|
โกร๋น
โกร๋น
รัน
หลายปีก่อน กลางดึกของคืนหนึ่งในเดือน 12 ลูกหมาน้อยขี้เหร่ดิ่งลงมาจากท้องฟ้ามืด ผ่านหน้าพระจันทร์ดวงกลมโต ดวงดาวระยิบระยับ ทะลุปุยเมฆสีขาว ตกสู่แถบสายรุ้งจากสีม่วงลงมาถึงสีแดง มีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังคลออยู่ตลอดเวลา มันยังคงลอยละลิ่วลงมาเรื่อยๆ และหายวับไปตรงลังไม้เก่าๆ บริเวณกองขยะหลังตลาดสดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ...
1 แรกที่นายอุ้ม โกร๋น เข้าบ้าน เสียงไม่พอใจของเมียดังลั่นขึ้นต้อนรับทันที ด้วยเธอเกลียดขนหมาที่มักร่วงหล่นลงในบ้านให้รำคาญเป็นที่สุด ต่างจาก นาย ที่รักหมาเป็นชีวิตจิตใจ
ลูกหมากำพร้า เลี้ยงไว้เอาบุญเถอะน่า มันคงขนไม่ร่วงเหมือนเจ้าตัวก่อนที่เพิ่งตายไปหรอก เอ้า ! ก็ดูสิ เจ้านี่มันมีขนกับเขาที่ไหนกัน
นายยื่นโกร๋นที่ยังตัวเล็กไปให้ เธอกลับสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง อุ้มลูกน้อยวัยไม่กี่เดือนแนบอก กระแทกเท้าปึงปังขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
เมียฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ แกมาอยู่ที่นี้ ก็ทำตัวให้เขาเอ็นดูหน่อยละกัน นายพูดยิ้มๆ ขณะจ้องมองมาที่ตัวโกร๋น ซึ่งในตอนนั้นมีแต่ขนสั้น ๆ สีขาวกะหรอมกะแหรมติดอยู่ตามตัว มองเห็นผิวสีแดงระเรื่อเป็นหย่อมๆ คล้ายลูกหนูมากกว่าลูกหมา
เออ
ว่าแต่ว่า ฉันควรจะเรียกแกว่าอะไรดีหละ..
แล้วนายจึงพูดกลั้วเสียงหัวเราะขึ้นมาว่า เรียก โกร๋น ก็แล้วกันนะ ฮ่า ฮ่า โกร๋นเอียงคอมองหน้านาย นึกสงสัยในใจว่านายหัวเราะทำไมน้า...า...า ?
2 โกร๋นเป็นหมาลูกครึ่ง พ่อเป็นหมาฝรั่ง ตัวโต มีขนสีขาวยาวรุงรัง อาศัยในร้านชำเล็ก ๆ ในตลาดสด ส่วนแม่เป็นหมาไทยข้างถนน-ใช้ลังไม้เก่าๆ ตรงกองขยะหลังตลาดซุกหัวนอน ในคืนหนึ่งของเดือน 12 พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า พ่อกับแม่ของโกร๋นเกิดได้เสียกัน ตอนที่แม่ตั้งท้องอ่อน ๆ เจ้าของของพ่อก็ย้ายร้านหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะเกิดเจ๊ง เมื่อมีร้านเซเว่น อีเลิฟเว่นมาเปิดแข่งขึ้นใกล้ๆ พ่อกับแม่ของโกร๋นจึงต้องพลัดพรากจากกันไปในที่สุด
หลังแม่คลอดลูกออกมาได้ครอกหนึ่ง ราว 4-5 ตัว ผู้คนต่างเลือกเอาพี่น้องตัวสวย ๆ ไปหมด ทิ้งหมาอาภัพขนและแสนขี้เหร่ อย่างโกร๋นไว้เพียงตัวเดียว ชีวิตของโกร๋นเมื่อแรกเกิด จึงมีแต่แม่เพียงคนเดียว เอ๊ย ! ตัวเดียวเท่านั้นจริงๆ
เช้าตรู่ของวันอันร้าย แม่ถูกคนใจร้ายวางยาเบื่อ นอนตายตัวแข็งทื่ออยู่ข้างกายโกร๋น เมื่อโกร๋นตื่นขึ้น คิดไปว่าแม่ยังหลับอยู่ สักประเดี๋ยว คงจะตื่นขึ้นมาให้นม เฝ้าคลอเคลียอยู่กับซากศพแม่จนรู้สึกหิว ก่อนพึมพำออดอ้อนที่ข้างหูแม่ และส่งเสียงครางหงิง ๆ ว่า แม่ตื่นเถอะ ป๋มหิวนมแล้วฮับ
กระทั่งแดดยามสายโรยตัว พนักงานเก็บขยะ 2 คน จึงมาพบศพของแม่ พวกเขากันตัวโกร๋นให้ออกห่างจากตัวแม่ เพื่อนำร่างนั้นไปโยนใส่ไว้ในรถเก็บขยะสีเหลืองอ๋อยที่จอดอยู่ริมถนน
แม้จะกลัวคนตัวโตๆเหล่านี้ สักเพียงใด แต่โกร๋นก็ไม่ยอมให้ใครมาพรากแม่ไปได้ง่าย ๆ โกร๋นวิ่งตรงเข้าไปงับที่ข้อเท้าของคนตัวโตคนหนึ่งทันที เขาฉวยไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งมาจากกองขยะ เงื้อมันขึ้นสุดแรง แต่ชายอีกคนส่งเสียงห้ามปรามไว้ โกร๋นรีบฉวยโอกาสวิ่งหนีไปแอบตัวสั่นอยู่หลังลังไม้ สักพักจึงค่อยๆโผล่หน้ามามองดูรถขยะ รถกำลังแล่นตื๋อออกไป สี่ขาน้อยๆ รีบออกวิ่งไล่ตามไปทันที แหกปากร้องตะโกนว่า เอาแม่ของป๋มคืนมา เอาแม่ของป๋มคืนมา
ชั่วประเดี๋ยว รถคันที่ว่าก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งโกร๋นให้ยืนหมดแรง ยืนตัวโยน หอบแฮก ๆไปมา เหม่อมองไปที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า เห่าบ๊อก ๆ แบ๊ก ๆ ไปตามประสา ในสมองครุ่นคิดว่า พวกเขาจะเอาแม่ไปไว้ที่ไหนหนอ ? แม่จะไปนานไหม? แล้วใครละจะให้นมป๋มกิน?
โกร๋นเดินคอตกกลับไปยังลังไม้อีกครั้ง พร้อมกับความหวังอยู่ลึกๆว่าแม่จะหวนกลับคืนมา จนยามเย็นใกล้ค่ำเข้าแล้ว แต่แม่ก็ยังไม่กลับมาเสียที เสียงท้องร้องจ๊อกๆพามันออกมาจากลังไม้เพื่อหาอะไรยาไส้ คุ้ยโน่น คุ้ยนี่ที่กองขยะอยู่เพลิน ๆ หมาใหญ่กลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามารุมกินโต๊ะมันเพราะรู้ว่าไม่มีแม่คอยคุ้มกันอีกแล้ว
ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น โกร๋นรู้สึกได้ว่ามีมือของใครคนหนึ่งเข้ามาคว้าตัวมันที่กำลังหมอบคุดคู้หลับตาอยู่กับพื้นดิน ออกมาจากวงล้อมของพวกหมาหมู่ และมืออันอบอุ่นคู่นั้นก็คือ มือของนายนั่นเอง
นับจากวินาทีนั้น นายก็ก้าวเข้ามาเป็นทั้งหมดของชีวิตโกร๋น...แทนแม่
3 เวลาผ่านไป 3 ปี นายให้ข้าวให้น้ำ และความรักแก่โกร๋นจนกลายเป็นหมาหนุ่มรูปงาม มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ จากขนที่เคยมีบ้างไม่มีบ้าง กลับปุกปุยสวยงามขาวโพลนไปทั้งตัวอย่างเหลือเชื่อ แต่โกร๋นไม่ใช่หมานักรบสมกับรูปร่างของมันหรอก มันกลัวไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะเสียงฟ้าผ่า และพวกหนูตัวโต ๆ ครั้งใดที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามเมื่อคราฝนตก หรือเห็นหนูตัวโต ๆ วิ่งผ่านมา มันจะตกใจกลัว รีบวิ่งหางจุกตูดมาแอบซุกตัวสั่นอยู่ข้างกายนายทันที
บางครั้ง นายก็จะแกล้งทำเป็นวิ่งหนี ไม่ยอมให้มันได้ใช้เป็นที่หลบภัย โกร๋นจะทำหน้าตาเหรอหรา จนนายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังและรีบเข้าไปปลอบโยน ครั้งหนึ่ง โกร๋นแว่วได้ยินเสียงของเมียนายลอยมาตามสายลมให้ได้ช้ำใจเล่นว่า
ตัวโตเสียเปล่า แต่ขี้ขลาดจริ๊ง จริง อย่างนี้จะมาช่วยอะไรเราได้ เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกเปล่าๆ
ทุก ๆ เช้า ในตอนที่นายจะออกจากบ้านไปทำงาน นายจะมานั่งที่พื้นไม้หน้าบ้านเพื่อใส่รองเท้า โกร๋นจะรีบวิ่งไปคาบรองเท้าหนังคู่โปรดมาให้ ขณะที่นายกำลังใส่รองเท้าอยู่ที่พื้น โกร๋นจะเอาหัวไปพาดไว้บนขาข้างหนึ่งของนายเพื่อให้นายได้ลูบไล้หัวมันเล่น ขอเพียงแค่นี้แหละ โกร๋นก็จะรู้สึกชื่นใจแล้วจริงๆ และจิตใจอันเหงาหงอยของโกร๋นจะพลิกฟื้นกลับมาเบิกบานขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อนายกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น
นับจากนั้น ไม่ว่านายจะเดินไปที่แห่งหนไหน โกร๋นจะเดินตามนายไป ไม่ว่านายจะทำอะไร โกร๋นจะคอยอยู่เคียงข้างเสมอ กระทั่งถึงเวลานอน เมื่อเห็นนายขยับตัวทำท่าจะขึ้นบ้านนอน โกร๋นมันก็จะรีบชิงวิ่งนำหน้านายเข้าไปในห้องนอนก่อนเสมอ และรีบมุดหายเข้าไปใต้เตียง ท่ามกลางเสียงเอ็ดตะโรของเมียนาย เมื่อเสียงนั้นจางหายไปแล้วนั่นแหละ โกร๋นจึงจะค่อยๆโผล่หน้าที่มีก้อนฝุ่นใต้เตียงเกาะอยู่เป็นหย่อมๆ ออกมา เพื่อเฝ้ามองนายที่นอนอยู่ริมเตียง ก่อนจะหลับใหลลงไปพร้อมๆ กับนายอย่างมีความสุข
4 แล้วในคืนหนึ่งของฤดูฝน ก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้นจนได้ ขณะที่ฝนตกหนักอยู่นอกบ้าน โอ๊ย ตายแล้ว ! นี่มันขนไอ้โกร๋นนี่พ่อ มันมาได้ยังไงเนี่ย ดูสิเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวก็เข้าปาก เข้าจมูก ตาหนูตายกันพอดี เมียของนายส่งเสียงด่าทอโกร๋นที่ซุกตัวนอนอยู่ที่ใต้เตียงขึ้นสุดเสียง เมื่อพบว่าบนที่นอนมีแต่ขนสีขาวของโกร๋นร่วงหล่นอยู่เต็มไปหมด เธอสั่งให้นายเอาโกร๋นออกไปนอนนอกบ้านด่วนจี๋
โธ่ ! ฝนตกอย่างนี้ คุณจะให้มันไปนอนข้างนอกได้ยังไง หนาวตายชักเลยสิ ให้มันนอนข้างล่างก็ได้นี่นา นายพยายามอ้อนวอน แต่เธอตวาดแวดสวนกลับมาทันที
ไม่ได้! คุณต้องเอามันออกไปนอนนอกบ้านเดี๋ยวนี้เลย จากนี้ไป มันต้องนอนนอกบ้าน นายได้แต่ทำสีหน้าอ้ำอึ้ง จ้องมองโกร๋นที่กำลังทำตาปริบๆ อยู่ที่ใต้เตียงด้วยใจเวทนา นายนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน จนเมียต้องตะคอกเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
ตกลงคุณจะเอายังไง จะเลือกหมา หรือเลือกลูก ว่ามา ที่สุด นายจำใจต้องทำตาม ฝืนใจเรียกชื่อโกร๋นอย่างยากลำบาก น้ำเสียงแหบแห้ง ไอ้โกร๋น มานี่เร็ว ไปเดินเที่ยวข้างนอกกันเถอะ โกร๋นรีบคลานออกมาจากใต้เตียงรีบวิ่งระริกระรี้ตามนายไป นึกไปว่านายจะพาไปเดินชมแสงจันทร์และหมู่ดาวพราวฟ้าเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ไม่นึกเฉลียวใจสักนิดเลยว่าคืนนี้ฟ้าฉ่ำไปด้วยเม็ดฝน แล้วจะมีดวงจันทร์และดวงดาวให้ชมได้อย่างไรกันเล่าหนอ?
เมื่อเปิดประตูออกมายืนอยู่หน้าบ้าน สายฝนสาดซัดเข้าใส่ร่างทั้งนายและโกร๋นจนเปียกชุ่ม ทันทีที่โกร๋นเผลอ นายก็รีบผลุบเข้าไปในบ้านทันที ปิดประตูเสียงดัง ปัง ปล่อยโกร๋นให้อยู่ข้างนอกบ้านเพียงเดียวดาย
วินาทีนั่น หัวสมองของโกร๋น มึนงงเหมือนถูกค้อนทุบ หัวใจคล้ายแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อรู้ว่าถูกคนที่รักสุดชีวิตหักหลังเสียแล้ว ครั้นตั้งสติได้โกร๋นรีบผวาไปที่ประตู เริ่มต้นตะกุยตะกายประตูไม้บานนั้น เกิดเป็นเสียงดังแกรกกรากท่ามกลางเสียงห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมา และบนฟ้ามืดคืนนี้แม้ไม่มีพระจันทร์สีนวลให้ได้เห่าได้หอน หากแต่โกร๋นมันก็หอนก็เห่าขึ้นมาอย่างขมขื่นและอาดูร ร้องตะโกนเป็นภาษาหมา ๆ พอจับใจความได้ว่า นายครับนาย เปิดประตูให้โกร๋นเข้าไปที โกร๋นกลัว"
ก็จะไม่ให้มันครวญคร่ำออกมาอย่างนี้ได้อย่างไร? ตั้งแต่ที่มันจำความได้ ทุกค่ำคืน โกร๋นมันเคยต้องห่างหายจากนายไปเสียเมื่อไหร่ ข้างนายในตอนนี้ ก็รู้สึกเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นายตัดใจเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน และล้มตัวลง ทอดร่างลงข้างเมีย พยายามข่มตาให้หลับลงให้จงได้...
5 เวลาผ่านไป ฝนตกหนักขึ้นทุกที ฟ้าส่งเสียงดังโครมคราม แม้หนาวจนเนื้อแทบหลุด แต่โกร๋นก็ไม่ยอมหาที่หลบฝน ยังคงตะกายประตูบานนั้นต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่แล้ว อย่างไม่คาดฝัน นายก็เปิดประตูผัวะออกมา พลันโลกมืดมิดแสนเศร้าของโกร๋นก็กลับมาสว่างไสวเบิกบานขึ้นอีกครั้ง โกร๋นดีใจ เนื้อตัวสั่นระริก กระโจนใส่ตัวนายจนล้มลงนอนแผ่หลาอยู่ตรงปากประตูภายในบ้าน แลบลิ้นเลียหน้านายด้วยคิดถึง ร้องครางหงิง ๆ คล้ายคนร่ำไห้ ขณะที่นายโอบกอดตัวโกร๋น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างข่มเสียงสะอื้นว่า
โกร๋นโว้ย เฮ้ย ไอ้โกร๋น เป็นยังไงบ้าง หนาวไหม กลัวไหมวะ หลังกอดปล้ำกันด้วยความรักและคิดถึงอยู่พักใหญ่ นายพูดขณะยันกายลุกขึ้นยืนว่า
มะ... คืนนี้สงสัย แกต้องนอนข้างล่างเสียแล้วละว่ะ ฉันจะพาแกไปนอนเอง ฉันพลัน ร่างของนายก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้น เมื่อเสียงของเมียดังแหวขึ้นมาจากหัวกระไดบนชั้นบนของบ้าน
ว่าแล้ว คุณต้องมาแอบลุกมาเปิดประตูให้ เมียน้อย ของคุณแหง๋ๆ เอาละ ถ้าคุณจะให้มันนอนข้างล่าง ไม่ยอมให้มันไปนอนข้างนอกตามคำสั่งของฉันแล้วละก็ อย่างนั้น ฉันขอยื่นคำขาดว่า ระหว่างฉันกับไอ้โกร๋น คุณจะเลือกใคร ถ้าเลือกหมา ก็เชิญนอนกอดหมาให้สบายอยู่ข้างล่างด้วยกันนั่นละ ไม่ต้องขึ้นมานอนข้างบน สีหน้าของเมียดูจริงจัง
นายได้แต่ทำหน้านิ่ว คิ้วหนาขมวดเข้ามาหากัน อึดใจ จึงเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเมีย เสียงอ่อยๆ ว่า โธ่ ! ทำไมต้องบังคับให้ฉันเลือกด้วย หากต้องเลือก ระหว่างหมากับเมีย เธอเองก็น่าจะรู้ว่าจะฉันจะเลือกใคร...
ถึงตรงนี้ คำพูดของนายก็กลืนหายไปในลำคอ ก่อนจะเหลียวหน้ากลับมาพินิจใบหน้าละห้อยของโกร๋นตรงเบื้องหน้า ในตอนนั้น น้ำตาของโกร๋นแทบจะร่วงเสียให้ได้ ราวกับรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าคงต้องกลับไปนอนหนาวนอกบ้านแหง๋ ๆ วินาทีต่อมา นายหันกลับไปมองหน้าเมียที่กำลังยืนเชิดหน้าอย่างผู้ชนะ แล้วโพล่งพูดขึ้นมาเสียงดังลั่นว่า
ก็ต้องเลือกหมานะสิคุณ ...ถามได้
สิ้นเสียงนาย มีเสียงกรี๊ดๆ กระทืบเท้าราวกับคนบ้า กระแทกประตูปิดเสียงดังลั่นจากบนบ้านตามมา นายมองตามไป หัวเราะเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวโกร๋นอย่างทะนุถนอม
จากนั้นทั้งคนและหมาก็พากันมานอนเคียงกันอยู่ที่พื้นกลางห้องรับแขก สักพัก นายก็หลับไป มีเสียงกรนเบาๆ โดยมีหัวของโกร๋นพาดอยู่บนแขนข้างหนึ่ง แต่โกร๋นยังไม่หลับ และยังคงลืมตาโพลงจ้องมองไปที่ใบหน้าของนาย พลางส่งเสียงอี๊ดอ๊าดล่องลอยอยู่ในความมืดสลัว เคล้าไปกับเสียงฝนพร่ำนอกบ้าน
ซึ่งในตอนนั้น หากใครพอจะรู้ภาษาหมาบ้างแล้วละก็ จะเข้าใจเลยทันทีว่า โกร๋นกำลังพร่ำบอกกับนายของมัน ว่า โกร๋นรักนาย
Create Date : 23 มีนาคม 2550 | | |
Last Update : 23 มีนาคม 2550 12:41:46 น. |
Counter : 1531 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เพียงแค่...โลกคนละใบ
เพียงแค่...โลกคนละใบ [Tale of Love] ( เรื่องเล่า..ความรัก - บทสัมภาษณ์พิเศษ )
เจ้ากอล์ฟ
Fri 17 Feb 07 - 05:10 pm แหม จะมาหลอกถามเรื่องความรักของผมเหรอ ให้คุยถึงเรื่องนี้มันเขิน ๆ ยังไงไม่รู้สิ ผมก็ไม่ใช่พวกดาราดัง พูดไปก็ไม่มีใครอยากจะสนใจ แต่ก็นะ...ถ้าจะคุยก็โอเค อายุผมก็ไม่น้อยแล้ว จะให้ร่ายยาวตั้งกะสมัยอนุบาลเห็นทีจะไม่ไหว เอาเป็นว่าอยากรู้อะไรก็ถามมาละกัน
Fri 17 Feb 07 - 06:15 pm ผมชอบเธอแล้วทำไมไม่จีบหรือเข้าไปคุยน่ะเหรอ เฮ้อ...มันเป็นเรื่องน่าเศร้าน่ะ ผมไม่กล้าจริงๆ แล้วอีกอย่างผมอยู่วารสาร ส่วนเธอน่ะวิทยุโทรทัศน์โอกาสที่จะเจอกันมีน้อยมาก แต่แล้วมีวันหนึ่งต้อมเพื่อนสนิทผมเขาพูดออกมากลางวงเพื่อนฝูงว่าเขาจะจีบน้ำผึ้ง ผมรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะต้อมก็เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งต่อมาเขาและเธอก็เป็นแฟนกัน ระหว่างนั้น ในช่วงวัยเรียนเราสามคนและเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็ได้ไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ บางครั้งก็นั่งร้านเหล้า บางทีก็ไปเที่ยวทะเลตามต่างจังหวัด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมจดจำได้เป็นพิเศษ เราในกลุ่มไปเที่ยวทะเลกัน แล้วเกิดมีอุบัติเหตุเล็กน้อยเกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่ง เราทั้งหมดจึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกพาเพื่อนไปโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือดูแลข้าวของอยู่ที่บ้านพัก
Fri 17 Feb 07 - 10:20 pm ต้อมน่ะเหรอ คืนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าต้อมอยู่ที่ไหน แต่คาดว่าอาจพาเพื่อนไปโรงพยาบาล หรือไม่ก็เมานอนสลบอยู่ในบ้านพัก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต้อมกับน้ำผึ้งก็ยังคงเป็นแฟนกัน ผมจึงเริ่มรู้สึกว่า โลกแคบๆ ที่ผมอยู่ กับโลกสีชมพูอันสดใสของเธอมันช่างแตกต่าง และห่างไกลกันเหลือเกิน จวบจนถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายจากกัน ต่างคนต่างมีเส้นทางชีวิตที่ต้องก้าวไป ผมไม่ได้เจอต้อมอีกเลย และผมก็คิดถึง....คิดถึงนางฟ้าอยู่เสมอมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอบินไปอยู่ ณ ที่แห่งใด จนมาเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่ผมบวชเรียนได้ 4 เดือน พอสึกออกมาผมก็ได้รับข่าวว่าต้อมและน้ำผึ้งได้เลิกกันแล้ว ด้วยเหตุที่ต้อมถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนกับสาวแถวบ้าน ผมประหลาดใจมาก เพราะผมเองก็ไม่อยากให้น้ำผึ้งต้องเสียใจ ผมจึงสอบถามเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เพื่อถามความเป็นมาต่าง ๆ ในระหว่างที่ผมอยู่ในโลกส่วนตัวมาหลายปี
Sat 18 Feb 07 - 00:35 am ขอดื่มน้ำหน่อยนะ คอชักเริ่มแห้งละ อ้าว..เอาล่ะถึงไหนละ อืม....ผมได้เบอร์โทรของน้ำผึ้งมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ผมได้คุยกับเธอ แต่ผมก็ไม่ได้ถามเรื่องของต้อม เพราะผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่เอ่ยถามถึงความรักที่ผิดหวังของเธอเด็ดขาด
ช่วงนั้นผมได้เปิดร้านเล็ก ๆ เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ที่ชานเมือง เราสองคนคุยผ่านทาง msn และโทรศัพท์ แต่ก็ไม่บ่อยนัก นาน ๆ ครั้งเธอจะทักทายผมมา ส่วนผมน่ะเหรอ ไม่กล้าทักเธอหรอก กลัวเธอยุ่งอยู่กับงาน และจะพาลรำคาญผมซะเปล่า ๆ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้แต่แอบห่วงใย แอบคิดถึงขนาดที่ว่าเก็บเอาไปนอนฝันถึงเป็นตุเป็นตะ และมันไม่ใช่ฝันแค่ครั้งสองครั้งเสียด้วยสิ มันมากจนผมก็นับไม่ไหวเหมือนกัน เวลาผ่านไปไวมาก จนมาวันนึงผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปบางอย่าง และมันก็อย่างที่ผมคิดไว้จริง ๆ นางฟ้าของผมได้พบรักครั้งใหม่กับชายหนุ่มในที่ทำงานเดียวกัน เธอกลับสู่โลกสีชมพูที่โปรยปรายด้วยกลีบกุหลาบ ส่วนผมเดินเข้าสู่โลกส่วนตัวใบเล็ก ๆ เก่า ๆ ที่เงียบเหงาอีกครั้ง
Sat 18 Feb 07 - 01:27 am "จากวันที่น้ำผึ้งมีคนรักใหม่ เราไม่เคยได้คุยกันอีกเลย แต่ผมยังเจอเธอ แต่ก็เป็นแค่นามแฝงใน msn บางครั้งเธอจะเอารูปตัวเองมาใส่ไว้ที่จอแสดงภาพ ผมได้แต่เอาเม้าท์คลิก และแอบดู แอบมองอยู่อย่างนั้น เธอยังคงเป็นนางฟ้าคนเดิม... ผมเริ่มทำงานอย่างที่เคยฝันเอาไว้มานาน ผมเขียนเรื่องสั้นขึ้นมาหลายเรื่อง แต่ก็ไม่เคยได้เขียนถึงนางฟ้าที่แสนดีเลยสักครั้ง จนกระทั่งคุณมาถามผมนี่ล่ะ ผมจึงมีโอกาสได้เล่าออกไป
Sat 18 Feb 07 - 02:13 am ปีใหม่ที่ผ่านมาผมอยู่ที่ไหนเหรอ ใช่สินะคืนข้ามปีในวันนั้น มีเหตุระเบิดทั่วกรุง ตอนนั้นผมอยู่ในงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อน พอได้รับข่าวว่ามีการวางระเบิด ผมนึกถึงคนสองคนขึ้นมาทันที คนแรกที่ผมโทรไปหาคือ ครอบครัว พวกเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมก็โทรไปบอกข่าวเหตุการณ์ร้ายให้พ่อ และแม่ทราบ หลังจากที่วางสายแล้ว ผมเลื่อนหาเบอร์ของน้ำผึ้งทันที ตรู้ดดด....ไม่มีคนรับ เอาล่ะสิทีนี้ผมก็คิดมากเป็นการใหญ่ พลางคิดว่าเธอต้องออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือกับแฟนแน่ ๆ ตายล่ะ!! ถ้าเกิดนางฟ้าผมไปเที่ยวในจุดที่มีระเบิดล่ะจะทำยังไง ผมนั่งลงกับพื้นในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น นี่ถ้าน้ำผึ้งเป็นอะไรไปผมจะทำอย่างไร แค่นี้ผมยังดูแลเธอไม่ได้เลย ภาพวันเก่า ๆ ของเธอมันลอยวนเวียนในหัวผมเต็มไปหมด สักพักใหญ่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์นั้นแปลกมาก ใช่แล้วน้ำผึ้งนั่นเอง เธออยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เชื่อไหมว่าพอผมได้ยินดังนั้น มันทำให้ผมลืมเรื่องระเบิดกลางกรุงไปเลย
Sat 18 Feb 07 - 05:30 am คุณจะถามใช่ไหมล่ะ ว่าไอ้ตี๋คนนั้นเป็นใคร เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สุดท้ายเราสามคนนั่งกินข้าวที่ร้านข้าวต้ม โดยที่ไม่มีหนุ่มตี๋หน้ามนคนนั้นอยู่ด้วย จนกระทั่งขากลับผมขออาสาไปส่งน้ำผึ้ง ระหว่างที่อยู่บนรถ ผมแอบมองหน้าเธอยามที่เธอหลับ จิตใจของผมมันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากหยุดเวลานี้เอาไว้เหลือเกิน ไม่ว่าจะวันไหนหรือวันใด เธอยังคงเป็นเธอ ฉันก็ยังเป็นฉัน แม้ว่าเส้นขนานสองเส้นไม่มีทางมาบรรจบกัน แต่มันก็จะคอยอยู่เคียงข้างและดูแลกันและกัน...ตลอดไป
* ชื่อ ตัวละคร และเรื่องสั้นนี้ ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ มิได้อ้างอิงถึงผู้ใด
Create Date : 13 มีนาคม 2550 | | |
Last Update : 13 มีนาคม 2550 1:32:10 น. |
Counter : 1267 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
MSN ในคืนเหงา
MSN ในคืนเหงา...
รัน
ความรัก กับ อากาศ หากถามฉันว่า เลือกที่จะขาดสิ่งไหน แม้อากาศจำเป็นสักเพียงใด ในโลกที่ความรักสิ้นไร้ ...ฉันคงไม่อาจทนอยู่ได้เช่นกัน T_____T
หลังเสียงเรียก ตึ้ง ดังขึ้น จอสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีไฟกระพริบสีส้ม โผล่ขึ้นตรงมุมขวาด้านล่างของจอคอมพิวเตอร์ ข้อความจากฟอร์เวิร์ดอีเมล์คุ้นหู คำทักทายแปลกๆ ผิดไปจากทุกวัน จึงถูกส่งผ่านโปรแกรมสนทนา MSN จาก ชัช มาให้ผม เมื่ออ่านจบ หัวใจผมคล้ายวูบไหวประหลาด...
ผมกับชัช เราเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ตั้งแต่สมัยเรียนในมหาลัย แม้จบแล้ว แต่เราก็ยังพบปะกันเสมอ พูดคุยผ่าน MSN กันทุกคืน เช่นเดียวกับค่ำคืนนี้ ชัชเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ มีอารมณ์ฟุ้งฝัน ความคิดลึกซึ้ง และโลกส่วนตัวสูงแบบศิลปินทั่วไป เมื่อสมัยเรียน เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน หากเขาจะหายหน้าจากภาควิชานิเทศศาสตร์ของเราไปครั้งละนานๆ เที่ยวเร่ร่อนเล่นดนตรีไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็คลุกตัวอยู่แต่หน้าจอคอมฯ ที่บ้านแทนการมาเรียน
หลังเรียนจบ ค่าที่ฐานะทางบ้านไม่ขัดสน และรู้ตัวเองว่าไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร ชัชเปิดร้านคอมพิวเตอร์เล็กๆ ในย่านชานเมือง รับงานกราฟิกเล็กๆ น้อยๆ จัดหน้าหนังสือ ทำนามบัตร ไปจนกระทั่งถ่ายซีร๊อกส์ และใช้เวลาว่างเขียนเรื่องสั้นและนิยาย ต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่รวมทั้งผม ที่พากันตบเท้าเข้าทำงานในบริษัทด้านสื่อมวลชนกันเป็นแถว
3 ปี ก่อนหน้านี้ ในวันรับปริญญาของพวกเรา ชัชได้เผยความลับที่เก็บงำมาเป็นเวลาแรมปีกับผมว่า เขาตกหลุมรัก น้ำผึ้ง รุ่นน้องร่วมคณะ นับตั้งแต่เจอเธอครั้งแรกในงาน วันรับน้องใหม่ โน้นเลยทีเดียว
ผมยังจำภาพในวันนั้นของน้ำผึ้ง เด็กสาวหน้าสวยคมแบบคนภาคกลางตอนใต้ได้เป็นอย่างดี เธอร่าเริงสดใสดุจแสงตะวันยามเช้าอยู่ในวงล้อมของเพื่อนและรุ่นพี่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบานของเธอช่วยเติมใจคนรอบข้าง ให้เป็นสุขได้อย่างน่ามหัศจรรย์
เราชอบเธอตั้งแต่วันแรก แต่เห็นต้อมมันจีบอยู่ ก็เลยต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้คนเดียว จนเขาเลิกกันแล้วนี่แหละ ชัชบอกกับผมขณะที่เราทั้งสองนั่งรอเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรอยู่ในหอประชุมที่สวนอัมพรด้วยกัน จากนั้น ชัชก็เริ่มต้นจีบน้ำผึ้งอย่างเป็นเรื่องราว
แฟนคนแรกของน้ำผึ้ง คือ ต้อม เพื่อนสนิทในกลุ่มของเราอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคบหากันตั้งแต่ที่น้ำผึ้งยังเป็นรุ่นน้องปี 1 และเราอยู่ปี 3 ในยามรัก ทั้งสองติดกันราวกับปาท่องโก๋
ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนที่เราใกล้เรียนจบเต็มที เมื่ออยู่กันตามลำพัง ผมแกล้งกระเซ้าต้อมว่า ความรักระหว่างเขากับน้ำผึ้ง คงจะจบลงด้วยเสียงระฆังวิวาห์เป็นแน่ ? ต้อมส่ายหน้าหม่นหมองไปมา ยิ้มแห้งๆ และบอกว่า ทางบ้านที่ต่างจังหวัดได้ตระเตรียมเจ้าสาวเอาไว้ให้เขาแล้ว ผมนิ่งอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ
เมื่อสบโอกาส คำถามเดียวกันถูกถ่ายเทไปยังน้ำผึ้งเช่นกัน ใช่ค่ะ น้ำผึ้งฝันถึงการแต่งงานกับพี่ต้อม เมื่อเราเรียนจบแล้ว ขณะพูด ดวงตากลมโตทอประกายความสุข แต่หัวใจของผมกลับเป็นทุกข์ในชั่วพริบตา
ทันทีที่ต้อมเรียนจบ ความรักของทั้งสองก็จบตามลงไปด้วย ต้อมบอกเลิกกับเธอ เก็บข้าวของออกจากหอพักหลังมหาลัย เดินทางกลับบ้านนอกทันที และหันไปคบหากับหญิงคนใหม่ที่ครอบครัวหาไว้ให้แทน
ห้วงเวลานั้น โลกทั้งใบของน้ำผึ้งที่เคยมีแต่ต้อมแตกดับลงทันใด หัวใจเมาๆ เตลิดไปอย่างไร้ทิศทาง จนแม้แต่เจ้าของหัวใจก็มิอาจควบคุมได้ จากเด็กสาวที่เคยปิดกั้นตัวเอง เธอกระหายใคร่เรียนรู้ไปในโลกใบใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นอาจจะเพื่อชดเชยกับเวลาที่ร่างกายและหัวใจเคยถูกจองจำเอาไว้เสียนาน
นับจากวันนั้นจนวันนี้ที่เธอเรียนจบแล้ว และได้งานทำในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มมากหน้าหลายตารวมทั้งชัช ได้ขันอาสาเข้ารักษาแผลใจให้กับเธอ แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ไม่ตกลงปลงใจที่จะคบหาใครเป็นคนรักจริงจัง ได้แต่พอใจใช้ชีวิตอิสระตามอำเภอใจไปวันๆ ....
ชัชเริ่มต้นส่งข้อความผ่าน MSN มาให้ผมว่า เมื่อค่ำวานนี้ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ในท่ามกลางผู้ชายที่มาติดพันเธอมากมาย จู่ ๆ ในราว 4 ทุ่มเศษ น้ำผึ้งเลือกโทรมาหาเขา บอกให้ออกไปพบเธอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขารีบจับแท็กซี่ตรงดิ่งไปหาเธอทันทีด้วยความดีใจ เพื่อไปพบกับฝันร้ายที่กำลังรอคอยเขาอยู่ !
ชัช says: เมื่อเราไปถึงที่ร้าน นั่งกินข้าวกับน้ำผึ้งได้พักนึง ก็มีโทรศัพท์มาหาเธอ อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กหนุ่มหน้าเกาหลีคนหนึ่งก็มายืนรออยู่ที่หน้าร้าน เราช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำผึ้งเดินไปพูดคุยสักพัก ท่าทีสนิทสนมกันมาก แล้วก็กลับมานั่งที่โต๊ะอย่างเดิม ส่วนหมอนั่นก็จากไป เราได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่า ถึงเธอจะไม่รักเรา แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำร้ายจิตใจเราถึงขนาดนี้ :(
รัน says: น้ำผึ้งไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นหรอก เจ้านั่นดื้อรั้นที่จะมาหาเอง :)
ชัช says: ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น?
ผมตอบว่า เมื่อรุ่งเช้าที่ผ่านมา น้ำผึ้งโทรมาผม เพื่อเล่าเรื่องราวเมื่อคืนวานนี้ เธอร่ำไห้บอกกับผมว่า หนูห้ามผู้ชายคนนั้นแล้วนะพี่รัน แต่เขาก็ยังมาอีก หนูก็ไม่รู้จะทำยังไง น้ำผึ้งไม่ได้คิดจะแกล้งพี่ชัชเลยจริงๆ
น้ำผึ้งบอกผมผ่านทางสายโทรศัพท์อีกว่า สำหรับพี่ชัช น้ำผึ้งก็ยังดูๆ อยู่ ซึ่งก็เหมือนกับทุกคนที่เข้ามาจีบน้ำผึ้งแหละ พี่ก็รู้น้ำผึ้งเจ็บมามาก น้ำผึ้งไม่อยากเจ็บอีกแล้ว หนูต้องการคนที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตที่เหลือของหนู
รัน says: อืม ... เราคิดว่า สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้ ก็คือ ต้องทำใจและเข้าใจ ในเมื่อเราไปรักเขา หัวใจมันเป็นของเขา เราไปขอหัวใจเขามาเป็นของเรา เขาจะให้เราหรือไม่ก็ย่อมได้ จะเอาไปให้ใครมันก็ได้อีก เราคงจะไปโกรธ ไปโทษอะไรเขาไม่ได้ เขามีอิสระที่จะเลือกและตัดสินใจ และที่สำคัญ นายก็รู้ไม่ใช่หรือว่า น้ำผึ้งผ่านอะไรมาบ้าง
ชัชนิ่งฟังอย่างสงบ แล้วจึงพิมพ์คำถามส่งมาให้ผม
ชัช says: แล้วนายคิดว่าเรื่องระหว่างเรากับน้ำผึ้งมันจะลงเอยยังไง ?
รัน says: .................
ชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกมึนงงเหมือนปลาถูกทุบหัว นิ้วมือที่วางอยู่เป็นบนแป้นคีย์บอร์ดชาด้านไปชั่วคราว ไม่มีคำตอบใดๆ ส่งไปให้ชัช นอกจากความเงียบ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า บทสรุปสุดท้ายของความรักของคนคู่นี้ มันจะออกมาในรูปแบบใด
ในความคิดของผม แม้ ณ เวลานี้ ทั้งสองจะเป็นคนเหงา เศร้า และร้าวราน ที่ได้โคจรมาพบเจอกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองก็เหมือนอยู่คนละโลกเดียวกัน คนหนึ่งอยู่ในโลกส่วนตัวใบเล็กๆ เก่า ๆ อย่างเงียบเหงา พบปะผู้คนเดิมๆ ส่วนอีกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในโลกกว้างอย่างสุดเหวี่ยง และปรารถนาแสวงหาโลกใบใหม่ๆ พบปะผู้คนหลากหลายอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพราะชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย มันจึงบอกไม่ได้หรอกว่า โลกของคนทั้งสอง จะมาหลอมรวมกลายเป็นโลกใบเดียวกันได้หรือไม่ ...ไม่มีใครรู้ได้เลยจริงๆ
"ความรัก กับ อากาศ หากถามฉันว่า เลือกที่จะขาดสิ่งไหน แม้อากาศจำเป็นสักเพียงใด ในโลกที่ความรักสิ้นไร้ ...ฉันคงไม่อาจทนอยู่ได้เช่นกัน T______T ที่สุดแล้ว ชัชบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะยังคงรักน้ำผึ้งเหมือนเช่นที่เคยแอบรักมานานกว่า 5 ปี คล้ายยืนยันความตั้งใจ เขาพิมพ์ข้อความจากฟอร์เวิร์ดอีเมล์อันเดิมส่งมาให้ผมอีกครั้ง ก่อนที่เราทั้งสองจะยุติการสนทนากันในเวลาใกล้เที่ยงคืน
และครั้งนี้ ผมอ่านทวนซ้ำข้อความนั้น ด้วยหัวใจที่สั่นไหวมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม... .........................................
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2550 12:32:40 น. |
Counter : 1058 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เจ้าหญิงรองเท้าแตะ
คืนวันฝนตก (ตอน เจ้าหญิงรองเท้าแตะ)
เจ้ากอล์ฟ
แม่ขา...หนูว่าจะเปลี่ยนรถคันใหม่ สาวสวยเอ่ยกับแม่ ขณะทานมื้อค่ำที่โต๊ะอาหาร
จะดีหรือลูก คันเก่าเพิ่งซื้อมาได้ไม่ถึงปีเลยนะ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อยนี่ หญิงหม้ายวัย 50 เศษๆ เงยหน้าขึ้นมองลูกสาวด้วยความแปลกใจ
ก็มันมีรุ่นใหม่ออกมาแล้วนี่คะ ซ้วย..สวย ขืนหนูยังใช้คันเก่าต่อไป อายคนอื่นแย่เลยสิ เขาคงหาว่าหนูเชยจริงๆ สาวสวยจินตนาการวาดฝันถึงรถหรูคันใหม่ที่มีตัวเองเป็นคนขับขึ้นมาทันใด
มันจะทำให้ลูกลำบากน่ะสิ หนูจะหาเงินทันหรือ
ไม่ทันก็ต้องทันล่ะแม่ ถ้ามีงานนอกเวลา หรืองานพิเศษอะไร หนูก็ต้องทำแล้วล่ะ สาวสวยมีรอยยิ้มมั่นใจผุดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย
ฟ้า...หญิงสาววัยยี่สิบเศษ ทำงานกับบริษัทเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง สถานภาพโสด หน้าตาดีผิวสีขาวเนียน เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย อาศัยอยู่กับแม่เพียงสองคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมือง หล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ต้องการเป็นที่สนใจของคนรอบข้าง สิ่งใดที่เธออยากได้หล่อนเป็นต้องไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาเสมอ อาจเป็นเพราะเมื่อครั้งยังอดีตที่พ่อของเธอได้ลาจากครอบครัวไปตอนที่ฟ้าอายุได้เพียง 8 ปี ชีวิตของเธอและแม่อยู่กันแบบค่อนข้างจะลำบาก อะไรที่เกินความจำเป็นในครอบครัวแม่จะเป็นคนสั่งงด สั่งห้าม เพื่อลูกสาวคนเดียวจะได้เรียนจนจบในระดับที่หม้ายคนนี้ตั้งใจเอาไว้ เสื้อผ้า รองเท้า ชุดนักเรียนของฟ้าจะถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ส่วนใดที่ขาดนิดขาดหน่อยไม่น่าเกลียดจนเกินไปแม่ก็จะซ่อมแซมให้ตลอด ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาเปิดเทอม บรรดาเพื่อน ๆ ทั้งชายและหญิงของฟ้าก็จะมีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ขาวสะอาดสดใส พร้อมของแถมหลอกเด็กมาอวดกันไปมา ภาพเหล่านี้มันช่างเป็นความอับอาย และฝังใจสำหรับเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ อย่างเธอ...... .................................................
ที่ป้ายรถประจำทางย่านชานเมืองแห่งหนึ่งมีสภาพทรุดโทรม ที่นั่งพักผู้โดยสารมีอยู่ไม่กี่ตัว บ้างก็หักไปไม่สมประกอบ บ้างก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อน หลังคาที่เคยบังแดดบังฝนก็แตกเป็นช่องให้มองเห็นนกบินบนท้องฟ้าได้เป็นหย่อมๆ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นสถานที่ให้ผู้คนมายืนรอรถได้อย่างสบายใจ แม้จะบังฝนบังแดดได้ไม่เต็มที่นักก็ตาม
ฟ้าในเช้าวันนี้ใส่ชุดทำงานที่เรียบไร้รอยยับ รองเท้าส้นสูงที่ถูกขัดจนมันวาว กับกระเป๋าสะพายราคาแพง ได้ก้าวเท้าเข้ามายืนปะปนกับคนที่มารอรถ ณ ป้ายแห่งนี้ การแต่งตัวของเธอเมื่อรวมกับความสวยสดใส ทำให้หล่อนดูโดดเด่นเป็นเจ้าหญิงท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังจ้องมองเธออยู่ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ฟ้ารู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด พลันคิดในใจขึ้นมาอย่างหงุดหงิดว่า
คนมากมายพวกนี้จะรีบร้อนไปไหนกัน ดูสิรถเมลล์ก็แน่นปานนั้นยังดิ้นรนยัดกันเข้าไปได้ ทำไมมันช่างวุ่นวายกันเหลือเกิน นี่ถ้าเจ้ารถตกรุ่นของเราไม่ดันเสียซะก่อน ฉันคงไม่ต้องมายืนอยู่ที่แบบนี้หรอก แท๊กซี่ก็ไม่ว่างสักคัน จะไปไหนกันแต่เช้าก็ไม่รู้
ฟ้าเหลือบสายตาไปเห็นที่นั่งตัวแรกว่างอยู่ หล่อนจึงเดินเข้าไปหมายจะพักเรียวขาอันบอบบางที่เริ่มรู้สึกเมื่อยล้า แต่เธอก็ต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่ เมื่อมองเห็นรอยเปื้อนอะไรสักอย่างติดอยู่บนที่นั่งปูนอันนั้น เป็นคราบที่ดูเหมือนว่าจะติดมานานจนยากที่จะลบออก หล่อนจึงตัดสินใจที่จะยืนอยู่ข้างๆ ที่นั่งพลางมองหารถแท๊กซี่ต่อไป แต่กระนั้นก็ได้มีผู้หญิงผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าหมองคล้ำผิวสีดำแดง อายุอานามเกือบจะ 40 ปี ใส่เสื้อผ้าที่เก่าซอมซ่อดูสกปรกมอมแมม รองเท้าแตะหูหนีบสีกระดำกระด่างตัดกับสีของเท้าที่พุพองเป็นแผลเรื้อรัง แขนข้างซ้ายถูกยกขึ้นในมือมีถุงข้าว และถุงน้ำที่ถูกดูดจนเหลือแต่น้ำแข็ง เดินลากเท้ามายืนอยู่ใกล้ๆ กับเธอ................
ไอ้บ้า !! เสียงของหญิงบ้าด่าใส่เธอยังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา
แกน่ะสิบ้า เนื้อตัวก็มอมแมมขนาดนั้น น้ำอาบมาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ มาว่าคนอื่นว่าบ้าอีก พรุ่งนี้เช้าขออย่าได้เจอกันเลยยย เอ..เราโทรไปเร่งช่างให้รีบซ่อมรถเสร็จเร็ว ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปยืนรอรถที่ป้ายนั้นอีก ฟ้านั่งบ่นพึมพำคนเดียวในห้องนอน หลังจากที่เมื่อเช้า หล่อนถูกผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาตะโกนใส่ท่ามกลางสายตาของคนแถวนั้น ทำให้สาวสวยอย่างเธอได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก
จะห้าทุ่มแล้วหรือนี่ รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะตื่นให้เช้ากว่าวันนี้ ไม่ต้องไปวุ่นวายแย่งกันหารถไปทำงาน เมื่อคิดได้ดังนี้ ฟ้าก็วางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียงแล้วเอนตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว ...........................................................
ฟ้ามาถึงป้ายรถประจำทางแต่เช้า ผู้คนบางตากว่าเมื่อวานสักครึ่งหนึ่งเห็นจะได้ หล่อนนั่งลงบนม้านั่งปูนถัดจากตัวที่มีรอยเปรอะเมื่อวาน สายตาพลางมองหารถแท๊กซี่ที่นานๆ จะผ่านมาสักคันหนึ่ง สายฝนเริ่มตกโปรยปรายลงมาช้าๆ ฟ้ารู้สึกได้ถึงความเย็นที่หล่นใส่หัวของเธอ หล่อนแหงนหน้ามองตรงขึ้นไปยังหลังคาที่ตนเองนั่งอยู่ เม็ดฝนได้ตกทะลุรอยรั่วรูใหญ่หยดใส่หน้าของเธอเต็มๆ ทำให้หล่อนรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง มือล้วงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาซับเป็นการใหญ่ จากนั้นก็คว้าตลับแป้งเปิดกระจกขึ้นมาส่อง แต่ฟ้าก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นหญิงบ้าคนเมื่อวาน ยืนเหม่อลอยคุยกับดอกไม้ริมถนนอยู่ข้างหลังของเธอ หล่อนเริ่มกระวนกระวายใจ กลัวว่าหญิงคนนั้นจะเห็นตนเองแล้วตะโกนแบบเมื่อวานขึ้นมาอีก เธอจึงรีบก้าวเท้าเบียดเสียดฝูงชนขึ้นรถเมล์ที่จอดอยู่พอดีอย่างชนิดที่ลืมแท๊กซี่ไปเสียสนิท ฟ้านั่งลงริมหน้าต่างฝั่งซ้ายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้เธอก็มองลงไปยังคนบ้าเมื่อสักครู่ อนิจจา..ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่บนม้านั่งปูนตัวที่เปื้อนเปรอะกำลังแสยะยิ้มมองมาทางเธออยู่ด้วยเช่นกัน...............
ไอ้บ้า !! เสียงของหญิงบ้าด่าใส่เธอครั้งที่สองยังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา
ทำไมน้า...ทำไม ต้องมาว่าเราด้วย อุตส่าห์หนีขึ้นรถไปแล้วยังตะโกนขึ้นมาอีกแน่ะ นี่มันสองครั้งแล้วนะ ไปเล่าให้ใครฟังนี่คงโดนหัวเราะเยาะแย่เลย เราก็ไม่ได้บ้าสักหน่อยตัวมันนั่นล่ะบ้าเอง ที่นั่งเลอะๆ ก็นั่งเข้าไปได้ อย่างนี้ไม่เรียกบ้าก็ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงละ เฮ้อ ...อีกตั้งสองวันกว่ารถจะเสร็จ พรุ่งนี้ก็ต้องไปเจอไอ้บ้านั่นอีกแหง ๆ ช่างมัน.... ต้องทำเป็นไม่สนใจ รถอะไรมาก็รีบขึ้นไปเลยจะได้ไปพ้นๆ ตรงนั้นซักที ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เอาล่ะรีบนอนเอาแรงก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าต้องไปเบียดเสียดยื้อแย่งกะคนอื่นอีก ฟ้าบ่นกับตัวเองเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ...........................................
วันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจให้ผู้คนที่เดินทางเท่าไหร่นัก สายฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อยตั้งแต่เช้ามืด หญิงสาวสวยยกกระเป๋าขึ้นมาบังแทนร่ม สองขารีบจ้ำอ้าวเข้าสู่ป้ายรอรถประจำทางที่เดิม วันนี้มีผู้คนไม่มากมายนัก นั่นอาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นสบายทำให้ตื่นสาย หรือบ้างก็คงหลบเลี่ยงอุปสรรคของการเดินทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฟ้ายืนรอรถพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก็พบคนบ้านั่งอยู่ตรงจุดที่หลังคารั่วพอดี ร่างของหญิงคนนั้นเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน แต่นางก็ไม่ได้ขยับตัวหนีไปที่ไหน หนำซ้ำยังยิ้มร่าท้าทายลมฝนอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายในชุดทำงานวัยกลางคนถือถุงอาหาร และน้ำ เดินตรงไปยังผู้หญิงบ้าคนนั้นพร้อมทั้งสนทนาอะไรกันบางอย่าง เห็นดังนั้นแล้ว ฟ้าจึงค่อยขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง ด้วยความที่อยากรู้ว่าชายคนนั้นได้พูดคุยอะไรกับคนบ้า
เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหมครับ วันนี้คงยังไม่มีใครซื้ออะไรมาให้กินล่ะสิเนี่ย ผมซื้อต้มเลือดหมูกับข้าวเปล่ามาฝาก อย่าลืมกินนะ รถเมล์มาแล้ว เดี๋ยวผมไปทำงานก่อน ไว้ผมจะซื้อมาฝากอีกนะครับ เมื่อพูดจบชายหนุ่มคนนั้นก็เดินขึ้นรถไป
ฟ้ากำลังแปลกใจในตัวของชายหนุ่ม ทำให้หล่อนพลาดที่จะขึ้นรถเมล์คันนั้น เธอชำเลืองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วจึงเดินออกมายืนอยู่ริมฟุตบาทด้วยความรีบร้อน โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังจ้องมองมาทางเธอ ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม และคราบน้ำฝน........
ไอ้บ้า !! เสียงของหญิงบ้าด่าใส่เธอครั้งที่สามยังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา
วันนี้ก็ยังโดนว่าแฮะ แต่ทำไมนะไม่รู้สึกเจ็บใจหรืออายเท่าครั้งก่อนๆ เลย ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึงด่าคนอื่นๆ ว่า ไอ้บ้า ทั้งที่ตัวเองก็เป็นบ้า ผู้ชายคนนั้นก็ช่างกล้าเสียจริงคุยกับคนบ้าก็ได้ หน้าตา การแต่งตัวก็ดูดีไม่น่าเลยเสียภาพพจน์คนหล่อหมด ต๊าย..นี่เราเพ้ออะไรออกไปเนี่ย ไม่เอาไม่เอา รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ รถก็คงซ่อมเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องไปเจอนังบ้านั่นอีกต่อไป ฟ้าทิ้งตัวลงนอนหน้าแดงก่ำ เมื่อพึมพำถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมา .......................................................
วันรุ่งขึ้นอากาศสดใส นกมากมายบินออกจากรังทะยานสู่ท้องฟ้าเพื่อออกหากิน สภาพผู้คนก็เหมือนเดิมๆ ฟ้าหิ้วถุงพลาสติกสีใส ใส่กับข้าวที่ซื้อมาจากตลาดละแวกนั้นเดินเข้าไปหาหญิงบ้าที่นั่งเหม่อลอยอยู่ จากนั้นหล่อนก็นั่งลงบนม้านั่งปูนใกล้ๆ กับนาง โดยที่ไม่ได้กังวลหรือกลัวเหมือนเมื่อก่อนแต่อย่างใด ขณะที่ความรู้สึกดีดีของเธอกำลังเกิดขึ้นนั้น ก็มีเสียงอันอบอุ่นนุ่มนวลลอยมาตามสายลม
ไม่กลัวแล้วหรือครับ วันสองวันก่อนผมยังเห็นคุณท่าทางยังตกใจอยู่เลย หนุ่มหล่อคนเมื่อวานเอ่ยถามหญิงสาว
เอ่อ ...ค่ะ ก็คงจะเริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว ฟ้าตอบกลับไปด้วยอาการเคอะเขินเล็กน้อย
ดีแล้วล่ะครับ แรกๆ ที่ผมย้ายมาอยู่แถวนี้ ก็โดนผู้หญิงคนนั้นด่าว่า ไอ้บ้า เหมือนกับคุณ และไม่ใช่แค่ผมคนเดียว หลายๆ คนที่อยู่นี่ก็ด้วยเหมือนกัน ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
จริงหรือคะ แต่ฟ้ายังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงว่าคนอื่นเช่นนั้น ทั้งที่ตัวเอง เอ่อ...ก็เหมือนคนบ้าแท้ ๆ หญิงสาวถามด้วยความฉงน
ใช่ครับ แรกๆ ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่อะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป คุณลองมองดูนางให้ดีสิ จะเห็นว่าวันนึงวันนึง ชีวิตของเธอช่างดูมีความสุขยิ่งนัก แม้แดดจะร้อน ฝนตกลมแรง เสื้อผ้ามอมแมม หรือรองเท้าแตะที่ใกล้จะขาดเต็มที นางก็ไม่เคยจะสนใจ ยังไปนั่งคุยกับนกบ้าง ทักทายกับดอกไม้บ้าง เมื่อยามที่นางหิว เพียงแค่แบมือขอก็มีคนซื้อให้ อิ่มแล้วเธอก็ไม่ร้องต้องการอะไรอีก แม้ว่าโลกใบนี้จะหมุนไปสักเพียงใด นางก็ไม่เคยดิ้นรนที่จะหมุนตาม แต่อย่างเรานี่สิวุ่นวายไม่เว้นวัน ไม่รู้ดิ้นรนไขว่คว้าหาอะไร ทั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ล้มลุกคลุกคลานก็ยังตะเกียกตะกายกันต่อไป ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพื่ออะไร ทุกคนต่างก็มองผู้หญิงคนนั้นเป็นคนบ้า ทั้งๆ ที่จริงแล้วก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่บ้ากว่ากัน........
ตกเย็นฟ้าขับรถที่เพิ่งซ่อมเสร็จหมาด ๆ กลับบ้าน ระหว่างทางก็ผ่านป้ายรถประจำทางแห่งนั้น หล่อนมองข้ามถนนไป แลเห็นภาพของผู้หญิงที่ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้ามอมแมม รองเท้าแตะหูหนีบ นั่งอยู่ที่เดิมท่ามกลางผู้คนมากมายที่รายล้อมอยู่ ทำให้นางดูเด่นเหมือนเป็นเจ้าหญิงที่อยู่ในโลกอันสดใสของเธอเลยทีเดียว ..........................................
แม่ขา หนูตัดสินใจไม่ซื้อรถคันใหม่แล้วล่ะแม่ สาวสวยวัยเกือบกลางคน เอ่ยปากบอกผู้เป็นแม่ ในขณะที่กำลังทานมื้อค่ำที่โต๊ะอาหาร
ดีแล้วล่ะลูก แต่ว่าเอ...ทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ หญิงหม้ายวัย 50 เศษ ๆ เงยหน้าขึ้นมองลูกสาวด้วยความรู้สึกแปลกใจ
เอาไว้ว่างๆ หนูจะเล่าให้แม่ฟังละกัน ใครจะว่าหนูเชยก็ช่างมีแต่พวกบ้าๆ กันทั้งนั้น เอ่อ..แล้วก็ พรุ่งนี้หนูไม่เอารถไปทำงานนะ สาวสวยตอบพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปาก
ไปว่าเขาบ้าไม่ดีนะลูก ใจจริงแม่ก็ไม่อยากให้หนูรีบซื้อคันใหม่หรอก ว่าแต่ว่า..ทำไมไม่ขับรถไปทำงานล่ะ แม่ฉงนในคำพูดของลูกสาว
ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะขึ้นรถเมล์ดูบ้าง เผื่อจะได้เจอใครบางคนที่นั่น สาวสวยพูดจบก็วิ่งหน้าแดงขึ้นไปบนห้องทันที ปล่อยให้แม่นั่งยิ้มแก้มปริอยู่ที่โต๊ะอาหารเพียงคนเดียว................
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 9 เมษายน 2551 19:48:46 น. |
Counter : 986 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รางวัลแห่งชีวิต จากการพิชิต...ดอยปุยหลวง
รางวัลแห่งชีวิต จากการพิชิต...ดอยปุยหลวง
คนธรรมดา
1 ปลายปี 2548 ช่างภาพหน้ากลมและนักเขียนหน้ามนคู่หนึ่งได้รับมอบหมายให้เดินทางไปถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การพิชิต ยอดดอยปุยหลวง ขุนเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,700 เมตรและนับเป็นยอดเขาที่ใกล้ชิดท้องฟ้าที่สุดในบรรดาขุนเขาของจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่จนแล้วจนรอดการเดินทางในครั้งนั้นกลับประสบกับความล้มเหลว เพราะฟ้าดินไม่เป็นใจส่งพายุฝนกระหน่ำลงมาเสียก่อน ขณะที่เหลือระยะทางอีกเพียง 500 เมตรเท่านั้น ก็จะถึงยอดดอย เราทุกคนใกล้จะได้สัมผัสกับสุดยอดทิวทัศน์ที่น้อยคนนักจะได้เคยชื่นชมมัน ค่ำคืนอันเหน็บหนาวบน (ใกล้) ยอดดอยคราวนั้น คณะของเราที่ประกอบด้วย ผม ช่างภาพ พราน และ สาจู คนนำทางเชื้อสายปากะญอ ต่างทำ สัญญาใจ ให้กันไว้ว่า. กูจะต้องกลับมาเหยียบยอดดอยแห่งนี้ให้ได้ในชีวิตนี้ !
2 หนึ่งปีต่อมา โอกาสก็มาถึง คู่หูหน้าเก่ากับเส้นทางสายเดิมก็ได้มีโอกาสแก้ตัว ในคราวนี้สภาพอากาศเป็นใจ ฟ้าใส อากาศเย็นสบาย เราจึงกลับไปเชิญชวนคณะเดินป่าเจ้าถิ่นขาเดิมที่มีสัญญาใจกันไว้ โดยพรานทั้งหลายต่างยินดีที่จะร่วมเดินทางไปทริปนี้ด้วยกันกับเราอีกครั้ง การเดินทางไปดอยปุยหลวง ต้องอาศัยรถแบบ 4 WD เท่านั้น เนื่องจากเส้นทางเป็นดินลูกรังและสูงชันในบางช่วง เมื่อเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราใช้เส้นทางจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปบ้านห้วยฮี้ ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะเที่ยวชมหลายแห่ง เช่น น้ำตกแม่สะกึดหลวง ถ้ำน้ำฮูหายใจ แต่ที่สวยงามที่สุดคือ จุดชมวิวดอยสันฟ้า จุดชมทิวทัศน์ที่คุณจะยืนอยู่เหนือทะเลหมอกสีขาวอันงดงามราวปุยนุ่น ความสวยงามของจุดชมวิวแห่งนี้ยิ่งกระตุ้นให้เราอยากขึ้นไปสัมผัสทัศนียภาพบนยอดดอยเร็วกว่าเดิม
3 เมื่อถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงห้วยฮี้ เราเข้าไปหา สาจู คนนำทางคนเดิม แต่ก็ต้องพบกับเรื่องเศร้า ชายคนนั้นจากเราไปเสียแล้ว เมื่อฤดูฝนที่ผ่านมา เขาขับรถลงไปช่วยนักท่องเที่ยวที่รถติดล่มอยู่กลางทาง แต่โชคร้ายรถของเขาเองกลับเสียหลักพลิกคว่ำตกเขาลงไป ผู้ใหญ่บ้านห้วยฮี้เล่าให้พวกเราฟังด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง โดยคณะเราทุกคนต่างก็รู้สึกเสียใจและเสียดายกับการสูญเสียคนรักป่าไปอีกหนึ่งคนก่อนวัยอันควรเช่นนี้ แต่เมื่อเราได้พูดคุยกับ สาจ๊ะ พี่ชายของเขาถึงการเดินทางครั้งใหม่ เขาตัดสินใจอาสาเป็นคนนำทาง สานงานต่อจากน้องชายเขาในทันที ตลอดระยะทางบนเส้นทางสายเดิม บรรยากาศ ทิวทัศน์ และความเหนื่อยล้า ในครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากการเดินในครั้งที่แล้วเลย จนบางคนในคณะได้กล่าวพร้อมเสียงหายใจอันรวยรินว่า นี้แหละคือเสน่ห์ของการเดินป่าขึ้นเขา เพราะมันเปรียบเสมือนเส้นทางชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครที่จะมีเส้นทางที่ราบเรียบและมีความสุขตลอด ในบางครั้งเราจะพบอุปสรรค์และความทุกข์ประดังเข้ามาเหมือนพายุรุนแรง แต่หากใครฟันฝ่าอุปสรรค์ไปได้ เขาก็จะได้สัมผัสกับรางวัลแห่งชีวิตที่คุ้มค่าและหาไม่ได้จากที่แห่งใด
4 หลังซาบซึ้งกับถอยคำที่เป็นกำลังใจให้ก้าวเดินต่อไป (แต่หัวใจจริงๆ กำลังเต้นอย่างแรง) เราก็พบจุดเดิมที่เราเคยปักหลักในการเดินทางครั้งที่แล้ว ทั้งคณะตัดสินใจเหมือนกันคือ ไปให้ถึงยอดดอยก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง ซึ่งเราเข้าใจกันดีว่า ความเจ็บใจ ในครั้งที่แล้วยังคงหลอกหลอนพวกเราอยู่
วินาทีที่ เท้าก้าวถึงยอดดอยปุยที่มีความสูงระดับ 1,700 เมตร บางคนถึงกับตะโกนสุดเสียง บางคนถึงกับนิ่งไป เมื่อแลเห็นทัศนียภาพและคลื่นทะเลภูเขาอันงดงามที่อยู่เบื้องหน้า ความสวยงามของดอยปุยหลวง ไม่เพียงมีแต่ในช่วงกลางวันเท่านั้น ในยามเช้าแสงแรกแห่งวันจะมาพร้อมทะเลหมอกที่เสมือนสายน้ำอันพลิ้วไหวไปตามเกาะเล็กเกาะน้อยที่เคยเป็นถึงขุนเขาอันสูงชัน ส่วนในยามพระอาทิตย์อัสดง แสงสุดท้ายของวันจะฉาบท้องฟ้าให้เป็นสีแดงเพลิง พร้อมๆกับการมาเยือนของความหนาวเย็น ดวงดาว และพระจันทร์สีนวล
ค่ำคืนนั้น ท่ามกลางกองไฟอันอบอุ่น ภายใต้ดวงดาวเต็มฟ้า เราต่างนอนกอดไอหนาวอย่างสุขใจ เพราะทั้งคณะต่างได้ รางวัลแห่งชีวิต จากขุนเขาแห่งนี้กันทุกคน
Create Date : 30 มกราคม 2550 | | |
Last Update : 30 มกราคม 2550 22:03:18 น. |
Counter : 2688 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|