วันวานในสยาม...ยามนั้นและยามนี้

InSiam : From Time to Time



Group Blog
 
All blogs
 
ขุมทรัพย์สารบาญชีสะท้อนวิถีสมัย ร.5

      สารบาญชีบันทึกเลขที่บ้าน ยุคแรก ๆ ของสยามบ้านเมืองของเรานี้ มีมากว่า 100 ปีแล้ว หนังสือเล่มนี้เปรียบเหมือนสมุดบันทึกประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตของบรรพบุรุษของเราในยุคนั้น และยังเป็นการจัดทำเพื่อสำรวจสำมะโนประชากรในกรุงเทพฯ เพื่อจัดส่งไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 นักวิชาการเผยมีระบบจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดยิบเหมือนสมุดหน้าเหลืองในปัจจุบัน

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วรเดช

อธิบดีกรมไปรษณีย์พระองค์แรก

 

       สารบาญชีบันทึกเลขที่บ้านครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับกิจการไปรษณีย์  มีจำนวน  4  เล่ม  ในส่วนของหน้าปกเล่ม 1 เขียนไว้ว่า โดยพระบรมราชโองการ  สารบาญชีส่วนที่  1  คือ  ตำแหน่งราชการ  สำหรับเจ้าพนักงานกรมไปรษณีย์กรุงเทพมหานคร

 

          สารบาญชีเปรียบเสมือนขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย  สะท้อนให้เห็นภาพวิถีชีวิต  สังคม และเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้ ขอเรียกสารบาญชีดังกล่าวว่า  เป็นการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกของไทย  โดยจำแนกข้อมูลหัวหน้าครัวเรือน  อาชีพ เชื้อชาติ สถานะ ลักษณะบ้านเรือนอาศัยอยู่ ตรอก ถนน ลำน้ำ และออกเลขที่บ้านให้ประชาชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งไปรษณีย์

 

 

 

         สำหรับหนังสือชุดนี้จัดพิมพ์ขึ้นใหม่โดย สำนักพิมพ์ต้นฉบับ และเจ้าของพิพิธภัณฑ์ต้นฉบับ  ซึ่งดำเนินการจัดพิมพ์สารบาญชีจากต้นฉบับที่เก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ  กล่าวว่า สารบาญชีเหมือนสมุดบันทึกหน้าเหลืองในปัจจุบัน  และแสดงให้เห็นถึงระบบการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และมีรายละเอียดมาก อีกทั้งยังนับว่า เป็นสำมะโนประชากรฉบับแรกของประเทศไทยก็ว่าได้

 

 

       ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วรเดช ซึ่งในขณะนั้นทรงกำกับดูแลทรงรับราชการเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์ จัดพิมพ์ขึ้นจากบัญชีบ้านเลขที่ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์และโทรเลข ได้ดำเนินการติดป้ายเลขที่บ้านทำบัญชีไว้ หนังสือนี้ได้จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อราวปีพ.ศ. 2426 ณ โรงพิมพ์บ้านพระเทพผลู จำนวน 4 เล่ม

 

 

 

ตัวอย่างบางส่วน บาญชีข้าราชการ  ในหน้า ๑๙๒ 

 

รมพระพราหมณโหราจารย์

 

 

พระมหาราชครูพิธีจางวาง(อาด)                                    บ้านตรอกหลังเทวสถาน  ที่ ๑๐๒

 

พระครูอัศฎาจารย์เจ้ากรม(แจ้ง)                                    บ้านตรอกข้างเทวสถาน   ที่ ๔

 

หลวงราชมุนี(เหมือน)                                                   บ้านตรอกหลังเทวสถาน   ที่ ๒

 

หลวงศรีวาจาจารย์ปลัดกรม(รุ่ง)                                    บ้านตรอกหลังเทวสถาน

 

หลวงสุริยาเวศ(ริ้ว)                                                        บ้านตรอกหลังเทวสถาน   ที่ ๑๐๒

 

ขุนธรรมนรายณ์สมุบาญชี(อิน)                                      บ้านตรอกหลังเทวสถาน    ที่ ๔

 

 

นายเวรของกรมท่ากลาง  (หน้า ๗๑)

 

หมื่นวิเสษอักษร(ครุด)                                        บ้านบางไส้ไก่

 

หมื่นวิสูทอักษร(เล็ก)                                         บ้านขุนอักษรสมบัติ

 

หมื่นพินิจอักษร(แดง)                                         บ้านถนนญวน

 

หมื่นอินท์อักษร(โพ)                                          บ้านริมคลองโอ่งอ่าง ริมวัดบพิธพิมุข(เชิงเลน)

 

 

 

"สารบาญชีแต่ละเล่มมีจุดเด่นที่น่าสนใจ  เล่ม  1 ตำแหน่งราชการ มี ข้อมูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่อาศัยอยู่ที่ไหนบ้าง  

 

เล่ม  2  ระบุชื่อถนน  ตรอก เช่น เจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร เล่ม  3  ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน  เช่น มีคนไทยอยู่ 69% คนจีน 26% รวมทั้งคนอินเดีย มาเลย์จำนวนเท่าไหร่  บ้านสังกะสีและขัดแตะไม้ไผ่มีกี่หลัง บางคนอาศัยโลงศพเป็นที่นอน และเล่ม  4  ว่าด้วยคู คลอง  ลำประโดง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจภูมิปัญญาการเกษตร" คุณค่าที่ได้จากหนังสือชุดนี้มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ ดังนี้

 

 

ด้านประวัติศาสตร์ ทำให้ทราบถึงความรุ่งเรื่องและการขยายตัวของบ้านเมืองในช่วงต้นแห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่ามีการกระจายออกไปในทิศทางใดของกรุงเทพมหานคร รวมทั้งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตามแนวที่เรียกว่าพระนครชั้นใน พระนครชั้นนอก ย่านชุมชนชาวต่างประเทศ เช่น บ้านเขมร บ้านญวน

 

 

ด้านสถานที่ นอกจากตำแหน่งเลขที่วัง เลขที่บ้านแล้ว ยังทำให้ทราบตำแหน่งที่ตั้งของวังเจ้านาย ทั้งวังหลวง วังหน้า ถนนหนทาง ตรอกและซอยต่าง ๆ ตลอดจนที่อยู่ของข้าราชการและประชนพลเมืองว่ามีรูปแบบใด บ้าน ตึกหรือเรือแพ อีกทั้งลักษณะของบ้านที่ว่าเป็นเรือนฝาแตะ เรือนฝากระดาน หรือเรือนฝากระแชงอ่อน

 

 

ด้านบุคคล ทำให้ทราบชัดเจนว่าเจ้านายพระองค์ใดมีพระชนม์ชีพอยู่ในขณะนั้น ช้าราชการผู้ใดอยู่ในสังกัดกรมกองอะไร ขึ้นกับเจ้านายพระองค์ใดบ้าง ตลอดจนนามเดิมและตำแหน่งในส่วนราชการก่อนการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการครั้งสำคัญของสยาม เป็นรูปแบบกระทรวงเสนาบดีและบรรดาศักดิ์ที่ได้รับ รวมทั้งตำแหน่งพระสงฆ์และชาวต่างชาติที่รับราชการอยู่ในสยามด้วย

 

 

ด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ทำให้ทราบถึงการประกอบอาชีพของผู้คนในยุคนั้นว่ามีการทำมาหาเลี้ยงชีพกันอย่างไรกิจการห้างร้านที่เกิดขึ้นในขณะนั้นตั้งอยู่ที่ใดบ้าง มีใครเป็นผู้ประกอบการ

ภาพถ่ายจากพระปรางค์วัดอรุณ ธนบุรี แลเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งพระนคร ด้านท่าเตียน(ซ้าย)

ต่อเนื่องไปจนถึงปากคลองตลาด (ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยร้านโรเบิร์ต เลนซ์)

 

สิ่งสำคัญในหนังสือชุดนี้ จัดได้ว่าเป็นหนังสือประเภทนามสงเคราะห์ทั้งส่วนราชการและเอกชนกลุ่มแรกสุดของสยามอันจะเป็นประโยชน์ในการใช้อ้างอิงและตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ตลอดจนข้อมูลในทางวิชาการได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังขาดข้อมูลเป็นจำนวนมาก ทำให้เราต้องพึ่งหลักฐานจากเอกสารต่างประเทศเสมอถึงแม้ทุกวันนี้เทคโนลียีการสื่อสารในบ้านเมืองของเราจะก้าวไกลแค่ไหน การสื่อสารด้วยการโทรเลขจะสูญหายไปแล้วก็ตาม แต่เราต้องไม่ลืมรากเหง้าความเป็นมาและคุณงามความดีที่บรรพชนรุ่นก่อนที่ท่านได้ทิ้งมรดกอันทรงคุณค่าไว้ให้เราลูกหลานของท่านในยุคปัจจุบันได้ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

 

 




Create Date : 20 มีนาคม 2555
Last Update : 20 มีนาคม 2555 23:38:36 น. 0 comments
Counter : 4093 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

nuttavong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Blog รักสยาม : เกิดขึ้นจากผู้เขียนเป็นนักอ่านและมีความหลงไหลในเสน่ห์ของหนังสือเก่า ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาในอดีตตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษของเรา ที่ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษร และทุก ๆ ตัวอักษรได้บอกเล่าเรื่องราวของสยามบ้านเมืองของเราเมื่อครั้งอดีต และมีความเชื่อว่า "อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน" หนังสือเก่าจึงเต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายแตกต่างกันไป เมื่อเกิดชำรุดเสียหายมีหลายคนไม่เห็นคุณค่าปล่อยให้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าอาจลืมเลือนความเป็นชาติของเรา และอาจหลงลืมความดีงามของบรรพบุรุษที่ได้สร้างรากฐานที่มั่นคงไว้

ผู้เขียนยอมรับว่าการเขียนบทความ ณ ที่นี้ได้เรียบเรียงจากหนังสือเก่าอันทรงคุณค่าหลายเล่ม ด้วยภูมิรู้ของตนเองเท่าที่มีอยู่น้อยนิด หากผิดพลาดประการใด
ผู้เขียนขอน้อมรับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วยความยินดี และหากท่านจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความรู้ก็จะเป็นประโยชน์สืบต่อไปในภายหน้า
Friends' blogs
[Add nuttavong's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.