Aging Society : เมื่อคนชราครองเมือง
Aging Society : เมื่อคนชราครองเมือง
สังคมไทยเริ่มเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่เมื่อปี 2548 โดยปัจจุบันมีตัวเลขผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งประเทศอยู่ที่เกือบ 11 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันแล้ว ประเทศไทยเป็นรองแต่เพียงสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนประเทศที่มีประชากรสูงอายุต่ำสุดคือ ลาว
ตามความคาดหมายของนักประชากรศาสตร์ จะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งในอีก 12-13 ปีข้างหน้า เมื่อประเทศไทยมีประชากรคนชรามากกว่าประชากรเด็กเป็นครั้งแรก และอีกเพียง 20 ปีประชากรคนชราของเราก็จะเพิ่มจำนวนเป็นถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ เทียบได้กับสถานการณ์คนชราล้นประเทศอย่างญี่ปุ่นในปัจจุบัน
คนชรากับปัญหาทุพพลภาพทางสังคม
มีข้อน่าสังเกตว่าชีวิตคนชราส่วนใหญ่ในสังคมไทยค่อนข้างมีปัญหาทั้งในเรื่องสุขภาพพลานามัยและทางด้านเศรษฐกิจ เพราะขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพและการวางแผนชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชราที่ทำงานนอกระบบประกันสังคมหรือเกษตรกร ซึ่งจะไม่มีหลักประกันช่วยเหลือยามไม่ได้ทำงานแล้ว บุคคลเหล่านี้จึงกลายเป็นภาระหนักอึ้งของลูกหลานและสังคม
หากปัญหานี้ไม่ได้รับการดูแล วันหนึ่งประเทศไทยอาจประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม มีผู้สูงอายุจะถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากเหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก
เตรียมตัวแก่อย่างมีความสุข
ขอยกข้อคิดบางส่วนจาก “ฉันจะเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุข” โดย ศ.นพ. เสนอ อินทรสุขศรี ที่เขียนไว้เพื่อเผยแพร่ในงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ มาเป็นแนวทางดังนี้
“เมื่อฉันเข้าสู่วัยสูงอายุ...
- ฉันจะไม่มัวนั่งคิดว่าตัวเองแก่ แต่จะดำรงตนให้เป็นประโยชน์ด้วยการให้คำปรึกษาแก่คนหนุ่มสาว
- ฉันจะไม่คอยแต่รบกวนใครๆ เขาจนเกินไป และจะไม่คิดมากให้ลูกหลานระอาใจ
- เมื่อมีปัญหา ฉันจะไม่อวดดี และจะยอมรับฟังคำแนะนำของผู้อื่น
- ฉันจะนึกเสมอว่าชีวิตกับงานเป็นของคู่กัน จะไม่มัวนั่งๆนอนๆ แต่จะหางานที่สามารถทำได้ตามกำลังเพื่อช่วยให้เกิดสุขทางใจและแบ่งเบาภาระลูกหลาน
- ฉันจะคิดเอาไว้เสมอว่า “อายุ” ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้ฉันเลิกเคารพนับถือตนเองและผู้อื่น
- ฉันจะคิดว่าพวกลูกๆ หลานๆ อาจไม่อยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ร่วมภายในบ้านกับฉันได้ เพราะพวกเขาต้องมีครอบครัวของตัวเอง
- ฉันจะเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าเอาแต่ใจ
- ฉันจะเตือนตนเองเสมอว่าอย่าเก็บตัวเงียบๆ เพราะการอยู่อย่างเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวทำให้ทุกข์
- ฉันจะคิดเอาไว้เสมอว่าฉันต้องเข้ากับใครๆ ให้ได้ทุกคนและฉันจะไม่จริงจังกับชีวิตมากเกินไป...
พร้อมดูแลและมอบสุขให้ผู้สูงวัย
การดูแลผู้สูงอายุในบ้านให้อยู่ดีมีความสุข เป็นหน้าที่ลูกหลานพึงกระทำ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปผู้คนมีเวลาน้อยลง หลายครอบครัวจึงต้องหาคนมาช่วยดูแลคุณพ่อคุณแม่ อาจเป็นพยาบาลวิชาชีพที่มีความรู้ด้านการดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญจากสถานบริบาล หรือแม้แต่ติดต่อไปยังสถานพยาบาลของรัฐบางแห่งที่มีบริการดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะก็ได้ หลักการง่ายๆ ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน เริ่มจาก
- ลูกหลานต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อคนสูงอายุ ไม่คิดว่าท่านเป็นภาระ หากแต่เป็นบุคคลที่ควรเคารพรัก
- หากลูกหลานมีเวลาดูแล แต่ขาดความรู้ความชำนาญในการปฐมพยาบาลหรือมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้าหาผู้สูงอายุ ลองติดต่อสอบถามโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมได้
- หากลูกหลานไม่มีเวลาดูแลด้วยตัวเอง ควรจ้างพยาบาลหรือผู้เชี่ยวชาญ อาจจ้างประจำเป็นรายเดือนเพื่อดูแลตลอด 24 ชั่วโมง หรือจ้างเฉพาะเวลาที่ลูกหลานไปทำงานก็ได้ แต่จะเลือกแบบไหนนั้นควรดูจากสภาพของผู้สูงอายุเป็นหลัก หากท่านยังมีแข็งแรง พอช่วยเหลือตัวเองได้ การจ้างบุคลากรจากสถานบริบาลมาช่วยเป็นหูเป็นตาก็น่าจะเพียงพอ ส่วนผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ควรจ้างทีมพยาบาลวิชาชีพมาดูแลจะปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่า
- ค่าบริการจะแตกต่างกันไปตามสถานประกอบการและอาการของผู้สูงอายุ แต่โดยทั่วไปในรายที่ไม่ได้เจ็บป่วยรุนแรง และยังช่วยเหลือตัวเองได้ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ราวหลักพันต่อเดือน ทั้งนี้ควรหาข้อมูลเปรียบเทียบราคา การบริการ รวมทั้งใบอนุญาตเพื่อประกอบการตัดสินใจ
แม้ภาวะคนชราล้นประเทศเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตอันใกล้ แต่ถ้าทุกครอบครัวมีการรับมือที่ดี ด้วยการดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าให้มีความสุข สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี ไม่เพียงช่วยลดปัญหาสังคมลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ผู้ชราเหล่านี้ยังจะเป็นกำลังสำคัญในการดูแลบ้าน ดูแลลูกหลาน ช่วยลดภาระและความกดดันของคนวัยทำงานได้อีกมากมาย
อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 8 ฉบับที่ : 90 เดือน : กรกฎาคม 2551
From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1141
Create Date : 14 มกราคม 2553 |
Last Update : 14 มกราคม 2553 2:31:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 497 Pageviews. |
|
|