"ที่ว่างของงานเขียน..เล็กๆแต่อบอุ่น [Love&Warmth]"
Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องอุ่นใจ



เรื่องอุ่นใจ


เรื่องสั้นรองชนะเลิศอันดับ 2
รางวัลเกียรตินิยมวรรณศิลป์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2548
ในหัวข้อ "เราจะผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน"
ชมรมวรรณศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ลุงรัน



“ The absolute value of love makes life worth while ,
and so makes Man’s strange
and difficult situation acceptable… ”
Arnold J. Toynbee
“Why and How I work. ” Saturday Review, April 5, 1969.


“ คุณค่าทั้งหมดแห่งรัก ไม่ว่าจะเป็น รักอันหอมหวานของคู่รัก
รักอันอบอุ่นในครอบครัว หรือรักอันบริสุทธิ์ที่เจือจานให้แก่เพื่อนมนุษย์
ความรักเช่นนี้ ย่อมทำให้ชีวิตของเรามีค่าสมควรแก่การดำรงอยู่
และทำให้เรายอมรับกับสถานการณ์ที่แปลกและยากลำบากได้”
อาร์โนลด์ เจ. ทอยน์บี,
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ


1




แสงแดดอุ่นยามสายทอเส้นสวยบนหน้าของหญิงสาว ในยามที่ก้าวพ้นออกมาจากประตูกระจกใสของบริษัทค้าเพชรพลอยมั่งคั่งริมถนนสีลม หลังจากที่เข้ารายงานตัวเพื่อบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่ง “พนักงานรับโทรศัพท์” เรียบร้อยแล้ว เธอเดินตรงต่อไปยังป้ายรถเมล์ที่มีต้นหูกวางใหญ่ยืนอยู่ ลมเย็นในต้นฤดูหนาวพัดสวนมาต้องกายเป็นระยะ ๆ

ระหว่างยืนคอยท่ารถเมล์อยู่นั้น หัวใจระยิบระยับไปด้วยความสุข เมื่อครุ่นคิดไปถึงงานใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในรุ่งเช้าวันถัดมา นึกอีกทีก็อดขำตัวเองไม่ได้… เธอจบการตลาดจากมหา’ลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง แต่ทำไมนะ งานใหม่ของเธอ กลับต้องมานั่งรับโทรศัพท์ทั้งวันอย่างนี้หนอ ? แต่ก็ช่างเถอะ ! หากมันจะทำให้ช่วงเวลาอันย่ำแย่ของครอบครัว นับจากวันที่เธอต้องตกงานมาเป็นเวลาแรมปี จบสิ้นลงเสียที…

ช่างเป็นเรื่องหนักหนาเสียจริงๆ สำหรับหญิงสาวในวัยต้น 20 อย่างเธอ ที่ต้องมาแบกรับภาระในการหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวที่อ้างว้าง ปราศจากพ่อผู้ด่วนจากลาไปนานแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงบ้านไม้ชั้นเดียวหลังน้อยในแถบชานเมืองไว้ให้เป็นที่ซุกหัวนอน ครอบครัวอันประกอบด้วยแม่-หญิงชราที่รับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับผู้คนในซอย พอได้เงินมาประทังชีวิตไปวัน ๆ และอีกคนคือ น้องสาววัย 7 ขวบ ที่กำลังเริ่มต้นเข้าเรียน ในวินาทีนั้น-หญิงสาวคล้ายแลเห็นใบหน้าของน้องน้อย ล่องลอยมาตามสายลมเหงา

“ต่อแต่นี้ไป พี่คงพอจะหาซื้อตุ๊กตาสวย ลูกกวาดหลากสี และลูกแก้วสีใสให้กับหนูได้บ้างหรอกหนา” คิดพลางปรากฏรอยยิ้มสดใสพรายขึ้นที่หน้า และบางที… หากมีเงินเหลือใช้ในแต่ละเดือน เธอจะเก็บออมมันเอาไว้ เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับงานวิวาห์เล็ก ๆ ของเขาและเธอ หญิงสาวอมยิ้มเคล้าฝัน เมื่อนึกถึงชายคนรัก ผู้ชายรูปไม่หล่อ ตัวผอมกระหร่องก่อง ชายที่ตลอดมายินดีที่จะใช้หัวใจรักเธอมากกว่าจะใช้สิ่งอื่น

ก็ทำไมจะไม่ให้นึกถึงเขาเล่า? ชีวิตเธอ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็คงมีแต่เขาอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คอยเฝ้าห่วงหาอาทร ทั้งสองเคยทำงานในโรงงานส่งออกไก่แช่แข็งในย่านปริมณฑลด้วยกัน เขาเป็นช่างศิลป์เล็ก ๆ ในแผนกประชาสัมพันธ์ ส่วนเธอ – หญิงสาวเจ้าของใบหน้าอันแสนธรรมดาที่หาได้เกลื่อนกล่นตามท้องถนน เป็นพนักงานธุรการของแผนกการตลาด ก็สมกันดีอยู่หรอกมิใช่หรือ ?

แต่แล้ว…ก็เหมือนมีพายุร้ายโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของคนทั้งสอง เมื่อแรกรักกันใหม่ ๆ ยังไม่ทันที่ต้นรักจะผลิดอกออกผลให้ได้ชื่นใจ ทั้งสองและพนักงานคนอื่นๆ อีกนับร้อยคนของโรงงาน ก็ต้องมาตกงานในชั่วพริบตา เมื่อบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนจนต้องปิดกิจการ เนื่องจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ H 5 n 1 ที่เริ่มต้นระบาดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2546 ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงปลายปี 2547 ส่งผลให้ตลาดในต่างประเทศหลายแห่ง สั่งระงับการนำเข้าไก่สดแช่แข็งของไทย จนทำให้โรงงานที่ทั้งสองทำงานอยู่ต้องล้มครืนลงมาในที่สุด

หญิงสาวยังจำได้ด้วยว่า ในครั้งนั้น หากรัฐบาลจะไม่ใจร้าย บิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการตายของไก่ว่าเกิดจากโรคอื่น มิใช่เกิดจากโรคไข้หวัดนกซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริง เพราะรัฐบาลกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว ปัญหาก็อาจจะไม่ลุกลามจนทำให้ทั้งคนและไก่ต้องมาตายลงราวกับใบไม้ร่วงอย่างนี้ก็เป็นได้

แต่น่าประหลาดที่ว่า ยิ่งตกที่นั่งลำบาก สายใยรักของชายหนุ่มผอมแห้งแรงน้อยกับหญิงสาวหน้าโหลกลับยิ่งร้อยรัดรวดเร็วยิ่งขึ้น และยาวนานตราบจนกระทั่งมาจนถึงทุกวันนี้

2




หญิงสาวไม่เคยลืมเลือนในคืนที่ท้องฟ้าท่วมท้นไปด้วยเมฆฝนหลงฤดูเมื่อหลายปีก่อน…ค่ำคืนของงานเลี้ยงสังสรรค์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของโรงงาน หลังจากงานเลี้ยงอันสนุกสนานได้เลิกราลงไปแล้วในเวลาหลังเที่ยงคืน เธอกับเพื่อนพนักงานหญิงคนหนึ่งที่บ้านพักอยู่ทิศทางเดียวกัน รีบตรงดิ่งไปยังศาลาที่พักรถเมล์ที่อยู่ด้านหน้าของโรงงาน เร่งสาวเท้าพลางเขม่นมองท้องฟ้ามืด ในใจภาวนา ขออย่าให้เม็ดฝนร่วงหล่นลงมาเลยในตอนนี้ และที่สำคัญ ขออย่าให้รถเมล์เที่ยวสุดท้ายด่วนแล่นผ่านไปเสียก่อนด้วย เมื่อไปถึง ทั้งสองหลุบตัวเข้าไปหลบในศาลาแห่งนั้นทันที และเป็นเวลาเดียวกันกับที่เม็ดฝนเริ่มต้นพรูพรายลงมาจากฟากฟ้า จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มร่างผอมแห้งคนหนึ่ง อายุอานามก็คงไม่ต่างจากเธอนัก โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ได้ เกร่เข้ามาหาหญิงสาวทั้งสอง ในหน้ามียิ้มเด๋อด๋า พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

“ให้ผมไปส่งพวกคุณดีกว่านะครับ สมัยนี้ อะไร ๆ มันก้อไว้ใจไม่ได้ นี่ก็ดึกมากแล้ว ”

หญิงสาวทำหน้าตาเหรอหรา นึกตกใจกลัวอยู่ครามครันที่มีชายหนุ่มที่อาจจะคุ้นหน้าบ้าง แต่ไม่คุ้นเคยด้วยเลยสักนิด คนที่เธอไม่รู้หรอกว่า ได้แอบเฝ้ามองเธอมานานแสนนาน มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า และอาสาจะพาไปส่งบ้าน

“ เอ……ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นคิดห่วงใครเลยนี่นา ทำไมวันนี้ ถึงนึกห่วงเราสองคนขึ้นมาได้จ้ะ ” เพื่อนสาวของเธอ-พนักงานเดินเอกสารประจำบริษัทที่ทำทุกอย่างสารพัดในโรงงาน จะยกเว้นก็เฉพาะเป็นเมียน้อยเจ้าของโรงงานเท่านั้น แม้อยากจะเป็นเต็มแก่ แต่เจ้าของโรงงานก็ไม่เล่นด้วย เพราะไม่สวยพอ ท่าทีจะรู้จักกับเขามาก่อน พูดกลั้วเสียงหัวเราะขึ้น แน่ะ.. ดูสิ พูดไม่พูดเปล่า แถมยังอมยิ้มปรายตามาที่เธออย่างมีเลศนัยอีก

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า พวกฉันมีหน้าตาเป็นอาวุธอยู่แล้ว” เพื่อนสาวของเธอแกล้งพูดเล่นให้ขำไปอย่างนั้นเอง
แต่ชายหนุ่มกลับพูดจริง !

“เออ …ข้อนั้นผมทราบดีอยู่แก่ใจแล้วครับ อืม … แต่จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร พวกโจรสมัยนี้ มันเลือกหน้าตากันเสียที่ไหน จะสวยไม่สวย ดูมันไม่ใส่ใจกันแล้ว” พูดจบ ใบหน้าซื่อของเขาจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวทั้งสอง ระเรื่อยไปจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างพิจารณา

หญิงสาวนึกฉุนเฉียวกับคำพูดของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า บ่นพึมพำขึ้นในใจว่า “เฮ้ย ! ไอ้บ้านี่ มันว่าเราสองคนไม่สวยนี่หว่า” เกือบจะหลุดปากด่าแม่ออกไปแล้ว หากไม่คิดได้ว่า ประโยคที่เขาพูดต่อๆ มานั้น มันเป็นความจริง

ใช่แล้ว… ทุกวันนี้ อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทีไร ก็เห็นมีแต่ข่าวข่มขืนแล้วฆ่ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วแต่ละคนที่ตกเป็นเหยื่อ ก็มีตั้งแต่เด็กเล็กอายุไม่กี่เดือนไปจนถึงคนเฒ่าชะแรแก่ชราอายุหกสิบเจ็ดสิบกันไปโน่นเลยทีเดียว จะสวยหรือไม่สวย จะพิการหรือไม่พิการ ยุคนี้สมัยนี้ ดูราวกับว่าไอ้พวกคนเลว มันไม่ได้สนใจอะไรกันอีกแล้วจริงๆ

“แล้วไหนล่ะ…รถของคุณ” คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อสังเกตเห็นความใจดีในแววตาของเขา

“ไม่มีหรอกครับ” เขาตอบด้วยท่าทีเงอะงะปนซื่อ แล้วจึงพาร่างออกไปย่ำอยู่กลางสายฝน ร่างผอมสูงที่ตอนนี้พราวไปด้วยเม็ดฝน หยุดยืนอยู่ริมถนนกลางแสงไฟวับแวม พลางโบกมือไหวๆ เรียกรถแท็กซี่คันที่ผ่านมา

3




ภายในรถแท็กซี่คันนั้น แม้จะเปียกปอนหนาวสั่นสักเพียงใด แต่ชายหนุ่มยังไม่วายทำให้ทุกคนในรถได้หัวเราะเบิกบาน เขาเล่าว่า มีพื้นเพเป็นคนในจังหวัดแห่งหนึ่งริมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ได้ทุน พ.ม.(ทุนพ่อแม่) เข้ามาเรียนอนุปริญญาด้านศิลปะที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบแล้ว จึงตัดสินใจทำงานอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ เพราะที่บ้านเกิดไม่มีงานให้ทำ ทุกวันนี้ ยังคงต้องเจียดเงินเดือนส่วนหนึ่ง ส่งไปใช้ทุนให้กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเป็นประจำอยู่ทุกเดือน

เขาเล่าต่อด้วยท่าทีแจ่มใสว่า เมื่อครั้งยังเป็นเด็กตัวกระจ้อย นอกจากงานศิลปะที่เขารัก เขายังหลงไหลเสียงเพลงอีกด้วย เขามีเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบเสียงเพลงเช่นเดียวกัน หลังเลิกเรียนทุกวัน ทั้งสองชอบเอาไม้กวาดมาถือไว้ต่างไมค์โครโฟน ตะโกนร้องเพลงโปรดปรานและเต้นแร้งเต้นกาไปตามประสาอยู่ที่หน้าชั้นเรียน

หญิงสาวรู้สึกครึ้มใจไปกับท่าทีง่ายดายของเขา หลุดปากถามออกไปว่า

“แล้วเพลงอะไรหรือ ที่ชอบร้องกันในตอนนั้น”

“ศึกบางระจันครับ”

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะข้าง ๆ คนขับ เหลียวหน้ากลับมาตอบคำถามด้วยท่าทีใสซื่อ ไร้การเสแสร้ง ดวงตาฝันคล้ายย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์ จากนั้น จึงเริ่มต้นแหกปากร้องเพลง “ศึกบางระจัน”เสียงดังลั่นรถ

“ ศึกบางระจันจำให้มั่นพี่น้องชาติไทย
เกียรติประวัติสร้างไว้แด่ชนชาติไทยรุ่นหลัง
ไทยคงเป็นไทย มิใช่ได้เป็นเชลย
ไทยมิเคยถอยร่นชนชาติศัตรู
บางระจันแม้สิ้นอาวุธจะสู้….”


ในตอนนั้น หญิงสาวเผลอยิ้มปลอบให้กับหัวใจสาวที่เริ่มเต้นแรงแข่งกับเสียงสายฝนร่ำนอกรถ และทั้งหมดนี่เองคือ จุดเริ่มต้นของนิยายรักพาฝันของเขาและเธอ


4


เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่ป้ายรถเมล์ เมื่อรถเมล์คันหนึ่งได้วิ่งเข้ามาจอด ค่อย ๆ จูงมือหญิงสาวออกมาจากห้วงฝัน และทันทีที่เห็นรถเมล์คันที่ว่าเป็นสายที่จะพาเธอกลับบ้าน หญิงสาวผลุนผลันฝ่าฝูงคนเพื่อขึ้นไปเป็นหนึ่งบนรถเมล์ เธออยากกลับถึงบ้านไวๆ อยากบอกแม่ บอกน้องให้ดีใจ อยากโทรไปบอกเขา-ชายคนรัก อยากตระเตรียมชุดสวยที่สุดเท่าที่มีอยู่ เพื่อสวมใส่มันไปทำงานในวันแรก และอยากจะทำอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเพื่อทำวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด ค่าที่เธอไม่อยากสูญเสียงานนี้ไปเท่านั้นเอง

ในวินาทีแห่งความชุลมุนนั้น ใครบางคนในฝูงชนเกิดไปกระแทกเข้ากับร่างของหญิงชราผู้หนึ่ง นางล้มคะมำลงกับพื้นฟุตบาท ฝุ่นสีเทาฟุ้งขึ้นเป็นกลุ่มโต แต่ผู้คนยังคงรุกคืบหน้าไปที่รถเมล์คันนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง มีแต่หญิงสาวที่โผเข้าไปหานาง พร้อมกับช่วยพยุงร่างของหญิงชราให้ลุกยืนขึ้นมา ช่วยปัดฝุ่นตามเนื้อตัวให้ จากนั้นจึงหันหน้าไปที่รถเมล์ หมายจะประคองนางไปขึ้นรถเมล์คันนั้นด้วยกัน แต่อนิจจา …รถเมล์เจ้ากรรมดันแล่นพรวดพราดออกไปเสียก่อน หญิงสาวสบถขึ้นเบา ๆ พอให้คนทั้งรถเหลียวหน้าหันกลับมามองเธอพร้อมกัน

“แม่ง…จะรีบไปตายโหงตายห่าที่ไหนของมันกันวะ หนอยแน่ ! ดีแต่ขึ้นราคา”

5


ท้องฟ้ายามใกล้รุ่งยังคงมีพระจันทร์ดวงโตแขวนอยู่5แซมด้วยหมู่ดาวส่งแสงวิบวับเกลื่อนฟ้า หมอกขาวล่องลอยกลางดงดอกไม้หลากสีที่หน้าบ้าน หญิงสาวและแม่เริ่มต้นย่ำเท้าออกจากบ้าน ทั้งสองเดินเคียงกันออกจากตรอกที่แคบ เปลี่ยว เหงา และยาวเหยียดราวกับทางรถไฟไปสู่ถนนใหญ่ สักพัก จึงมาถึงที่ป้ายรถเมล์

“เตรียมเงินให้พอดีค่ารถเมล์นะลูก ตอนนี้ค่ารถเมล์ขึ้นไปเท่าไหร่แล้วละ มันขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ตามราคาน้ำมันจนแม่ไม่รู้แล้วจริงๆ” ผู้เป็นแม่บอกกับลูกสาว

“ก็จากเดิม 3 บาท 50 แล้วก็ปรับมาเรื่อยๆ เป็น 4 บาท 5 บาท และ 6 บาท นี่แหละจ๊ะ แม่” เมื่อได้ยินคำตอบจากลูกสาว แม่ผู้ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ส่ายหน้าช้า ๆ แล้วพึมพำว่า “แพงจัง”



เมื่อรถเมล์มาถึง หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ลาแม่ แล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนรถเมล์อย่างชำนิชำนาญ เสียงให้ศีลให้พรของแม่ล่องมาตามสายลมเย็น รถเมล์วิ่งแหวกฝ่าความมืดและอากาศหนาวไปราว 1 ชั่วโมง จึงมาถึงบริษัทใหม่ของเธอริมถนนสายธุรกิจกลางมหานคร

หญิงสาวก้าวเท้าลงจากรถเมล์ รี่ตรงไปช่วยลุงยามแก่ๆ ที่มีหน้าที่เปิดประตูรั้วเหล็กบานใหญ่ด้านนอกในทุกรุ่งอรุณ ยามชราส่งยิ้มให้เธอเป็นการตอบแทน “แค่นี้ก็พอแล้ว” หญิงสาวยิ้มให้กับตัวเองอย่างอิ่มใจ จากนั้นจึงเดินตรงไปผลักประตูกระจกใสให้เปิดออก ตรงดิ่งไปที่เครื่องตอกบัตร หยิบใบลงเวลาทำงานที่มีชื่อของเธอออกมาจากกล่องเหล็ก สอดมันเข้าไปในเครื่องนั่น “ตึ๊ก” อมยิ้มให้กับตัวเอง เมื่อแลเห็นตัวเลขสีน้ำเงิน “6.30 น”. ผุดอยู่บนกระดาษขาวหนาขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นนั้น ส่ายตามองไปรอบตัว เห็นม้านั่งอยู่ตรงโน้น พลางคิดในใจ “ไปนั่งรอพี่ปูเป้อยู่ตรงนั้นดีกว่าเรา ”

พี่ปูเป้- สาววัยกลางคนท่าทีจัดจ้าน ยังโสดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะยังสดอยู่หรือเปล่า? คือ คนที่เมื่อเช้าวานนี้ ในตอนที่เธอเข้ามารายงานตัว แผนกบุคคลของบริษัทแนะนำให้เธอได้รู้จักและบอกว่า พี่ปูเป้ผู้นี้จะเป็นผู้สอนงานให้เธอ พี่ปูเป้ได้นัดหมายกับเธอเอาไว้ว่า จะเริ่มต้นสอนงานให้ในตอนเช้าของวันนี้

และแล้ว…ถ้อยคำของพี่ปูเป้เมื่อวันวานคล้ายกลับมาวนเวียนในหัวสมองของหญิงสาวอีกครา

“จริง ๆ แล้ว พี่ก้อแค่ชื่อปูนั่นแหละ แต่บริษัทของเราต้องติดต่อกับฝรั่งมั่งค่าอยู่บ่อยๆ ชื่อไทยมันเรียกยาก เราทุกคนในบริษัท ก็เลยต้องมีชื่อฝรั่งติดตัวกัน พี่เลยตั้งเองว่า “ปูเป้” ” พี่ปูเป้พูดจบ พลางทำเท่ด้วยการเสยผมยาวสีโอ๊คไปมา

“แต่พูดไปแล้ว ชื่อฝรั่งมันดูดีกว่าชื่อไทยเป็นกองนะ เธอว่ามะ ปูธรรมดา แหวะ …เชยบรม ” พี่ปูเป้แสยะปากที่ปลายประโยค

ก่อนจะจากกันเมื่อวานนี้ เธอยังจำได้ด้วยว่า พี่ปูเป้ได้สั่งเธอเอาไว้ว่า

“เธอเองก็ต้องมีชื่อฝรั่งเหมือนกันนา”

หญิงสาวเริ่มต้นครุ่นคิดถึงชื่อฝรั่งของตัวเอง

“ว่าแต่ว่าชื่อฝรั่งของเรา มันควรจะเป็นอะไรดีน้า เอ๊ดเวิร์ด ปีเตอร์ มาร์ค หรือว่า จูดี้ ดีละ เฮ้ย ไอ้ชื่อหลัง มันชื่อหมาขี้เรือนข้างบ้านเรานี่หว่า เฮ้อ ! ยุ่งจังไอ้ชื่อฝรั่งนี่ เถอะ… เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็ยังทันน่า” หญิงสาวพร่ำบอกกับตัวเอง

6


รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รออยู่เกือบ 3 ชั่วโมงเต็ม หญิงสาวจึงแลเห็นพี่ปูเป้ เดินหน้าบึ้งมาแต่ไกล สาวกลางคนพาเธอมาที่คอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ –เล็กกระจิ๊ดเดียวเท่ารูหนู มีกระจกสีใสปิดกั้นไว้ทั้งสี่ด้าน กว้างยาวประมาณ 2 เมตร คูณ 2 เมตร มีเครื่องโทรศัพท์หลายเครื่องตั้งอยู่บนโต๊ะยาวภายในห้องแคบนั้น

“นี่คือห้องทำงานของเธอนะยะ”

“….”

หญิงสาวพยักหน้ารับ

“ ต๊าย อะไรกันนี่ เธอจ๊ะ เธอจ๋า จะมาพยักพเยิดหน้าแบบนี้ในบริษัทของเราไม่ได้นา เธอจะเอานิสัยที่บ้านมาใช้ที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด เราไม่ใช่บริษัทกิ๊กก๊อกงอกง่อย เวลาพูด ต้องมีจ๊ะ มีจ๋า มีค่ะมีขาทุกคำด้วย ”

สาวกลางคนร่างยักษ์ผิวคล้ำเอ็ดตะโรใส่เธอเป็นการใหญ่ และเพราะวันนี้ พี่ปูเป้ใส่เสื้อยืดคอกว้างโชว์ง่ามนมไซส์ภูเขาหิมาลัย ขนาดเลี้ยงเด็กทารกได้สัก 8-9 คน หญิงสาวจึงได้เห็นรอยสักเป็นรูปผีเสื้อตัวเล็กๆ คล้ายกำลังขยับปีกไหวไปมาตรงเนินอกด้านซ้าย ในยามที่พี่ปูเป้หายใจฟืดฟาดด้วยความฉุนเฉียว

“จะดีกว่าไหมหนอ ถ้าพี่ปูเป้จะสักรูปเสือเผ่น หรือมังกรตัวใหญ่ๆแทนรูปผีเสื้อตัวเล็กน่ารักนี้ มันน่าจะเข้าได้ดีกับท่าทีเกรี้ยวกราดของเธอนะ” หญิงสาวได้แต่รำพึงอยู่ในใจ

………………………


จากกระจกสีใสที่ล้อมรอบตัวเธอ ทำให้มองเห็นได้ว่า ขณะนี้ มีผู้หญิงท่าทีสง่างาม วัยราว 50 ปี ร่างพราวไปด้วยแสงเพชรวูบวาบ กำลังเดินตรงเข้ามาในบริษัท ยามตัวใหญ่หน้าเหลี่ยมที่มารับเวรช่วงกลางวันแทนลุงยามชรา กำลังโค้งคำนับเสียจนหน้าผากแทบจรดพื้นดิน ท่าทีพินอบพิเทา

“เนี่ยนะ คุณหญิงเพชรสยาม ลูกค้าคนสำคัญของเราเลยละเธอ” พี่ปูเป้พูดขึ้น …หยุดหายใจนิ๊ดหนึ่งเหมือนตั้งใจให้เธอตั้งหน้ารอคอยคำพูดต่อมา

“อืม….ซื้อเพชรบริษัทเรานะ ครั้งละเป็นสิบ ๆ ล้าน” พี่ปูเป้กางนิ้วทั้งสิบขึ้นชูประกอบคำพูด พลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน พลอยให้เธอทำตาโตแบบนั้นไปด้วยอีกคน

“อย่างสร้อยเพชรที่เธอใส่เนี่ย รู้ไหม ราคาไม่รู้จักกี่ล้านต่อกี่ล้าน”

หญิงสาวรำพึงแผ่ว “เพชรอย่างนี้นะหรือ ที่ตลาดนัดแถวบ้านหนู แค่ 199 บาทเอง พี่ปูเป้จะเอาไหมล่ะ ใหญ่กว่านี้อีกนา”

“อะไรเหรอ 199บาท” พี่ปูเป้พูดเสียงต่ำ ทำหน้าฉงน

“เปล่าค่ะ เปล่า ไม่ได้พูดอะไร” หญิงสาวละล่ำละลักตอบกลับไป

7




“ชิดในหน่อยเพ่ ชิดในหน่อย ข้างในยังมีที่ว่างเหลืออีกบานเบอะ ไม่รู้ว่าจะกันเอาไว้เตะตะกร้อกันหรือยังไง ” ภายในรถเมล์เก่าคร่ำคร่าที่มีผู้คนอัดแน่นเป็นปลากระป๋องจนแทบไม่มีที่ให้หายใจ ยินเสียงกระปี๋รถเมล์ร่างยักษ์ดังขึ้นเป็นระยะ ใครบางคนกร่นด่าอยู่เบาๆ “เตะตะกร้อ พ่อมึงนะสิ ตัวกูลีบจนจะเป็นปลาหมึกบดอยู่แล้ว”

หลังแอบดูนาฬิกาข้อมือของคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มร่างผอมในชุดแต่งกายง่ายดาย เสื้อยืด-กางเกงยีนจึงพึมพัมขึ้นว่า “เกือบจะถึงเวลาเลิกงานของเธออยู่แล้ว” เขาตั้งใจมารับเธอ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับการเริ่มต้นงานใหม่ในวันแรก สู้อุตส่าห์หนีงานมาตั้งแต่บ่าย แต่ดูสิ 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว รถเมล์ยังคลานไปได้ไม่ถึงไหน รถติดยังกะตังเม คิดห่วงงานเขียนแผ่นผ้าประชาสัมพันธ์งานฝังลูกนิมิตประจำปีของวัดแห่งหนึ่งที่ยังคงค้างอยู่ เพราะเขาฉวยโอกาสแวบออกมาเสียก่อนที่จะทำเสร็จ ในระหว่างที่เถ้าแก่ไม่อยู่

นึกถึงงานใหม่ หลังจากโรงงานส่งออกเนื้อไก่แช่แข็งต้องปิดกิจการลง ก็ยิ่งทำให้หัวใจห่อเหี่ยว เถ้าแก่คนใหม่ของเขาช่างหน้าโลหิตเสียจริง ๆ หากเขามาทำงานสายเพียงไม่กี่นาที ก็จะถูกตัดเงินเดือน แต่ถ้าทำงานเกินเวลาทำงานปกติ กลับไม่ได้เงินค่าล่วงเวลา เถ้าแก่มักชอบอ้างว่า ให้ถือเป็นการอุทิศตัวเองให้กับงาน ห้ามเรียกร้อง นี่แหละหนาพวกนายทุน กลับกลอก ปลิ้นปล้อน และชอบเอาเปรียบ !

“ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก” เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วในสังคมยุคนี้ คิดไปก็เท่านั้น เปลี่ยนเรื่องคิดดีกว่า” ชายหนุ่มว่ากับตัวเอง พลางหวนนึกไปถึงล็อตเตอรี่จำนวน 1 ใบที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าสตางค์ เขาซื้อมันมาเมื่อหลายวันก่อน “พรุ่งนี้แล้วสิ จะเป็นวันหวยออก และพรุ่งนี้ เราอาจจะรวย” -ชายหนุ่มคิดและยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ ถึงแม้จะรู้ว่า การเล่นหวยเป็นเรื่องงมงายและมอมเมา เพราะในความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่เขาจะถูกรางวัลที่หนึ่ง ต่อการซื้อล็อตเตอรี่ 1 ใบ มีเพียง 0.000001 ยิ่งเป็นรางวัลที่หนึ่งพิเศษซึ่งมีเพียงรางวัลเดียว ในจำนวนล็อตเตอรี่ที่พิมพ์ออกขายถึง 46 ล้านใบ โอกาสถูกก็ยิ่งน้อยลงไปใหญ่ เพียง 0.0000001 เท่านั้นเอง !

แต่ล็อตเตอรี่ก็เปรียบเสมือนหยดน้ำในทะเลทรายที่เข้ามาช่วยปลุกปลอบหัวใจอันแห้งแล้งของเขาและคนจน ๆ ทั่วไปให้ได้ชุ่มชื่นเบิกบานขึ้นมาได้บ้าง ยิ่งมีข่าวผู้โชคดี ถูกหวยรัฐบาลเป็นเงินก้อนโต เผยแพร่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ในวันหลังหวยออก ยิ่งยั่วยุกิเลสในตัวให้ออกมาเต้นเร่าเป็นจังหวะสามช่า

ชายหนุ่มนึกไปถึงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 ที่โปรยหัวข่าวเอาไว้ว่า “ขอทานถูกหวย 220 ล้าน ! เศรษฐีในพริบตา” แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ทุกวันนี้ เขาก็ยังคงเก็บหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเอาไว้ที่ใต้หมอน เพื่อเตือนใจตัวเองว่า อย่าเพิ่งท้อแท้กับการซื้อหวยรัฐบาล เพราะบางทีงวดต่อๆไป อาจจะเป็นเขาที่ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวเหมือนเช่นขอทานผู้โชคดีคนนี้ก็ย่อมได้ ดังสุภาษิตที่ไอ้จุก-เด็กขายพวงมาลัยข้างห้องเช่า มันพ่นสีสเปรย์ในสไตล์กราฟฟิตี้ไว้ที่กำแพงรั้วหน้าปากซอยว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” และมันจะคงความหมายที่ดีเช่นนั้นอยู่ต่อไป หากในวันต่อมา จะไม่มีคนมือบอนแอบไปแก้ข้อความของไอ้จุก ให้กลายเป็นว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ ฉิบหายอยู่ที่นั่น”

…………………….


“ลาก่อนนะครับทุกคน” ชายหนุ่มเพ้อฝันกลางวันบนรถเมล์ เห็นภาพตนเองกำลังร่ำลาเพื่อนร่วมห้องเช่าในแฟลตเก่า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในก้นซอยลึกจากถนนใหญ่

“ข้าวของเครื่องใช้ในห้อง ผมยกให้ทุกคนไปแบ่งกันก็แล้วกันนะครับ แล้วถ้ามีโอกาส อย่าลืมแวะไปเยี่ยมผมบ้างที่หมู่บ้านจัดสรร “แร้งอมยิ้ม” ขอให้สังเกตรั้วบ้านที่ทาสีเป็นสีรุ้ง เอาไว้เป็นหลัก สัญลักษณ์แห่งความหวัง นั่นแหละครับบ้านของผมเอง ซื้อไปเถอะครับ ล็อตเตอรี่ อย่างหยุดยั้ง” เขาว่า ท่ามกลางการห้อมล้อมของประชาชนชาวแฟลตที่ต่างแห่แหนออกมาส่งเขาจนเนืองแน่น ชายหนุ่มสังเกตเห็นได้ถึงแววตาน้อยเนื้อต่ำใจระคนอิจฉาริษยาในดวงตาของทุกคนในที่นั้น

“เอิ๊ก…พ่อช่างโชคดีจริงๆนะ ชาติก่อน ทำบุญด้วยอะไรกันหนา เอิ๊ก…ถูกง่าย ๆ กันซะที่ไหนกันเนี่ย แจ็กพ็อตหวยบนดิน 100 ล้านอย่างนี้” ลุงเทิ้ม ขี้เมาประจำแฟลตพูดขึ้นเสียงดัง มีกลิ่นเหล้าโชยมาตามลม เจ้าของคำพูดยืนโอนเอนไปมา

ลุงเทิ้มยังคงอ้อแอ้ต่อไปอีกว่า

“ เอิ๊ก… กูซื้อมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ! มีแต่โดนหวยแดกจนหมดตูดทุกทีสิน่า เอิ๊ก ”

“อกทงหน่อยนา อาเทิ้ง ถึงม่ายล่ายถูกล็อตเตอรี่ยังอีคุณเค้า แต่เห็นทังนายกฯ ทังก็เคยประกาศเอาไว้เมื่อตอนหาเสียงเลือกตั้งว่า อีก 4 ปี คนจน 8 ล้านคน ทั่วประเทศจะหมกปายจากแผ่นลิงนี่แล้วนี่ อีกม่ายนาน พวกเราก็จะด้ายซำบายกันเสียที” กิมลั๊ง- แม่ค้าปาท่องโก๋วัยเดียวกันกับลุงเทิ้ม พูดขึ้นหวังปลอบใจ

แต่ขี้เมาประจำแฟลตกลับชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ตวาดเสียงดังลั่นอย่างมีอารมณ์

“เอิ๊ก… ช่าย..ย..ย เจ๊ คนจนมันต้องหมดไปจากแผ่นดินนี้แน่ ก็เพราะมันจะพากันอดตายกันไปจนหมดประเทศนะสิ …เอิ๊ก… สบายอยู่ในเมืองผีไง”

8


“เอี๊ยด ด..ด..” ยางรถเมล์เสียดสีกับพื้นถนนส่งเสียงดังสนั่น ขณะเข้าจอดที่ป้ายรถเมล์ ปลุกชายหนุ่มให้สะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันกลางวัน เหลียวมองออกไปนอกรถ จึงพบว่ารถเมล์ได้มาถึงยังป้ายรถเมล์เยื้องกับบริษัทของหญิงคนรักพอดี รีบแหวกฝ่าผู้คนลงมาอย่างร้อนรน จากนั้นจึงบ่ายหน้าตรงไปยังอาคารสูงราวกับจะทะลุยอดเมฆเบื้องหน้า

“มาติดต่อธุระอะไร…หา ?”

ยามหน้าเหลี่ยมท่าทีกร่าง พูดเสียงเครียด พร้อมกับเดินย่างสามขุมเข้ามาหา หยุดยืนมองเขาตั้งแต่หัวจรดตีน เสื้อผ้าธรรมดาของเขาคงเป็นเหตุให้เจ้ายามคนนี้ ตั้งข้อรังเกียจเอาไว้ก่อน ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนในสังคมยุควัตถุนิยมครองเมืองที่มักตีค่าตีราคาค่าคนด้วยรูปกายภายนอก คนแต่งกายธรรมดาอย่างเขา ไม่ได้ถูกบอกไว้ให้ได้รับเกียรติอย่างที่สมควรจะเป็น



ชายหนุ่มมีท่าทีอึกอัก ก่อนจะมีคำพูดเล็ดลอดออกมา “มาหาแฟนครับ” พลางสอดส่ายสายตามองลึกเข้าไปภายในตัวตึกสวย “นั่นไงเธอ” เผลอร้องอุทานออกมาเสียงดังลั่นด้วยอารามดีใจ เมื่อเห็นหญิงสาวคนรักกำลังก้มหน้าหงุดอยู่กับเครื่องโทรศัพท์ในห้องกระจกเล็กแคบ ชายหนุ่มว่าอีก “แน่ะ ! เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้ว” หญิงสาวมองมาทางเขา พลางส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ ชายหนุ่มคล้ายลืมตัวไปชั่วขณะ ผวาจะเดินเข้าไปหาเธอ ขยับปากกว้าง ๆ ถามเธออยู่ไกล ๆ “เหนื่อยไหม” แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากหญิงสาว ทันใดนั้น คล้ายมีไม้หนักหนามาหวดเข้าที่หน้าอกเต็มแรง ฝ่ามือใหญ่ของเจ้ายามหน้าเหลี่ยมนั่นเองที่ผลักอกเขาจนกระเด็นหงายหลัง ล้มกลิ้งลงไปกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ดวงตาเห็นดาวพร่าระยับ และเมื่อตั้งสติได้ จึงค่อย ๆ ลุกขึ้น ยักแย่ยักยันเดินออกจากตึกหรูไป แว่วยินเสียงตะโกนของเจ้ายามหน้าเหลี่ยมไล่หลังมา

“มาหาแฟนหรือมึง เข้าไม่ได้ ออกไปคอยอยู่นอกบริษัทเดี๋ยวนี้เลย ฮึ่ม… วอนซะแล้ว”

ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างตกใจ มองตามร่างของชายคนรักไปด้วยห่วงใย หัวใจเจ็บแปลบบอกไม่ถูก ยามเมื่อได้เห็น คนจนดูถูกคนจนด้วยกันเอง เธอแอบป้ายน้ำตา ก่อนก้มหน้าง่วนอยู่กับเครื่องโทรศัพท์เบื้องหน้าต่อไป

……………


ในเวลาหลังเลิกงานที่ป้ายรถเมล์เยื้องบริษัท “คนที่นี่ ดุดีไหมคะ” หญิงสาวถามขึ้น มองตาละห้อยไปที่ใบหน้าของชายคนรัก ชายหนุ่มยิ้มเหงา ดวงตาทอประกายเศร้า

“แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ เออ..ว่าแต่ว่า อยู่ในห้องแคบอย่างนั้น ไม่อึดอัดแย่หรือ ?” เขาเป็นฝ่ายถามเธอขึ้นมาบ้าง

“อึดอัดสิ แต่จะทำอย่างไรได้ ” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือ
ชายหนุ่มดึงมือของเธอมากุมไว้และบีบกระชับหวังปลอบโยน
ทั้งสองนิ่งเงียบงันอยู่นาน ก่อนที่หญิงสาวจะมีคำพูดขึ้นมาว่า

“เออ… เมื่อกี้นี้ ก่อนจะออกจากที่ทำงานมา ได้ยินข่าวจากวิทยุว่า พรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นราคาอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อ… ขึ้นกันบ่อยๆอย่างนี้ก็แย่สินะ ข้าวของก็คงจะพากันขึ้นราคาตามกันไปอีก แม้แต่ค่ารถเมล์นี่ก็ด้วยเหมือนกัน อืม…คุณยังแทงล็อตเตอรี่อยู่หรือเปล่าเนี่ย ?”

ชายหนุ่มได้ฟังถึงกับสะดุ้งโหย่ง มีคำพูดเล็ดลอดออกมาว่า “ แค่งวดละใบเดียวเองครับ”

“ในสภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ หนทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดก็คือ เราจะต้องช่วยกันรัดเข็มขัด ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยขอร้องคุณเลยเกี่ยวกับเรื่องล็อตเตอรี่ เพราะคิดว่ามันเป็นความสุข เล็ก ๆ น้อย ๆ ของคุณ แต่ครั้งนี้ ฉันอยากจะขอให้คุณเลิกมันเสียเถอะนะ เพื่ออนาคตของเราทั้งสอง ชีวิตเราไม่ควรฝากความหวังไว้กับการพนัน”

ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจตกปากรับคำเธอ ขณะที่ในใจกลับเฝ้าภาวนาว่า ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะได้ลุ้นโชคเป็นงวดสุดท้ายของชีวิตแล้ว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้ล็อตเตอรี่ที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเขาถูกรางวัลที่ 1 ด้วยเถ๊อะ เจ้าประคู้น ! ข้างหญิงสาวอมยิ้มสดใสด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเขาจะไม่ผิดสัญญา
รถเมล์มาถึงพอดี “มาเถอะครับ ผมจะพาคุณไปส่งบ้าน” ต่างพากันจูงมือก้าวขึ้นไปบนรถเมล์ตรงหน้า หว่างแสงจันทร์และแสงดาวที่เริ่มโปรยแสงอ่อนเหนือท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ



9


ดึกมากแล้ว บ้านหลังน้อยถูกห่อด้วยไอเย็น หญิงสาวยังคงนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่มบนที่นอนตรงมุมหนึ่งของบ้าน ใจนึกไปถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย แวบหนึ่งของความคิดอันฟุ้งซ่าน หญิงสาวคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์หดหู่เมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา

“ใครนะ ช่างดุเหมือนหมาเสียจริง ๆ เพียงแค่เราต่อโทรศัพท์ไปให้ผิดคนเท่านั้น แหม… โทรกลับมาด่าว่าเราเสียยับเยิน แต่ยังไงเสียก็ต้องอดทน เพื่อแม่กับน้อง และเขาอีกคน อย่าคิดอะไรมาก นอนเสียเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้ามืด ไปช่วยลุงยามแกเปิดประตูรั้วบริษัทอีก ”

ดวงตาคลอน้ำตาของหญิงสาวมองฝ่าความสลัวไปที่ร่างของแม่และน้องที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของบ้าน ยินเสียงแม่กรนเบา ๆ ลอยอยู่ในความลางเลือน ใจหวนคิดไปถึงพ่อผู้ลาลับที่เคยนอนเคียงข้างแม่อยู่ตรงนั้น ในตอนนั้น หมู่ดาวบนฟ้าส่งแสงลอดเข้ามาตรงรูโหว่ของหลังคาบ้าน กระทบเข้ากับเม็ดน้ำตาเกิดเป็นประกายแสงแวววาว หญิงสาวใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะหันไปคว้าเอาโทรศัพท์มือถือตรงหัวนอนที่ซื้อมาในช่วงโปรโมชั่น “ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง” เมื่อแรกรักกันใหม่ๆ แบ่งกันใช้คนละเครื่องกับชายคนรัก พิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป และกดส่งไป จากนั้นหัวใจจึงค่อยโล่งโปร่งเบาสบาย และหลับใหลลงไปในเวลาอีกไม่นาน

10


“เอาละครับ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วินาที เวลาที่ทุกท่านรอคอยก็จะมาถึงแล้ว การแข่งขันฟุตบอลระหว่าง ทีม “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ "เหยี่ยวลิสบอน" เบนฟิก้า จากโปรตุเกส ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยน ลีกรอบแบ่งกลุ่มก็จะเริ่มต้นขึ้น ….”

เสียงใหญ่แหบของผู้บรรยายฟุตบอลคนดังของวิก 7 สี “ทีวีเพื่อนายทุน” เอ๊ย ! “ทีวีเพื่อคุณ” แหกปากดังลั่นออกมาจากโทรทัศน์สี 14 นิ้ว กลางเก่ากลางใหม่ภายในห้องเช่าซอมซ่อ มีร่างผ่ายผอมของชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านหน้า ซ่อนกายสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นอยู่ในผืนผ้าห่มเก่า ๆ เหลือไว้แต่เพียงใบหน้าตอบโผล่ออกมา

ภายในจอแก้วสี่เหลี่ยมเวลานี้ ปรากฏภาพของนักฟุตบอลคนดังของทีมปีศาจแดง ไม่ว่าจะเป็น รุด ฟาน นิสเตลรอย พอล สโคลส์ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และใครต่อใครอีกครบครัน จะขาดก็แต่เพียง เวย์น รูนี่ย์ นักเตะวัยรุ่นเลือดร้อน ขวัญใจของชายหนุ่มที่ติดโทษแบน พวกเขากำลังพากันทยอยลงสู่สนาม โดยมีแฟนฟุตบอลนับหมื่นคนภายในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด-รังของทีมปีศาจแดง ส่งเสียงต้อนรับดังกระหึ่ม

ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือที่ซุกอยู่ข้างกายจึงดังแทรกขึ้น “ติ๊ด ติ๊ด” ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมา ก้มดูที่หน้าจอ เห็นสัญลักษณ์เป็นรูปซองจดหมายเล็ก ๆ และเบอร์โทรของหญิงคนรักปรากฏอยู่ รีบเปิดอ่านข้อความ ทันใดนั้น… จึงเกิดรอยยิ้มบานแฉ่งและหัวใจอบอุ่นท่ามกลางอากาศเย็นในต้นฤดูหนาว ด้วยเพราะข้อความที่ส่งมานั้น มีถ้อยคำอุ่นใจว่า
“พรุ่งนี้ยังคงสดใสเสมอ…เพราะมีเรา”




……………………..


หมายเหตุ * นิตยสารอีโคโนมิสต์ ฉบับประจำวันที่ 16-22 เมษายน 2548 ระบุว่า โรคไข้หวัดนกที่ระบาดในสัตว์ปีกมาตั้งแต่ปลายปี 2546 จากข้อมูลการระบาดที่เกิดขึ้นใน 11 ประเทศ ณ วันที่ 18 เมษายน 2548 มีรายงานว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อโรคไข้หวัดนกมากเป็นอันดับ 2 รองมาจากเวียดนามเท่านั้น โดยประเทศ 3 อันดับแรกที่มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนกมากที่สุดได้แก่ เวียดนาม มีคนป่วย 60 คน ตาย 35 คน รองลงมาคือ ไทย มีคนป่วย 17 คน ตาย 12 คน และลำดับที่ 3 ได้แก่ กัมพูชา มีคนป่วย 3 คน ตายทั้ง 3 คน)

............................





Create Date : 20 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2549 19:22:06 น. 6 comments
Counter : 1238 Pageviews.

 
อ่านไปยิ้มไป


โดย: คนบ้าเกม IP: 124.120.239.247 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2549 เวลา:19:56:55 น.  

 
ชอบมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วได้อะไรหลายๆอย่างเลย


โดย: Wind IP: 58.147.66.121 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:9:17:14 น.  

 

อ่านเรื่องอุ่นใจ ทำให้หัวใจอุ่นขึ้น


โดย: .. ยัยตัวยุ่ง .. IP: 203.150.4.133 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:17:01:45 น.  

 
อ่านไปแล้วทำให้ยิ้มไปได้จริงๆด้วยเรื่องนี้

**กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนาน


โดย: เจ้ากอล์ฟ (ChronoCross ) วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:19:36:19 น.  

 
อมยิ้มด้วย


โดย: YaM_NoT วันที่: 22 พฤศจิกายน 2549 เวลา:20:37:30 น.  

 
แม้ตอนนี้อากาศจะเย็น แต่ก็อุ่นๆในใจ


โดย: rubino IP: 125.25.197.40 วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:53:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ChronoCross
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]










Friends' blogs
[Add ChronoCross's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.