|
เธอคือแสงดาวอันอบอุ่น
เรื่อง : ลุงรัน
ในเย็นวันหนึ่งของฤดูหนาวที่ใกล้จะลาจาก ความมืดคืบคลานมาเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เพิ่งจะเข้าช่วงเย็นมาได้ไม่นาน ดวงดาวแต้มแสงเป็นจุดใสๆ กระจายอยู่บนเวิ้งฟ้าบ้างแล้ว เมื่อผมหอบร่างฝ่าสายลมเย็นออกมาจากธรรมศาสตร์ ผมเร่งสาวเท้าข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของถนน ที่เป็นฝั่งสนามหลวงทันที โดยวันนี้ กลุ่มพลังมวลชนได้นัดชุมนุมใหญ่ เพื่อขับไล่ผู้นำประเทศในความผิดฐาน บกพร่องทางจริยธรรม ขึ้นที่นี่
1
เมื่อข้ามถนนมาได้ ผมจึงมาหยุดยืนเก้ๆ กัง ๆ อยู่ที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ต้นหนึ่ง เยื้องๆ กับที่พักรถเมล์ เพื่อชั่งใจดูก่อนว่า จะเอายังไงดีต่อไป และจากที่ที่ผมยืน มองเห็นเวทีอภิปรายสีสันฉูดฉาด ตั้งเด่นอยู่ตรงฝั่งโรงแรมรัตนโกสินทร์ มีการแสดงดนตรี อ่านบทกวี สลับกับการอภิปรายโจมตีท่านผู้นำหน้าเหลี่ยมอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียงโห่ร้องตะโกนขับไล่ของผู้ชุมนุมเรือนหมื่น ดังกึกก้องราวกับฟ้าจะถล่ม สีเหลือง-สัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไหวต่อสู้ สว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณ
ในกลุ่มผู้ชุมนุมเหล่านั้น ผมแลเห็นชายชราอายุเลย 60 ปี ร่างซูบผอมเหี่ยวย่นซ่อนอยู่ในชุดคนไข้สีขาว นั่งอยู่บนรถเข็นที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง มือข้างหนึ่งโบกสะบัดธงชาติไทยผืนเล็กๆ ไปมา ด้วยท่าทีอิ่มใจ มีนางพยาบาลยืนเกาะรถเข็นอยู่ที่ด้านหลัง จากภาพที่เห็น ผมอดไม่ได้ที่จะหวนนึกไปถึงคำพูด และรอยยิ้มเย้ยหยันของเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง ที่เมื่อสักครู่ ผมได้ชักชวนให้มาร่วมชุมนุมด้วยกัน
ไร้สาระน่า เรามันชนชั้นมันสมอง ไม่จำเป็นต้องไปเย้วๆ อย่างนั้นหรอก เหนื่อยเปล่า เขาหรี่ตามองไปที่กลุ่มผู้ชุมนุม ที่คลาคล่ำอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน พร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะแยกเดินจากไป
ลมหนาวไม่รู้เค้าพัดเอาความอ้างว้างประหลาดแผ่ซ่านเข้าสู่จิตใจผม
2
สักพัก ผมจึงตกลงใจได้ว่า จะไปนั่งฟังอภิปรายอยู่ที่หน้าขอบเวที เห็นท่าจะดี จะได้เห็นอะไรถนัดชัดเจนยิ่งขึ้น คิดได้เช่นนั้น จึงบ่ายหน้าไปยังที่นั่นทันที แต่เมื่อไปถึง ก็ต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะมีคนนั่งกันเต็มพรืดไปหมด ผมจำต้องเดินเลี่ยงมาที่ด้านข้างของเวทีแทน ซึ่งพอจะมีที่ว่างเหลือให้ยืนอยู่ได้บ้าง ยืนดูวงดนตรีบนเวที บรรเลงเพลงคั่นรายการอภิปรายได้สัก 10 นาที ก็เกิดกระหายน้ำขึ้นมา คิดเดินไปหาซื้อที่ร้านรถเข็นขายน้ำที่มีแสงไฟวับแวม เรียงรายอยู่ที่รอบนอกท้องสนามหลวง ขณะหมุนร่างเพื่อออกเดิน ร่างใหญ่ของผมก็เกิดไปปะทะเข้าอย่างจังกับร่างแบบบางของหญิงสาว ที่อายุอานามน่าจะราวต้น ๆ 20 ผมเซผงะถอยไปเล็กน้อย แต่ร่างของเธอกลับถลาร่อนไปราวกับนกปีกหัก และลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นในเวลาต่อมา สายตาทุกคู่ในที่นั้นพุ่งมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ดวงหน้าสวยสะอาดบ่งบอกถึงความตื่นตกใจจนชวนเศร้า ก่อนจะยิ้มแหยๆอย่างเขินอาย สองมือคลำป้อยที่บั้นเอว ขณะที่ใบปลิวที่มีข้อความโจมตีท่านผู้นำด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน กับผืนผ้าสีเหลืองผืนน้อยจำนวนมากมายที่เคยอยู่ในมือ ตกกระจัดพลัดพรายไปตามพื้นหญ้าชื้น
เมื่อตั้งสติได้ ผมรีบปราดลงไปนั่งใกล้ๆ ร่างนั้น ช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยคำขอโทษขอโพยสำหรับความพลาดพลั้งที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงก้มลงเก็บสิ่งของต่างๆ ที่เกลื่อนอยู่ที่พื้นหญ้ามาคืนเธอ ก่อนจากกัน เธอส่งยิ้มอันเดียงสาและบริสุทธิ์มาให้ผมอย่างไม่ถือโกรธ มือเรียวงามยื่นใบปลิวกับผืนผ้าสีเหลืองมาให้ ผมพับใบปลิวยัดใส่กระเป๋าเสื้อ ส่วนผ้าผืนนั้น ผมนำมาผูกหลวมๆไว้ที่คอ
แล้วร่างบางเบากับผมยาวสลวยที่มีใบปลิวและผืนผ้าสีเหลืองแนบอกอยู่ ก็หายลับเข้าไปในคลื่นคนที่แออัด
3
อีกหลายวันต่อมา อาจเป็นลมฤดูหนาวกระมัง ที่พัดพาให้ผมมาเจอเธออีกครั้ง ขณะกำลังเดินแจกจ่ายสิ่งของให้แก่ผู้ชุมนุมเหมือนเช่นเคย ผมทักทายเธออย่างลังเล
เอ่อ
จำผมได้ไหมครับ
เธอส่งยิ้มให้ผมอย่างงง ๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากน้อยของเธอ
ผมรีบทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อน ก็ที่เมื่อคืนวันนั้น
ทันใดนั้น เธอจึงพยักหน้าขึ้นๆ ลงๆ อย่างนึกได้ รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนแก้มแดงระเรื่อ พร้อมกับยกมือไหว้ผมอย่างนอบน้อม ค่าที่อยากถ่ายโทษกับเหตุการณ์ในคืนนั้น ผมเอ่ยปากขอแบ่งสิ่งของในมือเธอ เพื่อนำมาช่วยแจกจ่ายให้แก่ผู้ชุมนุม นับจากนั้นเป็นต้นมา ในทุกๆ ครั้งที่มาร่วมชุมนุม ผมจะมาช่วยเธอแจกใบปลิวและผืนผ้าสีเหลืองเสมอ จนเราเริ่มสนิทสนมกัน
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอมาจากจังหวัดแห่งหนึ่งริมชายฝั่งทะเลทางใต้ มีพ่อแม่และพี่ชาย เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ทั้ง 3 คนเป็นครูประถมในอำเภอเล็กๆ กลางหุบเขา ส่วนตัวเธอเองกำลังศึกษาวิชากฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยเปิดย่านหัวหมาก พร้อมๆกับทำงานให้กับองค์กร NGO ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งหนึ่งในถิ่นเกิด ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมของชุมชน ให้รอดพ้นเงื้อมมือของพวกนายทุนท้องถิ่น แต่ทันทีที่เกิดสภาวะวิกฤตการณ์ผู้นำขึ้น เธอและเพื่อนๆอีก 2-3 คน จึงชักชวนกันเดินทางขึ้นมาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานการชุมนุม พ่อแม่ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ ที่มาร่วมชุมนุมครั้งนี้ ก็ท่านเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสอนว่าประเทศชาติเป็นของเราทุกคน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชาติ เราจะนิ่งดูดายไม่ได้ และเราจะต้องเลือกยืนอยู่บนความถูกต้องเสมอ
เธอบอกกับผม ด้วยสำเนียงปร่าแปร่งแบบคนใต้ ผมนั่งฟังนิ่ง พลางพินิจหน้าใสที่ไร้การตกแต่งใดๆ ลึกในใจ... รู้สึกศรัทธากับความเป็นคนมีความคิด ผิดไปจากเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหลายๆคน ที่ผมเคยพบพานมา ต่างกันจนกล่าวได้ว่า ราวดอกไม้ที่ผลิบานจากกิ่งก้านเดียวกัน แต่ต่างทั้งสีสัน และคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของชีวิต
ในยามนั้น ท่ามกลางหมู่ดาวที่เกลื่อนอยู่บนท้องฟ้ามืด ดาวสวยดวงหนึ่งผุดวาบขึ้นกลางฟ้า ส่งประกายแสงเป็นแฉกๆ สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาของผม
4
ระยะนี้
สภาพอากาศในบ้านเมืองเรา ปรวนแปรวิปริตอย่างผิดสังเกต ลมฝนและลมหนาวคละเคล้ากันอย่างแยกไม่ออก บางวันอากาศเจิดจ้าสดใสด้วยแสงตะวัน แต่บางวันกลับครึ้มเศร้าด้วยเมฆฝน ลักษณะเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่สับสนปนเป จนยากจะคะเน หรือพยากรณ์ใดๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ในขณะที่ผู้นำประเทศยังคงยืนกรานไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกกดดันจากกลุ่มพลังต่าง ๆ มากมายสักเพียงใด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ได้เกิดกลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุนผู้นำรัฐบาล ที่เดินทางมาจากหลายจังหวัด และรวมตัวกันอยู่ที่สวนสาธารณะใหญ่กลางเมืองหลวง สิ่งนี้ยิ่งสร้างสภาวะความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพบ้านเมืองแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายไปทั่วทุกหัวระแหง แบ่งออกเป็นพวกที่รัก และพวกที่เกลียดชังผู้นำ ผมอดหวั่นวิตกลึกๆไม่ได้ว่า ความรุนแรงอาจจะอุบัติขึ้นเมื่อใดก็ย่อมได้ เมื่อนั้นเลือดและน้ำตาของประชาชนผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะต้องไหลนองท่วมพื้นแผ่นดินไทย ผมได้แต่เฝ้าถามตัวเองด้วยความไม่เข้าใจว่า เมื่อช้างสารชนกัน แต่ทำไมนะ หญ้าแพรกกลับต้องมาแหลกลาญไปกับเขาด้วย ?
24 กุมภาพันธ์ 2549 แทนการลาออกอย่างที่หลายฝ่ายต้องการ นายกรัฐมนตรีกลับประกาศยุบสภาฯ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว มีการวิเคราะห์กันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเล่ห์กลทางการเมือง เพื่อลดทอนกระแสกดดันที่บีบคั้นอยู่ในห้วงเวลานั้น พร้อมกับหวังจะใช้การเลือกตั้งเป็นหนทางฟอกตัว เพื่อหวนคืนสู่ตำแหน่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
การยุบสภาฯ ที่มีวาระซ่อนเร้นซุกซ่อนอยู่นี้ กลับยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านเป็นเท่าทวีคูณ การชุมนุมประท้วงมีท่าทีว่า จะยืดเยื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
5
ในคืนหนึ่ง ริมถนนแสนสวย หลังเวทีอภิปราย ผมและเธอได้มีโอกาสนั่งปรารภกันเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ ผมถามเธอไปว่ารู้สึกท้อบ้างไหม กับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อจนเหมือนจะไร้ซึ่งจุดจบ
ไม่ค่ะ
เราท้อไม่ได้ เราต้องอดทนต่อไป ความยากลำบากที่เรากำลังประสบอยู่นี้ มันคุ้มค่ากับสิ่งดีงามที่กำลังรอคอยเราอยู่ อีกไม่ช้า ความบ้าคลั่งหลงใหลในอำนาจของเขา มันจะยุติลง อำนาจที่เขายื้อแย่งมาจากประชาชน จะหวนคืนสู่มือเราอีกครั้ง เธอบอกกับผมอย่างนั้น น้ำเสียงใส หากทว่ามั่นคง
ผมพูดขึ้นบ้าง พลางส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เวลานี้ ประเทศของเราเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย เรามีผู้นำประเทศที่ดื้อด้าน ไร้ยางอาย และเจ้าเล่ห์ เกินกว่าที่จะยอมลุกไปจากเก้าอี้แต่โดยดี ทั้งที่หมดความชอบธรรมไปแล้วตั้งหลายครั้งหลายหน
แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า ไม่มีวันที่อำนาจแห่งอธรรมจะข่มธรรมไว้ได้อย่างแน่นอน แล้วเราจะชนะในที่สุด ขณะพูด ดวงตาของเธอทอประกายแวววาว แข่งกับแสงดาวบนฟากฟ้ายามนั้น...
ขอบฟ้าแห่งการสนทนาของเรา มายุติลงเอาเมื่อราว 4 ทุ่มเศษ เธอรบเร้าให้ผมกลับบ้าน ค่าที่รู้ว่าผมมีสอบในตอนรุ่งเช้า เธอบอกด้วยว่า เธอเองก็จะต้องห่างหายจากการชุมนุมไปชั่วคราว เมื่อเย็นที่ผ่านมา ทางบ้านได้โทรศัพท์มาว่า แม่ของเธอที่ตามปกติแข็งแรงดี ได้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ร้ายแรงอะไร แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงต้องกลับบ้านไปดูแลท่าน เพราะพ่อและพี่ชายต้องไปสอนหนังสือทุกวัน หากแม่อาการดีขึ้นแล้ว เธอจะรีบกลับมาร่วมชุมนุมใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน โดยเธอจะออกเดินทางในตอนเช้าของวันใหม่
เราร่ำลากันโดยต่างไม่รู้แน่ชัดว่า เมื่อไรจึงจะได้พบพานกันอีก เธอพุ่มมือไหว้ลาผมอ่อนโยน ในท่ามกลางคำกล่าวอวยพรของผมที่ขอให้เธอโชคดี และขณะที่ผมเริ่มต้นเดินจากมา ทันใดนั้น เธอจึงพูดขึ้นเสียงดังเหมือนเพิ่งนึกได้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสลอยมาตามสายลมเย็น
อืม...อยากได้ของฝากอะไรเป็นพิเศษจากใต้บ้างไหมคะ
เอาตัวคุณกลับมาก็พอแล้วครับ
ผมหันหน้ากลับไปตอบเธออย่างยิ้ม ๆ จากนั้น เราทั้งสองจึงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นพร้อมกัน ท่ามกลางแสงดาวอันอบอุ่น
6
แล้วข่าวเศร้าก็มาเยือนพร้อมๆ กับสายลมปลายฤดูหนาว ในช่วงค่ำของคืนวันถัดมา ... เมื่อผมได้รับแจ้งข่าวว่า รถทัวร์คันที่เธอโดยสารกลับบ้าน ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำลงกลางทาง เธอ-หญิงสาวมากฝัน ผู้มีหัวใจอันอบอุ่นและบริสุทธิ์ใสเหมือนแสงแห่งดวงดาว เจ้าของความเชื่อที่ว่า ไม่มีวันที่อำนาจแห่งอธรรมจะข่มธรรมไว้ได้อย่างแน่นอน สิ้นใจตายคาที่ ก่อนจะทันถึงบ้านเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยอย่างที่ได้ตั้งใจ
ระหว่างยืนรอรถเมล์กลับบ้าน อยู่บริเวณที่พักรถเมล์ บนท้องฟ้าในคืนนั้นที่ดูหม่นหมองจนน่าใจหาย ผมคล้ายแลเห็นดาวสวยดวงเดิม ส่งแสงจรัสจ้าขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะร่วงหายไปจากขอบฟ้า... .................................
**แด่...ทัศนีย์ รุ่งเรือง แกนนำในการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิให้กับชาวบ้านลานหอยเสียบ อ.จะนะ จ.สงขลา กรณีโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์ และหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมขับไล่ผู้นำรัฐบาล เธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถโดยสารพลิกคว่ำ ที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เมื่อ 16 มีนาคม 2549 ขณะกลับจากร่วมชุมนุมกับเครือข่ายพันธมิตรฯที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
Create Date : 20 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 12:59:05 น. |
Counter : 2401 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สุขแท้แค่ได้มี...
เรื่อง : เจ้ากอล์ฟ
ณ กลางสะพาน ท้องฟ้าสกาวดาวดูสดใส สายลมเย็นพัดผ่านหน้าของผมไปครั้งแล้วครั้งเล่า รถรา และเรือต่างๆส่งเสียงดังขึ้นเป็นระยะ ผมกระดกเบียร์กระป๋องอย่างช้าๆ ใช่แล้ว...ผมมีเรื่องไม่สบายใจ คนที่ปกติดีคงไม่มานั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงนี้แน่นอน เที่ยงคืนกว่าบนสะพานพระปิ่นเกล้า!
บรรยากาศอ้างว้างชวนให้เหงา มีเสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเล่นคอยขับกล่อม รอยยิ้มของลมกับส่วนผสมของเบียร์ ยิ่งทำให้ละเมอเพ้อไปแสนไกล ผมมองจากบนสะพานสู่แม่น้ำเบื้องล่าง ภาพน่ากลัวยิ่งนัก ทั้งมืดและสูง
นี่ถ้าเราตกลงไปจะเป็นยังไงนะ ผมพึมพำกับตัวเอง
ก็ตายน่ะสิเจ้านาย เสียงเล็กๆแว่วขึ้นมา ผมมองหาต้นเสียงนั้นทันที
เอ้ย เจ้าสามเข็ม นี่เจ้าพูดกับข้าหรือ ผมมองนาฬิกาที่ข้อมืออย่างแปลกใจ
ตอนนี้เวลา เที่ยงคืนกว่าแล้วนะเจ้านาย นั่งอยู่ที่นี่มา 2 ชั่วโมงแล้วนะเจ้านาย เจ้าสามเข็มบอก
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกระดกเบียร์ในมือ เฮ้อ..ข้ายังอยากอยู่ต่ออีกสักพัก ข้ายังคิดไม่ออกว่า ข้ามาทำอะไรที่นี่
กระผมไม่รู้หรอกว่าเจ้านายมาทำไมที่นี่ รู้แต่ว่าพรุ่งนี้เจ้านายต้องตื่นแต่เช้ามิใช่หรือ เจ้าสามเข็มเตือนสติ
โลกนี้บางครั้งก็สวยงามซะจนไม่อยากจะจากไปไหน แต่บางคราวมันก็โหดร้ายพอๆกับที่สวยงามนั่นล่ะ และอาจมากกว่าด้วยซ้ำ ผมมองทอดลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง พลางระบายให้เจ้าสามเข็มได้ฟัง
ผู้หญิงคนนึงได้เปลี่ยนไป จากที่เคยแสนดีและอ่อนหวาน ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ คิดว่าไงเจ้าสามเข็ม
ก่อนนั้นเจ้านายมีความสุขไหม และเมื่อไม่เข้าใจกันเจ้านายมีความสุขไหม เสียงแว่วของเจ้าสามเข็มแล่นเข้ามาในหัวผม
ก่อนนั้นก็มีความสุขดี มากเสียด้วย แต่มาตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้วล่ะ คงใกล้ถึงการลาจาก ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ความสุขของเจ้านายคืออะไร เสียงแว่วของเจ้าสามขา ที่ทำให้ผมต้องชะงักทันใด .............................................
ชั่วโมงที่แล้ว ความเหงาของบรรยากาศ ชวนให้ผมเดินลงจากสะพานพระปิ่นเกล้า ผ่านวิทยาลัยนาฏศิลป์ไปตามทางเท้า ที่มีแสงไฟสลัวๆไปตลอดทาง ผู้คนเดินสวนมาบ้างปะปราย ผมเดินอย่างช้าๆพลางคิดเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดทาง เมื่อมาถึงหน้าโรงละครแห่งชาติ ผมก็ข้ามถนนไปยังสนามหลวง เพื่อหาเครื่องดื่มแก้โรคเหงา ที่หลายคนพึ่งพามันอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผมเข้าสู่พื้นที่กว้างใจกลางเมืองกรุง ผมรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น ผู้คนมากมาย เด็ก ผู้ใหญ่ และวัยชราปะปนกันกระจายเต็มพื้นที่
ทนทำงานนี้ไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวอีกเดือนนึง พี่จะพาเราย้ายไปทำสวนลำไยที่เชียงใหม่ด้วยกัน ได้จ้ะ พี่ไปไหนแค่ให้ฉันไปช่วยพี่ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ เสียงของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่นอนมองดาวบนฟ้าอยู่ด้วยกัน
ลูกเต้าพอโตก็หายหน้ากันไปหมด ข้าอยู่คนเดียวที่นี่มานานเหงาก็เหงา แต่ตอนนี้ข้ามีพี่ๆน้องๆเป็นเพื่อนมาหลายปี แค่นี้ก็มีความสุขพอที่จะลืมเรื่องเก่าๆได้ละ กลุ่มคนหลายวัย นั่งคุยกันเป็นวงใหญ่หัวเราะกันอย่างเริงร่า
เบลเอ้ย จะกลับยังลูก ไว้พ่อจะพามาเล่นอีกนะ ป่านนี้แม่คอยแย่แล้ว อีกแป๊ปนึงนะพ่อ สองพ่อลูกที่เล่นว่าวกัน ท่ามกลางเวิ้งฟ้าที่กว้างใหญ่ของสนามหลวง
ผมเดินผ่านผู้คนมามากมาย จนมาถึงใจกลางของสนามหลวง ที่นี่มีร้านค้ามากมาย มีข้าวไข่เจียว ผัดไท กระเพาะปลา และอื่นๆ อีกมาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหิวแม้แต่น้อย ผมตรงไปยังร้านขายน้ำ ที่ตั้งกล่องโฟมเก็บความเย็นใบใหญ่ทันที
ผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูจะเป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่ เอ่อ..เจ๊ครับ มีเบียร์กระป๋องไหมครับ
40 บาท ไหนๆ ก็โดนแล้วขายมันซะเลย เจ๊พูดอย่างอารมณ์เสีย
เอา 3 กระป๋องครับ ว่าแต่เจ๊โดนอะไรมาเหรอครับ ผมถามด้วยความสงสัย
ก็ตำรวจน่ะสิ มาไถไป 200 ไม่งั้นจะจับเรื่องที่ขายของมึนเมาในสนามหลวง แต่น้องซื้อไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้มาไถบ่อย ข้าวขึ้นราคาก็แบบนี้ล่ะ เจ๊บ่นยืดยาว
ผมกระดกเบียร์ที่ซื้อมา พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เจ๊ขายที่นี่มานานแล้วสิครับ
เกือบ 7 ปีแล้วนะ ก็พอขายได้ไม่ถึงกับร่ำรวยอะไร เมื่อก่อนเจ๊ทำงานทอผ้า แต่มันเหนื่อย เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยทั้งกาย เจ๊เลยลาออกมา แล้ววันนึงได้มาเดินเล่นที่นี่ เห็นผู้คนมากมายก็เลยลองขายพวกน้ำดื่มดู แล้วจากนั้นก็เลยขายมาตลอด ที่นี่ลมเย็น ฟ้ากว้างใหญ่ อยู่แล้วไม่อึดอัด เจ๊มีความสุขดี แค่มีเพื่อนๆ คนรู้จัก มีคนคุยยามเหงาก็พอแล้ว บางครั้งขายๆ ไปก็ได้คนคุยมากหน้าหลายตา เจ๊ก็อายุเยอะแล้ว เจ๊ไม่ต้องการอะไรมากมายแล้ว ลูกติดเจ๊ก็มี นั่งเล่นอยู่ตรงนั้น เจ๊พูดไปหัวเราะไป ยิ้มไม่ยอมหุบ
เมื่อผละจากเจ๊ ผมตัดสินใจเดินถือกระป๋องเบียร์กลับทางเดินเดิม ไปยังสะพานพระปิ่นเกล้า ยืนกินลมชมดาวพร้อมจิบเบียร์ด้วยใจที่อ้างว้าง ภาพของเธอวนเวียนเข้ามาในหัว ผสมกับภาพของผู้คนชาวสนามหลวง ผมหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะหยิบเครื่องเล่นเพลงเล็กๆ ขึ้นมาเปิดฟัง เสียงพึมพำของตัวเองดังขึ้นเบาๆ ผมมาทำอะไรที่นี่
..
.......
2 ชั่วโมงที่แล้ว ผมรู้สึกตัวเบาหวิวมีความสุข เมื่อผมจะได้เจอเธอคนนั้น จากที่ไม่ได้เจอมานาน เพราะช่วงที่เราไม่ได้เจอกันนี้ ต่างคนต่างไม่เข้าใจ และมีปัญหากันเรื่อยมา ครั้งนี้ผมกะเอาไว้ว่า จะเอาของที่ยืมมาไปคืน และจะพาเธอไปกินข้าว นั่งคุยปรับความเข้าใจกัน เวลานัด 3 ทุ่ม ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มาสายไปนิดนึงนะ น้ำเสียงเรียบๆ ของเธอเอ่ยขึ้น
อ่อ พอดีติดงานด่วนนิดหน่อย เอานี่ของที่ยืมไป แล้วเดี๋ยวจะไปไหนต่อ ผมพูดไปด้วยใจที่เริ่มระแวง
รีบกลับ ทำงานต่อ สั้น ห้วน และเย็นชายิ่งนัก
อ่ะ .... ผมพูดอะไรไม่ออก ลืมทุกอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนเจอกัน
งานเยอะ ไม่มีเวลา แล้วนี่จะกลับยังไง เธอเอ่ยถาม
อ่อ ไม่เป็นไรกลับเองได้สบาย ไปล่ะครับ ผมพยายามอดกลั้นความผิดหวังไว้อย่างที่สุด
ผมไม่รู้จะไปไหนดี เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีเหนื่อย ก้มหน้าก้มตาไม่มองใครทั้งนั้น เธอคนนี้ไม่ใช่เธอที่ผมเคยรู้จัก เวลาเพียงไม่นานเธอก็เปลี่ยนไปมาก หน้ามือเป็นหลังมือ ผมไม่รู้เพราะอะไร มีเหตุผลมากมาย ที่คนเราจะเปลี่ยนไป จากผู้หญิงที่แสนดีและน่ารัก กลายเป็นคนที่เย็นชา ผมพยายามที่จะไม่คิดถึงเหตุผล ที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ ผมเดิน และก็เดิน จนมองเห็นสะพานพระปิ่นเกล้า เมื่อเดินถึงส่วนที่สูงที่สุดของสะพาน ผมจึงหยุดพลางทอดสายตาออกไปตามความยาวของแม่น้ำ ลมพัดแรงแต่ผมกลับรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ผมพยายามที่จะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้สักที ยิ่งพยายามที่จะลืม ก็ยิ่งจดจำได้ขึ้นใจ
ผมมาทำอะไรที่นี่ เสียงพึมพำของตัวเองดังขึ้น
ความสุข และความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีเธอ มันกำลังจะหมดไปใช่ไหม ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า พลางเอ่ยถามลอยๆ เผื่อจะมีใครสักคนมาตอบ .....................................
ณ กลางสะพาน แล้วความสุขของเจ้าล่ะคืออะไร ผมถามเจ้าสามเข็มกลับไป
แค่ได้อยู่บนข้อมือเจ้านาย ให้เจ้านายเห็นว่า กระผมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้านาย แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว เสียงแว่วเจ้าสามเข็มดังขึ้น
นั่นสินะ เจ้าทำให้ข้าคิดได้ ความสุขของคนเรามันไม่เท่ากัน อย่างคนที่สนามหลวงแค่พวกเขามีเพื่อน มีที่กิน มีที่นอน มีรายได้ ถึงแม้มันจะไม่มากมายก็เถอะ แต่พวกเขาก็มีความสุขได้ เอ็งว่าไหมเจ้าสามเข็ม บางทีความสุขของเธอคนนั้น อาจจะต้องการมากกว่าสิ่งที่ข้ามีให้และเป็นอยู่ก็ได้ ผมเหม่อมองไปยังเรือที่แล่นไปมา
เจ้านายยังไม่บอกเลย ว่าความสุขของเจ้านายคืออะไร เจ้าสามเข็มท้วงคำตอบ
ผมครุ่นคิดอย่างช้าๆ ความสุขเหรอ อืม..การที่แค่มีเธออยู่ ก็มีความสุขดีนะ แต่เมื่อเธอจะไม่อยู่แล้ว ความสุขตรงนั้นมันก็คงจะหายไป
เจ้านายยอมแพ้ละเหรอ เจ้าสามเข็มแว่วขึ้น
บางที...การปล่อยให้เธอไป มันมิใช่การยอมแพ้ แต่มันเป็นการยอมรับ ในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ต่างหากล่ะ ถ้าเธอไปแล้วมีความสุข เราก็ควรที่จะมีความสุขด้วย น้ำตาผมเริ่มเอ่อที่ขอบตา
ตีหนึ่งแล้วนะเจ้านาย เราจะกลับกันได้หรือยัง เจ้าสามเข็มบอกเวลา
ป่ะ กลับบ้านดีกว่า ความสุขของข้าก็ยังมีอยู่ที่นั่น แค่ได้ตื่นมามีวันพรุ่งนี้ มีครอบครัว มีเพื่อน กินอิ่ม นอนหลับ ไม่มีหนี้ และไม่มีโรค แค่นี้ก็พอละ...ความสุขที่ข้าต้องการ
*เรื่องนี้เขียน ณ สะพานพระปิ่นเกล้า วันที่ 7 เมษายน 2551 ช่วงเวลาผลัดเปลี่ยนวัน
Create Date : 09 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 9 เมษายน 2551 19:11:34 น. |
Counter : 1178 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หน้าต่างบานนั้น
เรื่อง : เจ้ากอล์ฟ
พ่อคะ ทำไมพ่อถึงอยากให้หนูพามาที่นี่ล่ะ มีแต่ตึกร้าง ไม่มีอะไรน่าดูเลย ลูกสาวคนเดียวของเขาวัย 30 เศษๆ เอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังขับรถ
จอดตรงนี้ล่ะ ช่วยพยุงพ่อลงจากรถหน่อย เสียงพูดที่ติดขัด และเบาบางของชายชราในวัยใกล้ฝั่ง ที่ร่างกายซูบซีดไร้เรี่ยวแรงเอ่ยขึ้น
ลูกสาวประคองผู้เป็นพ่อลงจากรถ หนูว่า...หนูพาพ่อไปพักผ่อนที่สวนสาธารณะดีกว่าไหมคะ
........................... เขานิ่งเงียบพร้อมกับล้วงมือหยิบแว่นตาในกระเป๋าเสื้อออกมาใส่ เพื่อมองไปยังตึกแถวหลังหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งมาเนิ่นนาน ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกรุงรัง ตัวตึกจากที่เคยมีสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเหลืองอมดำ มีฝุ่นหนาจับตามขอบประตู และขอบหน้าต่าง
เสียงพึมพำอันแผ่วเบาของชายชราดังขึ้น พ่อเคยอยู่ที่นี่
พ่อเคยอยู่ที่ตึกนี้เหรอ
เขาชี้ไปตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เปล่า พ่อไม่ได้อยู่ที่หลังนี้ แต่พ่อเคยอยู่ที่หลังนั้น
แล้วใครเหรอที่อยู่ที่ตึกหลังนี้ ลูกสาวเริ่มฉงน
เธอคนนั้น..... ................................................................
ในอดีต...
ผมมักจะออกมานั่งดื่มกาแฟที่ระเบียงห้องเช่าเป็นประจำทุกเช้า ลมเย็นๆ ของฤดูหนาวพัดผ่านบวกกับกาแฟร้อนๆ มันทำให้ผมได้นึกได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเหงา ที่ยังคงตามหาใครสักคน ผมเฝ้าคิดอยู่เสมอว่ามันจะมีจริงๆ เหรอใครคนนั้น คนที่สามารถช่วยขจัดความอ้างว้างภายใจของผมได้ ที่ผ่านมายังไม่เคยได้รู้จักกับคำว่าคนที่ใช่เลยสักครั้ง
แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งอยู่ที่ระเบียง สายตาพลันแลไปสะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เธออยู่ห้องชั้นสามของตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของผมพอดี โดยระหว่างเรา มีเพียงถนนสองเลนแคบๆ เส้นหนึ่งคั่นกลางเท่านั้น ผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก ผิวขาวออกแนวคนจีน ผมสีดำยาวสลวย กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่ริมหน้าต่าง.......
วันนั้นเป็นต้นมา ผมคอยที่จะมองเธอในทุกๆ วัน ยามใดที่เธอร้องไห้ ผมก็จะคอยทำท่าทางตลกขบขัน และทะลึ่งตึงตัง ต่างๆ นาๆ เพื่อที่จะให้เธอได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้เลยว่า เธอจะรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ แต่ถ้ามีวันไหนที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอ ผมจะรู้สึกซึมเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เสมือนว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะผมหลงรักเธอเข้าแล้ว
เมื่อเราเริ่มสนิทกันมากขึ้น ผมก็อยากที่จะรู้จัก และพูดคุยกับเธอ ผมจึงได้ซื้อกระดาษแข็ง และปากกาเมจิกจำนวนหนึ่ง ขอโทษครับ..ผมอยากรู้จักคุณ ประโยคแรกที่เขียนไป ประโยคที่แสนเชย ส่วนเธอนั้นไม่ใช้กระดาษแบบผมหรอก เธอเอาพู่กันจุ่มสีหลากหลาย เขียนลงบนกระจกของหน้าต่างส่งสารกลับมา และแล้ว..เราสองคนก็พูดคุยสื่อสาร โดยใช้ตัวอักษรและรูปภาพผ่านทางหน้าต่างบานนั้นตลอดมา........ ....................................................
My Diary - 20 พ.ย. เช้าวันนี้ฉันร้องไห้อีกแล้ว โดนแม่ว่าเรื่องกลับบ้านช้า ทำไมกันนะสายไปแค่นิดเดียวเอง ทำไมแม่ถึงต้องว่าซะมากมายขนาดนี้ด้วย แม่ไม่เคยเข้าใจฉัน ไม่ค่อยให้ฉันออกไปเที่ยวที่ไหนเลย ทั้งที่ฉันก็อยากออกไปพบหน้าเพื่อนๆ บ้าง มันเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างนี้นะ อยากจะมีปีก อยากจะโบยบินไปบนท้องฟ้าเพื่อมองลงมายังโลกกว้างใบนี้จัง.......
My Diary - 15 ธ.ค. จะครบหนึ่งเดือนแล้วที่ฉันได้เจอผู้ชายคนนั้น เขาเป็นคนที่ตลกและอารมณ์ดีมากๆ เลยล่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ทำท่าจิ้งจกตะกายตึกก็ได้ ทำท่าอุรังอุตังนุ่งผ้าขนหนูถือถ้วยกาแฟเดินไปเดินมาก็เป็น นึกแล้วขำจริงๆ แถมยังมีการเขียนข้อความส่งมาให้อีกแน่ะ อิจฉาชีวิตของเธอจัง เป็นอิสระอยากจะทำอะไรก็ทำได้ แต่ถึงเธออยากจะรู้จักฉันยังไง มันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก บางครั้งฉันก็คิดนะ ว่าฉันอยากให้เธอดีกับฉันแบบนี้ตลอดไป เธออยู่ตรงนั้น และฉันก็อยู่ตรงนี้ มันทำให้ฉันมีกำลังใจ ให้ฉันไม่เดียวดาย เอาเป็นว่าวันนี้ไว้แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลกับแม่แต่เช้า
My Diary 20 ธ.ค. แม่บอกให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ให้ออกไปไหน ฉันก็ได้แต่อยู่ในห้องทั้งวัน อากาศเริ่มหนาวและแห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว นี่สินะที่ใครๆ ก็บอกกันว่า ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาแห่งความเหงา หาอะไรทำดีกว่าจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน พับนกกระดาษแขวนไว้ที่หน้าต่างดีไหมนะ เผื่อเธอกลับมาเหนื่อยๆ ดูแล้วจะได้สดชื่น สดใส เอาล่ะไปพับนกก่อนเดี๋ยวมาเขียนต่อ...... ..........................................
5....4.....3.....2.....1......
ผมชูป้ายกระดาษที่เขียนด้วยปากกาสีสดใสให้เธอดู สุขสันต์วันปีใหม่ครับ
สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันค่ะ ฉันเขียนบนหน้าต่างด้วยสีน้ำตอบกลับไป
ผมชูอีกป้ายให้เธอมอง ผม.......คุณมากนะ
.........<<<นี่คือคำว่าอะไรคะ ฉันเขียนหน้าต่างกลับไปพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย
.........มันก็คือ........ ผมเขินมากจนไม่กล้าเขียนลงไปได้แต่เว้นว่างไว้
คืออะไรบอกมานะ ฉันตื่นเต้นจนตัวหนังสือที่เขียนบนหน้าต่างนั้นสั่นไหวไปตามมือ
รัก ผมชูป้ายพร้อมกับสีหน้าแดงก่ำดังมะเขือเทศ
มองไม่เห็นเลยเขียนให้มันตัวใหญ่ๆ หน่อยได้ไหม ฉันกระเซ้าด้วยใบหน้าที่แดงไม่แพ้เขา
ผมเขียนใส่กระดาษใบใหญ่ที่สุดที่เคยมี รัก ครับ ผมรักคุณนะ
ถึงแม้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือ ฉันเขียนถามทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
ผมชูป้ายขึ้นมาอย่างหนักแน่น ตลอดไป จนกว่าผมจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
ขอบคุณนะคะ ประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนลงบนหน้าต่างในคืนนั้น
เรามานอนดูหมู่ดาวบนท้องฟ้ากันไหมครับ ป้ายสุดท้ายที่ผมชูให้เธอดูในค่ำคืนนั้น....เช่นกัน ..............................................
ณ โรงพยาบาล
หมอวัยกลางคนออกมาจากห้องผ่าตัด เดินตรงไปยังสามีของคนไข้ ที่นั่งรอคำตอบด้วยใจที่กระวนกระวาย
ลูกของคุณปลอดภัย ส่วนภรรยาคุณ...เธอมีปัญหาเกี่ยวกับปอดเรื้อรังมานาน จึงทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง ผมเสียใจ...ที่ช่วยภรรยาของคุณไว้ไม่ได้ ประโยคที่ทำให้ชายคนหนึ่ง กลายเป็นพ่อหม้ายเพียงชั่วข้ามคืน
น้ำตาไหลอาบแก้มของชายหนุ่ม เมื่อเขามองเธอเป็นครั้งสุดท้าย และจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิทลง...... ..........................................
ปัจจุบัน.....
พ่อคะ หนูมีนัดกับลูกค้าไว้ เราจะกลับได้หรือยัง พ่อเล่าแต่เรื่องผู้หญิงที่ไหนกัน หนูไม่เห็นอยากจะรู้เลย เรื่องของแม่ที่จากหนูไป ตั้งแต่หนูยังจำความไม่ได้ ไม่เห็นพ่อเคยพูดให้ฟังเลย ลูกสาวกระเซ้า
ไม่มีเสียงตอบกลับของชายชรา เขายังคงยืนมองดูที่หน้าต่างบานนั้น ด้วยใจที่รู้สึกเป็นสุข
ภาพของวันแต่งงานผุดขึ้นมาในห้วงของความคิดถึง งานที่จัดขึ้นมาอย่างเรียบง่าย แต่มันมีความหมายมากมายยิ่งนัก เวลาที่ได้อยู่กับเจ้าสาวคนนี้นั้น ช่างแสนสั้นเหลือเกิน ภาพที่เห็นในวันนี้อาจจะเป็นความอบอุ่นใจครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงเวลาที่ชายชราคนนี้ จะหลับตาลงตลอดกาล เพื่อตามเธอไป....ตามไปในที่ๆ จะได้พบเธออีกครั้ง
ทุกวันนี้...หน้าต่างบานนั้นก็ยังอยู่ และฉันก็เฝ้ามองเธออยู่ ผ่านมาและผ่านไปแต่ไม่เคยเห็น และไม่เคยจะมีเธอตรงที่เดิม
หน้าต่างบานนั้นดูว่างเปล่า ทิ้งไว้แค่ภาพในวันเก่า และตั้งแต่นั้นล่วงมาจนวันนี้ เธอจะรู้ไหมว่าฉันยังผ่านมา.... ...............................................
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2551 13:12:42 น. |
Counter : 1155 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|