Pfingstmontag
วันนี้ก็เป็นวันหยุดต่อเนื่องมาจากเมื่อวันอาทิตย์นั่นแหละ เราเลยได้หยุดกันยาวมาตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันจันทร์ แต่เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ทำให้เราไม่ได้วางแผนไปเที่ยวไหนกันไกล ๆ แต่ก็ได้ไอเดียว่า ในเมื่อไม่ได้ไปไหนไกล ก็เที่ยวมันแถว ๆ บ้านเรานี่แหละ ลองดูสิว่า แถว ๆ บ้านมันมีอะไรให้ได้เที่ยวกันบ้างคุณชายก็เลยเสนอความคิดเห็นว่าไปที่ Yburg กันดีกว่า Yburg เป็นชื่อของ Burg ที่อยู่ในเมือง Steinbach ไม่ไกลจากหมู่บ้านเรานัก ความหมายของ Burg ก็คือปราสาทนั่นเอง ส่วนมากทุก ๆ เมืองก็จะมี Burg ตั้งอยู่บนยอดเขากันเกือบทุกเมือง ที่หมู่บ้านเก๋ก็มี จำได้ไหมเคยพาไปดูมาแล้วไงพอดีว่าวันนี้เมกับสามีมาดื่มกาแฟด้วยตอนบ่าย เราเลยชวนทั้งคู่ไปด้วยกัน เปิดประตูบ้านออกไป แดดก็ยังออกดีอยู่หรอก แต่พอขับรถออกไปยังไม่ถึง 5 นาทีเลย ฟ้าเริ่มมืดครึม เราขับรถออกจากบัานกันตอน 6 โมงครึ่งได้ ไม่ไกลขับประมาณ 15 นาทีก็ถึง Steinbach แต่ที่ช้าเพราะมัวแต่หาทางไป Yburg ไม่เจอ ฝนก็ตกลงมาแล้วด้วย เสียอารมณ์ ลงมติว่าขับรถกลับบ้านดีกว่า แต่พอเลี้ยวรถดันเห็นทางขึ้นปราสาทจนได้ มีหรือที่คุณชายจะไม่ไปน่ะ มาถึงนี่แล้ว ไอ้เราก็บอกว่า ไปดูเฉพาะข้างนอกแล้วกัน ถ้าฝนไม่หยุดไม่ลงจากรถนะปรากฏว่าพอถึงลานจอดรถหน้าปราสาท ฝนหยุดค่ะ ลงเม็ดปรอย ๆ เท่านั้นเอง เป็นอันว่าพวกเราต้องลงจากรถกัน อ่านประวัติความเป็นมากันซะก่อน แต่ไม่มีใครแปลให้เก๋เลย ใจดำ แล้วจะพามาด้วยทำไมกันล่ะนี่ ฝนยังตกนิดหน่อยเห็นน้องหมาตัวนี้อยู่ในรถ เจ้าของไปไหนไม่รู้ น่าสงสาร ไอ้เราเดินสำรวจรอบรถ เขาไม่ได้เปิดหน้าต่างเอาไว้เลย แง้มไว้สักนิดก็ไม่มี มันจะตายไหมนี่ จะเอามาด้วยทำไม ถ้าเอามาแล้วขังไว้ก็ปล่อยให้มันอยู่บ้านดีกว่า มีน้ำโห แต่มารู้ทีหลังว่า เจ้าของน่ะ เข้าไปกินอาหารในร้านด้านในปราสาท เลยเอาหมาไว้ในรถ มันใช้ได้ไหมล่ะนี่ประวัติความเป็นมาของปราสาท กับแผนที่ในเขตปราสาท แต่ไม่มีใครอยู่รอ หรือแปลให้เลย เดินหนีไปข้างในกันหมดแล้ว แล้วจะเอาข้อมูลที่ไหนมาบรรยายล่ะนี่ คราวนี้ดูรูปอย่างเดียวแล้วกันเนอะโฉมหน้าของพวกไม่ที่ไม่รอเรา เดินหนี่เข้ามาก่อน ซิก็อีกคน ได้เพื่อนแล้วลืมกันเลยนะภายในเขตของปราสาทมีร้านอาหารด้วย ตรงดิ่งไปดูรายการอาหาร และราคากันก่อนเลยนะ แต่ไม่ค่ะ วันนี้เรามาชมวิวบนปราสาทกันเฉย ๆ ไม่ได้จะมากิน ติดเอาไว้ก่อนแล้วกัน นี่แหละ เราจะขึ้นกันไปบนปราสาทนี้แหละ แต่งานนี้แค่เก๋กับซินะ เมขึ้นไม่ไหว หนักท้อง ดูเอาสิ อย่างงี้จะเดินขึ้นไหวไหมล่ะ ปล่อยให้เดินเล่นอยู่ข้างล่างเถอะบันไดที่เดินขึ้นยอดบนปราสาท เก่ามาก มืดมาก ไม่มีไฟไฟ้เลย มองไม่ค่อยจะเห็นทางเดินเลยเดินตามพี่มาช้า ๆ น้อง ไม่ต้องกลัว ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว สวยจัง ลมแรงด้วย แต่ว่าวิวมองไม่ค่อยได้ไกลเท่าไหร่ เพราะฝนเพิ่งจะหยุดตก ยังมีหมอกอยู่เลย น่าเสียดายวิวจากด้านบน หมอกเยอะ รูปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่วิวอีกด้านหนึ่ง แต่มองไม่เห็นหมู่บ้านที่เราอยู่ เพราะว่าโดนเขาอื่นบังไว้เที่ยวสบาย ๆ ใกล้ ๆ หมู่บ้าน ก็มีความสุขไปอีกแบบหนึ่งนี่แหละตัวปราสาท Yburg ที่ยังคงเหลืออยู่ ส่วนด้านกำแพงรอบ ๆ ก็พังไปเกือบหมดแล้ว บรรยากาศหลังฝนตกดีมาก ๆ เลย ได้กลิ่นดินด้วย ชอบจัง เสียแต่พื้นแฉะนิดหน่อยนี่แหละวันหยุด 2 วันของเรา 2 คน ต้องรอดูว่าวันหยุดคราวหน้าจะได้ไปเที่ยวไหนอีก
Pfingstsonntag
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวัน Pfingstsonntag เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของทางศาสนาคริสต์ แต่ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไรนั้น เก๋ก็ไม่ค่อยรู้มากเท่าไหร่ ไ่ถ่ถามได้ใจความมาว่า เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของศาสนาคริสต์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่7หลังวัน Chr.Himmelfahrt ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสตขึ้นสวรรค์ตามปรกติในวันนี้อากาศที่นี่จะดีมาก ๆ ปีที่แล้วเรา 2 คน ก็ไปปั่นจักรยานกับเพื่อน ๆ แต่ปีนี้เนื่องจากอากาศแย่มาก ๆ ยังหนาวอยู่เรื่อย ๆ บวกกับฝนยังคงตกอยู่เล็กน้อย ทำให้วันนี้เราไม่มีโปรแกรมที่จะไปข้างนอกกันเลย ตื่นเช้ามาฝนตกเล็กน้อย ท้องฟ้ามืด ๆ มัว ๆ เราก็คุยกันว่า สงสัยคงไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านดูหนังกันดีกว่า แต่พอตกเย็น แดดออกซะงั้น เราก็ไม่รอช้า รีบกางแผนที่หาที่เที่ยวกันดีกว่า นาน ๆ จะมีแดดสักทีเรื่องอะไรจะนั่งอยู่แต่ในบ้าน ว่าแล้วก็คิดขึ้นว่าไปเดินเล่นแถวแม่น้ำไรน์กันดีกว่า เห็นเพื่อนบอกว่าเขามีแพให้ข้ามไปฝั่งฝรั่งเศษได้ด้วย คุณชายเห็นดีด้วย งั้นเราก็เตรียมตัวไปกันเลยดีกว่าเราออกจากบ้านกันตอน 5 โมงเย็น โทรหาเม กะว่าจะชวนให้ไปด้วยกัน แต่ไม่มีใครรับสายซะงั้น งั้นเราก็ไปโรแมนติกกัน 2 คนก็ได้ เห็นแดดจัดแบบนี้ แต่มีลมพัดอยู่เรืื่่อย ๆ เล่นเอาหนาวเหมือนกัน เราขับรถกันไปเรื่อย ๆ ดูวิวทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อยเปื่อย เห็นได้ว่า อากาศปีนี้แย่จริง ๆ ปีที่แล้วตอนกุ๊กมาเที่ยวเมื่อเดือนเมษายน ดอกแอ๊ปเปิ้ลออกดอกบานเต็มไปหมด แต่ปีนี้เดือนมิถุนายนแล้ว ดอกยังเป็นดอกตูมอยู่เลย เฮ้อ ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดหนาวซะทีเราใช้เวลาขับรถจากบ้านประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ก็ถึงท่าจอดแพสำหรับข้ามไปฝั่งโน้น สำรวจราคาค่าข้ามแล้วถึงได้รู้ว่าเขาให้ข้ามฟรี ไม่ว่าจะเป็นรถหรือว่าคน ถ้าอย่างนี้จะรอช้าอยู่ทำไม ใช่ไหมล่ะยืนดูแผนที่กันก่อนว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เรากำลังอยู่ที่ปลายสุดด้านซ้ายมือของแผนที่ไปรอเข้าแถวลงแพกันดีกว่าเรื่อจากฝั่งฝรั่งเศษกำลังจะเข้าท่าฝั่งเยอรมันแล้วและแล้วเรา 2 คนก็อยู่บนแพแล้ว เร็วมากจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้นใช้เวลาไม่น่าเกิน 5 นาทีพอแพจอดก็รีบวิ่งขึ้นมาก่อนเลย เพราะอยากถ่ายรูปเย้ เรามาฝรั่งเศษกันแล้ว แต่ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกนะ แค่ข้ามมาเฉย ๆ มาเดินเล่นริมแม่น้ำไรน์รถจากฝั่งฝรั่งเศษรอคิวลงแพข้ามไปฝั่งเยอรมัน เห็นรถคันนี้แล้วชอบ บึกบึนดีพวกเรายืนมองข้ามแม่น้ำไป นั่นไงประเทศเยอรมันยืนรับลม สูดอากาศบริสุทธิ์ ดีกว่านอนอยู่บ้านเฉย ๆ เนอะทำไมฝั่งนี้มีหงส์เต็มไปหมด ฝั่งเราไม่เห็นมีเลย หันหลังไปอีกที ถึงบางอ้อ ก็ฝั่งนี้เขามีร้านรถขายของกิน เครื่องดื่ม ที่ริมฝั่งเลย คนกินขนมปังเหลือ ๆ ก็โยนให้กิน หงส์เลยมาอยู่แถวนี้เยอะ ฝั่งเยอรมันตรงท่าแพมีแต่ร้านอาหาร แต่ไม่ได้อยู่ติดริมน้ำ เลยอดดูหงส์เลยบรรยายว่าอะไรดีล่ะนี่นี่ไงรถขายของริมแม่น้ำ ตรงนี้มีอยู่ร้านเดียวเอง ซื้อขนมปังไส้กรอกกินกันดีกว่าอร่อยดี ไส้กรอกของฝรั่งเศษอร่อยดี อร่อยกว่าของเยอรมันอีกนะแต่คุณชายบอกว่าเบียร์ฝรั่งเศษไม่อร่อยเลย ของเยอรมันดีกว่า โรครักชาติกำเริบ ขนมปังไส้กรอก 1 อัน เบียร์ 1 ขวด โค้ก 1 กระป๋อง 6 ยูโร แพงไหมชมวิวก็แล้ว เดินเล่นก็แล้ว กินก็อิ่มแล้ว งั้นเรากลับฝั่งบ้านเรากันเถอะ กลับมาฝั่งนี้ก็ยังเห็นแดดออกดีอยู่เลย นั่งเล่นต่ออีกหน่อยแล้วกันฝรั่งน่ะ เห็นแดดไม่ได้ ต้องรีบออกมานั่ง พวกเขาอยากมีสีผิวแทน สีคล้ำกัน เขาบอกว่า ถ้าฝรั่งมีสีผิวแทนแปลว่าเป็นพวกมีเงิน ไปเที่ยวบ่อย ผิวเลยคล้ำ แต่ถ้าผิวขาว ๆ แปลว่าได้แต่ทำงานแล้วก็อยู่แต่บ้าน ไอ้เราน่ะคล้ำอยู่แล้ว ตากแดดนิดเดียวก็ดำเลย เฮ้อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกริมแม่น้ำไรน์กันซะหน่อยกำลังจะกลับกันแล้ว ไม่มีอะไรทำ กระโดดโลดเต้นสักนิดหน่อย ให้อาหารมันย่อย ก่อนที่จะไปกินมื้อค่ำที่บ้านกันต่อกระโดดไม่ถูกใจผู้กำกับ เลยสั่งให้กระโดดให้อีกหลายรอบ จนเป็นที่พอในของท่านผู้กำกับเขาล่ะ เล่นเอาคนละแวกนั้นที่มานั่งปล่อยอารมณ์ มองมากันเป็นแถว ก็จะไม่ให้มองได้ยังไงล่ะ เขานั่งรับลมกันอยู่เงียบ ๆ ยัยบ้านี่มากระโดดอะไรอยู่ได้ โดดไปหัวเราะไป แต่ภาพนี้คุณชายเขาชอบ บอกว่าเห็นพุงอ้วน ๆ ด้วยล่ะอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว เพราะว่าลมพัดมาจากแม่น้ำ ทำให้รู้สึกหนาว ๆ ขาเดินไปลานจอดรถ มองย้อนกลับขึ้นไปตรงริมแม่น้ำ จะเห็นได้ว่า คนที่นี่ชอบธรรมชาติ ไม่มีอะไรทำ ได้นั่งมองก็เพลิน ก็เป็นสุข เหมือนเรา 2 คน ขับรถกลับบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้ได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติกันเต็ม กลับถึงบ้านก็ 2 ทุ่มเห็นจะได้ ฟ้ายังไม่มืดเลย ชอบจัง ถ้าเป็นหน้าหนาวเหรอ 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว แต่ว่าตอนนี้จะเรียกว่าหน้าอะไรดีล่ะ จะร้อนก็ยังไม่ใช่ จะหนาวก็ไม่ถึงกับหนาวจัด เรียกไม่ถูก เฮ้อ
สงกานต์นี้ที่เยอรมัน ภาค 4
พรุ่งนี้กุ๊กก็ต้องกลับซะแล้ว เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วอะไรแบบนี้ วันนี้เลยถือโอกาสพาเที่ยวใกล้ ๆ บ้านกันแล้วกัน ที่แรกเลยคงจะไม่พลาด Schwarzwald หรือเขา Black Forest นั่นเอง ลืมบอกไป Schwarzwal นี่อยู่ใกล้บ้านเอามาก ๆ ขับรถจากบ้านขึ้นไปนิดเดียวเอง เนื่องจากทางที่เราไปมันเป็นทางตัดเขาด้านใน เราจึงใช้เวลาประมาณ 15 นาทีได้ ก็จะถึง Mummelsee รูปนี้เป็นจุดชมวิว ก่อนถึง Mummelsee วันนี้มีหมอกเลยมองเห็นได้ไม่ไกล ถ้าแดดดี ๆ ไม่มีหมอก เราสามารถมองเห็นฝรั่งเศษกันได้เลย (จริง ๆ ที่ระเบียงบ้าน ถ้าวันไหน อากาศดี ๆ จะมองเห็นฝรั่งเศษเหมือนกัน)Mummelsee เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอยู่ทุกวัน เราขึ้นไปไม่ถึงยอดเขา Schwarzwald กันหรอก เพราะว่ารถขึ้นไปไม่ถึง เราต้องเดินทางเท้าขึ้นไปกัน แต่ว่าวันนี้กุ๊กขอบาย ไม่เอาด้วย เดินเที่ยวรอบ ๆ Mummelsee ก็พอ ที่นี่เขามีเรื่องเล่ากันไว้ว่า เป็นที่อยู่ของราชาที่ท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นปลา เหมือนนางเงือกเลย แต่เป็นผู้ชายนะรูปนี้ถ้าเป็นตอนหน้าหนาว น้ำในนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง บางปีหนาขนาดที่ว่าลงไปวิ่งเล่นได้ แวะซื้อของฝากกันหน่อยดีกว่า ก่อนที่จะพาไปช็อปปิ้งที่เมืองคนรวยกันถ่ายที่หน้า Kurhaus & Casino ใน Baden-Baden ส่วนรูปนี้เป็นทางเดินเข้า Casino คนละด้านกับรูปแรก ตรงนี้เป็นแหล่งช็อปปิ้งของ Baden-Baden พวกเราได้แต่เดินดู เพราะไม่อยากเสียเงิน ของอะไรไม่รู้มีแต่แพง ๆ ถนนหนทางที่นี่เขาก็สะอาดกันดี ลืมพากุ๊กขึ้นรถเมล์ เลยได้แต่ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกวันนี้กลับบ้านแต่วัน เพื่อที่ทำอาหารเลี้ยงส่งกุ๊กกันซะหน่อย พรุ่งนี้ก็จะกลับซะแล้ว มื้อเย็นนี้ก็พิเศษกันหน่อยแล้วกันโชคดีของกุ๊ก วันนี้คุณชายลงมือทำ Spätzle ด้วยตัวเอง (ของโปรดเลยล่ะ) ไอ้เราก็มีหน้าที่อบไก่ ส่วนกุ๊กมีหน้าที่รอชิมProst und guten Appetit! เจริญอาหารกันไปตามระเบียบ ก่อนจะนอนคุยกันส่งท้าย16 เมษายน 2548ตื่นแต่เช้าอีกเหมือนเดิม ไปส่งกุ๊กที่สนามบิน ว่าไปเช้าแล้วนะ คนรอเช็คตั๋วเยอะมาก ทำให้ไม่มีเวลาได้นั่งเม้าท์กันเลย ยืนรอส่งกุ๊กเข้าด้านใน กุ๊กหันมาบ๊ายบาย น้ำตาไหลออกมาทันที เฮ้อ เพื่อนกลับซะแล้ว เราก็ต้องเหงาอีกแล้วสินี่ แต่ในระยะเวลาสั้น ๆ 5 วัน เรา 2 คนก็สนุก และประทับใจด้วยกันทั้งคู่
สงกานต์นี้ที่เยอรมัน ภาค 3
13 เมษายน 2548วันนี้คงไม่พาไปเที่ยวไหนไกล เพราะเหนื่อยเต็มที่กันมา 2 วันแล้ว กลัวว่าคนขับรถจะล้มป่วยไปซะก่อน เราเลยเปลี่ยนแผนพาทัวร์ในหมู่บ้านกันบ้างแล้วกัน ดูว่ามีอะไรกันบ้างแถวบ้านที่อยู่น่ะภาพนี้ถ่ายรูปที่หน้าบ้าน กุ๊กอยากได้ภาพเป็นที่ระลึก ก็จัดให้ พาเดินวนรอบหมู่บ้าน แต่ขาขึ้นนี่มันต้องเดินขึ้นเขา เล่นเอาหอบกันเล็กน้อย แต่เดี๋ยวสบายขาลง เห็นกันหรือยังว่าเก๋เขาอยู่ที่หมู่บ้านนี่น่ะเดินกันได้ครึ่งทางเล่นเอาได้เหงื่อเหมือนกัน จากที่ใส่เสื้อคลุมกันตอนแรก ต้องถอดออกกันซะแล้ว กุ๊กถึงกับบ่น ดีนะืัที่ก่อนมาฉันฟิตร่างกายมาก่อน ไม่นึกว่าจะเดินกันเป็นกิโลขนาดนี้แวะพักเหนื่อยเดี๋ยวค่อยเดินต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าขำอะไรกันนักหนา จำไม่ได้ซะแล้ว14 เมษายน 2548วันนี้พากุ๊กไปนั่งเรือล่องแม่น้ำไรน์กัน จะพาไปดูภูเขาร้องเพลงได้ ที่มีชื่อว่า Loreley คุณชายเขาบอกว่า เมื่อก่อนคนที่ล่องเรือผ่านภูเขา Loreley จะได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงร้องเพลง แต่ไอ้ตอนที่ไปน่ะ ได้ยินเสียงร้องเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เสียงจริง ๆ เขาเปิดเทปเอาน่ะ ล่องเรือขาไป พอเขาหยุดที่สถานีสุดท้าย เราสามารถขึ้นฝั่งไปเดินเล่น หาอะไรกินกันได้ เราก็ไม่รอช้า ไปสิ จะเหลือเหรอ แต่เป็นการสำรวจพื้นที่อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกินข้าวด้วย เนื่องจากเขามีเวลาให้แค่ 45 นาทีเอง กว่าจะสั่งอาหาร รอ แล้วกิน เวลาก็เกือบหมดแล้ว ต้องรีบกลับมาลงเรือ เพื่อล่องกลับที่ท่าเดิม แล้วก็ขับรถกลับบ้านกัน ไปนั่งเม้าท์กันที่บ้านบ้างเถอะ มายังไม่ค่อยจะได้เม้าท์กันเท่าไหร่เลย
สงกานต์นี้ที่เยอรมัน ภาค 2
12 เมษายน 2548หลังจากที่เที่ยวกันซะเหน็ดเหนื่อยจากเมื่อวาน เล่นเอากุ๊กสลบไปในทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เช้านี้เราก็ต้องตื่นกันแต่เช้าอีกแล้ว เพื่อนที่จะต้องขับรถทางไกลไปขึ้นเขากัน เช้านี้ไม่ลืมที่จะเตรียมเสบียงตุนไว้ให้เรียบร้อย ระหว่างทางจะได้แวะพักเติมพลังกันได้ เมื่อพร้อมได้ที่ เราก็มุ่งหน้าไป Bayern (บาเยิร์น) เป็นแคว้นทางใต้และเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดของสมาพันธรัฐ เยอรมนี จำได้ว่าเราขับรถกันประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ๆ ได้ แต่ก็ว่าคุ้มค่า เพราะว่าที่ Zugspitze เป็นเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน บนยอดเขานี้จะมีหิมะตลอดทั้งปี แรก ๆ กุ๊กก็บอกอากาศเย็นสบายดี แต่พอลงจากรถเท่านั้น โอ้แม่เจ้า ทำไมมันเย็นขนาดนี้นะ วันนี้คนมาเที่ยวเยอะมาก ขนาดเป็นวันธรรมดานะ กว่าจะหาที่จอดรถได้เล่นเอาวนอยู่หลายรอบ จอดเสร็จไม่รอช้า รีบไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าไปบนยอดเขากันดีกว่า ค่าตั๋วไม่ใช่ถูก ๆ 30 ยูโร ต่อคน แต่ก็ถือว่าคุ้มแหละ เพราะว่ามันสวยจริง ๆ กระเช้าใหญ่ดีเนอะ แต่เที่ยวนี้มีคนขึ้นแค่ 4 คนเอง พวกเราน่ะมาช้าไปแล้ว คนอื่น ๆ เขามาถึงไปตั้งแต่เช้าแล้ว จะไม่ให้ช้าได้ยังไง มันอยู่ไกลบ้านขนาดนี้ ภาพนี้ถ่ายระหว่างนั่งกระเช้าขึ้นบนยอดเขาและแล้วเราก็ได้มาเหยียบยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน ที่มีชื่อว่า Zugspitze “Höchster Berg Deutschlands” 2 สาว ถ่ายรูปเป็นหลักฐานกันซะหน่อยยืนยันว่า้มาเที่ยวกันจริง ๆ Zugspitze นี่อยู่ใกล้กับ Tirol ใกล้กันขนาดไหนดูได้จากรูป Tirol เป็นเขาที่อยู่ในเขต Austria ติดกับ Swissดื่มด่ำธรรมชาติบนยอดเขาจนเป็นที่พอใจ เราก็นั่งกระเช้าลงไปตรงจุดที่เขาใช้สำหรับเล่นสกี เราสามารถสัมผัส และเล่นกับหิมะได้ที่ตรงนี้ภาพนี้ก็ถ่ายจากบนกระเช้าขาลงโอ้แม่เจ้า หนาวไหมกุ๊ก ขาชาหรือยัง อยากรู้ไม่ใช่หรือว่าหิมะหนาขนาดไหน ตอนนี้ได้รู้กันแล้วล่ะเพลิดเพลินกันเต็มที่ ก็ได้เวลานั่งรถไฟลงจากยอดเขา เปลี่ยนเส้นทางลง เพื่อที่จะได้ดูธรรมชาติด้านอื่นของเขากันบ้าง จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านกันดีกว่า เหนื่อยกันเหลือเกิน สงสารก็แต่คนขับรถ ไม่ได้พักกับเขาเลย ขับคนเดียว คนอื่นเขาหลับกันหมดขากลับ