In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

Comparative Advantage

นักกีดกันทางการค้า ส่วนหนึ่งกังวลว่า ถ้าปล่อยให้มีการค้าเสรี ประเทศมหาอำนาจซึ่งมีความสามารถในการผลิตสินค้า"ทุกอย่าง"เหนือกว่าประเทศ ด้อยพัฒนา

จะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ฝ่ายเดียว เพราะคนในประเทศด้อยพัฒนาจะซื้อสินค้าทุกอย่างจากประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาเองจะขายสินค้าอะไรไม่ได้เลย


David Ricardo เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกที่หักล้างความเชื่อนี้ได้ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ต่อให้ประเทศ A ซึ่งผลิตสินค้าทุกอย่างได้เก่งกว่าประเทศ B มีการค้าขายกัน ประเทศ B ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากการค้าขายแลกเปลี่ยนอยู่ดี เพื่อให้อธิบายง่ายขึ้นลองสมมติว่า โลกนี้มีสินค้าแค่สองอย่างเท่านั้น คือ กระป๋องกับเสื้อโหล


๐ ถ้าให้ผลิตกระป๋องอย่างเดียว ประเทศ A จะผลิตได้เดือนละ 100 กระป๋อง ในขณะที่ B ทำได้ 400 กระป๋อง


๐ ถ้าให้ผลิตเสื้อโหลอย่างเดียว ประเทศ A ผลิตได้เดือนละ 100 ตัว ในขณะที่ B ทำได้ 200 ตัว


สังเกตว่า ประเทศ B เหนือกว่า A ทุกด้าน เพราะผลิตสินค้าอย่างเดียวกันได้มากกว่าเสมอ สมมติว่าก่อนจะค้าขายกัน A เลือกผลิตกระป๋องเดือนละ 50 กระป๋องและเสื้ออีก 50 ตัว ในขณะที่ B เลือกผลิตกระป๋อง 200 กระป๋องและเสื้ออีก 100 ตัว


แต่ถ้าทั้งสองเปลี่ยนมาแบ่งงานกันทำ โดย A เลือกผลิตเสื้ออย่างเดียว 100 ตัว ส่วน B เลือกผลิตกระป๋อง 300 กระป๋องและเสื้อ 50 ตัว จากนั้น A นำเสื้อที่ผลิตได้เกิน 50 ตัว ไปแลกกับอาหารกระป๋องของ B ที่ผลิตได้เกินเช่นกัน จำนวน 75 กระป๋อง จะเห็นได้ว่า คราวนี้ทั้ง A และ B ยังได้บริโภคเสื้อเท่าเดิมอยู่ แต่จะได้บริโภคอาหารกระป๋องเพิ่มขึ้นประเทศละ 25 กระป๋องด้วย ทั้งสองประเทศจึงได้ประโยชน์จากการค้าเสรี ทั้งที่ประเทศหนึ่งเก่งกว่าอีกประเทศหนึ่งหมดทุกด้าน


เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะแม้ว่า B จะเหนือกว่า A ทุกด้าน แต่ถ้ามองต้นทุนการผลิตเสื้อในรูปของ "ค่าเสียโอกาส" ในการผลิตกระป๋อง ประเทศ B มีต้นทุนในการผลิตเสื้อสูงกว่า A เพราะในการผลิตเสื้อหนึ่งตัว A จะเสียโอกาสในการผลิตกระป๋องเพียง 1 กระป๋อง ในขณะที่ B จะเสียมากถึง 2 กระป๋อง ดังนั้น A จึงได้เปรียบ B ในการผลิตเสื้อมากกว่า (เพราะมีค่าเสียโอกาสต่ำกว่า) ทั้งที่ B ผลิตเสื้อได้เร็วกว่า A อาจกล่าวว่า A มีความสามารถในการแข่งขันเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) สูงกว่า B ทั้งที่ B มีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงที่สูงกว่า A ก็ตาม


เมื่อประเทศหนึ่งมีต้นทุนการผลิตสินค้า X ในรูปของค่าเสียโอกาสในการผลิตสินค้า Y สูงกว่าอีกประเทศหนึ่ง ในทางกลับกัน ประเทศแรกจะต้องมีต้นทุนในการผลิตสินค้า Y ในรูปของค่าเสียโอกาสในการผลิตสินค้า X ต่ำกว่าประเทศหลังด้วยเสมอ ฉะนั้นต่อให้ประเทศหนึ่งเก่งกว่าอีกประเทศหนึ่งในทุกๆ ด้าน ทั้งสองประเทศก็ยังได้รับประโยชน์จากการหันมาค้าขายระหว่างกันอยู่ดี ย่อมเป็นการดีกว่าที่ B จะเอาเวลาไปผลิตกระป๋องให้มากขึ้น แล้วหันมาซื้อเสื้อจาก A ไปบริโภคแทน


อย่างไรก็ตาม โลกในโมเดลของ Ricardo เป็นโลกที่ทุกประเทศเป็นมิตรกันอยู่ตลอดเวลา ทุกประเทศจึงสามารถพึ่งพาสินค้าและบริการจากประเทศใดก็ได้ที่ทำสิ่งนั้นๆ ได้ดีที่สุดได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีขีดจำกัด แต่ในโลกของความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดเวลา ดังนั้น สำหรับสินค้าบางอย่างที่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพของประเทศมากๆ ตัวอย่างเช่น พลังงาน แต่ละประเทศก็ควรมีการดูแลมิให้ประเทศของตนเองต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจาก ประเทศใดประเทศหนึ่งมากจนเกินไป โดยไม่มีแผนสำรองในกรณีที่เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าหากประเทศใดสามารถหาจุดสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากการค้าเสรี และการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศได้อย่างเหมาะสม ประเทศนั้นก็จะได้รับประโยชน์ไปมากที่สุด จากการที่โลกของเราเป็นโลกที่ไร้พรมแดนเฉกเช่นในปัจจุบันครับ

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0"
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/human-eco/20100907/351820/Comparative-Advantage.html




 

Create Date : 08 กันยายน 2553    
Last Update : 8 กันยายน 2553 23:26:46 น.
Counter : 2146 Pageviews.  

Jesse Livermore นักเก็งกำไรบันลือโลก

ในโลกของ Value Investor นั้น ทุกคนรู้จักและนับถือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

แต่ในโลกของนักเก็งกำไรนั้น ชื่อของ Jesse Livermore ได้ รับการยอมรับว่าเป็นตำนานของนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคียงบ่าเคียง ไหล่กับคนอย่าง Bernard Baruch และ Gerald Loeb ว่าที่จริง บางคนบอกว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ฉายาของเขาคือ "หมีใหญ่แห่งวอลล์สตรีท" เพราะเขาชอบเก็งกำไรโดยเฉพาะในช่วงตลาด "ขาลง" นั่นคือ เขาจะชอร์ตหุ้นและ/หรือสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้า ชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์นั้นน่าสนใจไม่เฉพาะแต่นักเก็งกำไร Value Investor ก็ควรจะรู้ไว้

ลิเวอร์มอร์ หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า J.L. เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน เขาเรียนจบแค่มัธยมและต้องออกมาทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี งานแรกและน่าจะเรียกว่าเป็นงานแบบเดียวในชีวิตก็คือ เป็นเด็ก "เคาะกระดานหุ้น" หลังจากนั้นเพียงปีเดียว เขาก็เริ่ม "เล่นหุ้น" แต่เนื่องจากมีเงินน้อย เขาจึงเริ่มเล่นตาม "ห้องค้าเถื่อน" ที่รับ "แทงหุ้น" โดยอิงกับราคาหุ้นบนกระดาน เขาเล่นเก่งมากและทำกำไร จนทำให้ห้องค้าเถื่อนเกือบทุกแห่ง "แบล็กลิสต์" ไม่ให้เขาเข้าเล่นในห้องค้า ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มชีวิตของนักเก็งกำไรเต็มตัว

J.L. ทำเงินจากตลาดหุ้นได้มากและ "เจ๊ง" หมดตัวถึงสองครั้งก่อนที่จะกลายเป็น "ซูเปอร์สตาร์" หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907 เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก ยิ่งหุ้นตก เขาก็ยิ่งขาย และทำให้หุ้นตกลงไปอีก การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเมื่อหุ้นตก พอร์ตเขาก็ได้กำไร ซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และเป็น "จ้าวพ่อตลาดหุ้น" ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย เพราะมิฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง "ล่มสลาย" เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมา อย่างหนัก

หลังจากเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นปี 1907 J.L. ก็ร่ำรวยและกลายเป็น "เซเลบ" เขาใช้ชีวิตหรูหราสุดๆ เขาซื้อเรือยอชท์หรูหราไว้ใช้ท่องเที่ยวและจับปลาในทะเล ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขารัก เขาจีบและแต่งงานกับผู้หญิงโดยใช้ชีวิตแบบ "เพลย์บอย" เขาคบกับคนชั้นสูงเช่น Alfred Sloan ประธานบริษัท General Motor ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น Walter Chrysler แห่งบริษัทรถยนต์ใหญ่ Chrysler และดาราตลกดังอย่าง ชาร์ลี แชปลิน เป็นต้น

วิกฤติตลาดหุ้นปี 1929 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ J.L. ทำกำไรได้มากมายจากการชอร์ตหุ้นในตลาด เขาผ่านวิกฤติมาพร้อมกับเงินนับ 100 ล้านดอลลาร์ และนี่เป็นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งชีวิตการเก็งกำไรและชีวิตส่วนตัว

ในชีวิตของการเก็งกำไรนั้น เขาเคยล้มละลายมา 2 ครั้งและสามารถฟื้นขึ้นมาได้ แต่ในครั้งนี้ เขา "หมดตัว" มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ในชีวิตส่วนตัวนั้น เขาเคยมีภรรยาหลายคน แต่ละคนใช้เงินที่เขาได้กำไรมาอย่างฟุ่มเฟือยเช่นเดียวกับตัวเขา ภรรยาคนหนึ่งมีเรื่องขนาดยิงลูกตัวเองเกือบเสียชีวิต ตัว J.L. เองนั้น เขามีปัญหาและน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เขายิงตัวตายในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1940 สิริอายุ 63 ปี

กฎและกลยุทธ์การเก็งกำไรของ J.L. นั้นสามารถสรุปอย่างย่อๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. อย่าขาดทุน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก ดังนั้นถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็จะไม่มีธุรกิจ เก็งกำไรไม่ได้ J.L. บอกว่าการซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการซื้อ 1000 หุ้น คุณควรจะเริ่มที่ 200 หุ้น ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่มอีก 200 หุ้น แล้วก็รอดูว่าขึ้นไหม ถ้าใช่ก็ซื้ออีก 200 หุ้น และถ้าขึ้นอีก คราวนี้ให้ซื้อไปอีก 400 หุ้นจนเต็ม 1000 หุ้น สรุปก็คือ ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง

2. กำหนดจุดตัดขาดทุน ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10% เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว เช่น ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100% อีกอย่างก็คือ ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด อย่าไปฝืนกระแส ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส

3. จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด และเมื่อมีโอกาสดี เราก็จะต้อง "อัด" หรือลงเงินให้เต็มที่ J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น

4. อย่ารีบทำกำไร หรือ Let Profit Run นั่นคือ ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อยๆ อย่ารีบขายเสียก่อน ตรงกันข้าม ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน หุ้นตกลงไปเร็ว อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก ต้องรีบขายทันที เขาบอกว่า "กำไรดูแลตัวมันเองได้ แต่ขาดทุนไม่เคย" อย่างไรก็ตาม การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย

5. เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด เช่น ถ้าได้กำไรมาร้อยดอลลาร์ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบงก์ 50 ดอลลาร์ อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่ ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน และนี่ก็เป็นกฎที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร ทำให้เงินที่ได้มามากๆ ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์ แบบย่อที่สุด ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น ชื่อของเขาดูเหมือนจะร้อนแรงและเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอแม้ว่าโดยธรรมชาติ ของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่เก็บตัวและทำตัวลึกลับ

การใช้ชีวิตและแนวความคิดในการลงทุนของ J.L. นั้น Value Investor หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยและไม่เชื่อว่ามันเป็นหลักการที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การศึกษาทำความเข้าใจนั้น ผมคิดว่ามีประโยชน์ไม่น้อย เหนือสิ่งอื่นใด VI กับนักเก็งกำไรนั้น ต่างก็เล่นอยู่ในตลาดเดียวกัน บางครั้งก็เล่นหุ้นตัวเดียวกัน เส้นแบ่งระหว่างนักเก็งกำไรกับ VI นั้น บางทีก็บางมากจนในบางครั้งเราก็อาจจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น เราเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/nives/20100907/351676/Jesse-Livermore-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81.html




 

Create Date : 07 กันยายน 2553    
Last Update : 7 กันยายน 2553 20:28:48 น.
Counter : 703 Pageviews.  

คนเกษียณ...อย่าให้เงินเกษียณ(ตอนที่1)

ต่อให้เราเกษียณอายุแล้ว ก็อย่าปล่อยให้เงินของเราเกษียณอายุตามไปด้วย เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตหลังเกษียณคงจะไม่สบายๆ อย่างที่คิดก็ได้....

เดือนนี้น่าจะเป็นเดือนสุดท้ายสำหรับ “ชีวิตมนุษย์เงินเดือน” ของใครหลายคน จบชีวิตทำงานที่แสนจะยาวนาน ได้ไปพักผ่อนนอนเล่นสบายๆ แถมยังมี “เงินก้อนโต” ที่ได้มาจากการเก็บออมมาตลอดชีวิตการทำงานเอาไว้ใช้จ่ายสบายๆ อีกต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นเงินสมทบที่ได้จากการร่วมมือกันเก็บออมของทั้งตัวเราและนาย จ้าง สำหรับพนักงานบริษัทเอกชน และหากเป็นข้าราชการก็จะมีเงินออมในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เงินกองทุนประกันสังคม รวมทั้งเงินที่อยู่ในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือจะเป็นเงินจากประกันชีวิตที่ครบกำหนดสัญญา

แต่อย่าดีใจจนลืมไปว่า เงินก้อนนี้เป็น “เงินก้อนสุดท้าย” ที่ต้องเก็บเอาไว้กินไว้ใช้ไปอีก 20-30 ปี และในเวลาที่ดอกเบี้ยไม่ฟู่ฟ่าแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้เงินก้อนนี้พอกินพอใช้ไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะคนที่เตรียมตัวมาไม่ดีนักสำหรับชีวิตหลังเกษียณ

“การบริหารเงินหลังเกษียณถือเป็นความท้าทาย เพราะในวันที่เกษียณไม่ใช่เป็นวันสุดท้ายของการลงทุน แต่เป็นวันเริ่มต้นของการบริหารเงินที่เก็บมาตลอดชีวิตให้พอใช้ ดังนั้นอย่ามัวแต่หาความสุขอย่างเต็มที่ตอนได้รับเงินก้อน เพราะเงินก้อนนั้น ต้องใช้ให้พอเพียงตลอดชีวิต”อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย แนะนำ

เพราะฉะนั้น ต่อให้เราเกษียณอายุแล้ว ก็อย่าปล่อยให้เงินของเราเกษียณอายุตามไปด้วย เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตหลังเกษียณคงจะไม่สบายๆ อย่างที่คิดก็ได้

ทำไม...เงินห้ามเกษียณ

ถ้าเป็นคนที่เกษียณอายุมาพร้อมเงินก้อนโตมากๆ อาจจะคิดว่าไม่เห็นต้องไปบริหารอะไรให้มากมาย เพราะแค่เงินก้อนโตที่มีอยู่ก็คงจะพอใช้ไปได้ตลอดชีวิตแล้ว แต่อย่าชะล่าใจ เพราะเงินก้อนโตวันนี้มันจะเหลือนิดเดียวในอีก 20-30 ปีข้างหน้า เพราะเงินก้อนที่นอนนิ่งๆ จะไม่มีเรี่ยวแรงไปสู้กับ “เงินเฟ้อ”

ถ้ามีเงินก้อนตอนเกษียณ 5 ล้านบาท คาดว่าจะมีอายุยืนยาวไปจนถึงอายุ 90 ปี เท่ากับว่าเงินก้อนนี้จะต้องพอใช้ไปอีก 30 ปี ซึ่งหากใช้เงินเดือนละ 1.2 หมื่นบาท คิดแบบตรงไปตรงมาก็พอกินพอใช้ แถมยังเหลือเฟืออีกต่างหาก เพราะเบ็ดเสร็จจะใช้เงินไปแค่ 4.3 ล้านบาทเท่านั้น

แต่ชีวิตไม่ได้เป็นเส้นตรงแบบนั้นโดยเฉพาะชีวิตที่มีเงินเฟ้อเข้ามาเป็น ศัตรูตัวร้าย เพราะเงิน 1.2 หมื่นบาทต่อเดือน ที่เราคิดว่ามากเกินพอ แต่ในวันหนึ่งข้างหน้ามูลค่าของเงินก้อนนี้จะเหลือไม่ถึงครึ่ง

หากจะพิจารณาอัตราเงินเฟ้อ ก็จะเห็นว่าเงินจำนวน 5 หมื่นบาท ในวันนี้ จะเหลือแค่ 23,880 บาท ในอีก 25 ปีข้างหน้า ถ้าเงินเฟ้ออยู่ในอัตรา 3% ต่อปี แต่ถ้าแย่กว่านั้น เงินเฟ้อขึ้นไปถึง 4% เงิน 5 หมื่นบาท ในวันนี้จะเหลือแค่ 18,756 บาทเท่านั้น

นึกออกหรือยังว่าถ้าเราปล่อยให้เงินก้อนที่ได้มาตอนเกษียณอายุ เกษียณอายุตามเราไปด้วย เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

นอกจากนี้ ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดมากขึ้น นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสุขภาพที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ยิ่งอายุมากโรคภัยยิ่งถามหา และค่ารักษาพยาบาลไม่ใช่แค่บาทสองบาท (เว้นแต่จะไปเข้าคิวรอรับสวัสดิการจากภาครัฐ)

“พอเราอายุมากขึ้นอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องคิดถึงอีกมาก เช่น จากบ้านสองชั้นอาจจะต้องปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต ต้องย้ายห้องนอนลงมาอยู่ชั้นล่าง หรือจากที่เคยขับรถเองก็ขับไม่ไหว อาจจะต้องจ้างคนขับรถ ซึ่งเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนทั้ง นั้น” ธีระ ภู่ตระกูล ผู้ก่อตั้ง JT Financial Planners แนะนำ

ทำอย่างไร...เงินไม่เกษียณ

ไม่ให้เงินเกษียณก็ต้องให้เงินทำงาน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน และไม่ทำให้เงินต้นหดหายไปก่อนจะถึงวันสุดท้ายของเรา แต่ลักษณะงานและวิธีการทำงานของเงินจะเป็นอย่างไร คงต้องอดใจไว้สัปดาห์หน้า

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์
//www.posttoday.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/money-tips/48043/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%881




 

Create Date : 05 กันยายน 2553    
Last Update : 5 กันยายน 2553 23:57:17 น.
Counter : 548 Pageviews.  

ใกล้หมดยุคขาขึ้นของทองจริงหรือ

ข้อมูลคุณอัครพล -ผมไม่เข้าใจเรื่องตัวแปรเวลาที่ราคาทองคำปรับขึ้น เรื่องสงครามและความตกต่ำของเศรษฐกิจยุโรป

ผมเข้าใจ แต่เรื่องน้ำมัน กับเรื่องค่าเงิน ผมไม่เข้าใจว่ามีส่วนยังไง ที่ทำให้ราคาทองขึ้นครับ และจริงหรือที่ว่าทองใกล้จะหมดยุคขาขึ้นแล้ว

ความเห็น บลจ.บัวหลวง
ปัจจุบันการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะทองคำ ได้รับการยอมรับในคุณประโยชน์ของตัวเอง เช่น ความเป็นโลหะมีค่าในตัวเอง มีมาตรฐานกลาง เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม และที่มาแรงที่สุดคือเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุน ถูกใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ มากขึ้นทดแทนเงินดอลลาร์ และเงินยูโร ทองคำจึงเป็นที่ต้องการและมีการลงทุนในช่องทางหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อทองคำแท่งโดยตรง ซื้อกองทุนทองคำ หรือซื้อสัญญาอนุพันธ์ที่อ้างอิงราคาทองคำ (Gold Futures) ซึ่งผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นของการลงทุนทั้งหมดจะอิงกับราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น เนื่องจากทองคำ ไม่เหมือนหุ้นบริษัท ไม่มีการบริหารงานให้งอกเงย ดังนั้นการลงทุนให้ได้กำไรหรือขาดทุน ผู้ลงทุนจะต้องเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำก่อนครับ ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาทองคำ ได้แก่

1) ค่าเงินดอลลาร์ หากปัจจัยอื่นคงที่ โดยทั่วไปราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลง เพราะการซื้อทองคำ เป็นการป้องกันความเสี่ยงมูลค่าของเงินดอลลาร์ เนื่องจาก ค่าเงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่าง สกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์ มีสัญญาณอ่อนค่าลง ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ถือครองเงินดอลลาร์มักจะกระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น เงินสกุลอื่นๆ รวมถึงทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วย

2) ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ หากปัจจัยอื่นคงที่ โดยทั่วไปราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เพราะทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อที่มีประสิทธิภาพ โดยเราจะสังเกตทิศทางอัตราเงินเฟ้อได้จากทิศทางราคาพลังงาน (น้ำมัน) และราคาอาหารต่างๆ เพราะเป็นปัจจัยมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อโดยตรง

3) ความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศ และระบบการเงิน ราคาทองคำ มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนสูงในระบบการเงินโลก เนื่องจากในระหว่างช่วงที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น การขายสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มาถือครองทองคำแทนจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะผู้ลงทุนมักจะป้องกันความเสี่ยงที่สินทรัพย์อื่นจะมีราคาตลาดลดลงด้วยการย้ายมาถือครองทองคำ จะมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเหตุการณ์แต่ละครั้ง

4) อุปสงค์และอุปทานในตลาด หากปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีผู้ต้องการซื้อทองคำในปริมาณที่มากกว่าปริมาณทองคำที่มีในตลาด (Demand มากกว่า Supply)

ทั้งนี้ อุปสงค์ (Demand) คือความต้องการใช้ทองคำ นั้นส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคเครื่องประดับ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ กับ ภาคการลงทุน (ภาคการลงทุนมีความต้องการทองคำ เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ช่วงที่มี Credit Crisis ซึ่งมีสาเหตุมาจากข้อ 3) ข้างต้น รวมถึงการที่ภาครัฐของประเทศต่างๆ มีการนำทุนสำรองไปซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เช่น จีน อินเดีย ที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นต้น

ส่วน อุปทาน (Supply) คือความต้องการขายทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผลผลิตทองคำจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ และ ปริมาณทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ
5) ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ราคาทองคำในประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลง เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตทองคำได้เอง จึงต้องนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งตลาดทองคำ โดยทั่วไปมักจะใช้เงินสกุลดอลลาร์ เป็นสกุลเงินอ้างอิงในการซื้อขาย ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและเงินดอลลาร์ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในประเทศไทย

“บทความนี้ เป็นคำแนะนำตามหลักการลงทุนทั่วไปและอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่ได้รับเท่านั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนในสัดส่วนดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และผู้ลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินโดยละเอียดอีกครั้ง ก่อนการลงทุนจริง”

โดย : เสกสรร โตวิวัฒน์
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/fund/20100905/351363/%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD.html




 

Create Date : 05 กันยายน 2553    
Last Update : 5 กันยายน 2553 23:55:52 น.
Counter : 526 Pageviews.  

หาทางให้เงินสร้างความมั่งคั่ง

“มั่งคั่ง” เราคงได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ ในช่วงระยะ 2-3 ปี ที่ผ่านมา

ด้วยวิวัฒนาการของโลกการเงินและกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้มีเครื่องมือทางการเงินมากมายหลากหลายชนิด มาสร้างความมั่งคั่งให้กับมนุษย์เราขึ้นอยู่ว่าใครจะรู้จักมันดีแค่ไหน เข้าใจมันมากน้อยอย่างไร และรู้จักใช้มันสร้างความมั่งคั่งให้ได้อย่างไร

ในจำนวนเงินที่เท่ากัน บางคนก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ดี บางคนก็ไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการจะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้จะต้องมีเงินเป็นจำนวนมาก จริงๆ แล้วไม่จำเป็นเลย เราสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ทุกจำนวนเงิน เงินน้อยก็ค่อยสร้างความมั่งคั่งทีละเล็กทีละน้อย เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เงินจำนวนมากก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับตัวเอง และทุกๆ เครื่องมือทางการเงินที่เราเลือกใช้ เราควรต้องรู้จักและเข้าใจมันพอสมควรที่เดียว ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกใช้ อย่าตัดสินใจเลือกใช้ตามกระแส หรือ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ก่อนจะอนุญาตให้เงินไปสร้างความมั่งคั่ง ก็ควรต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินใช้ให้ดีเพียงพอ และเพื่อวิเคราะห์เบื้องต้นก่อน เพื่อความไม่ประมาท

Oเราต้องรู้ว่าเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้ถูกจัดสรรเพื่อรองรับความจำเป็นต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่เรียบร้อยแล้วหรือยัง หลังจากนั้นดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไร ที่เราเก็บอยู่ในเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น บัญชีเงินฝาก ทำประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ

Oเป้าหมายข้างหน้าระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวของเราเป็นอย่างไร อยากได้เงินเท่าไร เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ เช่น อีก 6 เดือน ข้างหน้าจะซื้อบ้านต้องใช้เงินดาวน์ 100,000 บาท หรือ หลังเกษียณอยากมีเงินใช้เดือนละ 30,000 บาท คิดว่าหลังเกษียณแล้วจะอยู่อีก 20 ปี เพราะฉะนั้นต้องเก็บเงินให้ได้ 7.2 ล้านบาท อยากได้ภายในระยะเวลากี่ปี ก็ต้องกำหนดให้ชัดเจน

Oหลังจากนั้นก็มาดูพอร์ตของตัวเองว่าปัจจุบัน เงินอยู่ในเครื่องมืออะไรบ้าง เช่น ในรูปเงินฝากเท่าไร ประกันชีวิตเท่าไร กองทุนรวม หุ้นกู้ พันธบัตร หุ้นสามัญ หรือ ทองคำเท่าไร ฯลฯ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในแต่ละชนิดของเครื่องมือทางการเงินที่เราเลือกใช้ อยู่ และถ้าทำอย่างนี้ต่อไป จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ หากไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินหรือระยะเวลาก็ดี เราควรต้องปรับพอร์ตไหมหรือพิจารณาลดรายจ่ายในการดำรงชีพในข้อแรกลงด้วย ควรใช้เครื่องมือทางการเงินอะไรมาช่วย และเรายอมรับความเสี่ยงในการใช้เครื่องมือนั้นได้มากน้อยอย่างไร หากมีการสูญเสียเงินที่ลงทุนไปเรายังสามารถดำรงชีพอยู่ได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม “ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็ย่อมสูง” ด้วย เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะเลือกใช้เครื่องมืออย่างไรให้เหมาะกับตัวเรา เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง เพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้ เราจะพึงเครื่องมือทางการเงินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว น่าจะไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่งคั่งให้เราได้ และอาจเป็นการเสียโอกาสในการใช้เงินทำงาน

โดย : พจณี คงคาลัย
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20100905/351358/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87.html




 

Create Date : 05 กันยายน 2553    
Last Update : 5 กันยายน 2553 23:54:58 น.
Counter : 592 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.