Group Blog
 
All Blogs
 
พระเจ้า... , มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ (ชิ่งไกว่), ไอ้โจรทรยศ ขายชาติ...

พระเจ้า... , มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ (ชิ่งไกว่), ไอ้โจรทรยศ ขายชาติ...

เมื่อเทพขุนพล ยึดได้เมือง จูเซียนเตี้ยน ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง จงจิน ทำให้แม่ทัพ วู่ซู่ แห่งราชวงศ์ จิน ขวัญหนีดีฝ่อ กำลังจักถอนกองทัพถอยหนีข้ามแม่น้ำ หวงเหอ ไป ขณะที่จัดแจงทหารถอนหนีออกจากเมือง จงจิน ก็มีนักศึกษาผู้หนึ่ง มายึดหัวม้าของเขาไว้ กล่าวว่า
"ท่านต้าหวาง อย่าเพิ่งถอยหนี ขุนพล เย่ว์เฟย จักต้อนถอนทัพในเร็ววัน เมือง จงจิน ก็จักปลอดภัย"
แม่ทัพ วู่ซู่ มีความแปลกใจ กล่าวว่า
"ขุนพล เย่ว์เฟย เพียงใช้กองกำลังทหารม้า 500 ตีทหารของ 100,000 ของข้าแตกกระจุย อีกทั้งประชาชนชาว ซ่ง ต่างหนุนเนืองตีเข้ามา เมือง จงจิน จักต่อต้านได้อีกสักกี่น้ำ"
หนุ่มนักศึกษากระซิบว่า
อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ที่พระราชสำนัก ผู้นำทัพ อยู่ด้านนอกหาความดีความชอบเองย่อมเป็นไปมิได้ ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า ต่อไปภายหน้า แม้แต่ชีวิตของขุนพล เย่ว์เฟย เองก็ยากที่จักรักษา ไหนเลยจักมีความดีความชอบ
แม่ทัพ วู่ซู่ พยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย จึ่งมีคำสั่งให้เลิกถอนทัพ มุ่งหน้ากลับเข้ารักษาเมือง จงจิน
มหาอำมาตย์ กังฉิน ฉินไกว้ เดิมเป็นขุนนางของราชวงศ์ เป่ยซ่ง เมื่อราชวงศ์ เป่ยซ่ง ล่ม พระเจ้า ซ่งเฟยจง และพระเจ้า ซ่งจินจง 2 ฮ่องเต้ ถูกจับตัวไปเป็นเชลย ณ แผ่นดินทางเหนือ ฉินไกว้ และภรรยานาง หวางสี (เฮ่งสี) ก็ถูกจับกุมควบคุมไปภึงเมืองหลวงของราชวงศ์ จิน ฉินไกว้ เมื่ออยู่ต่อพระพักตรืของพระเจ้า จินไท่จง ก็ทำทีเจียมเนื้อเจียมตัว ประจบสอพลอพระเจ้า จินไท่จง จนกระทั่งพระเจ้า จินไท่จง ทรงไว้วางพระทัย พระเจ้า จินไท่จง ทรงเห็นสติปัญญาความสามารถสอพลอของ ฉินไกว้ จึ่งทรงตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประจำกองทัพของแม่ทัพ ตาลา (ตักไหน)
ขณะนั้น ราชวงศ์ จิน เห็นว่าการต่อต้านกองทัพของราขวงศ์ หนานซ่ง นับวันยิ่งรุนแรงและเข็งแกร่ง และยังมีแม่ทัพผู้มีความสามรถรบเก่งดั่งเช่นเทพขุนพล เย่ว์เฟย และขุนพล หันซื่อจง ราชวงศ์ จิน เห็นว่ายากที่จักต่อกร จึ่งได้รีบปล่อยตัว ฉินไกว้ และภรรยา แอบหนีกลับดินแดน หนานซ่ง เพื่อลอบเป็นขุนนางไส้ศึก โดยเมื่อ พ.ศ. 1673 เมื่อแม่ทัพ ตาลา ยกทัพลงมาโจมตีเมือง ฉู่โจว (ฉ่อจิว) ก็ได้แกล้วปล่อย ฉินไกว้ สุ่ดินแดน หนานซ่ง
ฉินไกว้ ได้รีบเดินทางมา ณ เมือง เย่ว์โจว (อวกจิว) และได้เข้าเฝ้าพระเจ้า ซ่งเกาจง ณ พระราชวังเคลื่อนที่ของพระองค์ ได้กราบทูลความสับปรับคุยเขื่องความสามารถของตนเอง ตลบแตลงว่าเมื่อตอนอยูที่เมือง ฉู่โจว ได้ฆ่าฟันข้าศึกตายหลายคน จนสามารถหาเรือลำหนึ่งพาภรรยาหนีรอดกลับมาแผ่นดิน หนานซ่ง ได้ ขณะนั้น มีขุนนางหลายฝ่าย ต่างพากันสงสัยว่า เมือง ฉู่โจว มาถึงเมือง เย่ว์โจว ระยะทางห่างไกลและยากลำบาก ไฉน ฉินไกว้ จักสามารถเล็ดรอดการเฝ้าระวังรักษาของทหารราชวงศ์ จิน มาได้ และทหารราชวงศ์ จิน มิติดตามกันมาบ้างเลยหรือ กล่าวอีกที หากข้าศึกมิทันระวัง ปล่อยให้เขาหลบหนีมา ก็เป็นเรื่อที่ค่อนข้างฉุกละหุก อีกทั้งนำภรรยาเพศหญิงที่อ่อนแอติดตามมาด้วย ย่อมเป็นเรื่องยาก
แต่ทว่า สมัยนั้น หม่านจงอี (มั่งจงอี) ผู้รับตำแหน่งมหาอำมาตย์ นั้น เคยเป็นเพื่อสนิทของ ฉินไกว้ มาก่อน จึ่งได้ช่วยเพ็ดทูลสนับสนุน ฉินไกว้ ต่อหน้าพระพักตร์ และยังเสริมอีกด้วยว่า ฉินไกว้ นั้นมีความสามารถเหมาะแก่การเป็นทูตเจรจาใฝ่สันติ ซึ่งก็ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้า ซ่งเกาจง พอดี พระองค์ทรงใฝ่ฝันอยากเจรจาสันติภาพกับราชวงศ์ จิน มากกว่าการทำศึก พระองค์ทรงเห็นว่า ฉินไกว้ เพิ่งเดินทางกลับจากแผ่นดิน จิน ฉินไกว้ ต้องรู้ความตื้นลึกภายในพระราชสำนัก จิน เป็นแน่ พระองค์ทรงเรียก ฉินไกว้ เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
ก้าวแรกที่ ฉินไกว้ เข้าเฝ้าพระเจ้า ซ่งเกาจง ก็ดำเนการชี้แนะให้พระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงเจรจาสงบศึกสันติภาพกับราชวงศ์ จิน
พระเจ้า ซ่งเกาจง ก้ทรงเปรียบเสมือนเรือได้น้ำ ต่างฝ่ายต่างมีปณิธานต้องกัน พระองค์ทรงตรัสกับเหล่าขุนนางว่า
"ฉินไกว้ ผู้นี้รู้สึกว่าจักซื่อตรงรักชาติยิ่ง มีเขาสักคน ข้ารู้สึกหายใจโล่งอก ข้าดีใจยิ่งที่มีเขาอยู่ ยามมืดค่ำข้ารู้สึกนอนหลับสนิทอย่างเป็นสุข"
พระองค์รีบทรงโปรดให้ ฉินไกว้ รับตำแหน่งเป็นเจ้ากรมราชพิธี อีก 3 เดือนต่อมา ก็ทรงโปรดให้ ฉินไกว้ มีตำแหน่งเป็นรองมหาอำมาตย์ อีกครึ่งปีต่อมา ฉินไกว้ ก็ได้รับตำแหน่งเป็นมหาอำมาต์ ควบกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ นับว่าควบคุมอำนาจทางทหารของราชวงศ์ หนานซ่ง เกือบทั้งหมด
ฉินไกว้ เมื่อรับตำแหน่งมหาอำมาตย์ของราชวงศ์ หนานซ่ง ได้ได้ดำเนินการว่างแผนยกธงขาวเจรจาสงบศึกกับราชวงศ์ จิน ตามพระราชดำริของพระเจ้า ซ่งเกาจง และเนื่อจากว่าได้รับการต่อต้านจากขุนนางผู้ซื่อสัตย์จำนวนมาก และถูกเรียกร้องให้ถอดถอนออกจากขุนนางตำแหน่ง มหาอำมาตย์ แต่เนื่อจากว่าเขาได้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้า ซ่งเกาจง ขุนนางทั้งหลายจึ่งทำอะไรมิได้ ต่อมาอีกหลายปี ฉินไกว้ก็ยังยืนหยัดรักษาตำแหน่มหาอำมาตย์ไดว้ได้ ฉินไกว้ ได้ใช้อำนาจอิทธิพบของตำแหน่งมหาอำมาตย์ ลอบติดต่อทางลับ ๆ กับราชวงศ์ จิน และแสดงเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ถึงผลร้ายการต่อต้านราชวงศ์ จิน ขณะเดียวกัน ก็ได้ทราบข่าวว่า เทพขุนพล เย่ว์เฟย ยิ่งรบยิ่งชนะ จวน ๆ จักยึดได้ดินแดน หวงหลงฝู่ (อึ่งเล่งฮู่) อยู่แล้ว เขาก็ยิ่งหวาดหวั่น เพราะว่าราชวงศ์ จิน หนุนเขาอยู่ หากราชวงศ์ จิน พ่ายแพ้แก่ราชวงศ์ หนานซ่ง ตำแหน่งทางการเมืองของเขาก็จักมิถาวร ดึ่งนั้น เขาจึ่งเพ็ดทูลให้พระเจ้า ซ่งเกาจง ออกพระราชโองการให้เทพขุนพล เย่ว์เฟย ถอนทัพ
เทพขุนพล ได้รับพระราชโองการจากพระเจ้า ซ่งเกาจง ให้ถอนทัพ เขามีความสงสัยแปลใจยิ่ง จึ่งได้ถวายฏีกาขึ้นไปหาพระเจ้า ซ่งเกาจงว่า ทหารราชวงศ์ จิน กำลังพ่ายแพ้มิเป็นขบวนอยู่แล้ว และกำลังใจทหารก็ยิ่งฮึกเหิมอยากทำศึกให้แตกหักเห็นดำเห็นแดง ชัยชำนะกำลังรออยู่เบื้องหน้า กาลเวลาและโอกาศมิอาจคอยท่า เขาได้ถวาย ฎีกาให้พระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงถอนพระราชโองการ เป็นโอกาสให้เขาพิชิตศัตรูต่อไป
ฉินไกว้ เมื่อได้รับคำถวายฎีการของเทพขุนพล เย่ว์เฟย เขาได้คิดวางแผนการณ์อันชั่วร้าย เริ่มด้วยการสั่งให้นายทัพ จางจุ้น (เตียจุ่ง), นายทัพ หลิวกวนซื่อ (เล่ากวงซี่) ถอนกองกำลังทัพออกมาก่อน ภายหลังจึ่งเพ็ดทูลพระเจ้า ซ่งเกาจงว่า กองกำลังของ เย่ว์เฟย ถูกโดดเดี่ยวในท่ามกลางสนามรบ คงจักสู้ศัตรูมิได้ ขอให้พระองค์ทรงออกพระราชโองการขั้นเด็ดขาดเป็นป้ายทองอาญาสิทธิ์ เรียกเทพขุนพล เย่ว์เฟย กลับมาให้ได้
เทพขุนพล เย่ว์เฟย เอง ก็คอยรับพระราชโองการจากการถวายฎีกาของตน ให้บุกโจมตีข้าศึกต่อไป แต่มิคาดว่ายังคงมีพระราชโองการให้ถอนทัพ และยิ่งเป็นพระราชโองการอาญาสิทธิ์ป้ายทองซึ่งนำโดยม้าเร็วจัดนำมาส่ว เทพขุนพล เย่ว์เฟย ได้รับพระราชโองการครั้งแรกเป็นป้ายทองอาญาสิทธิ์ก็ยังคงลังเล แต่มินาน ก็ยังคงได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์ตามมาอีกโดยม้าเร็วเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ได้รัพระราชโองการป้ายทองอาญาสิทธิ์ถึง 12 อัน เทพขุนพล เย่ว์เฟย จึ่งรู้ว่า จักทรงแก้ไขเปลี่ยนพระราชประสงของพระเจ้า ซ่งเกาจง นั้นยากยิ่ง เสียใจโทรมนัสอย่างยิ่ง กล่าวด้วยน้ำตาลูกผู้ชายนองหน้าว่า
"นึกไม่ถึงว่าความตั้งใจพยายามการกู้ชาติของข้านับเวลาด้วยสิบปี ล้วนสลายภายในเวลาชั่วพริบตา"
ข่าวการถอทัพจากแนวหน้าที่ จูเซียนเตี้ยน ของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ถูกลื่อระบืออกไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงต่างพากันหวัดหวั่นและเกรงกลัว ต่างร่วมชุมนุมกันตามถนนหนทางที่ เทพขุนพล เย่ว์เฟย ผ่าน พลางยุดหัวม้าของ เย่ว์เฟย ไว้ พากันกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า
"พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เตรียมข้าวปลาอาหาร ถ้วยชามกับข้าวไว้คอยต้อนรับท่าน เซี่ยนกง (เซียงกง) นี่เป็นเรื่องที่ชาวราชวงศ์ จิน ต่างรู้กันสิ้น บัดนี้ท่าน เซี่ยนกง กำลังจักจากไป เป็นการทิ้งหนทางตายแก่พวกข้าพเจ้าเท่านั้น"
เทพขุนพล เย่ว์เฟย เมื่อเห็นสถานะภาพของประชาชนเป็นเช่นนี้ ก็อดที่จักกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายมิให้หลั่งไหลมิได้ เขาเรียกนายทหารเอา 12 ป้ายทองอาญาสืทธิ์ ให้แก่เหลห่าราษฎรดู กล่าวว่า
"ทางพระราชสำนักมีคำสั่งเร่งด่วนมาเช่นนี้ จักให้ข้ารั้งอยู่ได้อย่างไร อีกประการหนึ่ง ข้ามิอยากมีชื่ว่าเป็นกบฏทรยศต่อชาติ"
เหล่าประชาชนเห็นว่ามิอาจรั้งเทพขุนพล เย่ว์เฟย อยู่ได้ ต่างร้องห่มร้องไห้ ตีอกชกหัวด้วยความเหศร้าโศกเสียใจ เหล่าทหารหาญเมื่อเห็นเช่นนี้ ต่างทนมิได้ เบือนหน้าหลั่งน้ำตาออกมาบ้าง ณ ตำบล จูเซียนเตี้ยน จึ่งดังกระหื่มด้วยเสียงร้องห่มร้องไห้
ดั่งนั้น เทพขุนพล เย่ว์เฟย จึ่งประกาศของเวลาอีก 5 วัน อยู่กินกับเหล่าประชาชน ให้เหล่าประชาชนตระเตรียมจัดข้าวของอพยพลงไปทางใต้ด้วยกัน ต่อมาภายหลัง เทพขุนพล เย่ว์เฟย ได้ถวายฎีกาไปยังพระราชสำนักอีก ขอให้ทางพระราชสำนักจัดที่ทางอาศัยประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนทางเหนือเหล่านี้
แม่ทัพ วู่ซู่ เมือทราบข่าว เย่ว์เฟย ถอนกัพกลับไปแล้ว ก็มีความฮึกเหิม เร่งกลองศึกบุกลงมาทางใต้ ยึดกลับซึ่งเมืองและดินแดนต่าง ๆ ที่เทพขุนพล เย่ว์เฟย ตีไปได้ คืนกลับมาทั้งหมด
พระเจ้า ซ่งเกาจง และขุนนางกังฉิน มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ รีบดำเนินการเจรจาทำสัญญาสงบศึกกับราชวงศ์ จิน ทันที ด้วยเกรงว่าเทพขุนพล เย่ว์เฟย และขุนพล หันซื่อจง จักกลับใจ ทรงแต่งตั้งขุนพล หันซื่อจง เทียบเท่าตำแหน่งเจ้าเมือง และเทพขุนพล เย่ว์เฟย เทียบเท่าตำแหน่งรองเจ้าเมือง เท่ากับเป็นการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง แต่แท้ที่จริงนั้นเป็นการริดรอนอำนาจทางการทหาร
เดือนที่ 11 พ.ศ. 1684 ราชวงศ์ จิน ได้ส่งทูตมาเจรจาทำสัญญาสันติภาพ ระบุในสัญญาว่า เขตแดนระหว่างราชวงศ์ จิน และราชวงศ์ หนานซ่ง ทางทิศตะวันออก ให้ถือเอาลำน้ำ เว่ยสุ่ย (ฮ่วยจุ้ย) เป็นเส้นแบ่งพรมแดน ส่วนทางด้านทิศตะวันตก ให้ถือเอาด่าน ต้าซ่านกวน (ไต่ซั๊วกวง) ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง เป่าจี (ป่อโกย) ในมณฑล ซ่านซี ให้เทียบถือฐานะของราชวงศ์ จิน เป็นเจ้า ถือฐานะของราชวงศ์ หนานซ่ง เป็นขุนนาง แต่ละปี ราชวงศ์ หนานซ่ง ต้องถวายราชบรรณาคารเป็นเงิน 250,000 ชั่ง แพรไหม 250,000 พับ นักประวัติศาสตร์จีน ได้เรียกสัญญาสันติภาพนี้ว่า สัญญาสันติภาพ เจ้าซิ่น (เจียวเฮง..ซึ่งเป็นชื่อปีศักราชของพระเจ้า ซ่งเกาจง
เทพขุนพล เย่ว์เฟย กับคดี ม่อซูโหย่ว (หมกซูอู๋) หรือ มิสมควรมี

ภายหลังจากการทำสัญญาสันติภาพ เจ้าซิ่น แม่ทัพ วูซู่ ได้ส่งคนสนิทเป็นสายลับติดต่อกับ มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ กล่าวว่า
"ไจ้ได้พยายามขอเจรจาสงบศึกกับพวกข้า ทุก ๆ วัน แต่ทำไมยังคงปล่อย เย่ว์เฟย มาจนทุกวันนี้ เย่ว์เฟยอาจเปลี่ยนใจกลับมาทำศึกต่อด้วยกองกำลังของพวกชาวบ้าอีกก็ได้ พวกข้ายังไว้วางใจมิสนิท ขอให้ท่านรีบหาหนทางกำจัด เย่ว์เฟย โดยเร็ววัน"
ฉินไกว้ ได้รับข่าวสารลับจากราชวงศ์ จิน ก็เป็นห่วง คิดแผนการณ์กำจัด เย่ว์เฟย ทุกวี่ทุกวัน
ฉินไกว้ จึ่งได้ร่วมมือกับ ว่านซิเซี่ย (บ่วงสือเสีย) ว่านซิ เป็น แซ่ เซี่ย เป็นชื่อ ขุนนางอาลักษณ์ประจำพระราชสำนัก ร่วมพรรค กังฉินด้วยกัน เขียนฎีกาถวายพระเจ้า ซ่งเกาจง กล่าวหาว่า เทพขุนพล เย่อหยิ่งอหังการ ท่าทางจักเป็นกบฏ และยามเมื่อทหาราชวงศ์ จิน โจมตีที่ดินแดน เว่ยซี (ฮ่วยไซ) เย่ว์เฟย กลับมิทำหน้าที่ป้องกันประเทศ ละทิ้งค่ายทหารจำนวนมิน้อย เป็นโทษข้อหาร้ายแรงหลายข้อ ว่านสือเซี่ย ถวายฎีกานำร่องเป็นฉบับแรก ก็มีขุนนางร่วมพรรคกังฉินอีกจำนวนมาก ต่างพากันร้องเรียนขึ่นไปอีก เป็นระรอกที่ 2, และระรอกที่ 3 กล่าวหาความผิด เย่ว์เฟย ต่าง ๆ นา ๆ
เทพขุนพล เย่ว์เฟย เห็นว่ามิอาจต่อต้านอำนาจอิทธิพลของ มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ได้ จึ่งขอถอนตัวลาออกจากราชการ ซึ่งพระเจ้า ซ่งเกาจง ก็ทรงพระอนุญาตฺโดยพลัน
แต่เรื่องเลวร้ายยังมิอาจยุติ แม่ทัพ จางจุ้น (เตียจุ่ง) เดิมทีเป็นนายทัพเหนือ เย่ว์เฟย ต่อมาภายหลัง เย่ว์เฟย ทำราชการได้รับความดีความชอบ แม่ทัพ จางจุ้น จึ่งมีความอิจฉาริษยา ซึ่งมหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ก็มองเห็นความมิพอใจต่อ เย่ว์เฟย ของแม่ทัพ จางจุ้น ออก จึ่งได้ร่วมมือกับแม่ทัพ จางจุ้น และได้ติดสินบนให้กับนายทัพที่เคยอยู่ในกองทัพของ เย่ว์เฟย หวางกุ้ย (เฮ่งกุ่ย), และ หวางจุ้น (เฮ่งจุ่ง) กล่าวหานายทัพ จางอี้ (เตียอี้) ซึ่งควบคุมกำลังพลอยู่ที่เมือง เสี้ยนหยาน (เซียงเอี้ยง) กำลังคิดกบฏ ส้องสุมกำลังเพื่อช่วยเหลือเทพขุนพล เย่ว์เฟย ให้กลับมาคุมกำลังอำนานทางทหารดั่งเดิม และยังกล่าวหาว่า บุตรของ เย่ว์เฟย เย่ว์อยิ๊ (งักฮุ้ง ได้มีจดหมายติดต่อลับ ๆ กับนายทัพ จางอี้
ฉินไกว้ ได้คำกล่าวหาของ 2 ขุนนางกังฉิน หวางกุ้ย และ หวางจุ้น ใส่ความ จึ่งรีบจับนายทัพ จางอี้ มาสอบสวนไต่ถามด้วยความทรมาน ณ คุก ต้าลี่จื้อ (ไต่ลี่ยี่) แล้ว ฉินไกว้ ก็ยังถวายฎีกาพระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงออกหมายจับ เย่ว์เฟย และบุตร เย่ว์อยิ๊ มาขัง ณ คุก ต้าลี่จื้อ ทำการสอบสวน
เมื่อพนักงานของ ฉินไกว้ มาจับ เย่ว์เฟย สองพ่อลูกนั้น เทพขุนพล เย่ว์เฟย ได้เงยหน้าหัวเราะต่อฟ้าว่า
"เบื้องบนนภา เบื้องล่างปฐพี เป็นพยานต่อข้า เย่ว์เฟย ว่า ข้าบริสุทธิ์ มิมีโทษ"
ขณะที่ เย่ว์เฟย และ เย่ว์อยิ๊ ผู้บุตร ถูกควบคุมตัวมา ณ คุ ต้าลี่จื้อ นั้น นายทัพ จางอี้ ถูกจับสอบสวนเฆี่ยนตีทรมาน ร่างกายบอบช้ำ เต็มไปด้วยคราบเลือด ร่างกายมิเหมือนมนุษย์ เทพขุนพล เย่ว์เฟย เห็นเช่นนั้น เต็มไปด้วยจิตใจสุดอนาถ สุดโทษะ แต่ก็ทำอะไรมิได้
ผู้ที่ทำการสอบสวน เย่ว์เฟย ก็คือขุนนางกรมอาลักษณ์ ว่านซิเซี่ย ว่านซิเซี่ย นำคำกล่าวหาของ หวางกุ้ย และ หวางจุ้น มายืนยันต่อหน้า เย่ว์เฟย พลางตวาดว่า
"พระราชฃสำนักทำความแค้นเคืองอย่างไรต่เจ้าทั้งสาม เจ้าทั้งสามจึ่งต้องเป็นกบฏต่อประเทศชาติ"
เย่ว์เฟย ตอบ
"ข้าก็มิได้ทำอะไรเป็นความผิดต่อแผ่นดิน พวกเจ้าทั้งหลายถือดีว่ามีอำนาจล้นฟ้า สามารถกล่าวหาให้ร้ายต่อคนที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินหรอกหรือ"
ขุนนางกังฉินกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างเคียง ได้บรรยายกล่าวเหตุผลสนับสนุน ว่านซิเซี่ย ใส่ความว่า เย่ว์เฟย เป็นกบฏจริง ๆ เย่ว์เฟย เอง ก็รู้กระจ่างแล้วว่า กลุ่มคนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นคนของ มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ โต้เถียงมากความไปก็มิมีประโยชน์อันใด พลางทอดถอนใจกล่าวว่า
"ข้า เย่ว์เฟย วันนี้ตกอยู่ในมือของกลุ่มโจรปล้นชาติ ขุนนางกังฉิน แม้นความซื่อสัตย์ ก็ย่อมทำอะไรมิได้"
มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ก็ได้ส่งมือปราบของตนเองมาร่วมสอบสวน เย่ว์เฟย แต่เย่ว์เฟย กลับมิยอมตอบคำถามแม้แต่คำเดียว เขาจึ่งได้ถอดเสื้อผ้าสวนบนของ เย่ว์เฟย ออก เพื่อตรวจดูว่า เย่ว์เฟย ซุกซ่อนนสิ่งใดที่พอเป็นหลักฐานได้บ้าง เมื่อแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของ เย่ว์เฟย ปรากฏ ทุกคน ณ ที่นั้น ต่างมองเห็นว่าบนแผ่นหลังของ เย่ว์เฟย บรรจงสักด้วยตัวอักษร 4 ตัว "จิ้นจงเป้ากว๋อ (จิ้งตงป๊อกก)" ซึ่งแปลว่า ตอบแทนประเทศชาติด้วยความซื่อสัตย์หมดสิ้น ซึ่งทำความสดุ้งหวั่นไหวต่อกลุ่มคน ณ ที่นั้น มิกล้าทำการสอบสวน เย่ว์เฟย อีกต่อไป ได้แต่ส่งตัว เย่ว์เฟย กลับขังเข้าคุก และเมื่ออ่านสำนวนของคดีนี้ ต่างมองมิเห็นพยานหลักฐานอันใดที่จักเอาโทษ เย่ว์เฟย ได้ จึ่งได้นำความไปบอกกล่าวต่อ มหาอำมาตย์ ฉินไกว้
ขอแก้คำผิด นามของบุตรของ เย่ว์เฟย ชื่อว่า เย่ว์หยิน (งักฮุ้ง) มิใช่ เย่ว์อยิ๊ (งักเง็ก)

มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ สำคัญผิดว่า บรรดาขุนนางพรรคพวกของตนเห็นใจต่อ เย่ว์เฟย จึ่งมิยอมสอบสวน จึ่งเรียก ว่านซิเซี่ย มาปรึกษาหาวิถีทางลงโทษต่อ เย่ว์เฟย ว่านซิเซี่ย กัดมิปล่อยในประเด็นของ เย่ว์หยิน มีจดหมายติดต่อสัมพันธ์กับ จางอี้ ร่วมมือกันคิดการณ์กอ่การเป็นกบฏ ถึงแม้นว่า ยังมิมีประจักรพยายานหลักฐานปรากฏชัดแจน แต่ยังคงปรับปรำว่า จดหมายประจักพยานหลักฐานนั้น ได้ถูก จางอี้ เผาท้งไปแล้ว
ว่านซิเซี่ย ทำทีสอบสวนคนโทษ เย่ว์เฟย ทั้งสามอีก แต่ เย่ว์เฟย ก็ยังมิยอมรับการถูกปรับปรำ วันหนึ่ง ว่านซิเซี่ย ได้บีบบังคับให้ เย่ว์เฟย เขียนโคลงตัวอักษร เย่ว์เฟย ได้เขียนตัวอักษร 8 ตัวบนหน้ากระดาษว่า
"เทียนยึเจ้าเจ้า เทียนยึเจ้าเจ้า" แปลว่า พระอาทิตย์ส่งเบื้องนภาสว่างไสว ๆ
คดี ม่อซูโหย่ว นี้ ได้ดำเนินการมานานถึง 2 เดือน แต่การสอบสวนยังหาข้อยุติมิได้ บรรดาเหล่าขุนนางทั่วพระราชสำนัก ต่างรู้กันว่า เทพขุนพล เย่ว์เฟย ถูกปรักปรำ มีขุนนางบางคนที่ใจกล้า ได้เขียนฎีกาถวายพระเจ้า ซ่งเกาจง แต่ก็ถูกมหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ให้ร้ายปลดออกจากตำแหน่ง
ขุนพลเฒ่า หันซื่อจง ก็ทนมิได้ ได้ไปหามหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ด้วยตนเอง ถามว่า ขุนพล เย่ว์เฟย คิดการกบฏ ผลที่สุดมีหลักฐานข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ ตอบว่า
"แม้ว่า เย่ว์เฟย มีจดหมายร่วมมือก่อการกับ จางอี้ แต่ยังปราศจากหลักฐาน แต่คดีนี้ เป็นคดี ม่อซูโหย่ว (หมกซูอู๋..มิสมควรมี)"
ขุนพล หันซื่อจง กล่าวตอบด้วยความเดือดดานว่า
"แค่คำว่า ม่อซูโหย่ว ตัวอักษร 3 ตัว สามารถพิชิตใจบุคคลภายใต้หล้าได้เชียวหรือ ?"
ขุนพล หันซื่อจง รู้ถึงความมิเป็นธรรมของสังคมภายใต้หล้า จึ่งขอถาอนตัวลาออกจากราชการ
วันหนึ่ง มหาอำมาตตย์ ฉินไกว้ กลับจากการเข้าเฝ้า เขาได้ดื่อสุราร่วมกับภรรยานาง หใวงสี ณ หน้าต่างทางทิศตะวันออก เขากำลังถือส้มผลหนึ่ง กำลังคิดจักแกะเปลือกส้มออก นยาง หวางสี นั้น จิดใจโหดเหี้ยมกว่า ฉินไกว้ อีกขั้นหนึ่ง นางรู้ดีว่า ฉินไกว้ กำลังสองจิตสองใจ จักฆ่าเทพขุนพล เย่ว์เฟย ดีหรือไม่ นางหัวเร่อ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น พลางกล่าวว่า
"เจ้าเฒ่าเอ๋ย ยังลังเลมิตัดสินใจ ครั้นถึงเวลา เจ้าจักรู้ว่าการปล่อยพยัคฆ์เข้าป่าไปนั้น ตามยุ่งยากจักตามมายังไง ?"
มหาอำมาตย์ ฉินไกว้ เมื่อฟังคำภรรยเปช่นนี้ จิตใจพลุกพล่าน บังเกิดความมานะ จึ่งรีบเอากระดาษมาเขียนเป็นคำสั่ง ใช้ผู้คนรีบนำเข้าไป ณ คุกอย่างลับ ๆ ดั่งนั้น เดือนที่ 1 พ.ศ. 1685 วีรบุรุษอายุ 39 ปี จึ่งถูกทำร้ายสละชีพถึงตาย พร้อมด้วยบุตร เย่ว์หยิน และนายทัพ จางอี้ ก็ตามสละชีพ
ภายหลังที่เทพขุนพล เย่ว์เฟยถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิต ผู้คุมคุกผู้น้อยของคุก หนินอัน ต่างก็แอบเอากระดูกและศพของ เทพขุนพล เย่ว์เฟย ซ่อนฝังไว้ จนกระทั่งพระเจ้า ซ่งเกาจง ทรงเสด็จสวรรคต คดี ม่อซูโหยว ปองร้ายเทพขุนพล เย่ว์เฟย ถูกรื้อฟื้น แก้ไขเป็นความดีความชอบ พระศพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ได้ถูกนำมาฝัง ณ ข้าง ๆ ทะเลสาป ซีหู (ไซโอ้ว) ณ เมือง หันโจว (ฮั่งจิว) ต่อมาภายหลังก็ได้มีการสร้างศาลเจ้าของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ทางด้านทิศตะวันออกของหลุมฝังศพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ปัจจุบันนี้ ภายในศาลเจ้าอันตระการตา ได้สถิตไว้ซึ่ง เทวรูของเทพขุนพล เย่ว์เฟย อันงามสง่า บนเทวรูปนั้น มีตัวอักษรจีน 4 ตัว ซึ่งเขียนโดยลายมือของเทพขุนพล เย่ว์เฟย ว่า "หวานอว่าเหอซัน (ไห่อั่วห่อซัว)" ซึ่งแปลว่า คืนกลับมาซึ่งแผ่นดินของข้า เป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้ที่พบเห็นอย่างยิ่ง ตรงข้ามหลุมศพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย นั้น ประดับด้วยรูปโลหะของ มหาอำมาตย์ ฉินไกว้, ภรรยานาง หวางสี, ขันนางอาลักษณ์ ว่านซิเซี่ย, และนายทัพ จางจุ้น, ซึ่งได้ร่วมมือกันกล่าวหาให้ร้ายต่อเทพขุนพล เย่ว์เฟย ในลักษณะคุกเข่า สองมือจรดพื้น เป็นที่ถ่มน้ำลายแตะตีแช่งด่าต่อผู้คนที่ไป ๆ มา เพื่อสักการะบูชาต่อหลุมฝังศพของเทพขุนพล เย่ว์เฟย


Create Date : 09 กรกฎาคม 2548
Last Update : 9 กรกฎาคม 2548 22:06:26 น. 0 comments
Counter : 797 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

[wisc] LUNA
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add [wisc] LUNA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.