหอะๆ คงไม่มีใครขี่เกวียนนะ”
ผมพูดออกไปเบาๆ แต่อาจารย์ฝ่ายปกครองดันได้ยินเสียนี่
“เกวียนน่ะเชยไปแล้ว เดี๋ยวนี้พวกนักเรียนทันสมัยขึ้นเยอะ อย่างเจ้าน่ะนับว่าล้าหลังที่สุด”
ผมไม่เกรงกลัวอีกต่อไปแล้ว เอื้อมมือไปจับแขนอาจารย์ฝ่ายปกครองแล้วระเบิดอารมณ์ที่คุกรุ่นออกมา
“ล้าหลัง ผมนั่งรถยุโรปราคาแพงแสนแพงยังบอกว่าล้าหลัง แล้วไอ้ม้าตัวที่เพิ่งแซงผมไปมันราคาแพงกว่ารถคันนี้นักเหรอ”
“ก็ใช่.. ม้าตัวนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึงห้าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเวลาเพียงสิบวินาทีไม่ต้องพูดถึงเทอร์โบชาร์จเจอร์สำหรับฟูลออฟชั่น ราคาซื้อขายของมันแพงกว่ารถกะหลั่วๆของเจ้าเป็นสิบเท่า”
“แล้วมังกรไฟตัวที่บินไปนั่นล่ะ ใช่เอรากอนหรือเปล่า”
ผมหัวเราะเยาะขึ้นจมูกดันไปนึกถึงภาพยนตร์เรื่องเอรากอนที่เพิ่งดูอาทิตย์ที่แล้วได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่หน้าตามันก็เหมือนเจ้าเอรากอนจริงๆ
“เอรากอนเป็นแค่รุ่นต้นแบบ มีโรงงานผลิตแห่งหนึ่งใช้โครงร่างของมันนำมาพัฒนาต่อแล้วสร้างขึ้นมาใหม่จนมาถึงซีรี่ย์เจ็ดแต่เกิดปัญหาตรงระบบลงจอดก็เลยล้มเลิกโครงการนี้ไป ไอ้ตัวที่เจ้าเห็นเป็นแค่ของเด็กเล่นสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า เอิ้ก คุณจะบอกผมว่านี่เป็นเรื่องจริง..โอ้ย..แล้วมาตบผมทำไม”
“แล้วเจ็บไหมล่ะ ถ้าไม่เชื่อก็เงียบไปซะ”
เอาเถอะไม่ว่ากัน ผมรีบหุบปากขยับมาทางด้านหลังคนขับเหมือนเดิม ภาวนาให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็วก็พอ รถเก๋งยุโรปที่อาจารย์ฝ่ายปกครองบอกว่าล้าหลังขับเคลื่อนถึงสะพานโค้งมาได้ครู่หนึ่งก็พบหมอกควันหนาปกคลุมไปทั่ว อาจารย์ฝ่ายปกครองหันมาบอกให้ปิดกระจกลงเสีย
ผมทำตามอย่างว่าง่าย พอกระจกปิดสนิทลงรถที่ว่าใหญ่ก็สั่นสะเทือนไปทั้งคัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองล้มเอนไปด้านหลังอย่างแรง แรงเสียจนต้องเกาะเบาะที่นั่งของคนขับเอาไว้
รถยนต์ที่ผมนั่งเหมือนเหาะเหินมากลางอากาศ สังเกตจากกลุ่มเมฆที่ลอยผ่านไป เมื่อผมมองไปด้านล่าง ให้ตายเถอะ ผมมองเห็นยอดของภูเขาเล็กนิดเดียว ผมขยับให้ออกห่างกระจกรถมาอีกสองสามคืบ ไม่ใช่ว่ากลัวจะตกลงไปข้างล่างหรอก แต่ดันมีนกสองสามตัวพยายามจะบินเข้ามาในรถ พอกระแทกกระจกปีกของมันก็ตีพั่บๆเหมือนงานคอนเสริ์ตฮิตๆที่วัยรุ่นแถวหน้าถูกคนดูด้านหลังเบียดจนติดราวเหล็กกั้นยังไงยังงั้น
อาจารย์ฝ่ายปกครองหยิบตลับนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วหันไปพูดกับนายดำคนขับรถ
“เราช้าเกินไปแล้ว..”
นายดำพยักหน้าเอื้อมมือไปกดปุ่มที่จุดบุหรี่ ผมร้องห้ามเพราะไม่ชอบให้ใครมาสูบบุหรี่ในรถ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเสียงท่อไอเสียระเบิดดังติดๆกันร่างผมก็เอนถอยหลังจนติดเบาะอีกครั้ง คราวนี้พาหนะของผมก็พุ่งแหวกอากาศราวกับติดไอพ่นทีเดียว
“คุณทำอะไรกับรถพ่อผม”
อาจารย์ฝ่ายปกครองยักไหล่
“แค่โมดิฟายด์นิดหน่อย..ไม่เป็นไรไม่ต้องเกรงใจ”
“กุ..เอ้ย..ผมขอบอกว่าให้หยุดรถเอาผมลงเดี๋ยวนี้”
“โอ้ว..ก้าวร้าวเสียจริง..แน่ใจนะว่าเธอต้องการแบบนั้น”
ผมพยักหน้าแบบไม่รีรอรถยุโรปของผมก็เบรคกะทันหัน หลังคารถถูกเปิดออกเป็นช่องแล้วร่างของผมก็ถูกดีดออกผ่านช่องซันรูฟนั่น คนที่อ้างว่าเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองนับนิ้วคำนวณเวลาอีกครั้ง
“ถึงจะเป็นวิธีที่โหดร้ายไปหน่อย แต่ก็น่าจะทันเวลาพอดี เสร็จธุระของนายแล้วเอารถกลับไปคืนเจ้าของเดิมเสีย”
นายดำพยักหน้า อาจารย์ฝ่ายปกครองจึงล้วงหยิบอุปกรณ์สี่เหลี่ยมจากกระเป๋าเสื้อที่ดูไปคล้ายรีโมทคอนโทรล
“เมนูเวทมนตร์..อยู่ไหนหว่า..อ้อ นี่เอง..เทเลพอร์ท”
หลังจากกดปุ่มร่างของเขาก็หายวับไปกับตา นายดำคนขับรีบวกรถกลับ ขับย้อนไปทางเดิมด้วยความเร็วยิ่งกว่าขามาจนรถทั้งคันก็เหมือนจะหายวับไปเช่นกัน
..........
ผมไม่แน่ใจว่ามนุษย์รู้จักการบินตั้งแต่เมื่อใด หากนับตั้งแต่สมัยสองพี่น้องตระกูลไรท์ก็คงหลายสิบปีหรืออาจะเป็นร้อยปีก็เป็นได้ ผมเองไม่ค่อยแม่นเรื่องคำนวณจนถึงไม่ชอบเอาเสียเลย หากเป็นเมื่อก่อนมนุษย์คงไม่เคยทดสอบการบินด้วยวิธีของผมเป็นแน่
“ว๊าก”
ร่างของผมถูกแรงอะไรก็ไม่รู้กระแทกออกจากรถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วดุจลูกกระสุนปืน หรือมากกว่า หรืออาจจะเท่ากับเสียงอะไรประมาณนั้น จนกระทั่งความเร็วเริ่มลดต่ำลงพอที่จะลืมตามองสังเกตอะไรได้บ้าง
ตายล่ะวา ร่างของผมลดต่ำพอๆกับยอดสน พุ่งทะลวงผ่านกิ่งนั้นทีกิ่งโน้นทีโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ผมทำได้เพียงแค่หลับตาแล้วคอยเอามือกันเผื่อมีกิ่งไหนดีดเข้ามากระแทกใบหน้า
ผมได้ยินเสียงผู้คนมากมายชัดเจนขึ้น คนพวกนี้พูดภาษาแปลกๆที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง เอาเถอะไว้หาเพื่อนสักคนที่พอคุยกันรู้เรื่อง แถวนี้น่าจะมีใครคุยภาษาเดียวกับผมบ้างสักคนก็ยังดี
...............
สนามหญ้าหน้าอาคารโบราณกลางเก่ากลางใหม่ยืนชุมนุมแถวตอนเรียงสี่ด้วยเด็กหนุ่มสาวอายุประมาณสิบห้าถึงสิบเจ็ดปี ด้านหน้าพวกเขาจัดตั้งเวทียกสูง ด้านหลังของเวทีขึงผ้าแพรสีแดงเขียนตัวหนังสือสีขาวเป็นข้อความว่า
‘ขอต้อนรับนักเรียนใหม่’
ด้านล่างของตัวหนังสือจัดวางเก้าอี้น่าจะเป็นของอาจารย์ประจำสาขาวิชาต่างๆล้วนแล้วแต่มีวัยวุฒิสูงๆ (แก่) ทั้งนั้น
เท่าที่ดูจะอายุน้อยที่สุดก็เห็นจะเป็นสาวสวยที่ยืนอยู่ในโพเดียมที่เริ่มต้นกล่าวคำทักทายบรรดาเด็กๆที่มายืนชุมนุมในขณะนี้
“สวัสดีค่ะ..นักเรียนที่น่ารักทั้งหลาย”
อาจารย์สาวสวยหยุดเว้นจังหวะนิดนึงรอให้เสียงตบมือซาลงค่อยเอื้อนเอ่ยต่อ
“พวกเธอมาพร้อมกันที่นี่ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน บางคนสมัครเข้ามาเอง บางคนถูกเลือก และบางคนถูกบังคับ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า”
“มีด้วยหรือครับอาจารย์ คนที่ถูกบังคับ”
“ปกติแล้วพวกเธอต้องยกมือแล้วรอให้อาจารย์เรียกถึงจะพูดได้ แต่เอาเถอะวันนี้เป็นวันแรกอาจารย์จะยังไม่เข้มงวด..”
เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้น
“ใช่ค่ะ ใครก็อยากมาเรียนที่นี่ ถ้าจะมีคนถูกบังคับ คนๆนั้นต้องสติไม่ดีเป็นแน่”
อาจารย์สาวสวยฉีกยิ้มมองไปทางเด็กสาวคนเมื่อครู่ที่พูดออกมา
“ทุกปีต้องมีคนถูกบังคับให้มาเรียนอย่างน้อยปีละหนึ่งคน ปีนี้ก็เหมือนกัน แต่เอ๊ะ..ยังไม่เห็นคนที่ว่านั้นเลย หรืออาจจะกลัวจนไม่กล้ามาที่นี่แล้ว”
อาจารย์สาวสวยพูดจนเรียกเสียงหัวเราะลั่น
“นั่นสิคะอาจารย์ อย่ารอเลยค่ะหนูเมื่อยแล้ว”
เด็กสาวท่าทางแก่นแก้วจีบปากจีบคอบ่นอุบถึงความไม่รักษาเวลาของนักเรียนเพียงคนเดียว ทำให้เด็กคนอื่นเสียเวลารอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาวโรจน์ปากบางเชิดขึ้นสัญลักษณ์ของความเอาแต่ใจเปิดเผยอย่างชัดเจน
“ถ้าเจอนะ จะชกให้หน้าหงายเลย”
เสียงเอะอะโวยวายรอบๆตัวเธอดังขึ้น เด็กสาวที่ยังไม่รู้ต้นเหตุของความวุ่นวายนี้เหลียวมองไปรอบๆเห็นนักเรียนคนอื่นๆด้านหลังเธอแตกฮือออกเป็นช่อง แล้วเสียงวัตถุหนักๆก็พุ่งกระแทกเธออย่างจัง
..พลั่ก..
“โอ้ย..เฮ้ย..”
เด็กสาวถูกกระแทกกลิ้งไปตามพื้นดินที่อ่อนนุ่มจนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เสื้อผ้ายาวย้วยคล้ายของเทพธิดาในตำนานเปรอะเปื้อนคราบโคลนเป็นด่างดวง ด้วยสัญชาตญาณมือน้อยๆทั้งสองข้างก็ยันวัตถุประหลาดออกจากเรือนร่างของเธอเป็นอันดับแรก
“แกเป็นใคร”
วัตถุประหลาดไม่ตอบลุกขึ้นเดินอย่างสับสนท่ามกลางเด็กนักเรียนที่รายล้อมเหมือนมุงดูตัวประหลาดตามงานวัด
“ชั้นว่ามันเป็นพวกมนุษย์พฤกษาแหงๆเลยดูตามตัวสิมีกิ่งไม้ติดเต็มไปหมด”
“หรือไม่ก็เป็นพวกสัตว์เวทที่ใครบางคนเสกขึ้นมา”
“ไหนลองเอาอะไรจิ้มมันดูสิ”
เด็กชายที่อยู่ด้านหลังหยิบกิ่งไม้ปลายแหลมจิ้มไปที่ก้นของมนุษย์พฤกษาหนึ่งทีตามคำเรียกร้อง
“โอ้ย ...เจ็บนะ ชั้นเป็นคนไม่ใช่มนุษย์พฤกษา”
“แล้วทำไมเพิ่งมาตอบ”
“ก็เมื่อตะกี้มันหล่นลงมาจากฟ้ากระแทกกับอะไรก็ไม่รู้ เลยจุกจนพูดไม่ออก”
เด็กสาวที่ถูกกระแทกล้มกลิ้งไปเมื่อครู่เดินตรงเข้าหา แทนที่จะอาละวาดกลับช่วยดึงเศษกิ่งสน ใบสนที่ติดตามตัวเขาออกจนดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง
“นายชื่ออะไร”
“หลี่เซียวหยาง”
“ชื่อแปลกดี ชั้นชื่อเอมี่นักเรียนชั้นปีหนึ่ง”
ผมดีใจจนแทบน้ำตาไหลที่เจอเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันแถมยังพูดภาษาเดียวกันอีกด้วย
“ผมก็เด็กใหม่ มาเรียนวันแรกยินดีที่ได้รู้จัก เรามาเป็นเพื่อนกันนะ”
เอมี่แค่นเสียงขึ้นจมูกตอบตกลงอย่างเหลือเชื่อ แล้วเงื้อกำปั้นน้อยๆประเคนใส่ใบหน้าของหลี่เซียวหยางเต็มแรงจนหงายหลังล้มตึง
“ก็ได้..ชั้นยอมคบนายเป็นเพื่อน”
เด็กสาวเดินกลับไปเข้าแถวของเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์สาวสวยก็สั่งให้เด็กที่อยู่ใกล้ๆช่วยประคองผมขึ้นมา แต่คนอย่างผมมีเหรอจะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นโดยเฉพาะยายเอมี่ตัวแสบที่แอบแลบลิ้นใส่ยามที่ผมเผลอมองไปทางเธอ
“เอาล่ะๆ พวกเธอทักทายกันพอหอมปากหอมคอไปแล้ว ตอนนี้มาว่ากันถึงเรื่องสำคัญ อันดับแรกอาจารย์ขอกล่าวคำทักทายพวกเธอทุกคนอีกครั้ง ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียน ‘อะไรก็ไม่รู้’ พวกเธอจะได้ศึกษาเล่าเรียนในสถานที่ที่หลายคนใฝ่ฝันจะได้เข้ามาเรียนสักครั้งหนึ่งในชีวิต บางคนสอบผ่านการคัดเลือก บางคนถูกคณาจารย์คัดเลือก และบางคนถูกบังคับให้เลือก ไม่ว่าใครจะมาด้วยสาเหตุใดก็ตามพวกเธอจะต้องศึกษาอยู่ที่นี่ตลอดระยะเวลาทั้งสิ้นสี่ปี โดยไม่สามารถออกจากบริเวณโรงเรียนได้แม้แต่ก้าวเดียว”
“เฮ้ย..แล้วจะกลับบ้านยังไงวะ” ผมรำพึงอยู่ภายในใจ
“พวกเธอมาถึงที่นี่คงต้องลืมเรื่องกลับบ้านไปแล้ว อาจารย์ภาวนาให้เป็นแบบนั้น แต่ถึงจะลืมไม่ได้เรายังพอมีช่องทางให้พวกเธอติดต่อกับคนทางบ้าน”
“สงสัยใช้เอ็มเอสเอ็น หรือไม่ก็แคมฟร็อกแหงเลย”
“การติดต่อสื่อสารแบบนั้นล้าสมัยไปแล้ว แต่ขอความกรุณาเวลาที่อาจารย์พูดอย่าเพิ่งสอดแทรก มันเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายกาจที่สุด”
เด็กนักเรียนพากันหุบปากสนิทแม้แต่เสียงลมหายใจก็ค่อยๆระบายออกมา อาจารย์สาวยิ้มอย่างพอใจเริ่มต้นอธิบายต่อ
“พวกเธอจะได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ทุกแขนงทัดเทียมกับโรงเรียนที่มีชื่อทั่วทั้งจักรวาล แต่สิ่งที่พวกเธอจะได้รับมากกว่านั้นก็คือการได้เรียนวิชาเวทมนตร์ต่างๆเท่าที่เคยมีจอมเวทบัญญัติไว้”
ผมคันปากอยากถามเลยยกมือขออนุญาตอาจารย์คนสวย
“อาจารย์ครับผมฟังมาตั้งแต่ต้นรู้สึกว่ามันคล้ายกับโรงเรียนในเรื่อง แฮรี่ แครกเกอร์ นะครับอาจารย์ไม่กลัวเขาฟ้องร้องว่าลอกเลียนแบบหรือ”
“ไม่หรอกจ้ะ..เราแค่นำแรงบันดาลใจมาต่อยอดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพราะ แฮรี่ แครกเกอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยายอ่านนอกตำราของระดับประถมต้นไปแล้ว เอาเถอะเธอยังมีเวลาอีกมาก อาจารย์รับรองได้เลยว่าเธอจะได้รับประสบการณ์มากกว่าอ่าน แฮรี่ แครกเกอร์ เสียอีก”
ผมค่อยๆลดมือลงนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่านมีทั้งมังกรไฟ ภูติผีปีศาจ เอลฟ์ หรือสัตว์ในตำนานต่างๆก็ชวนขนหัวลุกแล้ว
“กลับมาเรื่องของเราต่อ พวกเธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าพักในหอที่ทางโรงเรียนจัดหาไว้ให้โดยหอทางฝั่งทิศตะวันออกเป็นของเด็กนักเรียนหญิง และ หอทางฝั่งทิศตะวันตกเป็นของนักเรียนชาย ข้อสำคัญห้ามลืมอย่างเด็ดขาดพวกเธอต้องกลับเข้าหอให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าเข้าใจแล้วทุกคนช่วยแบมือออกมา”
เด็กนักเรียนพากันแบมือออกอย่างว่าง่ายรวมทั้งตัวผมด้วย อาจารย์คนสวยยื่นคทาที่ปลายเป็นรูปดาวแล้วหมุนเป็นวงกลมสามรอบ
“รับไป”
ในมือของผมและทุกคนปรากฏวัตถุสี่เหลี่ยมรูปร่างคล้ายรีโมทคอนโทรลแต่ใหญ่กว่า ด้านบนมีช่องเสียบคล้ายพอร์ทของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผมพลิกดูด้านหลังก็แทบหัวเราะ เพราะมันมีช่องเปิดปิดสำหรับใส่แบตเตอรี่ขนาดสิบสองโวลท์สองก้อน
“เมื่อสองศตวรรษที่แล้วมันถูกเรียกว่ารีโมทคอนโทรลใช้ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆชนิด แต่บริษัทเมจิเคิล อีควิปเมนท์ได้พัฒนาเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ คุณสมบัติพิเศษของมันมีมากมายขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญาของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ”
“ขออนุญาตครับ ผมมีเรื่องจะถาม”
“เธอนี่ปัญหาเยอะจัง ว่ามามีอะไร”
“อาจารย์บอกว่าขึ้นกับความสามารถและระดับสติปัญญาของผู้ใช้ ช่วยอธิบายให้ละเอียดทีครับ”
“เอาอย่างสั้นๆนะ เจ้าสิ่งนี้สามารถพัฒนาขีดความสามารถตามระดับสติปัญญาและอุปนิสัยใจคอของผู้ใช้ ทีนี้หมดปัญหาหรือยัง”
“เหลืออีกข้อครับ”
ผมยิ้มกอดอกวางมาดเท่าที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดเมื่ออาจารย์คนสวยอนุญาตให้ถามได้
“อาจารย์มีแฟนหรือยัง”
หลังผมถามจบก็มีเสียงหัวเราะอย่างขบขัน อาจารย์คนสวยยิ้มราวจะกระชากใจผม แต่เด็กคนอื่นไม่คิดแบบนั้นรีบหุบปากลงราวกับนัดกันไว้
“ยังไม่มีจ้ะ..แต่อาจารย์คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรถามอีกเป็นครั้งที่สองหวังว่าเธอและทุกคนคงเข้าใจนะ เอาล่ะแยกย้ายกันกลับห้องพักได้แล้ว อย่าลืมพวกเรามีนัดกันอีกครั้งตอนสี่โมงเย็น ขอให้ทุกคนตรงต่อเวลา”
ผมเดินตามกลุ่มเด็กนักเรียนชายไปอย่างเซ็งๆเหมือนชีวิตไม่มีอะไรสนุกๆจะทำอีกแล้ว หรือแม้ตอนแยกกับกลุ่มนักเรียนหญิงที่ทางแยกผมแอบเอาหินก้อนเล็กๆขว้างใส่ศีรษะเอมี่แล้วก็ตามแต่เธอแค่ถลึงตาใส่แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกันเนี่ย หรือต่อจากนี้ไปผมคงต้องเอาแต่เรียน เรียน แล้วก็เรียนจนหัวผุพังไปข้างนึง
เมื่อถึงหอพักผมได้พบกับอาจารย์ผู้ดูแลรูปร่างอ้วนตัดผมเสียสั้นเกรียนดวงตาริบหรี่คล้ายรอวันปิดอย่างถาวร อาจารย์แนะนำตัวเองเมื่อพวกเรายืนหน้ากระดานเรียงสองเสร็จเรียบร้อย
“อาจารย์ชื่อราเดเบ้เป็นผู้ดูแลหอหลังนี้ พวกเธอคงผ่านการปฐมนิเทศน์เบื้องต้นมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นแยกย้ายกันเข้าห้องพักได้ ห้องของพวกเธออยู่ชั้นสี่ อย่าลืมนะชั้นสี่”
อาจารย์ราเดเบ้ปล่อยให้จับคู่เลือกรูมเมทกันเองเสียงเอะอะราวนรกแตกเริ่มขึ้นอีกครั้ง ใครที่จับคู่ได้แล้วก็รีบไปจับจองห้องที่ตนคิดว่าดีที่สุด จนอาจารย์ผู้ดูแลหอคิดว่าเรื่องราววุ่นวายคงสงบลงแล้วเลยตั้งใจกลับไปนอนพักที่ห้องของตน
แต่ชายเสื้อที่สั้นเต่อก็ถูกมือน้อยๆของผมรั้งเอาไว้
“มีอะไรเหรอพ่อหนุ่ม อ้าว..ยังไม่มีรูมเมทเหรอ ว้า แย่จริง”
ข้อความสุดท้ายที่อาจารย์หลุดออกมาเพราะเหลียวมองไปรอบๆก็ไม่เจอนักเรียนคนอื่นๆแล้ว
“ทำไงดี..พ่อหนุ่มเธออายุเท่าไหร่แล้ว”
“ใกล้จะสิบห้าแล้วครับ”
“ดีมาก เธอนอนคนเดียวได้หรือเปล่า ชั้นหมายถึงถ้าวันนี้เธอต้องนอนคนเดียว”
ผมพยักหน้าไม่ขัดข้อง ขอเพียงให้มีที่ซุกหัวนอนเป็นพอ
“งั้นตามชั้นมา”
อาจารย์ราเดเบ้เดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสี่เดินเคาะประตูทีละห้องก็ล้วนแต่มีคนจับจองไว้แล้ว อาจารย์ก้มหน้าลงมาหาผมแล้วถามขึ้นว่า
“แปลกจริงทางโรงเรียนก็เตรียมห้องไว้เพียงพอกับนักเรียนทุกคน เอาเป็นว่าคืนนี้เธอพักกับชั้นไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ชั้นจะหาห้องพักให้”
อาจารย์ราเดเบ้สรุปเอาดื้อๆแต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะห้องที่อยู่ปลายสุดของทางเดินพวกเรายังไม่ได้ไปเคาะเรียก
“ห้องนั้นไม่เหมาะสำหรับเด็กอย่างเธอ”
“ไม่เหมาะยังไงครับ”
“ชั้นก็ไม่รู้ตั้งแต่ชั้นมาสอนที่นี่ไม่เคยมีใครเข้าไปพัก ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือแอบเข้าไปโดยพลการ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งน่าเข้าไป อาจารย์ครับผมจะพักห้องนี้แหละ”
“เอ๊ะ..บอกว่าไม่ได้”
เสียงอาจารย์ราเดเบ้ดังขึ้นแต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกเพราะกำลังเจอเรื่องสนุกแบบนนี้หากปล่อยให้ผ่านไปเท่ากับทำลายชีวิตวัยเด็กของผมจนหมดสิ้น ผมยืนกรานอีกครั้งว่าจะพักห้องนี้ ประตูห้องที่พวกเรายืนเถียงกันอยู่พลันถูกเปิดออก เด็กชายร่างเล็กสูงแค่หัวไหล่ผม สวมเสื้อสีเทาตัวโคร่งก้าวออกมาพร้อมกับใบหน้าที่หงุดหงิดเหมือนไม่ได้เข้าห้องน้ำมาสักอาทิตย์
“นายมาพักกับชั้น รีบเข้ามา”
ไอ้หมอนี่ตอนแรกบอกว่าห้องพักเต็มแล้วนี่นา ผมมองอาจารย์งงงงพยายามจะอ้าปากโต้แย้งแต่ไอ้หมอนั่นรีบดันหลังผมเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา
“นั่งสิ”
ชายร่างเล็กพยายามจะเอาเป้สะพายของผมไปวางเตียงชั้นบนแต่ผมแย่งกลับ เขาเลยทรุดนั่งลงใกล้ๆเอาแต่จ้องมองผมแบบไม่ละสายตา
“ขอบใจนายมากที่ให้ชั้นอยู่ด้วย ตกลงนายชื่ออะไร”
เขานิ่งเงียบเหมือนไม่อยากคุยด้วย ผมไม่ซีเรียสกับเรื่องแค่นี้หรอกเพราะไม่คิดจะเอาชื่อของมันไปสลักบนแผ่นหินตรงทางเดินที่ฮอลลีวู้ดซะหน่อย
“ไม่บอกก็อย่าบอก..ถ้าถึงเวลานัดช่วยปลุกด้วยล่ะ ชั้นจะนอนแล้ว”
ผมโยนข้าวของเจ้าหมอนี่ลงพื้นแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้โดดขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นล่างแทนแถมหันก้นให้มันพร้อมกับส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว
ชายร่างเล็กเดินมาหยิบข้าวของตนเองอย่างหวาดๆ มองเพื่อนร่วมห้องที่แย่งเตียงไปแหมบๆแล้วถอนหายใจ จู่ๆก็มีมือแข็งแรงพุ่งมาคว้าข้อมือของตนจนเกือบมีเสียงร้องเล็ดรอดออกมา
“ขอบใจอีกครั้งนะ ไม่ได้นายชั้นแย่แน่”
ผมรู้สึกข้อมือของเจ้าหมอนี่นุ่มนิ่มกว่าของแม่ผม หรือ เอมี่ หากเขาเป็นผู้หญิงก็คงไร้รสชาติสิ้นดีเพราะผมไม่ชอบผู้หญิงที่อ่อนปวกเปียกเหมือนขี้ผึ้งโดนไฟลน ผมหวนนึกถึงห้องริมสุดที่ไม่มีคนเข้าพักมาหลายปีว่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ หากพูดถึงความเชื่อของเรื่องลี้ลับหรือสิ่งที่จะนำพาโชคไม่ดีมาให้ บางสถานที่ถึงกับสร้างอาคารไม่ให้มีชั้นที่สิบสาม แต่ไม่รู้ว่าห้องริมสุดเป็นห้องหมายเลขเท่าไร
“สี่..”
“ห้องหมายเลขสี่เหรอ”
“เปล่า..สี่โมงแล้ว”
“เฮ้ย แล้วทำไมเพิ่งปลุก”
ผมดีดตัวลุกจากที่นอนไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมรีบถอดเสื้อผ้าจนเหลือปราการด่านสุดท้ายกระโจนพรวดเดียวก็ถึงหน้าประตูห้องน้ำ
“เราไปรอข้างล่างนะ”
ผมตะโกนตอบโดยไม่ทันสังเกตกริยาอาการของเพื่อนร่วมห้องที่ก้มหน้างุดๆเหมือนหาเศษสตางค์ที่หล่นตามพื้น
ภายในห้องอาบน้ำเห็นอ่างรูปเรียวโค้งมีขาตั้งสี่มุมยังกะอ่างโบราณ ผนังด้านหนึ่งมีท่อน้ำติดฝักบัวทองเหลืองกลางเก่ากลางใหม่ น่าเสียดายหากไม่รีบร้อนจะลงไปนอนแช่น้ำอาบสักชั่วโมง ผมมองหาที่เปิดน้ำก็ไม่เจอเห็นเพียงแผงควบคุมเล็กๆติดกับผนังเลยลองกดมั่วๆน้ำก็ไหลออกจากฝักบัวเฉยเลย ผมชำระล้างร่างกายที่เปรอะเปื้อน ความเย็นของสายน้ำทำให้รู้สึกสดชื่นจนนึกอยากสระผม แต่ดันลืมเอาแชมพูมาด้วย ดีที่เพื่อนร่วมห้องเตรียมมาอย่างพรั่งพร้อมทั้งแชมพู สบู่ แล้วขวดอะไรอีกสองสามอย่างที่ผมคร้านจะหยิบขึ้นมาดู หรือจะมีผมเพียงคนเดียวก็ไม่รู้ที่ไม่ได้เตรียมข้าวของสำคัญติดตัวมาเลย
ผมเทแชมพูใส่มือกลิ่นหอมจางๆโชยออกมาเหมือนทำมาจากเกสรบุปผานานาชนิด
“ฮัดเช้ย..ทำไมมันฉุนนักวะ”
สองมือละเลงแชมพูบนศีรษะ พอคะเนว่าสะอาดดีแล้วก็เปิดฝักบัวชำระล้างฟองแชมพูออก แต่น้ำที่เคยไหลแรงกลับหยุดเอาดื้อๆ ฟองของแชมพูไหลเข้าตาจนแสบไปหมด ผมเดินสะเปะสะปะเปิดประตูห้องน้ำร้องเรียกคนที่อาจจะอยู่ข้างนอกช่วยเอาน้ำมาล้างฟองแชมพูออกให้ที
ร้องเรียกไม่นานก็มีเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา ผมรีบผลุบเข้าไปในห้องน้ำร้องบอกขอบอกขอบใจยกใหญ่
“ช่วยทีนะเอาน้ำล้างแชมพูออกให้หน่อย”
ผมก้มศีรษะลงต่ำพร้อมกับน้ำที่เทลงมาไม่ต่ำกว่าสี่ห้าสาย มือทั้งสองข้างรีบทำหน้าที่ชะล้างคราบแชมพูออกจนสะอาดเกลี้ยง
“ขอบใจนะที่ช่วยยกน้ำมาให้”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ แล้วน้ำจากฝักบัวก็ไหลซู่ดังเดิม ผมสบถให้กับความผิดปกติของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทันควัน
ปัง....เสียงปิดประตูห้องผมชะโงกหน้าออกไปดูก็พบเพียงคราบน้ำเป็นจุดๆยาวไปถึงประตู คนผู้นี้คงเดินลงไปตักน้ำในสระที่ไหนสักแห่งมาช่วยเหลือผม ร่างกายจึงเปียกปอนมีหยดน้ำหล่นเต็มทั้งห้องแบบนี้
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 12:15:16 น. |
Counter : 190 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตอนที่ 1. เรื่องเกิดขึ้นแล้ว..ทำยังไงดี
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ...........
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เด็กหนุ่มวัยไม่เกินสิบสี่สิบห้าปีค่อยๆลื่นไถลออกจากผ้าห่ม ผมเผ้ากระเซิงจนคล้ายรังนก เมื่อคืนเขาค่อนข้างหงุดหงิดกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบตีสามทั้งๆที่ต้องไปปฐมนิเทศน์ในตอนเช้า เขาใช้มือข้างหนึ่งเสยผมอย่างลวกๆแล้วส่งเสียงจามออกมาดังฟืดใหญ่เพราะเครื่องปรับอากาศที่ปรับไว้เพียงสิบเก้าองศาเซลเซียส
เด็กหนุ่มใช้นิ้วก้อยแคะจมูกไปมาแล้วเอื้อมมือข้างนั้นกดปุ่มปิดสัญญาณนาฬิกาปลุกนั้นเสียแล้วซุกตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มอันแสนจะอบอุ่นนั้นอีกครั้งในลักษณะคลุมโปง
กำลังจะเคลิบเคลิ้มได้ที่ เสียงกุกกักเหมือนตัวอะไรบางอย่างเดินขึ้นมาบนที่นอน แต่ที่แน่ๆไอ้ตัวที่ว่านี้มีหางค่อนข้างยาวทำให้ส่วนปลายของหางครูดกับร่างกายของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ...............
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจก็เมื่อตะกี้เขาปิดนาฬิกาปลุกไปแล้วกับมือ ความสงสัยระคนประหลาดใจเข้ามาแทนที่ เขาค่อยๆยกผ้านวมขึ้นเป็นช่องเล็กๆสอดส่ายสายตามองไปด้านบนของหัวเตียงก็พบปลายหางของสัตว์ชนิดหนึ่ง ไอ้ตัวที่ว่านี้มีเพียงสองขากรงเล็บงองุ้มจนคล้ายตัวอะไรนะ เขาพยายามนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูมา เสียงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เขารีบปิดผ้านวมลง น้ำเสียงสั่นสะท้านพูดกับตัวเองเบาๆเหมือนกลัวไอ้ตัวข้างนอกจะได้ยิน
“ทีเร็กซ์”
ไอ้ตัวที่ว่านี้คงยกผ้านวมขึ้นแสงสว่างส่องลอดเข้ามา เด็กหนุ่มกลัวจนเอามือปิดลูกตาตัวเอง แต่พอไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาค่อยๆกางมือออกแล้วมองลอดระหว่างช่องนิ้ว ก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นศีรษะสีน้ำตาลปลายปากแหลมรอบคอมีแผงหนังกางออกเป็นหยักกว้าง
“แว๊ก ...กิ้งก่า”
“ว้าย..มนุษย์”
เด็กหนุ่มกระโดดผึงมายืนบนพื้น เท้าอันเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นดินที่เย็นเฉียบ เขารีบใช้ผ้านวมห่อพันเรือนร่างท่อนล่างจนมิดชิดเพราะเมื่อคืนดูเหมือนเขาจะนอนใส่กางเกงชั้นในตัวเดียว
“กิ้งก่าหรือตัวอะไรกันวะ ดันทะลึ่งมาอยู่ในห้องนอนของเรา”
เขาจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวสูงแค่เข่า เจ้าตัวที่ว่านี้มีแผงคอหุบเข้ากางออกตลอดเวลา หางยาวแต่มีขาเล็กๆสองข้างบริเวณหน้าอกกำลังจ้องมองเขาอย่างพิจารณาเช่นกัน และไอ้เจ้าตัวนี้คงกดนาฬิกาปลุกให้ดังขึ้นมาอีกเป็นแน่
“นายแหละ..เข้ามาในห้องคนอื่นได้ยังไง”
“ประหลาดจัง..กิ้งก่าพูดได้”
“มนุษย์ปากเสีย นี่แน่ะๆๆๆ”
กิ้งก่าตัวน้อยกระโดดใช้สองขาหน้าตบแก้มของเขาแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนศีรษะใช้หางสะบัดตีท้ายทอยของเขาจนทรงผมเละเทะไปหมด
“เฮ้ยๆๆ พอ เดี๋ยวจับมาทำกิ้งก่าย่างเสียนี่”
เจ้ากิ้งก่าน้อยดีดตัวกลับลงที่นอน ยืนสะบัดแผงคออย่างไม่พอใจ
“นายเข้ามาในห้องของชั้น ยังคิดจะจับชั้นไปย่างไฟอีก”
“ห้องของเธอ นี่จะบ้าแล้ว ชั้นนอนอยู่ในห้องนอนของชั้นดีๆ จู่ๆเธอก็มาตู่ว่าเป็นห้องนอนของเธอ”
“งั้นมองไปรอบๆสิ”
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆอย่างงุนงง เพราะนอกจากผ้านวมที่พันติดรอบกายไม่มีสิ่งไหนที่ดูคล้ายเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนเขาเลย มุมด้านนั้นเคยวางทีวีจอพลาสมาขนาดสี่สิบสองนิ้วก็ดันกลายเป็นกอไม้ดอกนานาพันธุ์ ส่วนชั้นวางหนังสือก็กลายเป็นแอ่งน้ำใสขนาดย่อม แล้วนี่ผนังทั้งสี่ด้านที่ติดวอลเปเปอร์เรียบหรูทำไมกลายเป็นผนังดินเหนียว
“เฮ้ย...ทำไม ทำไม แล้วก็ทำไม”
“เลิกถามคำว่าทำไมได้แล้ว แล้วก็ออกไปข้างนอก...ได้ยินมั้ย”
กิ้งก่าน้อยเห็นเขายังยืนเฉยก็อ้าปากส่งเสียงร้องขู่ มิหนำซ้ำยังกางแผงคอจนดูน่ากลัว เด็กหนุ่มเห็นไม่ได้การรีบเผ่นแน่บกระโจนออกทางหน้าต่าง ไม่ใช่สิมันแค่เป็นช่องสี่เหลี่ยมที่ดูคล้ายหน้าต่าง เอาเถอะจะอย่างไรก็ช่างขอไปให้พ้นนางกิ้งก่าใจร้ายก็พอ ด้วยความรีบร้อนขาข้างหนึ่งกลับยกไม่พ้นขอบหน้าต่าง หว่างขาเลยกระแทกเข้ากับขอบจนเจ้าตัวร้องโอย ร่างกลิ้งหลุนๆออกไปด้านนอกจนไปหยุดที่ต้นไม้ใหญ่ในลักษณะหัวปักดินเท้าชี้ฟ้า ผ้าห่มนวมที่พันร่างท่อนล่างก็หลุดหายไปไหนก็ไม่รู้
“โอ้ย..ซวยๆๆ นี่มันวันอะไรกันแน่”
..........
“วันจันทร์ไงเซียวหยาง แล้วนี่นึกสนุกอะไรถึงลงมานอนหกเขมนตีลังกาแบบนี้”
เซียวหยาง หรือ หลี่เซียวหยางเห็นแค่ขาคนที่เข้ามาก็จำได้ว่าเป็นมารดา เขารีบม้วนตัวกลับดังเดิมเอาแต่เดินวนรอบห้องสำรวจสิ่งของต่างๆ ก็อยู่ครบทั้งทีวีจอพลาสมา ชั้นวางหนังสือ แถมผนังห้องก็ไม่ได้เป็นดินเหนียวอีกแล้ว เซียวหยางผลุนผลันไปเปิดประตูเหลียวซ้ายแลขวามองไปตามทางเดินแล้วก็กลับมาที่มารดาหมุนร่างของท่านกลับไปกลับมาสามสี่รอบ
“นี่เราจะเล่นอะไรอีก สายแล้วนะไม่รีบไปอาบน้ำ วันนี้เรียนวันแรกไม่ใช่หรือ”
เซียวหยางรีบแทรกขึ้นเหมือนจะรู้ว่าแม่ยังพูดไม่จบ
“แม่ครับ เมื่อกี้ก่อนจะเข้าห้อง แม่เห็นตัวอะไรผ่านไปบ้างหรือเปล่า”
“ตัวอะไรเหรอ”
“บอกไม่ถูกครับ มันตัวเล็กๆประมาณนี้ ลำตัวสีน้ำตาลหางยาวๆเวลาโกรธจะกางแผงคอได้ด้วย ข้อสำคัญยังพูดได้อีกด้วย”
มารดาของเขาสีหน้าวิตกเดินเข้ามาใกล้ยกมืออังหน้าผากแต่ก็ไม่มีวี่แววของอาการไข้ ยิ่งทำให้เธอวิตกมากกว่าเดิมถึงกับเดินไปคว้าหูโทรศัพท์ยกขึ้น
“แม่..จะทำอะไรครับ”
“โทรหาหมอ ลูกต้องเสียสติแน่ หรือไม่ก็เป็นโรคเครียด”
“ไม่ต้องโทรนะครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“เอาล่ะ ไม่โทรก็ได้ แต่ลูกต้องรีบไปจัดการตัวเองเดี๋ยวนี้ แม่จะให้คนรถไปส่งที่โรงเรียน”
มารดาหันหลังเดินออกจากห้องไป ผมรีบวิ่งไปค้นดูตามจุดต่างๆทั่วทุกมุมห้องก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดๆ เลยเปลี่ยนไปดูที่บานหน้าต่างเห็นกิ้งก่าตัวสีเขียวคลานมาตามราวเหล็กของระเบียงด้านนอก
“ต้องเป็นแกแน่ๆที่มาเข้าฝัน”
เซียวหยางผลักบานหน้าต่างออกนึกโมโหกิ้งก่าตัวน้อยเลยหาไม้บรรทัดยาวหมายจะแหย่มันให้ตกไปข้างล่าง เขาพยายามจะยื่นมือออกไปให้ไกลมากที่สุด แต่เท่าที่ทำได้ปลายไม้บรรทัดยังห่างจากตัวกิ้งก่าเกือบสองนิ้ว กิ้งก่าตัวน้อยเอียงคอมองมนุษย์ที่คิดจะทำร้ายมันอย่างสงสัย
“เดี๋ยวเถอะ.. ทำเป็นเอียงคอมองเยาะเย้ย”
เขาดันตัวไปข้างหน้ามากขึ้นอีกจนเท้าทั้งสองข้างลอยพ้นจากพื้น แต่ก็ไม่ถึงตัวมันสักทีทั้งที่พยายามเหวี่ยงปลายไม้ไปมาแล้วนะมันก็แค่ทำให้กิ้งก่าเย็นสบายเหมือนมีคนมาพัดให้
เซียวหยางโมโหขว้างไม้บรรทัดออกไปก็พอดีกับประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง
“อาหยาง..ยังไม่ไปอาบน้ำอีก”
...ตุ้บ..
ร่างสันทัดหัวคะมำกับพื้นระเบียงเพราะตกใจที่แม่เข้ามา รู้สึกร่างกายเย็นวาบมองไปในห้องก็พบผ้าห่มนวมตกอยู่ เขารีบแอบหลังกำแพงค่อยๆโผล่ศีรษะออกมา
“เดี๋ยวจะไปแล้วครับ แม่ออกไปก่อน”
แม่บ่นกระปอดกระแปดออกไป ผมเลยรีบออกมาหาตัวต้นเหตุที่ระเบียง
“อย่าให้เจอนะ จะจับไปย่างกินเสียให้เข็ด”
“นายจะจับชั้นย่างอีกแล้ว”
สุ้มเสียงคล้ายล่องลอยมาตามสายลม แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้ ใกล้เสียจนคล้ายลอยอยู่ที่ข้างหู ไม่ใช่สิมันอยู่บนหัวนี่เอง เอกใช้มือคว้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนหัวแต่มันก็รวดเร็วมากกระโดดผึงเดียวหลบรอดอุ้งมือเขาไปได้
“ชั้นนึกว่าเป็นความฝัน แกแน่มากที่หาบ้านชั้นเจอ
เจ้ากิ้งก่าน้อยเอียงคอมองอย่างสงสัยหากมันพูดได้คงบอกว่าไอ้หมอนี่ท่าจะเพี้ยนแล้วก็สะบัดคอวิ่งหนีไป ผมก็รีบปีนกลับเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน
...............
ผมจบมอสามจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ครอบครัวผมมีฐานะดีพ่อผมมีเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของประเทศ ประเทศไหนอย่าไปรู้เลยมันเล็กมากเสียจนมองบนแผนที่โลกแทบไม่เห็นก็แล้วกัน ที่จริงอาจารย์ใหญ่ไม่อยากให้ผมลาออกเพราะมีโครงการขยายการศึกษาไปจนถึงระดับปริญญาตรีในปีการศึกษาหน้า วันที่ผมไปทำเรื่องลาออกย้ายสถานที่เรียนอาจารย์ใหญ่ถึงกับฟูมฟายร้องห่มร้องไห้ทีเดียว
“อาจารย์เสียดายคนดีๆอย่างผมหรือครับ”
อาจารย์ใหญ่ทำตาโตเท่าไข่ห่านส่ายหน้าพัลวัน
“อาจารย์เสียดายเงินอุดหนุนของพ่อเธอต่างหาก ปีๆนึงตั้งหลายล้าน แล้วนี่เธอจะไปเรียนต่อที่ไหนเผื่ออาจารย์มีเพื่อนฝูงจะได้ช่วยฝากฝัง”
ช่วยฝังน่ะสิไม่ว่า ..แต่ผมก็บอกชื่อโรงเรียนออกไป อาจารย์ใหญ่ทำหน้างุนงงได้อย่างน่าเกลียดที่สุด
“โรงเรียนอะไรหว่า..”
ผมรู้เหตุผลของอาจารย์ใหญ่ตั้งแต่แรก หากพ่อไม่จ่ายเงินอุดหนุนให้ทุกปี ผมคงต้องออกตั้งแต่ปีแรกที่มาเรียนแล้ว ส่วนทางบ้านก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมาก มีพ่อคนเดียวที่พูดออกความเห็นอย่างน่าฟังที่สุด
“แกจะเรียนที่ไหนไม่สำคัญ ขอให้แกตั้งใจเรียนและเป็นคนดีของสังคมเท่านั้นพอ”
ว้าว.....ว ผมลากเสียงอย่างในละครทีวี
“นั่นสิ..แล้วลูกจะไปเรียนต่อที่ไหน”
ผมยืดอกบอกชื่อโรงเรียนออกไปอย่างภาคภูมิ แต่พ่อกับแม่สิร้องด้วยน้ำเสียงที่ตกใจขึ้นพร้อมกัน
“มีโรงเรียนแบบนี้ด้วยเหรอ”
……………
ประโยคนี้เองที่ทำเอาผมอึดอัดเพราะบอกพ่อกับแม่ไม่ได้ ที่จริงไม่ได้เป็นเพราะกลัวพ่อจะขว้างแจกันหรือมีความลับอะไรหรอกเพียงแต่ผมก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าโรงเรียนแบบนี้มีกับเขาด้วยเหรอ ตั้งใจให้พวกท่านอารมณ์ดีขึ้นเลยเดินออกมาเที่ยวเล่นที่บ้านเพื่อนที่อยู่ในโครงการจัดสรรเดียวกันแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“แล้วมึงไปสมัครเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้าไม่เคยยื่นใบสมัคร โรงเรียนอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ จู่ๆก็มีใบตอบรับให้ข้าไปเรียนได้วันพรุ่งนี้”
เพื่อนผมหัวเราะลั่นจนเกือบตกเก้าอี้
“เอาเข้าไป คนเขาเครียดอุตส่าห์หาที่ระบาย ดันเสือกหัวเราะเยาะอีก”
“ไม่ให้หัวเราะได้ยังไงวะ โรงเรียนอยู่ไหนก็ไม่รู้ มันส่งใบอนุญาตให้มึงไปเรียน มึงก็ทะลึ่งไปเรียน ข้าว่านะถ้ามันไม่บ้า มึงก็โง่ชิบผาย แต่ก็นะ..แม่มเหมือนในเรื่องแฮรี่ แครกเกอร์เลยว่ะที่พระเอกมันได้รับจดหมายให้ไปเรียน ไหนแกเอาใบตอบรับมาด้วยหรือเปล่าขอข้าดูหน่อยสิ”
“ข้าเอาติดตัวมาด้วย แต่แกอย่าอ่านเลยถึงอ่านไปก็ไม่รู้เรื่อง”
“บ๊ะ ไอ้นี่..ส่งมาสิ”
ข้อความในจดหมายเป็นดังนี้
‘คำเตือน..ใบตอบรับนี้สำหรับหลี่เซียวหยางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถอ่านข้อความข้างล่างได้ และใบตอบรับจะทำลายตัวเองภายในห้าวินาทีเมื่อมีบุคคลอื่นอ่าน’
“คุ้นๆว่ะ แม่มเหมือนในเรื่อง แมนชั่น อิมพอสซิเบิลเลย อ้าวเฮ้ย”
ทันใดนั้นใบตอบรับก็ลุกเป็นไฟ ทำเอาเพื่อนผมรีบโยนทิ้งพื้นแล้วโกยแน่บแหกปากร้องไปตลอดทาง
“ช่วยด้วย..ผีหลอก”
ผมส่ายหน้าเพราะนึกเอาไว้แต่แรก หนนี้เป็นครั้งที่สามที่จู่ๆไฟลุกพรึ่บหลังจากมีคนอื่นคิดจะอ่านข้อความบนใบตอบรับ..ผมก้มลงเก็บซากสีดำขึ้นมา สายลมหนาวเหน็บโชยมาเบาๆ กองซากสีดำพลันกลับกลายเป็นใบตอบรับเข้าศึกษาฉบับเดิม ผมรู้สึกเครียดมากจนนอนไม่หลับ และเรื่องราวต่อจากนั้นผมก็เล่าไว้ตอนแรกจนหมดแล้ว ผมคงไม่เล่าซ้ำสองเพราะเสียงเรียกของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง ผมต้องรีบจัดการตัวเองอย่างลวกๆสวมใส่เสื้อผ้าสุภาพเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ โดยไม่ลืมเป้สะพายตามสมัยนิยมติดตัวไปด้วย
รถยุโรปราคาแพงจอดติดเครื่องรออยู่ พอเห็นผมวิ่งมานายดำคนขับรถรีบมาเปิดประตูให้ พอแทรกตัวขึ้นไปนั่งเสร็จก็พยักหน้าให้นายดำออกรถ เพราะปากยังคาบแซนวิชชิ้นใหญ่อยู่
รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปช้าๆผมมองผ่านกระจกหลังตั้งใจจะโบกมือให้แม่แต่ก็ยกค้างอย่างนั้น เพราะด้านข้างของแม่มีชายผมขาวแต่งตัวคล้ายผู้ดีอังกฤษสวมหมวกทรงสูงแว่นสายตารูปร่างกลมเล็กที่ดูกวนประสาทยืนยิ้มจนหนวดที่ริมฝีปากกระดกขึ้นอย่างตลก
ผมใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้าง มองไปอีกครั้งก็พบแม่ยืนยิ้มโบกมือให้แต่ไม่พบชายประหลาดคนนั้นแล้ว
ผมเอนหลังพิงเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนรำพึงกับตัวเองว่า
“อยากจะบ้าตาย”
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 11:49:01 น. |
Counter : 133 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|