In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

Swarovski Crystal

ผมได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมชมบริษัท Swarovski ผู้ผลิตแก้วคริสตัลรายใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งก่อตั้งโดย Mr.Daniel Swarovski ที่ 1 ซึ่งเป็นชาว Bohemian และได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมือง Wattens ประเทศออสเตรียเมื่อ 114 ปีก่อน และฉลองครบรอบ 100 ปีไปเมื่อปี 1995 โดยจัดให้มีการสร้าง Crystal World เพื่อเป็นอนุสรณ์ ซึ่งรวบรวมจากความคิดและจินตนาการของ Designer และ Artist และได้กลายเป็น Tourist Attraction ของเมือง Wattens ไปแล้ว

ผมเริ่มประทับใจใน Swarovski มาหลายปีแล้ว เพราะรู้สึกว่า Swarovski มีจินตนาการในการสร้างสินค้าอย่างมากมาย และที่สำคัญคือสามารถสร้างคุณค่ากับคริสตัลให้สูงขึ้นโดยทำ design และภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีมาก สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างที่สำคัญก็คือทายาท Swarovski ที่บริหารงานอยู่ในขณะนี้เป็นรุ่นที่ 4-5 (คราวนี้ผมไม่ได้พบกับผู้บริหารในตระกูล Swarovski) แต่จากการที่ได้เห็นผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางของ Swarovski แล้ว พบว่ามีความกระตือรือร้นในการทำงานโดยเฉพาะกับลูกค้า มีความใส่ใจในการทำธุรกิจและมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้ธุรกิจนั้นมีความเจริญเติบโต ซึ่งเป็นความเชื่อทางตะวันตกที่ว่าทำอะไรต้องทำอย่างเดียว จะได้ให้ความสนใจทุ่มเทได้เต็มที่ เพราะทั้งชีวิตต้องอุทิศให้กับธุรกิจนั้นๆ

ผมคิดว่าไม่ผิดที่จะคิดแบบนี้ และเป็นชาวยุโรปที่มีสายตาทางด้านธุรกิจต่างประเทศมากกว่าคนไทย ทำให้ชาวยุโรปประเทศเล็กสามารถขยายกิจการไปทั่วโลกรวมทั้งในเมืองไทยด้วย

การขยายตัวในต่างประเทศนั้นต้องอาศัยทั้งเวลาและความมุ่งมั่น ที่จะทำให้สินค้าหรือแบรนด์นั้นใหญ่และเจริญ คนที่ขยายกิจการได้ดีนั้น ต้องเป็นคนที่อยากมีชื่อเสียง อยากรวย โดยเฉพาะตัวผู้นำในยุคต่างๆ ถ้ามีผู้นำที่สมถะหรือผู้นำที่ทำอะไรแต่พอตัว โอกาสที่แบรนด์หรือธุรกิจจะใหญ่โตมีน้อย พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ (Visionary) และที่สำคัญที่สุด Swarovski ทำให้พนักงานและชาวเมือง Wattens มีความเจริญก้าวหน้าไปด้วย และเป็นพนักงานของ Swarovski เกือบ 80%

การที่ Swarovski เป็นได้อย่างทุกวันนี้ก็ต้องเกิดจากความมุ่งมั่นของต้นตระกูล ที่อยากจะเห็นแบรนด์ Swarovski นั้นมีชื่อเสียง และสามารถถ่ายทอดความมุ่งมั่นนั้นลงมาในแต่ละ generation และสมาชิกในแต่ละ generation ก็คงแชร์ความมุ่งมั่นนั้นและต้องร่วมกันกำหนด Strategic Direction (ทิศทางเชิงกลยุทธ์) ที่สอดคล้องกันไปในทิศทางที่ทำให้แบรนด์ Swarovski เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั่วโลก และทำกำไรให้กับองค์กร เพราะกำไรเท่านั้นที่จะทำให้เกิดการพัฒนาองค์กรได้ และต้องใช้กำไรนั้นในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรให้สูงขึ้นด้วย

สรุปได้ว่า ความสำเร็จของ Swarovski นั้น เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนในตระกูล และได้วางทิศทางเชิงกลยุทธ์ร่วมกันกับผู้บริหารที่ไม่ใช่คนในตระกูล รวมทั้งความมุ่งมั่นที่จะทำให้ Swarovski เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของโลกอย่างที่ไม่มีใครจะเทียบได้ และทิศทางเชิงกลยุทธ์นี้น่าจะมีมาต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีมาแล้ว

By boonkiet
//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7116&user=boonkiet




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 4:50:09 น.
Counter : 908 Pageviews.  

ศก.แบบนี้มีเงินลงทุนอะไรดี ฝากหรือซื้อหุ้นกู้สั้น-ยาวดี

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีข่าวเรื่องการลงทุน หรือ การฝากเงินค่อนข้างมาก และเป็นที่พูดคุยซักถามกันอย่างแพร่หลาย

หลายครั้งที่ผมได้พบกับบุคคลหลายๆ ท่านมักจะถามว่า ตอนนี้มีเงินอยู่จะทำอะไรกับเงินที่มีอยู่ดี และการหาผลตอบแทนของเงินที่มีอยู่จะหาอย่างไร

ช่วงนี้หากเราติดตามข่าวสาร จะพบว่า มีการออกตราสาร เงินฝาก และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มากมายให้เราเลือกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วหากเราเริ่มต้นด้วยคำถามว่า มีเงินอยู่ทำอะไรดี ก็จะมีผู้ชำนาญการหลายท่านได้ให้แนวทางในการลงทุน และจัดสัดส่วนในการลงทุนไม่ว่าจะเป็น เงินสด เงินฝาก สินค้าโภคภัณฑ์ ซื้อหน่วยลงทุน หรือซื้อหุ้น หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะจัดตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ หากอายุน้อย ก็สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า และขึ้นอยู่กับการจัดสรรสัดส่วนในการถือครองสินทรัพย์ของแต่ละคน

ในที่นี้ผมขอคุยกันเฉพาะเรื่องผลตอบแทนหากเราเลือกแล้วว่า การหาผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นกู้ การฝากเงิน การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ล้วนแต่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยทั้งนั้น แต่ว่าในแต่ละตราสารจะมีคุณลักษณะความเสี่ยงที่แตกต่างกันจำแนกเป็น 2 เรื่อง คือ ความเสี่ยงของตราสารเอง คือ ผู้ออกตราสาร และความเสี่ยงผลตอบแทน คือ ดอกเบี้ย

หากจะดูกันง่ายๆ เงินฝาก คำถามแรก คือ ฝากสั้น หรือ ฝากระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน หรือ ฝากยาว คือ 1 ปี หรือ 2 ปี หรือ เราจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น คือ น้อยกว่า 6 เดือน หรือ ซื้อพันธบัตรระยะยาว คือ 5 ปี หรือ 10 ปี ดี เราจะตัดสินใจอย่างไร

ผมขอสมมติเหตุการณ์ดังนี้

ดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น 6 เดือน อยู่ที่ 1% ดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปี อยู่ที่ 2%

ดอกเบี้ยเงินฝาก 2 ปี อยู่ที่ 3% ดอกเบี้ยเงินฝาก 3 ปี อยู่ที่ 4%

จากสถานการณ์ดังกล่าว เราจะเลือกฝากเงินอย่างไรดี 6 เดือน ดี หรือ 3 ปี ดี เราจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งถ้าผมจะคุยกันคือ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมีด้วยกัน 2 ประการ คือ เงินต้นและผลตอบแทน ส่วนของเงินต้น เราจะได้คืนครบไหม หรือ เงินต้นคุ้มครองหรือเปล่า ซึ่งกรณีฝากเงินนั้น เงินต้นคุ้มครองครบ และในส่วนที่สองคือผลตอบแทนจะได้เท่าไร
ถ้าเราจะเลือกฝากเงิน 6 เดือน เราจะได้รับผลตอบแทน คือ ดอกเบี้ย 1% สำหรับ 6 เดือนนี้ และหลังจากนั้นก็ไปดูกันอีกทีว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็นเท่าไร หากสูงขึ้นก็ดีไป หากต่ำลงก็แย่ ซึ่งหากเราเลือกฝาก 6 เดือน แปลว่าเราคาด หรือ เก็งว่าดอกเบี้ยหลังจาก 6 เดือน นี้จะต้องเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำลง เพราะถ้าคิดว่าดอกเบี้ยต่ำลง เราจะเลือกที่จะฝากนานว่า

ถ้าเราเลือกว่าฝาก 3 ปี เราจะได้รับผลตอบแทนร้อยละ 4 โดยเราคาดว่าดอกเบี้ยจากนี้ไปไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในระยะเวลา 3 ปีนี้ ก็จะต่ำกว่า 4% และหากเราคิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 4 เราก็จะเลือกที่จะฝากอายุสั้นกว่านั้นนั่นเอง

ถ้าเรามาดูจากสองสถานการณ์โดยสรุปนั้น คือ เราต้องคำนึงผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยรับโดยรวมทั้งระยะเวลา เปรียบเทียบกัน และเราต้องคิดว่าดอกเบี้ยที่เราได้รับจากการซื้อหลักทรัพย์ หรือ ฝากเงิน นั้น เทียบกับดอกเบี้ยที่เราคาดไว้อันไหนสูง หรือต่ำกว่ากัน โดยพิจารณาจากตัวอย่างแผนภูมิด้านล่าง

*****
กราฟแสดงถึงอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากัน แสดงอัตราดอกเบี้ยในแต่ละขณะอ่านได้คือ อัตราดอกเบี้ย 1 ปี อยู่ที่ 1.72% 2 ปี อยู่ที่ 2.41% 3 ปี อยู่ที่ 2.91% 5 ปี อยู่ที่ 3.51% 10 ปี อยู่ที่ 4.05% ซึ่งหากเราถามตัวเองตามที่เราได้คุยกันในเบื้องต้น

ถ้าสมมติว่า อัตราดอกเบี้ยนี้ เป็นผลตอบแทนในการลงทุน เราต้องคำนึงถึงผลตอบแทนรวมหากเรามีเงินและเรากำลังเลือกระหว่างลงทุน 1 ปี แล้วค่อยๆ ลงทุนใหม่ เรื่อยๆ ทุกๆ ปี หรือ เราจะเลือกลงทุนยาวไปเลย 10 ปี ซึ่งจากตัวเลขดอกเบี้ยเบื้องต้น 1 ปี ได้ผลตอบแทน 1.72% 10 ปีได้ผลตอบแทน 4.05% ซึ่งสูงกว่ามาก แต่เราจะเปรียบเทียบเพียง 1 ปี และ 10 ปีก็ไม่พอ

สิ่งที่เราต้องคำนึงคือ อัตราดอกเบี้ย 1 ปี ใน อีก 1 ปี ข้างหน้า และ อีก 1 ปี ไปเรื่อยๆ ถ้าเรากำลังเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุน 1 ปี ซึ่งต้องนำเงินมาลงทุนใหม่ ทุกครั้งที่ครบงวด คือ 1 ปี เปรียบเทียบกับลงทุนระยะยาว คือ 10 ปี ดังนั้นเราต้องคาดเดาว่าดอกเบี้ย 1 ปี ในแต่ละปีจากนี้ไปอีก 9 ปี จะเป็นอย่างไร แล้วเอาผลรวมดอกเบี้ยมาเปรียบเทียบกับการลงทุน หรือฝาก 10 ปีในครั้งเดียว หากด้านไหนมากกว่าก็เลือกทางด้านนั้น

เปรียบเทียบผลตอบแทน (เปรียบเทียบคร่าวๆ โดยไม่คิดค่าเงินในปัจจุบัน)

(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 1)+(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 2)+… +(เงินต้น X ดอกเบี้ยปี 10) เทียบกับ (เงินต้น Xดอกเบี้ยปี 10)X10

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยแต่ละปี เราสามารถดูว่าตลาด หรือบุคคลทั่วไปคิดว่าดอกเบี้ยจะเท่ากับเท่าไรได้แผนภูมิเบื้องต้น สามารถอ่านได้ดังนี้ ดอกเบี้ย SWAP 1 ปีปัจจุบัน 1.72% โดย 1 ปีในอีก 1 ปีข้างหน้า อยู่ที่ 3.10% และ อีก 1 ปี หลังจากนั้นอยู่ที่ 3.91% และอีก 1 ปีหลังจากนั้นอยู่ที่ 4.15% ซึ่งหากเราคิดว่าดอกเบี้ยที่ระบุนี้ต่ำกว่าที่เราคาดว่าจะเป็น คือ หากคิดว่าดอกเบี้ย 1 ปีข้างหน้า น่าจะไม่ต่ำกว่า 4% และเพิ่มขึ้น 0.50% ทุกๆ ปี หลังจากนี้ เราควรจะฝากระยะสั้น และหากเราคิดว่าดอกเบี้ยอีก 1 ปีไม่น่าจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้ระบุในเบื้องต้น เราก็ควรจะฝากเงินเป็นระยะเวลา 4 ปี เพราะดอกเบี้ยที่เราคาดไว้ไม่สูงกว่า

ดอกเบี้ยตัวอย่างที่ระบุ 1 ปี ในอีก 1 ปีข้างหน้าไปเรื่อยๆ นั้น เราเรียกกันว่า FORWARD RATE หรือ อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่บอกได้ว่าอัตราในอนาคตที่คาดการณ์กันเป็นอย่างไร

ครั้งนี้อาจซับซ้อนสักนิดนะครับ โดยทั่วไปหากเราลงทุนเราจะดูผลตอบแทนทันที แต่หากดูกันให้ละเอียดอีกนิดก็จะช่วยให้การลงทุนหรือการฝากเงินนั้น มีผลตอบแทนที่ดีขึ้น หลักการง่ายๆ คือ ผลตอบแทนดอกเบี้ยรวมไม่ว่าจะฝากสั้น หรือ ยาว เมื่อรวมกันแล้วนำมาเปรียบเทียบกันกับที่เราคาดการณ์ หรือเก็ง หากอันไหนสูงกว่าก็เลือกอันนั้น จะได้มีดอกเบี้ยเหลือไว้ใช้จ่ายได้มากขึ้นนะครับ

โดย : มายาการเงิน
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/guru/20090716/60307/ศก.แบบนี้มีเงินลงทุนอะไรดี-ฝากหรือซื้อหุ้นกู้สั้น-ยาวดี.html




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 4:48:50 น.
Counter : 451 Pageviews.  

ต้องรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อหุ้นกู้

อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินช่วยปั่นกระแสหุ้นกู้บูม โดยทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยคาดการณ์ว่า ในปีนี้ภาคเอกชนจะออกหุ้นกู้รวมกันราว 33.7 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นกู้ไทย
ปัจจุบันบริษัทเอกชนให้ความสนใจออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากต้นทุนถูกกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผู้ลงทุนเองก็ถูกบีบคั้นด้วยอัตราดอกเบี้ยธนาคารที่ต่ำติดดิน จึงต้องปรับพอร์ตแบ่งเงินลงทุนบางส่วนเข้าหุ้นกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงิน

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนพึงตระหนักว่า การฝากเงินกับธนาคารจะมีประกันโดยภาครัฐ คือ เงินต้นไม่มีทางหาย ทางหุ้นกู้ก็อาจมีประกัน แต่ไม่ใช่ประกันจากรัฐบาล จึงมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นผู้สนใจลงทุนในหุ้นกู้ต้องให้ความสำคัญกับอันดับเครดิตเรตติ้งเป็นอันดับแรก จากนั้นให้พิจารณาว่าบริษัทผู้ออกเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือไม่ รวมถึงต้องดูด้วยว่าอยู่ในอุตสาหกรรมใด เพราะถึงแม้ว่าบริษัทจะได้อันดับเครดิตเท่ากัน แต่อยู่คนละอุตสาหกรรม ก็อาจมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ปัจจัยสุดท้ายผู้ลงทุนต้องดูระยะเวลาในการลงทุนด้วยว่า สามารถลงทุนได้ยาวแค่ไหน

เนื่องจากหุ้นกู้จำนวนมากมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำ กล่าวคือ ไม่ได้เปลี่ยนมือกันง่ายๆ เหมือนกับหุ้นในตลาดหุ้นครับ ฉะนั้นต้องคิดเผื่อว่า เมื่อซื้อแล้วจะถือยาวจนครบกำหนดไถ่ถอน ความตั้งใจถือจนจบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยอีกทางหนึ่งด้วย กล่าวคือ หากต้องขายหุ้นกู้ก่อนกำหนดไถ่ถอน แต่เผอิญอัตราดอกเบี้ยถึบตัวสูงขึ้นมาก กรณีนี้จะต้องขายในราคาขาดทุน ดังนั้นหากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับนักลงทุนทั่วไปไม่ควรซื้อหุ้นกู้ระยะยาว เนื่องจากจะล็อกตัวเองกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำไว้นั่นเอง จะยกเว้นก็เฉพาะนักลงทุนเงินเย็นที่มีเงินไหลเข้าตลอด กลุ่มหลังนี้สามารถลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวได้ตลอดเวลา เนื่องจากจะมีกระแสเงินก้อนใหม่ไหลเข้ามาอยู่เสมอ จึงสามารถใช้เงินใหม่โดยไม่แตะเงินเก่าที่ได้เคยลงทุนยาวไว้ หรือจะลงทุนใหม่เพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ถูกลงก็ได้ การจัดพอร์ตหุ้นกู้จึงต้องเน้นให้เหมาะกับกระแสเงินสดของผู้ลงทุนด้วย

นอกจากนั้น หุ้นกู้ยังมีหลายชนิด ก่อนลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่าหุ้นกู้มีประกันหรือไม่ และด้อยสิทธิหรือไม่ หากมีประกันก็ต้องถามต่อว่า ประกันโดยสินทรัพย์อะไร หรือประกันโดยบุคคลที่ 3 เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือต่อไป เนื่องจากกรณีเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้ เราสามารถบังคับหลักประกันที่เจาะจงไว้ได้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น

กรณีหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ด้อยสิทธิ สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้นี้จะเสมอกับเจ้าหนี้รายอื่นที่เขาไม่มีหลักประกันเหมือนเรา แต่ด้อยกว่าเจ้าหนี้มีประกันที่สามารถบังคับหลักประกันที่เจาะจงไว้ได้ก่อนเรา เมื่อกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันบังคับหลักประกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหนี้ไม่ด้อยสิทธิจึงมีสิทธิไล่เบี้ยต่อ

ย้ำว่า ผู้ถือหุ้นกู้ “ด้อยสิทธิ” ในกรณีที่บริษัทเกิดเป็นอะไรไป คนแรกที่จะได้รับการชำระหนี้ก่อนเลยคือ คนที่มีประกัน ต่อมาที่จะต้องมาเข้าคิว คือ เจ้าหนี้ที่ไม่มีประกันแต่ไม่ด้อยสิทธิ แต่ถ้าเราด้อยสิทธิ เราก็จะเป็นคนท้ายๆ แม้จะเข้าคิวรอแต่เงินชำระหนี้อาจหมดก่อนที่จะถึงเราครับ เรียกว่า กินน้ำใต้ศอกสุดๆ หุ้นกู้ด้อยสิทธิจึงเสี่ยงสูงกว่าเพื่อน ดังนั้นจึงถูกชดเชยด้วยดอกเบี้ยที่สูงกว่าพวกมีประกัน หรือไม่ด้อยสิทธิครับ

แม้คนจะแห่กันออกซื้อหุ้นกู้ แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นกู้ทุกตัวน่าลงทุน นักลงทุนจะต้องพิจารณาเป็นรายตัว เพราะแต่ละบริษัทมีฐานะทางการเงินที่ต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมใดมีความเสี่ยง แล้วจะลงทุนไม่ได้ทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหมด แต่หนักเบาไม่เท่ากัน

เครดิตเรตติ้งเป็นการส่งสัญญาณชี้วัดความเสี่ยงเพื่อบอกกับนักลงทุนถึงโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ตามหลักการจะขีดเส้นแบ่งที่ BBB ขึ้นไป เป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ความเสี่ยงจะอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ แต่ก็ต้องขอเรียนว่า การที่จะออกมาเป็น A หรือ AA ก็ไม่ได้แสดงว่าจะไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง การจัดเรตติ้งเป็นเพียงการมองออกไปอีก 23 ข้างหน้าว่าจะอยู่ได้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เช่น ราคาน้ำมัน ค่าเงิน จากวันนี้ที่ได้ AA อีก 2 ปีข้างหน้าก็อาจจะกลายเป็น A หรือต่ำกว่านั้นก็เป็นไปได้ ทั้งนั้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบางแบบนี้ นักลงทุนต้องตระหนักตรงนี้ด้วย

ปัจจุบันบริษัทที่มีอันดับเครดิตในระดับ BBB หันมาออกหุ้นกู้มากขึ้น แม้ว่าจะต้องเสียค่าชดเชยความเสี่ยงเพิ่มอีก 34% เมื่อรวมกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี ที่ระดับ 2.4% อีก รวมกันแล้วเป็น 6% เศษ แต่บริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะจ่ายในภาวะที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ สำหรับบริษัทที่มีอันดับเครดิต A จะเสียค่าชดเชยความเสี่ยงเพิ่มอีก 2% เครดิตระดับ AA เพิ่มอีก 1.25% และ AAA เสียเพิ่มอีก 1%

นอกจากนั้น นักลงทุนควรจะดูด้วยว่า ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิในการซื้อคืนก่อนกำหนดหรือไม่ กรณีมีสิทธิซื้อคือหลังปีที่ 5 กรณีนี้หากอัตราดอกเบี้ยที่เขาระบุไว้ในหุ้นกู้มันสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดช่วงนั้นมาก เขาก็มีสิทธิซื้อคืน ก็หมายความว่า พอเขาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเราเยอะ เขาขอซื้อคืนดีกว่า โดยเฉพาะถ้าอัตราดอกเบี้ยมันต่ำกว่าที่เขาจะต้องจ่ายเรามาก

ทั้งนี้ ควรพิจารณากระจายเงินลงทุนออกไปในหุ้นกู้ชั้นดีให้มีความหลากหลายในแง่อุตสาหกรรม (อายุหุ้นกู้มี 2 ปี 3 ปี 5 ปีบ้าง เป็นต้น) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

สำหรับผู้มีความรู้ด้านการเงิน น่าพิจารณากระจายการลงทุนบางส่วนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้น Defensive ที่จ่ายปันผลดี เนื่องจากแม้จะแบกความเสี่ยงสูงขึ้นบ้าง แต่อัตราผลตอบแทนคาดหวังสูงการลงทุนในหุ้นกู้มาก ลองทำการบ้านดูครับ

รายงานโดย :พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ
//www.posttoday.com/stockmarket.php?id=56742




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 14:36:57 น.
Counter : 2009 Pageviews.  

หลากวิธีฟื้นฟูความมั่งคั่งให้กลับคืน

"ความมั่งคั่ง" ที่หลายคนสู้อุตส่าห์สะสมมา อันต้องพังทลายหายไปกับคลื่นสึนามิเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในรอบนี้

พอเริ่มจะลืมตาอ้าปากได้ หลายคนจึงค่อยๆ ส่งเสียงถามไถ่ว่า ถ้าเป็นแบบนี้ เราๆ ท่านๆ จะมีวิธีที่จะ "Rebuild Wealth" ด้วยวิธีไหนได้บ้าง

พูดง่ายๆ คือ เราจะมีวิธีซ่อมแซมและฟื้นฟูความมั่งคั่งให้กลับคืนมาได้อย่างไรบ้าง เช่น ต้องมาปัดฝุ่นแผนการลงทุนใหม่หรือไม่ ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยเฉพาะเงินที่ลงทุนไว้เพื่อใช้ตอนเกษียณต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร หรือในแง่มุมของหนี้สินต้องทำอะไรหรือไม่


วิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้ พรากความมั่งคั่งไปจากอ้อมอกของใครหลายคน ยิ่งเป็นคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นซะเป็นส่วนใหญ่ คุณอาจจะรู้สึกใจหาย ที่จู่ๆ ความมั่งคั่งก็หายวับไปในพริบตา

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่ทวงความมั่งคั่งให้กลับคืนมา ถ้ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าจะทวงความมั่งคั่งคืนจากวิธีใดบ้าง ลองมาฟังผู้รู้ทางการเงินเหล่านี้ดู

Oเรียกคืนจากตลาดหุ้น

"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต บอกว่า ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นขาดทุนอย่างหนักจากการลงทุนในตลาดทุนทั้งไทยและเทศ ส่วนตลาดประเภทอื่น เช่น ตราสารหนี้ ดูเหมือนจะเสียหายไม่มาก ซึ่งเกี่ยวกับหลักการลงทุนและการ Rebuild wealth ให้กลับมาใหม่นั้น บุญชัยเชื่อว่า ในระยะยาว ตลาดทุนน่าจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าตลาดเงิน รวมการลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร และหุ้นกู้ เพราะฉะนั้น เมื่อเสียหายในช่วงที่ผ่านมา วิธีทวงความมั่งคั่งให้กลับคืนมา ก็น่าจะต้องกลับไปลงทุนในตลาดทุนนั้น

แต่คอนเซปต์หนึ่งที่เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังวิกฤติก็คือ เราไม่สามารถซื้อหรือขายในราคาที่ดีที่สุดได้เสมอไป ซึ่งถ้าเราไม่ต้องรีบใช้เงินที่ลงทุน มีเงินเย็นเอาไว้ลงทุนแบบสม่ำเสมอ นั่นจะเป็นทางออกในการ Rebuild wealth ที่ดีที่สุดทางหนึ่ง

"ผมขอยกตัวอย่าง จากการที่ผมลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) แบบสม่ำเสมอทุกเดือน มาหลายปีแล้ว แน่นอนผมย่อมถูกผลกระทบจากวิกฤติและตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในระหว่างทางผมก็ไม่ได้เลิกการลงทุนแบบสม่ำเสมอนี้ไปเลย ซึ่งทำให้ผมมีหุ้นในต้นทุนที่ถูกถัวเฉลี่ยมาตลอดทาง เชื่อไหมครับ ปัจจุบันกองทุน LTF และ RMF ที่ลงทุนในกองทุนหุ้นที่ผมถืออยู่ไม่ขาดทุนแล้ว ทั้งๆ ที่ SET index ยังกลับไปไม่ถึง peak ในอดีตเลย"

"วนา พูนผล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี เสริมว่าเราผ่านจุดต่ำสุดของวงจรเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งสภาพทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ฉะนั้นช่วงนี้น่าจะลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อเรียกคืนความมั่งคั่งให้หายไปจากการลงทุนในหุ้น ส่วนจะลงทุนมากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน

"อีกอย่างหนึ่ง ที่เราจะเรียกคืนได้คือการลงทุนในพวกตราสารหนี้ ที่บางช่วง บางอายุ ผลตอบก็ถูกปรับขึ้นมาจนสูง แถมยังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยด้วย"

Oลงทุนสม่ำเสมอช่วยทวงคืนอัตโนมัติ

บุญชัยบอกอีกว่า เรื่องของหลักการลงทุนแบบสม่ำเสมอนั้น มีการพูดถึงหลายครั้ง และพูดกันมานานหลายปีแล้ว แต่เชื่อไหมว่า มีผู้ลงทุนเพียงน้อยรายเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น บางคนเห็นว่า ลงทุนไปเยอะ จะซื้อถัวทำไม เดี๋ยวก็ลงต่อไปอีกยิ่งขาดทุน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ซื้อเสียทีเพราะไม่รู้ว่า จะเริ่มซื้อตอนไหนจึงจะดี พอตลาดกลับขึ้นมาใหม่ก็ไม่ได้ลงทุนซื้ออะไรเลย เพราะมัวแต่รอ

"ผมเคยอ่านเจอข้อมูลหนึ่งของต่างประเทศ ได้ข้อสังเกตโดยอาศัยสถิติในอดีตจากตลาดหุ้นอเมริกาว่า จากข้อมูลในอดีตที่รวบรวมจากการดำเนินงานของตลาดหุ้น ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา พบว่าช่วงที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีมีไม่มากนัก (small package) จากข้อมูลในอดีตที่เก็บรวบรวมกว่า 450 เดือน มีเพียง 48 เดือน ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ซึ่งจากภาพประกอบ เป็นการแสดงผลตอบแทนของ MSCI World Index สำหรับระยะเวลาประมาณ 38 ปี คือ ตั้งแต่ 1970-2007

จะพบว่า ผลตอบแทนต่อเดือนโดยเฉลี่ยหากพิจารณาสำหรับระยะเวลาทั้งหมด 456 เดือน อยู่ที่เดือนละเพียง 0.90% แต่หากพิจารณาเฉพาะช่วงที่ MSCI World Index ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดจำนวน 48 เดือน ผลตอบแทนต่อเดือนโดยเฉลี่ยจะเท่ากับ 7.63% ส่วนที่เหลืออีก 408 เดือน ให้ผลตอบแทนต่อเดือนโดยเฉลี่ยเพียง 0.08% เท่านั้น"

จากข้อมูลในอดีตเหล่านี้ เนื่องจากจำนวนช่วงเวลาที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีมากๆ มีไม่มากนัก เช่นในตัวอย่างมีเพียง 48 เดือน จาก 456 เดือน ดังนั้น หากไม่ลงทุนต่อเนื่องไป (stay invested) จึงมีโอกาสที่เราจะพลาดจังหวะที่จะได้ลงทุนในช่วงที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีๆ

"เห็นไหมว่า ถ้าเรามัวแต่รอและคิดว่า เราจะซื้อหุ้นในราคาที่ถูกที่สุด และขายในราคาที่แพงที่สุด เราอาจจะไม่สามารถ Rebuild wealth ของเรากลับมาได้เร็วอย่างที่คิด"

บุญชัยยังบอกว่า ตลาดการเงินในปัจจุบัน ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนค่อนข้างเห็นภาพชัดเจนว่า ผลตอบแทนในสินทรัพย์ไม่เสี่ยง ต่ำติดดินเหลือเกิน ในขณะที่ผลตอบแทนในสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามากบ้างน้อยบ้างตามแต่ประเภทสินทรัพย์นั้นๆ ถ้าผู้ลงทุนยังไม่รีบต้องใช้เงินภายในปีสองปีนี้ ก็ยังคงแนะนำตามมุมมองแรก คือ ลงทุนต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ

แต่ถ้าคุณต้องมีความจำเป็นต้องใช้เงิน โอกาส Rebuild wealth กลับมาในระยะสั้นคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร หรือถ้าคุณจะลงทุนก็ต้องมั่นใจว่า มีความเร็วและมีความพอ ในการลงทุนนั้น

ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวหรือไม่ และอย่างไร ยังคงเป็นคำถามที่ยังต้องหาคำตอบอีกมาก แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตเยอะว่า ฟื้นแบบของแท้หรือของเทียม ดังนั้น หากผู้ลงทุนผลีผลามโดยไม่พิจารณาอย่างละเอียด หรือลงทุนโดยไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะเจ็บตัวซ้ำสอง ได้ เมื่อคิดจะลงทุนเพื่อหวังจะ Rebuild wealth อย่างรวดเร็วในสภาพตลาดเช่นปัจจุบัน จึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนในหลายๆ ปัจจัย และระมัดระวัง หรืออาจจะใช้วิธีการลงทุนแบบทยอยๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดผลกระทบหาก จังหวะการลงทุนไม่ถูกต้องไปทุกครั้ง

Oสร้างความมั่นคงจากภายในก่อน

"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ ให้แง่คิดถึงการฟื้นฟูความมั่งคั่ง ว่าเวลาที่ทรัพย์สินของเราด้อยค่าลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ คือ ความอึดอัดหนักใจ ท้อแท้ใจ ขาดกำลังใจ เขากำลังจะบอกว่า สำหรับหลายๆ คน การสูญเสียความมั่งคั่งภายนอกทำให้เราพลอยสูญเสียความมั่นคงภายในไปด้วย

ในความเห็นของ ดร.สมจินต์ ก่อนที่จะสร้างความมั่งคั่งกลับมาใหม่ เราต้องรักษาความมั่นคงจากภายในให้ได้เสียก่อน เขาชอบหลักคิดที่สำคัญของอาจารย์เปาโล ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดมีอยู่สามอย่าง คือ ความเชื่อ ความหวัง และความรัก

"เราต้องเริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ถูกต้องว่า การก้าวไปของชีวิต อาจไม่แตกต่างจากการปีนเขา หากเราจะปีนเทือกเขาสูงซึ่งประกอบด้วยภูเขาหลายๆ ลูกต่อเนื่องกัน ลองนึกภาพดู เวลาเราต้องไต่ขึ้นยอดเขาลูกแรก แล้วก็ต้องลงมาสู่ช่วงหุบเหวเพื่อที่จะไต่ขึ้นเขาลูกต่อไปที่สูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เราได้มาจากการปีนเขาลูกก่อน ก็คือ ประสบการณ์ที่มากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น พร้อมขึ้นในการปีนเขาลูกต่อไปที่ท้าทายขึ้นตรงหน้า นอกจากนี้ บ่อยครั้งที่เราจะพบว่า ในช่วงหุบเหวนี้เองที่เราจะได้พบกับแหล่งน้ำ แหล่งอาหารที่เราจะได้ใช้ต่อไปในการเดินทางสูงขึ้นต่อไป"

สำหรับเศรษฐกิจก็เช่นกัน ซึ่งมีช่วงเศรษฐกิจที่ขยายตัวเหมือนดังช่วงขาขึ้นสู่ยอดเขา และก็มีเศรษฐกิจขาลงที่ให้ความรู้สึกตกต่ำเหมือนปีนลงเขา ท่าทีที่เราควรจะมีต่อความตกต่ำของเศรษฐกิจ รวมถึงมูลค่าหุ้นที่ตกต่ำไปด้วย คือ การมองหาโอกาสที่มาพร้อมวิกฤตินั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอหลังช่วงวิกฤติผ่านไป ก็คือ มีกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น เพราะพวกเขาได้โอกาสอันดีในการซื้อของถูกในช่วงเวลาดังกล่าว

โดยสรุป ความเชื่อหรือความคิดเห็นที่สำคัญก็คือ การมองการขึ้นลงของเศรษฐกิจเป็นเรื่องธรรมชาติ เปิดใจมองข้อเท็จจริง แล้วเล็งหาโอกาสที่แฝงมาด้วย

เรื่องต่อไปก็คือ ความหวัง เมื่อเรามีความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว พยายามมองดูสถานการณ์อย่างสร้างสรรค์ ดร.สมจินต์มั่นใจว่าเราจะเกิดความหวังเกิดกำลังใจ ถ้ายังไม่เกิดกำลังใจ ลองเงยหน้ามองนกในอากาศ พวกมันไม่มียุ้งฉาง ไม่มีตู้เย็น แต่พระเจ้าก็ยังเลี้ยงดูนกเหล่านั้นไว้ได้อย่างดี สำหรับคนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย เขาเชื่อว่าพวกเราโชคดี ที่เรามีค่าครองชีพที่ไม่สูงเกินไป พวกเราอยู่ได้อย่างดี โดยไม่ต้องใช้เงินมากนัก เรามีอาหารไทยแสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็นข้าวไข่เจียว แกงเขียวหวาน ข้าวเหนียวหมูปิ้งและอีกสารพัดอาหารไทยที่แสนจะมีเสน่ห์ให้เราทานได้ในราคาไม่แพง

อีกสิ่งหนึ่งที่เราอาจนึกถึงได้ในเชิงโอกาสยามวิกฤติ คือ การแสวงหาความรู้เพิ่มเติม การลงเรียนหรือสัมมนาในวิชาความรู้ใหม่ๆ การเข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสือดีๆ อ่าน ซึ่งสถาบัน TSI และห้องสมุดมารวยของตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะเป็นแหล่งความรู้ที่น่าสนใจในเวลานี้ การสร้างความมั่งคั่งรอบใหม่ด้วยความรู้ที่แน่นขึ้นย่อมจะมีความมั่นคงกว่า

มาถึงเรื่องสุดท้ายก็ คือ ความรัก เวลาที่ภาพลบทางเศรษฐกิจรุมเร้าเรานั้น บ่อยครั้งที่ความเครียด ความกดดันทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวสูญเสียไปด้วย ท่าทีที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุด คือ การโทษความผิดไปยังคนอื่น เพราะจะทำให้เกิดความร้าวฉาน ความท้อแท้ใจมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน การมองกันด้วยสายตาแห่งรัก เห็นอกเห็นใจกัน ให้กำลังใจกันและกัน พร้อมร่วมแรงร่วมใจกันก่อร่างสร้างสมบัติขึ้นใหม่ จะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในเวลาอย่างนี้

"ผมมีความเชื่อว่าพลังแห่งความรัก คือหลังที่สำคัญที่สุด หากเมื่อภรรยาเห็นใจสามีที่มีความกดดันในเรื่องการงาน แสดงความเข้าใจในภาวะที่ยากลำบาก สามารถมองตาสามีและบอกได้ว่า ไม่เป็นไร ข้าวไข่เจียวร้อนๆ ที่ทานกันพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวนำพาสันติสุขมาให้ได้ไม่น้อยไปกว่าการทานข้าวในภัตตาคารแพงๆ สามีก็จะลดความกดดัน และพร้อมขึ้นที่จะสื่อสารถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา และครอบครัวย่อมจะสามารถปรึกษาหารือเพื่อสร้างความพยายาม ความหวังที่ยังคงมีต่อไปได้ ครอบครัวควรยินดีที่จะต้องเสียสมบัติบางอย่างเพื่อจัดการกับภาระหนี้สิน การมีความเชื่อตรงกันว่า สมบัติที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่รถ ไม่ใช่หุ้น

แต่คือความรักความผูกพันกันของทุกคนในครอบครัว ผมเชื่อว่า ภาพแห่งความรักความเข้าใจ ความทุ่มเทพยายามร่วมกันในยามยากมักจะเป็นยาวิเศษ และจะเป็นสิ่งที่ครอบครัวได้พูดถึงด้วยความตื้นตันใจในอนาคต และพลังแห่งความรักนี้แหละจะนำพาทั้งโอกาส ทั้งพละกำลังที่จะก่อร่างสร้างสมบัติขึ้นมาใหม่อย่างเป็นอัศจรรย์"

อีกมุมหนึ่งในเรื่องความรัก คือมุมทางด้านธุรกิจ ในเวลาที่ความยากลำบากมาเยือนเช่นนี้ ลูกค้า ลูกน้อง ตลอดจนซัพพลายเออร์ต่างๆ ก็มักจะต้องเผชิญกับปัญหาอันยากลำบากนี้เช่นกัน การมองเขาเหล่านั้นด้วยสายตาแห่งรักที่เข้าอกเข้าใจ การรับฟังปัญหา การพยายามช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้กันได้ จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างรากฐานแห่งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อไปในอนาคต เขาเชื่อว่า คำถามทำนองว่า ลูกค้ากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ เราจะช่วยลูกค้าเหล่านั้นแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร จะเป็นคำถามที่นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจและการสร้างความมั่งคั่งกลับมาใหม่ได้เสมอ

"เมื่อคุณมีความเชื่อที่ถูกต้อง มีความหวังที่ดี และมีความตั้งใจในการทำหน้าที่ในการงานและในครอบครัวด้วยความรัก คุณย่อมได้สร้างความมั่นคงภายในให้เกิดขึ้น มีสันติสุขตามมา รวมทั้งโอกาสแห่งการสร้างความมั่งคั่งด้วย ส่วนเรื่องการลงทุนภายนอกนั้น ก็ขอให้ยึดหลักจัดทัพลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ส่วนในการตัดสินใจลงทุนนั้นให้ยึดหลักของการมองไกลและมีความรอบคอบ อย่าปล่อยให้ความโลภและความกลัวเป็นผู้นำการตัดสินใจของเราอีกต่อไป"

ความมั่งคั่งของแต่ละคน หายไปไม่เท่ากัน เพราะความมั่งคั่งของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนมีแค่หยิบมือเดียว บางคนมีกองโต วิธีการจะทวงคืนย่อมแตกต่างกัน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าจะลงมือฟื้นฟูความมั่งคั่งของตัวเองอย่างไรดี

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/personal/20090705/57381/หลากวิธีฟื้นฟูความมั่งคั่งให้กลับคืน.html




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 2:39:14 น.
Counter : 479 Pageviews.  

"ขยายธุรกิจสู่แดนไกล ต้องใช้คนให้ถูกต้อง"

เมื่อ CEO ตัดสินใจที่จะขยายตลาดสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างความเติบโตให้ธุรกิจ นอกเหนือ จากการเลือกว่าจะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศใดแล้ว จะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการคัดสรรบุคลากรที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่ในต่างแดน เพราะว่านอกจากความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจแล้ว บุคลากรที่จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของการดำเนินธุรกิจในต่างแดนนั้น จะต้องมีคุณสมบัติมากกว่านั้น เพียงความรู้ ทักษะและความชำนาญในเรื่องของการดำเนินธุรกิจไม่เพียงพอที่จะทำให้คนๆหนึ่งสมารถปฏิบัติหน้าที่ในต่างแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับคุณสมบัติหลักที่ CEO จะต้องมองหาในตัวของบุคลากรที่จะไปดำเนินธุรกิจในต่างแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ

ความสามารถด้านการจัดการที่ทำให้เขาสามารถวางยุทธศาสตร์ในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสามารถในการเป็นผู้นำในด้านการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ที่สามารถบูรณาการบทบาทและหน้าที่ของฝ่ายต่างๆให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จิตสำนึกของการทำงานที่มุ่งสู่การสร้างผลงานที่เป็นเลิศ สร้างคุณค่า

สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน ลูกค้า พนักงาน และชุมชนในพื้นที่

คุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่มองหาในตัวบุคลากรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่จะทำงานในประเทศหรือไปทำงานต่างประเทศ แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องคัดสรรบุคลากรเพื่อไปทำงานต่างแดน จะต้องมองหาสิ่งต่อไปนี้เพิ่มเติม

ความพร้อมที่จะไปทำงานต่างแดนด้วยความสมัครใจ ไม่มีพันธะใดๆในประเทศให้เป็นความกังวลและห่วงใยที่อาจจะทำลายสมาธิในการทำงาน , มีความสำเหนียกความเป็นโลกาภิวัตน์ (Global Mindset) หมายถึงเป็นคนที่เปิดรับและเรียนรู้เรื่องราวของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ,มีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในประเทศที่จะไปดำเนินธุรกิจอย่างลึกซึ้ง (Consumer insights) มีความพร้อมที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างครบด้าน เพื่อให้สามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับบุคลากรในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

แม้ว่า CEO จะค้นพบบุคลากรที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่กล่าวข้างต้น กระบวนการในการเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมอย่างแท้จริงก็ยังเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามลำดับของความเข้มข้นดังนี้ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ (Area briefing) การฟังคำบรรยาย การอ่านหนังสือ การชมภาพยนตร์สารคดี การเรียนภาษาในชั้นเรียน การศึกษาวัฒนธรรมในรูปแบบที่เรียกว่า Sensitivity Training คือการเรียนรู้ที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่ การฝึกภาษากับเจ้าของภาษานอกห้องเรียน และการเดินทางไปเยือนพื้นที่ และการทดลองที่จะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่สักระยะหนึ่งให้มั่นใจว่าสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี
หาก CEO เลือกที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศที่น่าอยู่ น่าเที่ยว อาจจะมีบุคลากรยกมือขอไปอยู่หลายคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่สมัครใจจะไปอยู่นั้น เป็นคนที่เหมาะสมทุกคนไป ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการคัดสรรบุคลากรในการไปดำเนินธุรกิจในระดับโลกาภิวัตน์อย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจ และเมื่อคิดจะไปต่างแดนต้องทำให้บริษัทเป็น Global Company ที่แท้จริง ซึ่งการจะเป็น Global Company ที่แท้จริงจะต้องทำอย่างไรบ้าง เอาไว้คุยกันในครั้งต่อไป

By thongma
//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7005&user=thongma




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 11:26:39 น.
Counter : 2838 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.