Free Counters
ปริศนามายามนต์ (ตอนที่ 1 - 5)

โดย :เจี๊ยบ (ลีโอลัคนา) [23 ก.ย. 2541 22:08:01]

@=== เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับที่มาของเรื่อง ===@

ชนเผ่ามายา ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกากลาง เมื่อกว่า 2000 ปีล่วงมาแล้ว
เป็นชนเผ่าที่มีอารยะธรรมรุ่งเรืองที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆร่วมสมัย
วิทยาการต่างๆรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
และเป็นที่น่าแปลกที่อยู่ๆชนเผ่านี้ก็หายไปจากดินแดนของตน โดยปราศจากร่องรอย!
คงไว้เพียงซากอารยะธรรมที่เป็นหลักฐานในการยึนยันว่ามีชนเผ่านี้อยู่บนโลก

[23 ก.ย. 2541 22:10:43]


@=== บทที่หนึ่ง ===@

เสียงเครื่องจักรดังกระหึ่มมาจากหุบเขาที่อยู่ห่างไกลชุมชนแห่งหนึ่งของประเทศเม็กซิโก

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ยืนกอดอกดูการขุดเจาะบริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งเก่าแก่ของชนเผ่ามายา
หลุมขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ภายในหลุมเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้โบราณระเกะระกะเต็มไปหมด

"อัย" เป็นนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่ยังหนุ่มแน่น และหน้าตาดี
เขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังต่องาน แต่ไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย
เพื่อให้งานของเขาบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว
เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

เมื่อสองเดือนที่แล้วเขาและลูกทีมสำรวจ
ได้รับรายงานถึงการค้นพบเมืองโบราณแห่งหนึ่งในเม็กซิโก
และเมื่อพบว่า เป็นร่องรอยของชนเผ่ามายาที่อยู่ๆก็สาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์
พวกเขาจึงรีบรุดมาสำรวจอย่างรวดเร็ว

"เอ้า เร่งมือเข้า ใกล้มืดเข้าไปทุกทีแล้ว"

ผู้นำโครงการหนุ่มตะโกนสั่งงานลูกน้อง
ก่อนเดินไปยังเต็นท์ใกล้ๆ เพื่อดื่มน้ำ

อัยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าเต็นท์
แล้วหยิบรูปของสาวคนรักขึ้นมาเพ่งพิศดูอย่างคิดถึง
สาวสวยผมดำเป็นเงา ดวงตาโตเป็นประกาย
รอยยิ้มที่ดูเหมือนจงใจยิ้มให้แก่เขาคนเดียว
จ้องตอบมาเช่นกัน...

น้ำเสียงหวานระรื่นหูของนนทรีปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงของเขา

"นนไม่อยากให้คุณไปเลย ไกลจะตาย" คนรักสาวบ่นกระเง้ากระงอดใส่ชายหนุ่ม

"ไม่เอาน่า มันเป็นงานนะจ้ะที่รัก แล้วผมก็รักงานนี้มากเลย"

แววตาของอัยเป็นประกายเมื่อพูดถึงงานที่เขารัก นนทรีค้อนใส่ชายคนรัก

"บางครั้งนนก็อดคิดไม่ได้นะคะ ว่าอัยรักงานมากกว่ารักนนซะอีก"

"โธ่ นนจ๋า คุณก็รู้นี่ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน
แต่ผมก็ขาดงานที่ผมรักไม่ได้เหมือนกัน"

อัยพยายามอธิบายให้คนรักเข้าใจ

"เอาเถอะค่ะ" นนทรีตัดบท

"อยากไปก็ไป แต่อย่าให้นนจับได้ก็แล้วกัน
ว่าคุณแอบไปติดใจสาวที่ไหน นนเอาตายเชียว"

อัยหัวเราะ เชยคางของหญิงสาวขึ้นจ้องตาอย่างหลงไหล

"แฟนผมออกสวยอย่างนี้ ผมจะไปมองใครได้อีกล่ะจ้ะ"

สาวสวยเบือนหน้าหลบตาคนรักอย่างเอียงอาย หน้าร้อนผ่าว

"ไม่เอาแล้ว คุยกะอัยทีไรออกนอกเรื่องทุกที นนกลับดีกว่า"

เธอหมุนตัวกลับจะเดินออกไป แต่อัยรีบรวบร่างของเธอไว้ในอ้อมกอด
สูดกลิ่นหอมรวยรินอย่างชื่นใจ แล้วกระซิบข้างหูว่า

"ใจคอนนจะไม่อวยพรให้ผมบ้างหรือจ้ะ
อีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็ต้องออกเดินทางแล้วนะ"

"ปล่อยก่อนสิคะ เดี๋ยวใครมาเห็น นนอายค่ะ"

"ไม่เห็นต้องอายเลย ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าเราเป็นอะไรกัน" ชายหนุ่มพูดเป็นนัยๆ

"บ้า พูดดีๆนะ ไม่งั้น..."

อัยพลิกตัวหญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้า

"ไม่งั้นจะทำไมจ้ะ"

นนทรีทุบอกคนรักแก้ขวย

"ตาบ้านี่ ปล่อยนะ อุ๊ย..."

เสียงนนทรีเงียบหายไปเพราะถูกอัยปิดปากด้วยจุมพิตแสนหวาน
สาวสวยอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของแฟนหนุ่ม
หนุ่มสาวทั้งสองส่งผ่านความรักแก่กันและกันจนลืมเวลา
กระทั่งได้ยินเสียงกระแอมกระไอดังขึ้นข้างตัว
ทั้งคู่รีบผละออกจากกันทันที
นนทรีหน้าแดงซ่านในขณะที่อัยทักทายคนที่เข้ามาขัดจังหวะ

"มีอะไรรึ ทศการ เลือกเวลาเข้ามาดีนักนะ ฮึ่ม!"

ทศการหัวเราะร่า

"ขอขัดจังหวะนิดนึงเพื่อน
เราได้รับคำสั่งให้เลื่อนการเดินทางเร็วขึ้นนะ
อีกสิบนาทีเครื่องจะออก"

"เร็วงี้เชียว" นนทรีบ่น เงยหน้ามองคนรักและกล่าวว่า

"รีบกลับนะอัย นนเป็นห่วง รักษาตัวให้ดีล่ะ"

"จ้ะ ผมจะรีบกลับ"

ทศการแซวขึ้นทันทีว่า

"นนทรีไม่ต้องห่วงหรอกน่า เจ้าอัยไม่ยอมเป็นอะไรแน่ๆ
มันหวงเธอยังกะอะไร แต่ไม่เป็นไรนะจ้ะ ผมยังอยู่ทั้งคน"

ว่าแล้วทศการก็ทำตาหวานใส่แฟนสาวของเพื่อน

"เฮ้ยเจ้าทศการมากไปๆ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ห้ามจีบแฟนข้านะเฟ้ย ไม่งั้นเจ็บ"

"ฮ่าๆๆ เห็นมั้ย พูดไม่ทันขาดคำเลย เริ่มแล้ว"

"บ้าพอกันทั้งคู่เลย" นนทรีบ่นไปยิ้มไป

"โชคดีนะจ้ะอัย"

"นนทรีจะนับวันรอ" ทศการดัดเสียงล้อเลียนก่อนจะรีบหลบฉากไปอย่างว่องไว

อัยลูบไล้รูปของสาวคนรักอย่างรักใคร่และคิดถึง
หลังจากเสร็จงานนี้แล้ว เขาจะได้กลับไปหาคนรักเสียที

ทันใดนั้นเอง เสียงเอะอะโวยวายของคนงานทำให้อัยตื่นจากภวังค์
มาโค่วิ่งมาบอกอัยว่า คนงานขุดเข้าไปในเขตหวงห้าม
แล้วพบโลงโลหะขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ตอนนี้กำลังยกขึ้นมา
อัยรีบเก็บรูปของคนรักเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วรีบวิ่งเข้าไปดูทันที

หีบโลหะขนาดใหญ่ ถูกยกขึ้นมาตั้งไว้ที่ปากหลุมแล้ว
อัยรีบเข้าไปสำรวจอย่างใกล้ชิดทันที

"ยอดมากเลยมาโค่ มันทำมาจากโลหะชั้นดีเลยนะนี่
ไม่เป็นสนิม แถมมีลวดลายสวยงามอะไรยังงี้"

อัยปัดฝุ่นออกจากบางส่วนของโลงอย่างระมัดระวังและถนุถนอม
ไม่นานนัก เมื่อโลงถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงในความวิจิตรพิศดารของโลงใบนี้

"กันจะเอาหีบใบนี้กลับไปเมืองไทย ให้เฟร็ดเป็นคนช่วยเปิด
เขาชำนาญทางด้านนี้"

อัยหันไปพูดกับมาโค่ ซึ่งแสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

"จะดีหรือ นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า ตรงที่เราขุดเจอน่ะ
ไม่ใช่เขตที่เราได้รับอนุญาตให้ขุด ทางรัฐบาลจะได้เอาเราตายปะไร"

"ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกน่า เดี๋ยวก็ให้คนงานจัดการกลบหลุมนั่นให้เรียบร้อย
แล้วเราก็ขุดหลุมใหม่อีกหลุมหนึ่ง ทำเป็นว่าเราเจอใขเขตที่เราขออนุมัติ
เท่านี้ก็เรียบร้อย ง่ายนิดเดียว"

"ก็ตามใจนาย"

มาโค่พยักหน้าตามเพื่อน เพราะรู้ว่าลงอัยต้องการให้เป็นอย่างใดแล้ว
ไม่มีใครจะขัดใจเขาได้

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และทำท่าว่าจะมีพายุ ทั้งหมดจึงต้องรีบเร่งทำงาน
ในขณะที่มาโค่ ควบคุมให้คนงานกลบหลุมที่พบโลงใบนั้น
เขาก็สะดุดตากับแผ่นโลหะทองคำที่ส่งประกายวับวาวหล่นอยู่ใกล้ปากหลุม
เขาเหลือบไปทางอัย แต่อัยก็มัวแต่สนใจกับโลงใบสวยอยู่
มาโค่จึงฉวยแผ่นทองคำนั้นเก็บไว้กับตัว

"มันอาจทำเงินให้กับเราได้"


@=== บทที่สอง ===@

อัยนั่งขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ในมือถือจดหมายลาออกของมาโค่ซึ่งจากไป
หลังจากวันที่เขาตัดสินใจขุดโลงโลหะขึ้นมา โดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลอะไรเลย
ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครระแคะระคายถึงเรื่องที่มาโค่ขโมยแผ่นทองคำมีค่าไปเลย

"มาถอนตัวอะไรกันตอนนี้นะ"

อัยบ่นขึ้นมาอย่างหัวเสีย ที่จู่ๆเพื่อนร่วมทีมก็ถอนตัวไปดื้อๆ
แต่อัยก็ไม่สนใจอะไรนัก เพราะตอนนี้ความสนใจของเขา
มุ่งไปยังโลงใบนั้นต่างหาก

นอกจากโลงใบนี้แล้ว เขาก็ไม่พบอะไรอีกเลย
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยุติการค้นหา
และเตรียมเดินทางกลับเพื่อทำการวิจัยต่อไป

เครื่องบินบรรทุกขนาดใหญ่จอดนิ่งอยู่ที่สนามบินเตรียมบินกลับเมืองไทย
คนงานลำเลียงกล่องขนาดใหญ่ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
เพราะน้ำหนักของมันค่อนข้างมาก
อัยควบคุมการจัดเก็บหีบด้วยตัวเองอย่างพิถีพิถัน เพราะ

"นี่คือหลักฐานที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับเรา"

============================================

ณ. ห้องแล็บแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อัย นนทรี และเฟร็ด ยืนล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง
สายตาทุกคู่มองไปยังโลงโลหะที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วอย่างสนใจ

ลวดลายที่วิจิตรงดงามของโลง ทำให้มันมีค่ามากมายมหาศาล
แล้วของที่อยู่ภายในนั้นล่ะ จะค่ามากมายเพียงใด

"คุณพบมันที่ไหนคะอัย"

"ในป่าแห่งหนึ่งของเม็กซิโกจ้ะ ตามหลักฐานที่เราค้นพบ
บริเวณนั้นเคยเป็นที่ตั้งของชนเผ่ามายา
ก่อนที่พวกนี้จะสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์
และตรงจุดที่เราค้นพบก็เจอร่องรอยที่บ่งบอกว่า
ในอดีต จุดนี้อาจเคยเป็นหลุมทรายดูดขนาดใหญ่มาก่อน"

"ทรายดูดหรือคะ"

"เป็นเรื่องธรรมดามากนะจ้ะ เรามีสิทธิ์พบเจ้าทรายดูดนี่ได้ทุกที่อยู่แล้ว
คุณก็รู้นี่ ว่าหลุมทรายดูดน่ะปุบปับก็มา แล้วก็หายไป"

นนทรีพยักหน้ารับ เธอเองก็พอจะรู้เหมือนกันว่า
ปรากฏการณ์บางอย่าง สามารถก่อให้เกิดทรายดูดได้
และเราไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ตรงไหนเป็นหลุมทรายดูด
เพราะมันอาจปรากฏได้ทุกเมื่อ โดยเราไม่รู้ตัว
และมันอาจหายไปโดยไม่มีร่องรอยว่าเคยเป็นทรายดูดมาก่อนได้ทุกเมื่อเช่นกัน
เท่าที่เคยมีคนวิจัย ก็บอกได้เพียงว่า ทรายบริเวณนั้นจะมีลักษณะกลมมนกว่าที่อื่น
ทำให้สิ่งที่มีน้ำหนักจมลงไปภายใต้ได้

"คุณเปิดมันได้หรือเปล่า เฟร็ด"

อัยหันไปถามที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของทีมวิจัย
ที่กำลังตรวจดูโลงอย่างตั้งอกตั้งใจ
เฟร็ดยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆว่า

"ถ้าไม่สังเกตก็ดูเหมือนมันเป็นแค่โลงธรรมดา
แต่เมื่อตรวจดูแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด
เพราะกลไกซับซ้อนมาก"

หนุ่มผมแดงลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า

"คุณลองดูรอยแยกนี่สิ"

เฟร็ดชี้ให้ดูรอยสลับเป็นฟันปลาที่อยู่รอบๆแท่งโลหะนั้น

"ดูเหมือนเปิดง่าย แต่ถ้าดูให้ดีอีกที"

เฟร็ดชี้อีกรอยหนึ่งให้ทั้งสองดู พร้อมกับอธิบาย

"ตรงนี้เป็นแผงควบคุมวงจรการเปิดของโลงนี่
มีไว้ให้เราป้อนรหัสผ่านของมัน
ถ้าเรากดรหัสผิด วงจรข้างในก็จะสลับที่กันทันที
ซึ่งจะทำให้รหัสของมันเปลี่ยนไปด้วย"

"หมายความว่า โลงใบนี้มีปุ่มล็อคอัตโนมัติหรือครับ"

อัยถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

เขาพยักหน้ารับ

"ใครก็ตามที่ผลิตของสิ่งนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นอัจฉริยะแน่ๆ"

นนทรีกล่าวอย่างทึ่งจัด

"เหลือเชื่อนะครับที่เมื่อสองพันที่แล้วจะมีคนอย่างนี้"

"มีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้
วิทยาการของพวกเขาก้าวหน้ามากทีเดียว
อะไรก็ตามที่อยู่ในนี้จะต้องสำคัญมาก
จึงต้องมีการผนึกไว้อย่างแน่นหนาอย่างนี้" เฟร็ดเสริม

"อาจจะเป็นของมีค่าก็ได้"

อัยตาลุกวาว เมื่อคิดถึงสมบัติมหาศาลที่จะส่งผลให้เขาร่ำรวยขึ้นมาทันที
เขาไม่ใช่คนโลภก็จริง แต่ถ้าหากมีสมบัติล่ะก็
มันก็เป็นของเขาที่ควรจะได้มิใช่หรือ

"หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่โลงศพธรรมดาๆ"

นนทรีแย้งขึ้นมา เพราะเธอขนลุกทุกครั้งที่เข้าใกล้มัน

"ไม่เอาน่าที่รัก คุณก็รู้ว่ามันต้องไม่ใช่แน่ ไม่งั้นใครเขาจะปิดผนึกเอาไว้อย่างดียังงี้"

"นนก็แค่พูดเล่นๆเท่านั้นเองค่ะอัย"

นนทรีหัวเราะเสียงใส กลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ
สาวสวยมองโลงโลหะด้วยความรู้สึกแปลกๆ
เธอมีความรู้สึกหวาดๆยังไงพิกล
กับความเร้นลับที่คนรักของเธอกระหายจะเข้าไปสัมผัส
พร้อมกันนั้นเธอก็เกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที

"อัยคะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร
นนอยากจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
ข้างในมันอับๆยังไงก็ไม่รู้"

นนทรีเอ่ยปากบอกคนรัก

"เอาสิจ้ะถ้าคุณต้องการอย่างนั้น
เฟร็ด คุณจะไปพักบ้างก็ได้นะ
ผมจะอยู่ดูโลงนี่อีกสักหน่อย"

ประโยคหลัง อัยหันไปกล่าวกับหนุ่มผมแดงที่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย

"ก็ดีเหมือนกัน ผมล่ะปวดหัวกับเจ้าโลงนี่เต็มทีแล้ว"

เมื่อนนทรีกับเฟร็ดเดินลับสายตาไป
อัยก็หันกลับมาพินิจพิจารณาโลงโลหะอย่างหลงไหล
ถ้าเพียงเขาเปิดโลงนี้ได้ล่ะก็
มือของอัยลูบไล้โลงตรงหน้าอย่างพิศวงในความงดงามของมัน
โลหะมันวาวระยับสีประหลาดอย่างนี้
จะยังมีในโลกนี้อีกมั้ยนะ อัยคิดด้วยความทึ่ง

"กริ๊ก!"

มือของอัยลูบไปถูกปุ่มๆหนึ่งที่พวกเขามองไม่เห็นในตอนแรก
ทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับโลงโลหะทันที!
ที่แท้ กลไกของโลงไม่ได้อยู่ตรงแผงควบคุมวงจร
หากแต่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ ซึ่งพวกเขาไม่ได้สำรวจในตอนแรก

รอยฟันปลาแยกออกจากกันอย่างแช่มช้า
เมื่อกลไกต่างๆของโลงถูกปลดออก
โลหะหดตัวเข้าไปกลายเป็นแท่นรูปทรงประหลาด
เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในซึ่งทำให้อัยตกตะลึงยิ่งกว่า
แสงสีทองเรืองรองทอประกายวูบวาบ เข้าตาเขาอย่างจัง
จนต้องเอามือป้องหน้า ให้พ้นความสว่างจ้านั้น
พอหายตะลึง อัยก็เขยิบเข้าไปใกล้เพื่อดูสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

"อำพัน!"

อัยอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
แต่เมื่อเขาเพ่งพินิจเข้าไปภายในอำพัน
ก็ทำให้เขาแทบไม่อยากละสายตาไปไกล

เรือนร่างของสาวงามนางหนึ่ง ทอดร่างยาวอยู่ในแท่นอำพัน
ซึ่งเปรียบเสมือนโลงแก้วที่กักขังเธอไว้ภายใน
แต่งตัวงดงามด้วยผ้าไหมแพรพรรณมันระยับ
สวมเครื่องประดับทองคำและมณีล้ำค่า
ใบหน้าที่ชวนฝันนั้นหลับตาพริ้ม
ผมสีทองดกหนาปรกใบหน้า ทำให้ดูอ่อนเยาว์
ริมฝีปากแดงราวกลีบกุหลาบ
อิ่มเอิบไปด้วยวัยสาว ทำให้อัยแทบลืมหายใจ!

@=== บทที่สาม ===@

หลังจากที่อัยเปิดโลงได้โดยบังเอิญแล้ว
ทุกคนในทีมวิจัยตื่นเต้นกันมาก เพราะสิ่งที่พวกเขานำกลับมานั้น
เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบ
ทุกคนจึงพยายามจะไขปริศนาว่าเธอเป็นใคร
ทำไมจึงถูกผนึกไว้ในอำพันขนาดมหึมาอย่างนี้

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า
อำพันซึ่งเป็นยางไม้ชนิดหนึ่งนั้น มีคุณสมบัติในการเก็บรักษาสิ่งมีชีวิต
หรืออะไรก็ตามที่อยู่ภายในได้เป็นพันๆปี
และทุกครั้งที่มีการค้นซากดึกดำบรรพ์ในอำพัน
มักจะเป็นแค่เพียงแมลง หรือเซลล์เล็กๆเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อพวกเขาค้นพบร่างคนทั้งร่าง ที่ยังสมบูรณ์อยู่
ถูกผนึกไว้ในอำพันอย่างนี้แล้ว ย่อมหมายถึง
ชื่อเสียง และเงินทุนสนับสนุนการวิจัยอย่างท่วมท้นเลยทีเดียว

วันต่อมา เฟร็ดกับอัยจึงทำงานในห้องแล็บด้วยความตั้งใจจนดึกดื่น
เพื่อละลายอำพันออกจากร่างหญิงสาวที่ถูกผนึกอยู่ภายใน
แล้วเก็บเธอไว้ในห้องเย็น เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้คงเดิม
จะได้สะดวกในการตรวจสภาพร่างกายในวันรุ่งขึ้น
และพวกเขายังตั้งความหวังไว้ลึกๆว่า
บางที พวกเขาอาจจะสามารถ "ชุบชีวิต" ให้แก่หญิงสาวผู้นี้ได้!

อัยหมุนพวงมาลัยปิดล็อกห้องเย็นอย่างแน่นหนา
ในขณะที่เฟร็ด ตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องแล็บ
ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

====================================

"อัยคะ ตื่นรึยังเอ่ย"

เสียงของนนทรีปลุกให้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
เป็นสัญญาณบอกให้เขารู้ว่า สายมากแล้ว

"มีอะไรหรือนน" อัยเปิดประตูให้แฟนสาวอย่างเนือยๆ

"แหม เดี๋ยวนี้ นนมาหาต้องมีธุระด้วยหรือคะ"

หญิงสาวกระแทกเสียงใส่คนรัก เมื่ออัยทำท่าไม่สนใจเธออย่างที่เคย

"ผมเหนื่อยน่ะเมื่อคืนอยู่ทำงานจนดึก คุณอย่าคิดมากสิจ้ะ"

อัยพูดเสียงอ่อนๆเมื่อรู้สึกว่าทำให้แฟนสาวเสียความรู้สึก
พลางล้มตัวลงนอนบนฟูกหนาอีกครั้ง
นนทรีตามมานั่งข้างตัว เอามือแตะหน้าผากชายหนุ่มอย่างห่วงใย

"ไม่สบายรึเปล่าคะ อัยไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนนี่นา"

"ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่อยากพักผ่อนน่ะ"

"งั้นนนอยู่เป็นเพื่อนนะ"

"จ้ะ" แล้วอัยนอนหลับต่อไปอีกด้วยความเพลีย

นนทรีนั่งมองคู่รักอย่างน้อยใจ
เพราะปกติเขาจะต้องกุลีกุจอเอาใจเธอ
และไม่ยอมปล่อยให้เธอนั่งเหงาอยู่คนเดียวเป็นอันขาด
แต่หลังจากเปิดโลงโลหะนั่นได้แล้ว
ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
อัย หันไปหลงไหลกับเจ้าหญิงนิทราในโลงอำพันนั่น
เฝ้าหาทางชุบชีวิตเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ทุกลมหายเข้าออกของเขา มีแต่ผู้หญิงนางนั้น!
ใครๆต่างก็ตื่นเต้น ที่ได้ร่างที่สมบูรณ์นั้นมาอย่างไม่คาดฝัน
เป็นเพราะอำพันที่ห่อหุ้มตัวหล่อน
ทำให้ร่างกายของเธอไม่เน่าเปื่อย
และตอนนี้ ทุกคนต่างก็พยายามที่จะปลุกให้เธอตื่น
นนทรีไม่อยากจะคิดเลยว่า
ถ้าสาวน้อยคนนั้นเกิดลุกขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ
อัย ของเธอจะพร่ำเพ้อถึงขนาดไหน!
นนทรีเคยปรับทุกข์กับทศการเพื่อนสนิทของอัย
เขาก็ยืนยันกับเธอว่า

"เจ้าอัยก็ยังงี้แหละนนเอ๊ย บ้าเห่อน่ะ
เห็นอะไรแปลกใหม่เป็นไม่ได้
เป็นต้องหาข้อมูลดูให้รู้แน่ ไม่ต้องคิดมากหรอก
อีกไม่นาน มันก็กลับมาเหมือนเดิมแหละ"

นนทรีมองคนรักที่นอนหลับสนิทตรงหน้า
บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองอย่างที่ทศการว่า
นนทรียิ้มอย่างปลอบใจให้กับความกังวลของตัวเอง
เป็นเพราะผู้หญิงในโลงปริศนานั้นแท้ๆเทียว
ที่ทำให้เธอกังวลมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้สาเหตุ ว่าทำไม
แต่ไม่ใช่เพราะความสวยงามของหล่อนเป็นอันขาด
เพราะเธอเชื่อมั่นในความสวยของตัวเองมากพอ
ที่จะไม่วิตกไปกับเรื่องอย่างนี้
แต่เป็นเพราะความลึกลับของหล่อนต่างหาก
ที่ทำให้นนทรีไม่สามารถวางใจได้
นนทรีมองไปยังคนรักด้วยความเป็นห่วง
คงอีกนานกว่าเขาจะตื่น
นนทรีจึงปลีกตัวกลับออกมา
แล้วตรงไปห้องที่เก็บอำพันที่ห้องแล็บ
เพื่อดูความคืบหน้าในการทดลองต่อไป

===============================

เฟร็ดไม่อยู่ในห้องแล็บ
นนทรีจึงมีโอกาสสำรวจร่างนั้นอย่างใกล้ชิด
"มายา" เป็นชื่อที่ทีมงานตั้งให้กับสาวสวยผู้นี้
นนทรีมองร่างของมายาอย่างพิจารณา
เมื่อร่างนี้ถูกนำออกมาจากอำพันแล้ว ยิ่งดูเปล่งปลั่ง
เหมือนคนนอนหลับ นนทรีแทบจะเห็นหล่อนหายใจด้วยซ้ำไป

"ไม่เหมือนศพเลย ถ้าไม่รู้ที่มาเราต้องคิดว่าเธอยังมีชีวิตแน่ๆ"

นนทรีรำพึงอย่างงุนงง

"อ้าว มิสนนทรี มานานแล้วหรือยังครับ"

เฟร็ดกลับเข้ามาพอดีและเห็นนนทรีกำลังยืนสำรวจร่างของมายาอยู่

"มาได้สักครู่แล้วค่ะ เฟร็ด
เป็นไงคะ หาทางชุบชีวิตมายาได้หรือยัง"

"ก็คงต้องอีกระยะหนึ่งน่ะครับ
ตอนนี้เรากำลังตรวจดูระบบต่างๆของร่างกายของเธอ
ว่ายังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า ถ้ายังปกติก็โอเคครับ"

"ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าอำพันจะเก็บรักษาร่างกายเอาไว้ได้สมบูรณ์อย่างนี้"

"ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอล่ะครับมิส" เฟร็ดอมยิ้ม

"ไม่รู้ว่าฟื้นขึ้นมาเธอจะเป็นยังไงนะคะ
อยู่ดีๆก็ฟื้นขึ้นมาในโลกที่เธอไม่รู้จัก"

"นั่นสิครับ"

"แล้วคุณหาสาเหตุการตายของเธอได้หรือเปล่าคะ
ดูเธอเหมือนคนนอนหลับมากกว่า
นี่ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง
ดิฉันต้องคิดว่าเธอเพิ่งจะนอนหลับไปเมื่อครู่นี้เอง"

นนทรีเดินสำรวจรอบๆโลงอำพันสีทองอย่างสังเกต

"นี่สิครับที่เรากำลังพยายามหาสาเหตุอยู่
ว่าทำไม อยู่ดีๆก็เอาเธอมาผนึกไว้กับอำพันขนาดยักษ์นี่
เพราะเท่าที่ผลการตรวจชั้นต้นออกมา
สุขภาพร่างกายของเธอก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ออกจะเยี่ยมด้วยซ้ำไป"

"หรือว่าเป็นการลงโทษคนที่ทำผิดในยุคนั้นคะ"

"ไม่น่าจะใช่นะครับมิส
เพราะถ้าใช่ เราก็ต้องพบร่างอื่นๆ
ในลักษณะเดียวกันนี่อีกแน่ๆ
แต่ไม่ปรากฏว่ามีเลย"

นนทรีมองมายาอย่างใช้ความคิด
หรือว่าหล่อนปีศาจ?
และอำพันนี่เท่านั้นที่จะกักร่างของหล่อนไว้ได้!
แต่นนทรีก็ไม่ได้พูดออกมา
เพราะเกรงจะถูกหัวเราะเยาะ

"ดิฉันไม่อยากให้เธอฟื้นขึ้นมาเลย จริงๆนะคะเฟร็ด"

เฟร็ดหัวเราะ "แต่คุณต้องได้เห็นเธอลุกขึ้นมาเดินได้แน่ครับมิส"

นนทรียิ้มตอบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เธออยู่คุยกับเฟร็ดอยู่อีกไม่นาน ก็ขอตัวกลับ
เฟร็ดอยู่ตรวจร่างกายของมายาอีกพักใหญ่
ก่อนที่จะเก็บร่างของเธอไว้ในห้องเย็นอีกครั้ง
และกลับออกไปเมื่อตอนดึก

========================================

ภายในห้องเย็นที่มืดสนิท
มีเพียงร่างของมายาเท่านั้น ที่ทอดร่างอยู่อย่างสงบนิ่ง
ไอเย็นล้อมรอบตัวเธอเป็นหมอกหนา
ทุกอย่างเงียบสงัด แต่แล้วควันหนารอบตัวเธอกลับเริ่มแยกตัวออก
เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว!

========================================

@=== บทที่สี่ ===@

มายา ลืมตาขึ้นมาในความมืดแล้วค่อยๆยันตัวขึ้นมานั่งตัวตรง
ค่อยๆจรดปลายเท้าลงบนพื้นห้องที่เย็นยะเยียบ
เธอมองไปรอบๆอย่างตรวจตรา
แต่ไม่ได้สะทกสะท้านกับความหนาวเย็นในห้องเลย
ก่อนที่จะนิ่วหน้าเพราะอาการปั่นป่วนในช่องท้อง
ทำให้เธอครางออกมาแผ่วเบา

เสียงดังกริ๊กที่ประตู และแสงสว่างที่เล็ดรอดเข้ามาในห้องเย็น
ทำให้มายาสะดุ้ง ปรากฏว่าผู้ที่เปิดประตูเข้ามา คือเฟร็ดนั่นเอง
เขากลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะลืมของ
และบังเอิญได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องเย็นจึงไขกุญแจเข้ามาดู

"เสียงอะไรกันนะ ยังกับเสียงแมวร้อง
ในนี้หนาวชะมัดเลยแฮะ บรื๋อ..." เฟร็ดบ่นกับตัวเอง

หรือว่ามีขโมย? เฟร็ดเกิดเอะใจขึ้นมา
เขาจึงสาวเท้าตรงไปยังเตียงที่มายานอนอยู่ทันที
เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย แต่กลับไม่ปรากฏร่างของเธออยู่ที่นั่น!

ขณะที่เฟร็ดยืนเกาหัวด้วยความงงอยู่นั่นเอง
พลัน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทางด้านหลัง
พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกัน เหมือนผู้หญิงที่ใส่เครื่องแต่งตัวเต็มกาย
เฟร็ดค่อยๆหันไปเผชิญหน้า ก็พบร่างที่เขากำลังตามหา
ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ เฟร็ดยืนตะลึงอยู่กับที่เหมือนถูกมนต์สะกด

หญิงสาวสวยในชุดทรงของเจ้าหญิงโบราณยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก
ปอยผมสีทองเปล่งประกายสุกใส
ดวงตากลมโตที่ประสานสายตากับเขานั้น เปล่งแววประหลาด
ก่อนที่จะยิ้มเยื้อนอย่างพึงพอใจ

เธอเดินเข้ามาใกล้เฟร็ดอีกจนประชิดตัว
กลิ่นหอมประหลาดรวยรินออกมาจากตัวเธอทำให้เฟร็ดไม่อาจผละหนีได้
ในขณะที่มายายื่นมือมาโอบรอบคอของเขา
และดึงให้เข้ามาแนบชิด
ก่อนที่จะซุกหน้าลงกับซอกคอของเฟร็ด นิ่ง...นาน...

========================================

"เฮ้อัย ทำอะไรอยู่เพื่อน"

ทศการเดินยิ้มร่ามาหาอัย เมื่อพบกันโดยบังเอิญที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง
อัยยิ้มรับ เมื่อมองเห็นชัดว่าใครเข้ามาทักทาย

"มาทานข้าวกับนนทรีน่ะสิ
เนี่ยเขาไปเข้าห้องน้ำ อ้อ นั่นไง เดินมาพอดี"

"หวัดดีจ้า ทศการ ไปไงมาไงเนี่ย"

นนทรีทักทายเพื่อนหนุ่มอย่างร่าเริง
พลางนั่งลงข้างกายอัย
ทั้งสามคนนั่งคุยกันอย่างออกรส
เพราะตั้งแต่อัยกลับมาจากเม็กซิโก
พวกเขาก็ไม่ได้มานั่งคุยกันอย่างนี้เลย
แถมกว่าจะลากอัยให้ปลีกตัวจากงานมาที่นี่ก็แสนจะยากเย็น

"ได้ข่าวว่า ขุดเจออะไรกลับมาด้วยไม่ใช่เรอะ เจ้าอัย"

"ใช่ คุ้มค่าคุ้มเวลาจริงๆว่ะ กินอะไรมารึยัง เดี๋ยวมื้อนี้กันเลี้ยงเอง"

"มันต้องยังงั้นอยู่แล้วเพื่อน ฮ่าๆๆ"

"อย่ากินจนกันล่มจมก็แล้วกันนะเฟ้ย อิๆๆ"

====================================

วันรุ่งขึ้น อัยและนนทรีก็มาทำงานในห้องแล็บตามปกติ
แต่เฟร็ดยังไม่ได้มาทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก
เพราะเฟร็ดไม่เคยมาทำงานสายเลย
แถมยังไม่ได้ล็อคห้องเย็นด้วย

อัยเปิดห้องเย็นเพื่อเข้าไปตรวจความเรียบร้อย
นนทรีก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
ทั้งคู่อยู่ในชุดที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว
เสื้อผ้าที่หนาเตอะทำให้ทั้งคู่ดูตลกมาก
คู่รักทั้งสองคนมองดูกันแล้วหัวเราะ

ภายในห้องมีแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น
เพราะแสงจ้ามากๆอาจทำลายร่างของมายาได้
ทั้งคู่เดินไปยืนอยู่ข้างเตียง
นนทรีมองร่างของมายาด้วยความพิศวง
เพราะร่างนั้น ดูสดชื่นกว่าตอนเอาออกมาจากอำพันใหม่ๆเสียอีก

"ดูสิคะอัย มายาดูแปลกไปนะคะ หน้าตางี้สดชื่นเชียว"

"นนก็ คิดมากไปได้ คนตายนะจ้ะ ไม่ใช่คนเป็น จะได้ยิ้มได้"

"บ้า อัยเนี่ย นนไม่ได้บอกว่ามายายิ้มสักหน่อย เอ๊ะอะไรเนี่ย"

นนทรีก้มลงดูหยดน้ำสีคล้ำหย่อมหนึ่ง ที่กองอยู่บนพื้น
เธอเอามือแตะอย่างสงสัย และเอาไปส่องดูในที่สว่าง

"ว้าย! อัยคะ เลือดค่ะ เลือด"

"ไหน เลือดอะไร เลือดใคร"

อัยกรากเข้าหาคนรักด้วยความเป็นห่วง

"ดูนี่สิคะ นนเจอมันที่พื้นห้องตรงนั้นค่ะ"

อัยเดินไปดูตรงจุดที่นนทรีชี้ ก็พบรอยเลือดหยดเรี่ยราดอยู่

"เอ๊ะ เลือดใคร"

"เลิอดผมเองครับ" เสียงดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้องทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง

"เฟร็ด! คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ในนี้ตลอดคืนเลยหรือไง"

"ใช่"

เฟร็ดตอบรับ แต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่ขยับเขยื้อน

อัยเดินเข้าไปหา พลางถามด้วยความสงสัยว่า

"แล้วคุณไปทำท่าไหนเข้าล่ะ เลือดถึงได้ออก"

"ผมเข้ามาที่นี่เมื่อคืนนี้ เพราะได้ยินเสียงประหลาด
คิดว่ามีขโมยก็เลยเข้ามาดู ก็เลยเกิดการต่อสู้นิดหน่อยน่ะ
พอเจ้าหัวขโมยหนีไป ผมเลยเฝ้าอยู่ในนี้ทั้งคืน
เผื่อมันจะย้อนกลับมาอีก"

"เข้ามาได้ยังไง ก็ห้องล็อคไว้อย่างดีแล้วนี่" อัยบ่นพึมพัม

"สงสัยต้องจ้างยามมาเฝ้าแล้วมังคะ อัย" นนทรีออกความเห็น

"ไม่ต้อง!" เฟร็ดพูดเสียงกร้าว ก่อนที่จะลดเสียงลงเมื่อรู้สึกตัว

"มันคงไม่กล้าเข้ามาแล้วล่ะ ผมเล่นงานมันไปซะอ่วมเหมือนกัน"

นนทรีสบตากับอัย อย่างสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเพื่อนร่วมงาน
แถมยังสามารถอยู่ในห้องเย็นทั้งคืน โดยไม่สวมชุดกันหนาวเสียด้วย
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ครู่ต่อมา เฟร็ดก็เอ่ยปากไล่ทั้งคู่ออกมา
โดยอ้างว่า กำลังค้นคว้าวิธีชุบชีวิตของมายาอยู่ ไม่ต้องการให้ใครรบกวน

พบประตูห้องเย็นปิดลง เฟร็ดจึงเดินออกมาจากเงามืดนั้น
บนลำคอมีรอยเขี้ยวฝังลึกลงไป และรอยเลือดเกรอะกรังติดอยู่ที่ปากแผล
เฟร็ดเอามือลูบคอ พลางทำตาลอยเหมือนคนไร้สติ

@=== บทที่ห้า ===@

เสียงฝีเท้าคนวิ่งเหมือนหนีอะไรสักอย่าง ดังมาจากซอยเปลี่ยวข้างทาง
แล้วหยุดหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ผสมกลัว
ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหงื่อไหลโซมกาย
เงาคนๆหนึ่งทอดร่างมาตรงหน้าเขา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะต้องเอามือป้องหน้า
เพราะแสงไฟจากรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา

"มีอะไรให้ชั้นช่วยมั้ยคะคุณ"

เจ้าของเสียงนุ่มนวลนั้นเดินเข้ามาใกล้
จนได้กลิ่นหอมประหลาด กรุ่นออกมาจากร่างของเธอ

"คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของพวกผู้ดี"

ชายหนุ่มคิด ก่อนจะเพ่งมองไปยังเงามืดด้านหลัง

"ผมหนีพวกอันธพาลมาครับ คุณเองก็เหมือนกัน
ค่ำมืดดึกดื่น อย่าออกมาเดินแถวนี้ มันอันตราย"

สาวสวยยิ้มพราย เผยให้เห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบ
พลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

"ชั้นไม่กลัวหรอกค่ะ"

"อย่าทำเก่งไปนักเลยคุณ ผมขอตัวก่อนล่ะ
คุณก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวพวกมันตามมาเจอเข้า
คุณจะแย่ ยิ่งสวยๆอย่างคุณแล้วเนี่ย
ยิ่งไม่ปลอดภัยนะ"

ชายหนุ่มพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาจากด้านหลัง
พร้อมทั้งเสียงตะโกนโหวกเหวก

"แย่ล่ะ พวกมันตามมาแล้ว เร็วทางนี้"

ชายหนุ่มฉุดมือหญิงสาวให้หลบเข้ามุมมืด ข้างกองขยะ

"ทนเหม็นหน่อยนะคุณ ดีกว่าโดนเจ้าพวกนั้นจับไปปู้ยี่ปู้ยำ"

======================================

กลุ่มอันธพาลวิ่งผ่านไปนานแล้ว
แต่หนุ่มสาวทั้งสองยังคงหลบอยู่ในมุมมืด
สาวสวยสบตาชายหนุ่ม และยกมือขึ้นโอบรอบคอ
รั้งร่างของเขาเข้ามาใกล้ตัว

ครู่ใหญ่ต่อมา สาวสวยก็เดินออกมาอย่างกระฉับกระเฉง
ปัดฝุ่นออกจากตัว ฉีดน้ำหอมกลบกลิ่นขยะ
ยกมือขึ้นเสยผมนุ่มสลวย แล้วเดินลับกายไปทางหลังซอย

=======================================

"หมู่นี้มีคนตายบ่อยนะผู้กอง ผมมอบงานนี้ให้คุณไปจัดการ"

"ครับสารวัตร" ทศการทำความเคารพผู้บังคับบัญชา

"นี่เป็นแฟ้มเอกสารทั้งหมด ผู้ตายมีลักษณะเหมือนกันหมดเลย
คือถูกดูดเลือดจนตาย แถมยังยิ้มได้อีกนะ พิลึกจริงเชียว
อ้อ หมอตรวจพบว่า ที่ตัวของผู้ตายทุกคน
ยังมีกลิ่นหอมประหลาดติดอยู่ด้วย
แต่ไม่มีประเทศไหนยอมรับว่าเป็นผู้ผลิต แม้แต่รายเดียว
ยังไงก็พยายามหน่อยนะหมวด"

"ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดเลยครับสารวัตร"

"ดีมาก แค่นี้แหละ ไปได้"

"ครับผม!"

=======================================

"ก็อย่างที่เล่านี่แหละเพื่อน กันว่าผู้ร้ายรายนี้ต้องเป็นพวกโรคจิตแน่ๆเลย
คิดดูสิ ทุกคนโดนดูดเลือด! สงสัยคิดว่าตัวเองเป็นเคาน์แดร็กคูร่าล่ะมั้ง"

ทศการบ่นให้อัยฟัง ด้วยความกลัดกลุ้ม
เพราะคดีนี้เป็นที่ฮือฮามาก ใครๆก็อยากเห็นฆาตกรถูกจับมาลงโทษ
จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา
แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้ร่องรอยอะไรมากกว่าที่มีอยู่ในมือเลย
หัวหน้าของเขาก็เร่งอยู่ยิกๆ
ยิ่งทำให้เขารู้สึกถูกกดดันยิ่งขึ้น
อัยมองเพื่อนรักอย่างเห็นใจ
จึงปล่อยให้เพื่อนระบายออกมาให้เต็มที่โดยไม่ขัดคอ
ได้แต่เออออไปตามเรื่อง
ในหัวสมองของเขาก็คิดไปถึงงานในห้องแล็บ
ที่เฟร็ดยึดไว้คนเดียว ไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่งด้วยเลย
นี่ก็สองอาทิตย์มาแล้วสินะ...

"อ้ายฆาตกรตัวแสบนี่ อาละวาดมาได้สองอาทิตย์แล้วนะ" ทศการพูดต่อ

"ทำเอาชาวบ้านไม่เป็นอันทำมาหากินไปด้วย
มัวแต่ระแวงคนนู้นคนนี้ นี่ถ้ากันปิดคดีนี้ไม่ได้
คงถูกระเห็ดออกจากงานแน่ๆเลย
เฮ้อ... สมัยนี้ งานยิ่งหายากๆอยู่"

ทศการกระดกวิสกี้เข้าปากไปอีก เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ
ในขณะที่อัยสะดุดตรงที่ว่า ฆาตกรออกเข่นฆ่าชาวบ้านมาสองอาทิตย์แล้ว

"สองอาทิตย์..."

มันพ้องกับอาการแปลกประหลาดของเฟร็ดอย่างไม่น่าเชื่อ
อัยส่ายหัว พลางรินวิสกี้ลงแก้วแล้วยกขึ้นจิบ
นี่เขาท่าจะเพี้ยนไปแล้วละมัง ที่เอาเฟร็ดกับฆาตกรโรคจิตมารวมกันได้
แต่เขาก็รู้สึกสังหรณ์ยังไงชอบกลเหมือนกัน
นี่เฟร็ดกำลังทดลองอะไรอยู่งั้นหรือ
หรือว่าเขาแค่คิดไปเอง แต่เขาก็ตกลงใจที่จะไปพูดกับเฟร็ดให้รู้เรื่อง
อัยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ยังไม่ดึกนัก บางที่เฟร็ดอาจยังอยู่ที่ห้องทดลอง
เขารีบขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานค้างอยู่
แต่ทศการก็เมาพับไปแล้ว จนอัยต้องหิ้วปีกพาไปด้วย
โดยปล่อยให้หลับอยู่ในรถไปพลางๆ ในขณะที่เขาขึ้นไปห้องแล็บ

อัยไขกุญแจเข้าไปในห้อง ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวๆเท่านั้น
ข้าวของทุกอย่างในห้องยังคงจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
อัยเดินดูไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่หน้าห้องเย็นซึ่งประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
เขาเปิดไฟในห้องแล็บ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้องเย็น
แล้วส่งเสียงเรียกเฟร็ด แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ
อัยหลับตาครู่หนึ่ง ให้ชินกับความมืดในห้อง
ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขามองไปรอบๆห้อง
ทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีอะไรถูกเคลื่อนย้าย หรือมีสิ่งแปลกปลอม
อัยเดินไปหยุดที่เตียงของมายา ก็พบร่างของเธอนอนสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม
ชุดทรงของเธอถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว
มีชุดลำลองยาวกรอมเท้าสวมใส่เข้าแทนที่ ซึ่งดูเหมาะกันดี
เครื่องประดับต่างๆที่ติดตัวเธอมา วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งข้างเตียง
อัยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า มายาดูสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อตอนพบเธอใหม่ๆเสียอีก
เขาก้มลงพิศใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธออย่างสังเกตสังกา
ริมฝีปากของมายาดูจะแดงผิดปกติไปสักหน่อย
อัยตั้งข้อสังเกตให้กับตัวเอง
นี่เฟร็ดคงจะไม่เล่นตลกโดยการทาลิปสติกให้หล่อนหรอกนะ
หรือว่าจะเป็น .... อัยรู้สึกว่าเหงื่อชุ่มมือ เมื่อคิดไปถึงเรื่องที่ทศการเล่า
เขากลั้นใจ เอื้อมมือไปแตะที่ริมฝีปากของมายาเบาๆ แล้วรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน
"เลือด!" อัยเอามืออุดปากไม่ให้ร้องออกมา
แล้วก้มลงมองนิ้วเปื้อนเลือดของตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
ดูท่าทางเลือดนี้ยังใหม่ๆอยู่เลย นี่เฟร็ดกำลังทำอะไร
ปลุกมายาให้ฟื้นขึ้นมาเป็นผีดูดเลือดงั้นหรือ อัยถอยหลังกรูดเมื่อคิดไปถึงคำว่า

"ผีดูดเลือด!"

เขารีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจที่จะปิดล็อกห้องเย็นด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเขาก้าวพ้นห้องเย็นออกมา ก็พบว่า เฟร็ดยืนยิ้มรอเขาอยู่แล้ว!

To be continue...


Create Date : 21 มีนาคม 2550
Last Update : 23 มีนาคม 2550 11:25:45 น. 3 comments
Counter : 282 Pageviews.

 
ในที่สุดก็ขุดกรุเรื่องสั้นของตัวเองเจอจนได้

จะทยอยนำมาลงนะคะ ใครอ่านแล้วคิดยังไง ช่วยคอมเมนท์ด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: ลีโอลัคนา (ลีโอลัคนา ) วันที่: 22 มีนาคม 2550 เวลา:8:22:52 น.  

 
ชื่อคุ้นๆ
เลี้ยงแมวด้วยใช่มั๊ยเนี่ย เมื่อกี๊ก็พึ่งไปแกล้งแมวอ้วนๆมา
ผมดูแล้วมีอยู่สิบตอนใช่มั๊ยครับ

อืมม ช่วงสงกรานต์จะมาอ่านนะ


โดย: อุกเงียว (อุกเงียว ) วันที่: 29 มีนาคม 2550 เวลา:16:29:33 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาค่ะ

ตอนนี้ไม่ได้เลี้ยงแมวอ่ะค่ะ แต่เลี้ยงน้องหมาไว้ 2 ตัวค่ะ


โดย: ลีโอลัคนา วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:10:01:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลีโอลัคนา
Location :
นราธิวาส Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาทำความรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ นะคะ เจี๊ยบเองเล่นพันทิปมานานแล้วตั้งแต่
สมัยเพิ่งเปิดบอร์ดใหม่ๆ ก็ว่าได้

ตอนนั้นใช้ล็อกอินว่าเจี๊ยบกับอูฐสนธยา
ที่มี 2 ชื่อ ก็เพราะพันทิปมีการปรับปรุง
ระบบเรื่อยๆ จึงต้องสมัครใหม่หลายรอบ

ได้ประจำอยู่ห้องสมุดและถนนนักเขียน และร่วมสนุกเขียนเรื่องสั้นมาหลายเรื่อง เสียดายที่ผลงาน+กระทู้ที่เซฟเก็บไว้
ได้สูญหายไปหมดเสียแล้ว T__T

ต่อมาเมื่อเรียนจบก็ห่างหายไปเสียนาน จนได้หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้
ปัจจุบันจะขลุกอยู่ห้องหมาในจตุจักรค่ะ

Google

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ลีโอลัคนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.