In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

สิบหลุมพรางสะกัดกั้นความก้าวหน้า (1)

คนทำงานในยุค สมัยนี้ช่างโชคดีเสียจริง หากโปรไฟล์ดีก็มีคนเพียรโทรมาจีบสายแทบไหม้ เชื้อเชิญให้ไปร่วมงาน ครั้นปลงใจทำงานที่ไหนสักแห่งองค์กรก็ยังเพียรสรรหาสารพันโปรแกรมที่จะมาเอาอกเอาใจให้อยู่คู่กันไปนานๆ


การเติบโตเลื่อนตำแหน่งก็มิต้องอาศัยการอดทนรอคอยไปจนแก่เฒ่า เพราะองค์กรชั้นนำ ไม่เกี่ยงขนาดหรืออุตสาหกรรม ต่างพร้อมใจกันเมินปัจจัยเรื่องอายุตัว ที่เคยเป็นหลักเกณฑ์หลักแต่เก่าก่อนอย่างไม่เหลือเยื่อใย
จึงพบได้ว่า ผู้บริหารรุ่นใหม่ ทั้งในระดับต้น กลาง หรือสูง ต่างมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า โลกการทำงานใน 10 ปีที่แล้วมาราว 5 ปี ด้วยความจำเป็นทางธุรกิจที่คาดคั้นให้คนทำงานต้องโตไวให้ทันโลกหมุนเร็ว


ยิ่งกับคนที่ทำงานดีมีผลงานฉูดฉาด ทั้งเปล่งประกายศักยภาพ แถมมีคุณลักษณะต้องตามวัฒนธรรมองค์กรที่ปรารถนา มิพักสงสัยเลยว่า จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจนชื่นมื่นเพียงไร การเลื่อนตำแหน่งสองครั้งในหนึ่งปีถือเป็นสามัญปกติ ไม่ได้น่าประหลาดใจ


แต่ก็ใช่ว่าคนทำงานจะโชคดีเช่นนั้น ไปเสียทั่วกันไม่ กฎธรรมชาติของการเป็นผู้ถูกเลือก ผู้อยู่รอด และผู้ที่อยู่ล้าหลังยังคง ไม่เว้นแม้แต่ในโลกของการบริหารคนและองค์กร คนทำงานไม่น้อยเชื่อว่าตนเป็นหนึ่งในตองอู เจนจัดทั้งความรู้ประสบการณ์ ทั้งทุ่มเททำงานเต็มความสามารถ แต่เมื่อถึงคราวประกาศเลื่อนตำแหน่งเมื่อใด ต้องเป็นผู้แสดงความยินดีกับเขาอยู่ร่ำไป ไม่เห็นวี่แววจะถึงวันของตนเสียที ทำได้แต่ท้อแท้ถอดใจอยู่เงียบๆ


อย่ากระนั้นเลยค่ะ ดิฉันขอแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการเติบโตก้าวหน้าซึ่งไม่ได้แบนแป้นเป็นมิติ เดียว หากมีหลากเหลี่ยมมุมที่ควรมองให้ขาด จึงจะกระโจนเข้าไปได้อย่างทันเกมส์ จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาองค์กรและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดิฉันพบว่า คนทำงานที่ไม่ใคร่สมหวังดังใจเรื่องความก้าวหน้านั้น ตกหลุมพรางของตนอยู่อย่างไม่รู้เท่าทันตน เท่าที่รวบรวมมานับว่าเป็นประเด็นคลาสสิคอยู่เหนือกาลเวลา ทั้งทรงพลานุภาพสะกัดการเติบโตได้ชะงัดนัก


ขาดมุมมองภาพใหญ่และการเชื่อมโยง คนทำงานที่มุมานะทำงานตนอย่างไม่บกพร่องด่างพร้อย แต่ไม่ถอยออกมามองว่างานตนนั้นส่งผลต่อความสำเร็จล้มเหลวขององค์กรเช่นไร ละเลยการให้ความร่วมมือเมื่อรับไม้และส่งต่อด้านข้างในระนาบเดียวกัน นึกถึงแต่ผลงานของหน่วยงาน หรือของตน จนลืมเป้าประสงค์ ทิศทาง จุดมุ่งเน้นและความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขององค์กร เมื่อถึงคราต้องถูกเลือกยากนักจะชนะ หากเปรียบมวยกับผู้ที่ทำงานระดับเดียวกัน แต่ติดตาม คำนึง และปรับตัวยืดหยุ่นเพื่อตอบเป้าประสงค์ขององค์กรในภาพใหญ่


ขาดจุดเด่น หากเปรียบคนทำงานดังผลิตภัณฑ์ คุณลักษณะ จุดแข็ง จุดขาย จุดแตกต่าง คงเหมือนคล้ายกับฉลากที่บอกอธิบายขายตัวเรา หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูไปคล้ายดี แต่ไม่มีความโดดเด่นจากกลุ่มคน ก็ย่อมถูกมองข้ามเป็นธรรมดา เมื่อคนทำงานคนอื่นเตะตากว่า ด้วยภาวะผู้นำ ความรู้ ทักษะ บุคลิกภาพ ผลงานทัศนคติ และจินตนาการที่เฉียบคมจนอดมองซ้ำไม่ได้ ยิ่งกับองค์กรใหญ่ที่มีคนทำงานในระดับตำแหน่งเดียวกันนับสิบนับร้อย หากกล่าวไม่มีจุดแข็งให้เป็นที่โจษจันต์ การจะเลื่อนขั้นไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ ดูจะจะเป็นความฝันต่อไป


คราวหน้าดิฉันจะชวนคุยต่อถึงหลุมพรางอีกแปดประการ ที่คนทำงานตกบ่อยแถมยังพรางใจไม่ให้รู้เท่าทันเสียด้วยค่ะ

เสาวคนธ์ ศิรกิดากร
ค.คน
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/saowakon/20101224/369086/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%281%29.html




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 23:41:42 น.
Counter : 627 Pageviews.  

เซียนหุ้นหน้าหยก 'กิติชัย เตชะงามเลิศ' พอร์ตหุ้น 400 ลบ.

หนุ่มหน้าหยกพกความ กล้าเดินเข้าไปขอซื้อหุ้น NINE จาก'ธนะชัย สันติชัยกูล' ซีอีโอเครือเนชั่น 3 ล้านหุ้น พร้อมแนะนำตัวในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ NBCอันดับ 4 หนุ่ม 'โนเนม' รายนี้เป็นใคร ที่แน่ๆ...เขาไม่ธรรมดา

แม้เขาจะกลับมามือเปล่าไม่ได้หุ้น NINE ติดมือจาก ธนะชัย สันติชัยกูล ซีอีโอเครือเนชั่นแม้แต่หุ้นเดียว เพราะไม่มีหุ้นจะขายให้พนักงานเครือเนชั่นยังได้รับสิทธิจองซื้อหุ้น NINE น้อยนิดคนละ 1,000 หุ้น (2,400 บาท) แต่หนุ่มโนเนมรายนี้ก็เป็นที่สนใจขึ้นมาทันใด

"กิ๊ด" กิติชัย เตชะงามเลิศ หนุ่มใหญ่วัยขึ้นเลข 40 ปี แต่หน้าละอ่อนราวกับ "หยก" เขามักปฏิเสธที่จะบอกอายุจริงเพราะขี้เกียจอธิบายว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงหน้า เด็กกว่าอายุ ไม่เพียงไม่เป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนทั่วไปเขายังไม่เป็นที่รู้จักของนัก เล่นหุ้นในวงการ ทั้งที่มีฝีไม้ลายมือระดับ "เซียน"

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดกับเซียนหุ้นหน้าหยกบนคอนโดหรูส่วนตัวขนาด 194 ตารางเมตร ย่านใจกลางกรุงเทพมหานครบริเวณจุดตัดรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอส ซึ่งเขาบอกว่าทำเลตรงนี้คือ The Best Location ของประเทศไทย กิติชัยไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนักชอบนั่งเล่นหุ้นคนเดียวในคอนโดขนาด 2 ห้องนอนที่ดัดแปลงหนึ่งห้องเป็นห้องทำงาน เหตุนี้เขาจึงแทบจะไม่มีเพื่อนพ้องในวงการ แต่ถ้าวัดระดับความใหญ่ของพอร์ตแล้วพูดได้คำเดียวว่า "ไม่ธรรมดา"

กิติชัยเริ่มเล่นหุ้นจากเงินก้อนเล็กและเติบใหญ่จนปัจจุบันมีพอร์ตหุ้น กว่า 400 ล้านบาท ขณะที่อีกขาหนึ่งเขาเป็น "นักเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์" ตัวยงที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต้องส่งเทียบเชิญไปงานเปิดตัว คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันเขามีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การครอบครองมูลค่ากว่า "ร้อยล้านบาท" ทั้งให้เช่า และซื้อเก็บไว้เก็งกำไร

ประวัติชีวิต "กิ๊ด" เด็กหนุ่มแซ่แต้ ชีวิตผกผันยิ่งกว่านิยาย ธุรกิจที่บ้านเริ่มต้นทำโรงงานทอผ้า โรงงานเสื้อยืด และค้าส่งเสื้อผ้าอยู่ย่านปทุมวัน ชีวิตวัยเด็กจัดว่ามีอันจะกิน แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คืบคลานเข้ามาและเปลี่ยนทุก สิ่งทุกอย่างไปในชั่วข้ามคืน

"ตอนผมอายุ 12 ปี ที่บ้านเกิดไฟไหม้โรงงานเสื้อยืดไหม้ทั้งที่พักและที่ค้าส่งเสื้อผ้า คุณพ่อกับคุณแม่ของผมเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้น มีผม พี่ชายและน้องสาว เรา 3 คนที่รอดชีวิต ไฟไหม้ตั้งแต่เช้ามืดช่วงตี 5 ตอนนั้นทุกคนยังเด็กกันอยู่ไม่มีใครสามารถที่จะรันธุรกิจต่อได้ ในที่สุดโรงงานทอผ้าที่ไฟไม่ไหม้ก็ขายกิจการให้กับหุ้นส่วนของพ่อไป เหลือแต่ธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าที่ยังพอทำได้ เพราะตั้งแต่เล็กๆ ก็ช่วยพ่อแม่ค้าขายอยู่แล้ว"

เซียนหุ้นรายนี้ต้องลาออกจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ ขณะเรียนอยู่ชั้น ม. 1 เพื่อมาช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้า ชีวิตต้องช่วยเหลือตัวเอง คิดเอง และตัดสินใจเองมาตั้งแต่อายุ 12 ปี ช่วงนั้นเขาจึงไปเรียนกวดวิชาตอนกลางคืนแล้วมาสอบเทียบ ม.ปลาย

"ตอนแรกไปสอบเอ็นทรานซ์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนสอบผมติดคณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ด้วยซ้ำแต่ไม่ได้เลือกไว้ เพราะไม่มีใครแนะแนว ปีนั้นรุ่นพี่เอ็นดูผมมากเพราะเป็นคนเดียวในคณะที่เลือกคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ อันดับ 1 และผมก็สอบได้อันดับที่ 1 ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ในปีนั้นด้วย"

แต่เข้าไปเรียนที่จุฬาฯได้แค่เทอมเดียวต้องลาออก เพราะต้องเรียนเต็มเวลาทำให้ไม่มีเวลาทำงานหาเงินช่วยทางบ้าน ตอนนั้นพี่ชายทำคนเดียวไม่ไหวก็เริ่มบ่น ในที่สุดเขาก็ไปลงเรียนที่รามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ เอกวิชาการเงินการธนาคาร ใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปีครึ่งแถมได้ทุนเรียนฟรี 2 เทอมเพราะเรียนดี

ชีวิตเด็กหนุ่มแซ่แต้ที่ขาดทั้งพ่อและแม่ไม่หยุดขวนขวายพอจบปริญญาตรีที่ รามฯ ก็มาสอบเรียนต่อปริญญาโท MBA ที่จุฬาฯ ปีนั้นเขาสอบติดทั้งหมด 3 มหาวิทยาลัย จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และนิด้า

"ผมสอบติดทั้ง 3 ที่เลย แต่สอบตกสัมภาษณ์ที่ธรรมศาสตร์ แต่ผ่านที่นิด้า กับจุฬาฯ ผมก็เรียน MBA พร้อมกัน 2 ที่เลย แต่เรียนไปได้แค่เทอมเดียวไม่ไหว มันเหนื่อย เรียนด้วยช่วยพี่ชายดูร้านด้วย สุดท้ายก็ตัดที่นิด้าทิ้งเพราะเดินทางไกลเลือกเรียน MBA ที่จุฬาฯ ที่เดียวใกล้บ้าน (ที่ปทุมวัน) ที่สุด ช่วงที่เรียนหนังสือผมก็เริ่มเล่นหุ้นแล้ว ถึงตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว ถ้าจำไม่ผิดเริ่มเล่นหุ้นประมาณปี 2534-2535 แถวๆ นั้น"

ก่อนจะเข้าสู่ภาคของ "หุ้น" กิติชัยพาวกเข้าสู่เรื่องราวชีวิตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อน ช่วงที่เรียนหนังสือเขาก็ต้องแบ่งเวลามาช่วยพี่ชายขายส่งเสื้อผ้าด้วยแต่พัก หลังธุรกิจเริ่มซบเซา สมัยก่อนค้าขายดีเพราะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวรัสเซีย และตะวันออกกลางมาซื้อของที่ร้านไปขาย แต่พักหลังคนกลุ่มนี้ก็หายหน้าไปเลย จากการสอบถามได้ข้อมูลว่าชาวต่างชาติกลุ่มนี้ไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองจีนแทน แล้วแถวบ้านยังมีคนเอาสินค้าจีนมาขายตัดราคาอีก

"ผมก็คุยกับพี่ชายว่าผมไม่ทำแล้วนะ เพราะมองว่ามันเป็น "ซันเซ็ท" (ธุรกิจตะวันตกดิน) อีกอย่างตรงแถวปทุมวันที่ผมขายส่งเสื้อผ้า ก็มีคนมาสร้างเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่มีร้านค้ามาเปิดขายแข่งจำนวนมาก ดูแล้วไม่มีอนาคต เพราะเค้กก้อนเล็กลงแต่มีคนถือมีดบังตอมาขอหั่นมากขึ้น"

เขาวิเคราะห์ว่า หนึ่ง. ธุรกิจนี้หมดเวลาทำเงินแล้ว สอง. เค้กมันเล็กลงด้วย ตอนไปบอกว่าจะเลิกพี่ชายก็ถามว่าแล้วจะทำมาหากินอะไรกัน ก็บอกพี่ชายไปว่า "ไม่รู้" รู้แต่ว่าทำไปก็ไม่รุ่ง ไม่รู้จะทำต่อไปทำไม ช่วงที่ขายดียอดขายเยอะพอสมควรเป็น "หลักล้านบาท" ต่อเดือน แต่มาร์จินต่ำ กำไรไม่ได้เยอะ

"ตอนนั้นผมมีความคิดว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน มันเสียโอกาสเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้เงินเยอะกว่าดีกว่า ช่วงที่เลิกค้าส่งเสื้อผ้าเมื่อประมาณ 10-11 ปีที่แล้วก็มีกำไรจากหุ้นสะสมไว้พอสมควรแล้ว ระหว่างนั้นก็บอกพี่ชายว่าจะมาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ พี่ชายก็เสนอว่าขายตึกแถวไปครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งก็เก็บไว้ดีกว่า ผมก็บอกว่าถ้างั้นทำคนเดียวผมไม่ทำแล้ว พี่ชายก็บอกว่าถ้าผมไม่ทำเขาก็เลิกทำ ช่วงนั้นน้องสาวก็แต่งงานออกไป"

หลังจากนั้นก็เริ่มเข้ามาสู่ธุรกิจ (เก็งกำไร) อสังหาริมทรัพย์ เริ่มจากเพื่อนชวนไปนั่งประมูลทรัพย์สินของกรมบังคับคดี สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วยังมีคนเข้าประมูลไม่มาก ราคาประมูล จึง "ถูกมาก" จนเห็นโอกาสเต็มไปหมด

"ถึงผมจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็ยังรู้สึกได้เลยว่า "มันถูกมาก" ชิ้นแรกที่ประมูลได้ราคา 1.3 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวอายุกว่า 10 ปี อยู่แถวถนนพัฒนาการ ผมขายไปได้ที่ราคา 1.8 ล้านบาท กำไร 5 แสนบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนโดยไปลงประกาศขายในอินเทอร์เน็ต ผมก็มองว่าธุรกิจซื้อมาขายไปอย่างนี้ดีกว่าค้าขายเสื้อผ้าตั้งเยอะ เพราะค้าส่งเสื้อผ้ากว่าจะได้กำไร 5 แสนบาทมันเหนื่อยมาก ผมก็พุ่งเป้ามาที่ธุรกิจนี้เลย"

ต่อมาเห็นข่าวบริษัทฮาริสัน เปิดประมูลที่ดินในสนามกอล์ฟวินด์มิลล์ย่านถนนบางนา-ตราด ก็ไปประมูลมาได้ 5 แปลง แปลงละ 300-400 ตารางวา ราคาแปลงละ 7-8 ล้านบาท หรือตารางวาละ 18,000-19,000 บาท กิติชัยมองว่าราคานี้ถูกมากแม้แต่เจ้าของซีพีก็ยังอยู่ในหมู่บ้านนั้น

"ผมขายไป 4 แปลง ยังเก็บไว้ 1 แปลง บางแปลงที่ขายกำไรน้อย บางแปลงก็กำไรเยอะ แปลงที่ขายได้ราคาแพงสุดตารางวาละ 30,000 บาท ถือไว้ 3-4 ปี แต่ระหว่างนั้นก็เข้าประมูลบ้านของกรมบังคับคดีขายมาเรื่อยๆ ผมชวนพี่ชายมาทำธุรกิจนี้เต็มตัว โดยแบ่งหน้าที่กันว่าให้พี่ชายดูแลบ้านเก่าและคอนโดมิเนียมเก่า ส่วนผมรับผิดชอบเฉพาะคอนโดมิเนียมใหม่"

เขาเล่าว่าก่อนประมูลก็ต้องไปดูทรัพย์สินก่อน ไปดูสภาพแวดล้อม และเช็คราคาบ้านที่ขายบริเวณใกล้เคียง สมัยก่อนกรมบังคับคดีทำแผนที่หยาบมากกว่าจะหาบ้านที่ประมูลเจอวนหาแล้วไม่ รู้กี่รอบ หน้าที่ของกิติชัยจะไปจองพวกคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ราคาไหนที่สมเหตุสมผลดูแล้วขายต่อ มีกำไรก็จะจองครั้งละหลายยูนิต ส่วนใหญ่ก็จะขายตอนที่คอนโดสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็มีบางเคสที่ขายใบจองก็มี เขาเล่ารายละเอียดบางโครงการถือใบจอง 20 กว่าวัน ทำกำไรมากกว่า 10 เท่าตัวก็เคยมาแล้ว แต่ขอร้องไม่ให้ลงตีพิมพ์

กิติชัยบอกว่า จริงๆ แล้ว โอกาสมันมีเสมอเพียงแต่ว่าคุณเห็นโอกาสนั้นรึเปล่า นอกจากเก็งกำไรซื้อมาขายไปแล้ว ยังมีให้เช่าด้วย บ้านบางหลังประมูลได้แล้วเจ้าของเดิมไม่ย้ายออกก็ต้องให้เขาเช่า ที่ประมูลมามี 3-4 เคสที่ต้องฟ้องให้เจ้าของเดิมย้ายออกเพราะไม่ยอมออกและไม่ยอมจ่ายค่าเช่า ตรงนี้ก็เป็นจุดอ่อนของการประมูลบ้านเก่า

ปัจจุบันธุรกิจนี้หากินยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว สมัยก่อนทรัพย์สินของกรมบังคับคดีเขาบอกว่าเป็น "บลู โอเชี่ยน" การที่คนเข้าประมูลไม่เยอะราคาก็ไม่แข่งขันกันมาก จึงได้ทรัพย์สินราคาถูก

"ปัจจุบันผมเรียกว่ามันเป็น "เรด โอเชี่ยน" คนรู้จักที่จะไปประมูลมากขึ้นจนราคาเดี๋ยวนี้ไม่ถูกแล้ว เวลาไปประมูลจะวางมัดจำ 50,000 บาท เดี๋ยวนี้มีคนบางกลุ่มพอประมูลได้ก็เอาทรัพย์ไปเร่ขาย เพราะกรมบังคับคดีให้เวลา 3 เดือนในการโอน ภายใน 3 เดือนถ้าเขาขายไม่ได้เขายอมทิ้งเงิน 50,000 บาท เขาคิดว่าถ้าฟลุคบางชิ้นกำไร 4-5 แสนบาท กลุ่มนี้จะสู้ทุกราคาเพื่อให้ได้ทรัพย์มาก็เหมือนกับการปั่นราคา ปัจจุบันนี้ไม่ถูกแล้ว"

หลักการวิเคราะห์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กิติชัยใช้ประสบการณ์เป็นหลักไม่เคยศึกษามาก่อน แต่เขารู้ว่าในย่านนี้ถ้าเป็นทาวน์เฮ้าส์ 21 ตารางวา บ้านเดี่ยว 60 ตารางวา หรือคอนโดเก่าในย่านนี้ ราคาควรอยู่ที่เท่าไร

"ผมจะใช้วิธีเลียบๆ เคียงๆ สอบถามราคาแถวนั้นที่ติดประกาศขายเราก็จะรู้ "ราคาตลาด" ในย่านนั้น แล้วก็รู้ว่าจะประมูลราคาเท่าไร สู้ได้เต็มแค่ไหน ส่วนวิธีการต่อยอดทำให้ทรัพย์สินมีราคาสูงขึ้นจะมีช่าง 2-3 ทีม เข้าไปปรับปรุง ตกแต่ง ทาสีใหม่ และทำความสะอาดให้ทรัพย์อยู่ในสภาพดีแล้วถึงจะประกาศขาย ถ้าขายตามสภาพจะขายยากเพราะบ้านที่ประมูลได้ส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่า ผมว่าการเรียนรู้ทุกอย่างมีประสบการณ์เป็นครู"

สำหรับคอนโดมิเนียมใหม่เขาบอกว่าจะดูง่ายเริ่มแรกต้องรู้จักทำเลที่ตั้ง และมาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสรุปข้อมูลให้ฟัง ปัจจุบันราคาคอนโดใหม่ที่บริษัทต่างๆ ตั้งขายแทบจะเก็งกำไรไม่ได้แล้ว เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้วแสนสิริเชิญไปงานเปิดตัวคอนโดแถวทองหล่อ ขายตารางเมตรละ 1.4 แสนบาท ถึงจะใกล้รถไฟฟ้ามากแต่ว่าทำเลทองหล่อราคานี้ถือว่า "แพง"

"ถ้าผมจะซื้อตรงทองหล่อราคา 1.4 แสนบาท ผมซื้อคอนโด 185 ราชดำริ ของไรมอนแลนด์ดีกว่า ตารางเมตรละ 1.9-2 แสนบาท อยู่ตรงสถานทูตเขมรเก่าแล้วเป็นฟรีโฮลด์ (โครงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน) ด้วย เพราะย่านนั้นเป็นที่ดิน สนง.ทรัพย์สินฯเกือบหมด ราคาทองหล่อกับราชดำริต่างกัน 5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ถ้าจะซื้อเก็งกำไรผมซื้อแถวราชดำริดีกว่า"

ถามว่าไม่คิดจะเปิดบริษัททำโครงการอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองบ้างหรือ เขาบอกว่า "คงไม่ทำ" เพราะการเป็นเจ้าของโครงการมีภาระต้องรับผิดชอบมาก เป็นนักลงทุนแบบนี้เป็น "อิสระ" อยากไปไหนก็ได้

"ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาผมไปเที่ยวบ่อย ครั้งละ 15-20 วัน ปีละ 3-4 ครั้ง ถ้าตั้งบริษัทขึ้นมาชีวิตผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ผมคิดว่าการเล่นหุ้นก็เหมือนการทำธุรกิจเพราะเราคัดสรรแต่บริษัทที่ดี มีผู้บริหารที่เก่ง หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ผมไม่ทำเอง ถ้าโครงการไหนดี ทำเลดี ราคาไม่แพง มีโอกาสทำกำไรได้ผมก็ไปจอง ชีวิตก็สบายดีแล้ว ผมไม่อยากหาเหามาใส่หัวอีก ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ผมจะ "เก็งกำไร" เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นหุ้นจะไม่ใช่"

สัปดาห์หน้าติดตามภาคของ "หุ้น" วิธีคิดของเซียนหุ้นหน้าหยก เจ้าของพอร์ต 400 ล้านบาท รับรองว่า "ไม่ธรรมดา"




โอกาสอยู่ใน 'อากาศ' อยู่ที่คุณจะเจอหรือไม่!

"ผมจะเล่าประวัติคอนโดที่ผมอยู่ให้ฟัง (ตรงจุดตัดรถไฟฟ้าใต้ดิน และ BTS) ขนาดพื้นที่ 194 ตารางเมตร เดิมห้องเก่าขนาด 100 ตารางเมตร เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้วผมรู้สึกว่ามันเล็กเกินไปหันไปทางไหนติดกำแพงหมดเลย ผมก็ประกาศขายขณะที่ยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีราคาขายตกลงไปเหลือตารางเมตรละ 40,000 กว่าบาท แต่ผมขายได้ 58,000 บาทต่อตารางเมตร เพราะตกแต่งไว้ค่อนข้างสวย"

"ผมทำสัญญาขอเช่าอยู่ต่ออีกไม่เกิน 3 เดือน เสร็จแล้วผมไปเปิดหาในคลาสสิฟายด์ไปเจอคอนโดที่ซอยร่วมฤดี ขนาด 250 กว่าตารางเมตร ราคาถูกมากตารางเมตรละไม่ถึง 30,000 บาท พอผมซื้อมาได้ประมาณ 2 อาทิตย์ คอนโดเก่าที่ผมอยู่ก็มีคนอยากขาย ผมชินแถวนี้และมองว่าตรงที่ผมอยู่ปัจจุบันนี่แหละเป็น The Best Location ปัจจุบันจุดตัดรถไฟฟ้ามีแค่ 3 ที่ คือ หมอชิต ศาลาแดง และอโศก ตรงหมอชิตผมถือว่าอยู่นอกโซนธุรกิจ ตรงศาลาแดงก็มีผับบาร์เต็มไปหมดไม่เหมาะอยู่อาศัย"

กิติชัย เล่าว่า ขายห้องเก่าราคา 5.8 ล้านบาท (100 ตารางเมตร) ซื้อห้องใหม่ราคา 7.8 ล้านบาท ได้ห้องมุมพื้นที่เพิ่มเป็น 194 ตารางเมตร แถมซื้อได้ราคาถูกลงเหลือตารางเมตรละ 40,000 บาท ทั้งที่ช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 2 เดือน ส่วนคอนโดที่ซอยร่วมฤดีถือไว้ 8-9 เดือน ขายไปได้กำไร 1.1 ล้านบาท เท่ากับว่าคอนโดที่อยู่ปัจจุบันเพิ่มเงินเพียงแค่ 9 แสนบาท ได้อยู่ตึกเดิมแถมได้พื้นที่เพิ่มจาก 100 ตารางเมตร เป็น 194 ตารางเมตร

"ผมจึงบอกว่าโอกาสมีอยู่เสมอ ผมเป็นคนที่ไขว่คว้าหาโอกาสไม่ได้รอให้โอกาสวิ่งมาหา ผมเห็นโอกาสจากคลาสสิฟายด์นะเปิดจากบางกอกโพสต์ กับเดอะเนชั่น ตอนนั้นโทรไปเกือบ 20 เจ้ากว่าจะเจอโอกาส แต่บางครั้งผมมีความรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ผมที่อยู่บนสวรรค์คอยดูแลช่วย เหลือ"

ปัจจุบันเขาบอกว่ามีคอนโดอยู่ในย่านสุขุมวิทหลายแห่งทั้งที่ซื้อไว้ปล่อย เช่า และเก็บไว้เก็งกำไร ถ้ารวมอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในพอร์ตเป็นหลัก "ร้อยล้านบาท"

//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20101217/367039/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8-%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-400-%E0%B8%A5%E0%B8%9A..html




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 0:55:43 น.
Counter : 1001 Pageviews.  

เจ้ามือป๊อกเด้ง

เมื่อผมเข้ามาอยู่ในแวดวงของการลงทุนเต็มตัว บ่อยครั้งผมคิดถึงประสบการณ์เก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเล่น เกม "พนัน"ที่ผมเคยทำมา ส่วนใหญ่แล้ว เกม "พนัน" ที่ว่า มักจะเป็นเกมเดิมพันของ "ชีวิต" มากกว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง

ในบางครั้งผมก็เล่น "พนัน" เป็นเงินบ้าง และทุกครั้งก็เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน หนึ่งในการเล่นพนันที่ผมเคยทำ ก็คือ การเป็น "เจ้ามือป๊อกเด้ง" และต่อไปนี้ คือ ประสบการณ์ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น

ในการเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งนั้น สิ่งที่ผมพบ ก็คือ ผมอาจจะได้เปรียบลูกมือเล็กน้อยในแง่ที่ผมสามารถเลือกที่จะ "จับ" หรือเปิดไพ่ของลูกมือก่อนโดยเฉพาะคนที่ "จั่ว" ไพ่ไปหลายใบและมีโอกาส "ตาย" ซึ่งจะทำให้ผมชนะหรือ "กิน" คนนั้นก่อน

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผมมักจะเล่นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในช่วงเวลาหนึ่งติดต่อกันจนเงินบนหน้าตักผมกองท่วม อาจจะเป็นเพราะผมมีฝีมือ หรือที่น่าจะเป็นมากกว่า ก็คือ "ดวง" กำลังขึ้น แต่หลังจากนั้น "ดวง" ผมก็มักจะเริ่มตก ผมเริ่มแพ้หรือเสียเงินมากขึ้นและมากขึ้น จนเงินกองโตนั้นลดลงไปเรื่อยๆ จนแทบหมดซึ่งถ้าเวลายังเหลือ

ผมก็จะต้อง "ควักเค้า" หรือเอาเงินจากกระเป๋าออกมาเพิ่ม และแล้วโชคก็มักจะกลับมา ผมเริ่มได้กำไรและพอร์ต...อุ๊บ... กองเงินบนหน้าตักก็เติบโตขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็จะลดลงไปอีกในเวลาต่อมา เป็นวงจรหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตีสอง ซึ่งได้เวลานอนและเป็นเวลาที่ต้องเลิกเล่น นั่นก็จะเป็นเวลาตัดสินว่าผมจะได้หรือจะเสียเงินจากการเล่นพนันในครั้งนั้น

การเล่นหุ้นหรือการลงทุน โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น และ "กล้าได้กล้าเสีย" บางทีผมก็คิดว่าอาจจะมีอะไรคล้ายๆ กับการเล่นเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งอยู่เหมือนกันในแง่ของผลตอบแทน หรือเม็ดเงินที่ได้หรือเสีย ลองมาดูตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายๆ คน

คนแรก ก็คือ Jesse Livermore "นักเก็งกำไรบันลือโลก" ลิเวอร์มอร์นั้น เป็นนักเก็งกำไรโดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ โดยการใช้มาร์จิน หรือเงินกู้มาเก็งกำไรมหาศาล วิธีการลงทุนนั้น แน่นอน คงเป็น การ "ซื้อนำ" ไล่ราคา รวมถึงการปล่อยข่าวต่างๆ

ในแนวนี้ก็คงคล้ายๆ กับการทำตัวเป็น "เจ้ามือ" ป๊อกเด้ง ซึ่งมีความได้เปรียบคน ที่ "ซื้อตาม" หรือลูกมืออยู่ไม่น้อย ผลการเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์นั้น คล้ายคลึงกับเจ้ามือป๊อกเด้งมากนั่น ก็คือ เขารวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น "เซเลบ" ที่คนรู้จักกล่าวขวัญกันไปทั่ว และต่อมาเขาก็เจ๊งจนล้มละลาย แต่ด้วยการที่ยัง มี "เครดิต" หรือ ยัง "เหลือเค้า" อยู่บ้าง เขาจึงสามารถทำกำไรกลับมาได้อีก แต่แล้วเขาก็เจ๊งอีก นับได้ถึงสามครั้งที่เขาล้มละลายและกลับมาใหม่เหมือนเจ้ามือป๊อกเด้งเหมือนกัน โชคไม่ดีที่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเลิกเพราะฆ่าตัวตาย พอร์ตของเขาเหลือศูนย์ดอลลาร์

คนที่สอง ผมยกให้ Julian Robertson ตำนานผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ อดีตผู้บริหารกองทุน Tiger Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรกๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยเทคนิคการลงทุนที่มาใน แนว "VI" อยู่เหมือนกันแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่

ผลตอบแทนที่โดดเด่นทำให้พอร์ตของเขาเติบโตมหาศาล จากปีเริ่มต้นในปี 1980 ที่พอร์ตแค่ 8 ล้านดอลลาร์กลายเป็น 7.2 พันล้านในปี 1996 และกลายเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยกองทุนถึงกว่า 22 พันล้านดอลลาร์ ในปี 1998

แต่พอถึงปี 2000 "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา กองทุน Tiger มีผลงานย่ำแย่มาก ผลงานพ่ายแพ้ดัชนี S&P ย่อยยับและผู้ถือหน่วยลงทุนพากันถอนทุนทำให้เขาต้องประกาศปิดกองทุน สาเหตุหนึ่งก็คือการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นไฮเทคที่กำลังร้อนแรง และราคาวิ่งกันมายาวนานเลย

ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ การที่ Tiger Fund ถือหุ้นบริษัท US Airway อยู่ในพอร์ตมหาศาล ซึ่งราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาปฏิเสธที่จะขายมัน ในที่สุด US Airway ก็ล้มละลายทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหายยับเยิน

ยังดีที่ Robertson ยังเหลือเงินส่วนตัวอยู่บ้าง ต่อมาเขาก็ใช้เงินนั้นช่วยเป็น "เงินเริ่มต้น" เพื่อก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายสิบกอง

นอกจากนั้น ลูกน้องหลายคนที่เคยทำงานใน Tiger Fund ก็ออกไปตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายกองที่เรียกกันว่า Tiger Cubs หรือกองทุน "ลูกเสือ" ส่วนตัวจูเลียนเองก็คงจะแก่เกินที่จะเล่นเองแล้วเขาจึงหันมาทำเรื่องการกุศลแทน

คนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ Bill Miller ผู้บริหารกองทุน Legg Mason Value Trust บิล มิลเลอร์ เคยเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนรวม ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด ในระยะเวลาที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ในระยะเวลา 15 ปี จากปี 1991-2005 กองทุนของเขาทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P ได้ทุกปีติดต่อกัน กองทุนเติบโตขึ้นจาก 750 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 เป็น 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2006

เขาบอกว่าตนเองเป็น Value Investor ทั้งๆ ที่พอร์ตลงทุนของเขาเล่นหุ้นไฮเทคจำนวนมาก ที่มีราคา หรือค่า PE สูงลิ่ว ในตอนนั้นเขาเป็น "ซูเปอร์สตาร์" แต่แล้ว "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา ตั้งแต่ปี 2006 ผลตอบแทนของเขาก็ตกต่ำลง และต่ำกว่าดัชนี S&P ในปี 2008 จากต้นปีถึงเดือน มิ.ย. พอร์ตเขาขาดทุนถึง 28%

ในขณะที่ดัชนีลบแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้านับย้อนหลังไปสิบปี สถิติของเขาต่ำกว่าดัชนี S&P และแม้ว่าจะดูย้อนหลังไปตั้งแต่ตั้งกองทุน ผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้น ก็กลายเป็นธรรมดา คือ ดีกว่าดัชนี S&P เพียงนิดเดียว เทียบกับ เจ้ามือป๊อกเด้ง นี่ก็คือ ช่วงที่เงินบนหน้าตักกองโตลดฮวบลงไปเกือบหมด เราคงต้องดูกันต่อไปว่าเงิน "บนหน้าตัก" จะโตขึ้นอีกไหมสำหรับ บิล มิลเลอร์

อาการแบบเจ้ามือป๊อกเด้ง หรือจะเรียกให้เท่ว่า "ป๊อกเด้งซินโดรม" นี้ ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อยถ้าเวลาของการเล่น หรือการลงทุนยาวพอ มันเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนธรรมดาเช่นเดียวกับ "เซียน" มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นนักเก็งกำไรเช่นเดียวกับคนที่เรียกตัวเองว่า Value Investor

ดังนั้น เราต้องไม่ประมาทและมีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นกระทิงที่ยาวนาน อาจทำให้เราฮึกเหิมและโลภเกินไปจนลืมไปว่า "หายนะ" นั้น มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ถ้าเราไม่แน่ใจ การ "เก็บเงินเข้ากระเป๋าบ้างในยามที่เงินกำลังกองเต็มหน้าตัก" ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20101214/367181/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B9%8A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%87.html




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2553    
Last Update : 14 ธันวาคม 2553 23:05:05 น.
Counter : 722 Pageviews.  

วางแผนรับมืออันตราย!...ทางการเงินในวัยเกษียณ

หลายคนคงจะมีความฝันว่าเมื่ออายุประมาณ 50 - 60 ปี จะมีเงินเก็บสักก้อนไว้ใช้ในยามที่ตัวเองเกษียณอายุแล้ว จะได้ไม่ต้องไปเป็นภาระให้ต้องลำบากลูกหลานในภายหน้า แต่ถ้าเราไม่รู้จักเก็บใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไปละก็...เชื่อว่าปั้นปลาย ชีวิตของเราจะต้องประสบกับปัญหาด้านการเงินอย่างแน่นอน หรือถ้าใครมีเงินเก็บแต่เก็บไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้ค่าของเงินนั้นลดน้อยลง ไปได้

วันนี้ "พี่ตู่ - วรวรรณ ธาราภูมิ" แม่ทัพใหญ่แห่งบลจ.บัวหลวง และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่ง "นายกสมาคม บลจ." ด้วย และวันนี้ "พี่ตู่" จะมาเล่าสู่กันฟังเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งกับช่วงชีวิตในวัยเกษียณอายุ ที่อยากให้ใครหลาย ๆ คน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ต่อไปสำหรับคนกำลังอยู่ในช่วงทำงานใหม่ ๆ และคนที่กำลังจะก้าวสู่วัยเกษียณอายุต่อไป ว่าต่อจากนี้ไปเราควรบริหารเงินในกระเป๋าอย่างไรเพื่อให้มีใช้ในอนาคตอย่าง สบาย ๆ

"พี่ตู่" เริ่มเล่าถึงเรื่องราวของสาวสูงวัยคนหนึ่งให้ฟังว่า เธอชื่อ "สิรี" เธอเกษียณวันนี้ที่อายุ 60 ปี "สิรี" มีลูก 2 คน และเป็น Single Mum เธอเคยคิดเสมอมาว่าพอเกษียณแล้วเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีอยู่จะพอใช้ จนสิ้นอายุขัย
ในช่วง 30 กว่าปีก่อนเกษียณเธอทำงาน 4 แห่ง ไต่ระดับจากพนักงานเล็กๆ ไปจนถึงระดับบริหารของบริษัท เอกชน 4 แห่งซึ่งมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ทุกแห่ง นอกจากถูกหักเงินเดือนเข้ากองทุนแล้วเธอไม่เคยเก็บสะสมเงินเพิ่มเพื่อการ เกษียณของตัวเองเลย และในช่วงที่ลาออกจากบริษัทหนึ่งไปยังอีกบริษัทหนึ่ง "สิรี" ก็เลือกที่จะรับเงินก้อนออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งๆ ที่นายจ้างเสนอให้โอนเงินไปยังกองทุนของที่ทำงานใหม่

"สิรี" เล่าให้ "พี่ตู่" ฟังอีกว่า ...“ ฉันใช้เงินก้อนที่ได้จากการออกจากงานหมดเลย ฉันมีความสุขมาก พาลูกๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ ฉันซื้อข้าวของที่อยากได้จนอิ่มใจ“

ณ วันที่ สิรี เกษียณ เธอเพิ่งรู้ว่าเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากการทำงาน 6 ปีสุดท้ายในที่ทำงานล่าสุดมีเพียง 6 แสนบาท มีหนี้จากเครดิตการ์ดก้อนโตรวม 4 บัตร ถึง 1 ล้านบาท "สิรี" ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ ลูกๆ ต่างก็แยกบ้านไปมีครอบครัวของตนเองหมดแล้ว

"พี่ตู่" บอกว่า ปัญหาของสิรี เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของกลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่มีใครสนใจเป็นการเฉพาะจาก การ จัดสัมมนาแต่ละครั้ง เมื่อสอบถามผู้เข้าฟังการสัมมนา ปรากฏโดยคร่าว ๆ พบว่า 95% ไม่เคยรู้ว่าตนเองควรมีเงินสะสม ณ วันเกษียณเท่าไร , 90% ไม่เคยรู้ว่า ณ วันนี้ ตนเองมีสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ รายจ่าย เท่าไหร่ , 88% ไม่เคยวางแผนการเงิน , 85% ไม่เคยคิดเรื่องการอยู่รอดในวัยเกษียณ และ 28% ผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตทุกเดือน

น่าเสียดายที่บ้านเรายังไม่ได้มีการสำรวจเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า
1. ผู้หญิงมีรายได้จากการทำงานตลอดชีวิตต่ำกว่าผู้ชายประมาณ 1 ใน 3 ทำให้การสะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอื่นๆ ของผู้หญิงอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ชายไปด้วย ทั้งๆ ที่ผู้หญิงจะมีอายุยืนยาวกว่า

2. การตั้งครรภ์ การเลี้ยงดูบุตรในวัยเริ่มแรก เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงก้าวหน้าทางอาชีพการเงิน รวมถึงการเงินช้ากว่าผู้ชาย

3.การรับภาระดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วย ทำให้ผู้หญิงต้องลาออกจากการทำงาน

4. ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัย Wharton พบว่าผู้หญิงมีความเข้าใจเรื่องหุ้น พันธบัตร และการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงน้อยกว่าผู้ชาย การลงทุนของ ผู้หญิงจึงอนุรักษ์กว่าผู้ชาย ผู้หญิงกลัวความเสี่ยง ทั้งๆ ที่อยู่ในวัยที่รับความเสี่ยงได้ ทำให้ผลตอบแทนจากการให้เงินทำงานด้วยตัวมันเองต่ำมากเมื่อเทียบกับผู้ชาย (อันของสูงแม้ปองต้องจิต ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ)

5. พบว่า 17% ของหญิงโสดที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีรายได้ในวัยเกษียณที่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของสหรัฐฯ ($10,326 ต่อปี) และอีก 28% อยู่ในกลุ่มใกล้เคียง ($12,907 ต่อปี)

6. มีเพียง 33% ของหญิงในวัยทำงานเท่านั้นที่เชื่อว่าตนเองจะมีรายได้พอใช้ในวัยเกษียณ

7.ตามประเพณีเดิม ผู้ชายจะทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว จ่ายบิลต่างๆ และเป็นผู้ทำบัญชีการเงินครอบครัวกับการบริหารเงิน ส่วนผู้หญิงจะรับผิดชอบดูแลงานบ้าน สุขทุกข์ของครอบครัว แต่สถิติบอกว่า 50% ของชีวิตคู่ในสหรัฐจบลงด้วยการหย่าร้าง จึงหมายความว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการเป็นโสดโดยไม่มีความรู้ความชำนาญในการ บริหารเงิน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเงินอยู่ไหน อ่าน Statement ยังไง ทำบัญชีการเงินของตนเองง่ายๆ ได้อย่างไร และไม่รู้ว่าเงินทำงานด้วยตนเองได้ผ่านการลงทุน

และ 8.ผู้หญิงไม่ได้รับโอกาสให้เรียนรู้และสำเหนียกถึงความเป็นเจ้าของและวิธีจัดการทรัพย์สินในวัยเด็กเท่าผู้ชาย เวลาผู้ชายโตขึ้น จึงมักมีการสนทนากันเรื่องตลาดทุน ตลาดเงิน การลงทุน ความเสี่ยง ฯลฯในขณะที่พวกผู้หญิงมักจะคุยกันเรื่องลูก สามี กับการดูแลคนในครอบครัวที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน ส่วน ผู้หญิงไทยวัยน้อยๆ เขาคุยกันเรื่องดารา เรื่องหล่อ สวย กระเป๋าหลุยส์ แอรเมส และเรื่องนาธาน เรื่องพลอย พี่โดม กับ พี่ฟิล์ม ซะเป็นส่วนใหญ่

"พี่ตู่" บอกส่งท้ายว่า การเยียวยาปัญหาของผู้หญิงต่อจากนี้ไป 1.เรียนรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ และวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณเสียแต่วันนี้ ตั้งเป้าหมายว่าเมื่อเกษียณแล้วจะต้องมีเงินได้รายเดือนเท่ากับปัจจุบันเป็น อย่างน้อย 2.ในการหางานทำหรือการเปลี่ยนงาน ให้เน้นไปที่ผลประโยชน์ที่นายจ้างมีให้เมื่อเกษียณ 3.สะสมเงินเพื่อเกษียณตั้งแต่ยังมีอายุน้อยๆ โดยเก็บเงินสัก 10% - 15% เพื่อการเกษียณ พออายุมากขึ้นก็สะสมได้มากกว่านี้ตามภาระหนี้สินที่ลดลงและเงินเดือนที่ เพิ่มขึ้น ได้โบนัสก็เก็บอย่างน้อย 50% เพื่อการเกษียณ 4.วางแผนการเงินให้ปราศจากหนี้สินในวัยเกษียณ 5. เกษียณให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ 6. ทำความเข้าใจกับกฏ กติกา เงื่อไขของกองทุนบำนาญของประกันสังคม เพราะเป็นแหล่งรายได้ในยามเกษียณ 7. ศึกษาหนทางการบริหารเงินเพื่อมีรายได้ประจำอย่างปลอดภัยเพียงพอในวัยเกษียณ และ8. ผลักดันปัญหาเรื่องนี้ให้รัฐเห็นความสำคัญเพื่อจะได้ออกแบบโครงการต่อเนื่อง เพื่อช่วยผู้หญิงให้พ้นจากบ่วงของความไม่รู้

//www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9530000173633




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553    
Last Update : 13 ธันวาคม 2553 0:59:29 น.
Counter : 547 Pageviews.  

สูตรออมไว เกษียณได้ก่อนถึงอายุ 40

อิสรภาพทางการเงิน เป็นศัพท์การเงินความหมายดี ที่คนทำงานและมนุษย์เงินเดือนทุกคน ไขว่คว้าอยากไปให้ถึง หรือมีไว้ในครอบครอง

อิสรภาพ ทางการเงิน เป็นศัพท์การเงินที่ปรากฏอยู่ในหนังสือขายดี "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad, Poor Dad) งานเขียนของ โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักอ่านคนไทย

ความหมายของคำว่า อิสรภาพทางการเงิน คือการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอิสระจากการหาเงิน ไม่ต้องทำงาน แต่เงินที่หามาได้สามารถทำงานเลี้ยงดูเจ้าของเงินได้ เช่น เงินจากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลโดยรวมในแต่ละปีนั้น มีมากมายเพียงพอกับการนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในแต่ละปี

ด้วยความ หมายข้างต้น เชื่อแน่ว่าอิสรภาพทางการเงิน ย่อมเป็นที่ต้องการของคนทำงานมนุษย์เงินเดือนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ยังอยู่ในวัย 20 หรือ 30 ต้นๆ ที่คิดรวยมีเงินล้านให้ได้เร็ว โดยไม่พึ่งแต่รายได้รอรับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

และในมุมมองของ ลุค แลนเดส คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ ยูเอสนิวส์ เชื่อมั่นว่าคุณซึ่งอาจเป็นคนรุ่นใหม่วัยยังไม่ถึง 40 หรือวัยอาจเลยเลข 4 ไปบ้างแล้ว ล้วนมีศักยภาพสามารถพัฒนาตัวเอง ให้ได้พบกับอิสรภาพทางการเงิน สามารถสั่งสมทรัพย์สินและเงินทองเอาไว้ให้มาก เพื่อเลี้ยงตัวเองเกษียณได้เร็วไม่ต้องรอจนอายุ 50-60 ปี

เพียงคนรุ่นใหม่อย่างคุณ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเอาจริงทำจริง ลองนำข้อมูลของแลนเดสในเรื่อง "5 หนทางรวยเงินเกษียณได้ก่อนถึงวัย 40" ไปปฏิบัติปรับใช้ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ความร่ำรวยมั่งคั่งเกษียณได้ก่อนวัยอันควร ย่อมเป็นสถานะภาพที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมสามารถไปถึงได้ในอนาคต


สู้แรงต้านสร้างความเชื่อมั่น
หนทางแรกที่แลนเดสเห็นว่าเป็นการเริ่มต้นไปสู่ความร่ำรวยเกษียณได้ เร็ว อยู่ที่คนรุ่นใหม่ต้องทำตัวเองให้มีไฟกับใจที่เด็ดเดี่ยวให้ได้เสียก่อน จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นกับความรู้สึกฮึกเหิม เพราะทั้งหมดล้วนมีผลต่อพฤติกรรมการเงินของคุณในอนาคต

การคิดแผนกับทางเลือกต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม ที่จะนำคุณไปสู่สถานะมั่งคั่งสามารถเกษียณจาก การทำงานกินเงินเดือนให้ได้เร็วที่สุด อาจเป็นแผนที่ทุกคนในครอบครัวและเพื่อนๆ คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และการตัดสินใจเดินหน้าต่อไป จำเป็นต้องทำ และบ่อยครั้งไม่สอดคล้องกับการคาดหวังหรือความต้องการของคนอื่นๆ รอบข้าง

ลอง หามืออาชีพหรือต้นแบบที่เคยมีประสบการณ์ พบกับความสำเร็จจากการเดินทางในลักษณะเดียวกันกับคุณ เพื่อให้เขาหรือเธอมีส่วนร่วมแนะนำช่วยกระตุ้นให้คุณ เคลื่อนไหวทางการเงินต่อไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสม


ออมให้เร็วมากที่สุด
เป็นหนทางที่สองที่ต้องทำ ให้เร็วและให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบหรือขัดใจขัดกิเลสความรู้สึกของปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่วัยสนุกคึกคะนองแบบคุณอย่างมาก

เพราะทั้งวัยและการ เริ่มต้นชีวิตทำงาน ทำให้คนในวัยเลข 2 หรือเลข 3 ต้นๆ อยากจับจ่ายใช้สอยอย่างเต็มที่ ฉลองให้กับงานแรกของชีวิต และอยากใช้ชีวิตให้สนุกแบบไม่ต้องซีเรียส

แต่เพื่อโอกาสที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ในหนทางที่เป็นไปได้มากยิ่งขึ้น และให้เป็นไปตามเป้าหมายที่คุณต้องการในอนาคต คือความสามารถไขว่คว้าอิสรภาพทางการเงินให้มาอยู่กับตัวเองตลอดไป จึงเป็นความจำเป็นอย่างที่สุด ที่ต้องรู้จักและอยู่กับคำว่าอดออม การประหยัด และความมัธยัสถ์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ที่สำคัญการ อยู่กับคำว่า อดออม ประหยัดและมัธยัสถ์ ให้ได้นานเท่านานนั้น เป็นเหมือนศาสตร์และศิลป์ ในการปรับตัวปรับใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป อยู่กันแบบถ้อยที่ถ้อยอาศัย พอเหมาะพอควร ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

และ แม้ในสายตาของคนรอบข้างหรือแม้แต่เพื่อนสนิทจะตั้งแง่มองพฤติกรรมด้านนี้ใน เชิงลบอย่างที่สุด ขอให้คุณอย่าได้แคร์ อย่าไขว้เขวไปกับเสียงเหน็บแนม หรือวาจากระทบกระเทียบต่างๆ นานา เดินหน้าต่อไปพุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายของตัวเองเป็นหลัก


ทำจ๊อบเพิ่มเงินให้มากที่สุด
คำแนะนำของแลนเดสกับหนทางที่สาม เพื่อให้รวยเร็วเกษียณได้ เร็วนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ ที่ต้องทำรายได้หาเงินเก็บให้ได้มากขึ้น เพื่อจะได้นำเงินทุนที่สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ ไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุนหรือฝากไว้ในแหล่งที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง

เงิน ที่ต่อยอดเพิ่มมูลค่า จะค่อยๆ ทำงานก่อดอกออกผลให้เจ้าของ และเมื่อถึงเวลาเงินเหล่านี้จะกลายเป็นกันชนและเงินทุนเกื้อหนุนชีวิต ในยามที่คิดเกษียณเร็วก่อนถึงวัยอันควร

ขอ ให้คิดทำงานให้ได้ชั่วโมงบินกับรายได้มากขึ้น หรือทำงานพิเศษเก็บเงินเพิ่มอีกสักงานหรือสองงาน ให้เปรียบเทียบความพยายามของตัวเอง เหมือนนักกีฬาโอลิมปิกที่มุ่งมั่นแต่จะเอาชัยชนะ แต่การเอาชนะความอยากมีอยากได้ อยากจ่ายใช้เงินฟุ่มเฟือย ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นคนรวยได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและฝึกซ้อมอย่างหนัก

ดัง นั้นการฝึกซ้อมให้หนักของนักกีฬากับแนวคิดขยันหมั่นทำงานทำเงินให้ได้มากที่ สุด จึงไม่ได้ผิดแผกแตกต่างกันเลย เพราะเป็นความพยายามทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเดียวกันคือความสำเร็จ ได้เหรียญทองหรือรวยเร็วมีเงินมากมาย เพียงพอกับการดำรงชีวิตก่อนถึงวัยเกษียณ


ลงทุนเสียค่าฟีให้น้อยที่สุด
นอกจากหาทางที่ สองคือออมให้เร็วและมากที่สุดแล้ว หนทางที่สี่นี้ถือว่าเป็นการต่อยอดเงินของคนรุ่นใหม่ได้อีกทางหนึ่ง เพราะการเลือกลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เน้นไปที่กองทุนรวมที่คำนวณดูค่าธรรมเนียม (ฟี) เรียกเก็บจากการบริหารเงินลงทุนของคุณต้องน้อยที่สุด หรือไม่เรียกเก็บเลยยิ่งดี

ยิ่งค่าฟีที่ต้องจ่ายมีน้อยมากเท่าไหร่ กำไรที่จะได้จากการลงทุนของคุณจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ขอให้แน่ใจว่าได้เลือกเฟ้นฟังข้อมูลรอบด้าน ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนประเภทใดประเภทหนึ่ง

แต่ปัจจุบันในตลาด หุ้นไทยมีกองทุนประหยัดภาษี ประเภทกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งในหลักทรัพย์และสินทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งน่าสนใจมี ให้เลือกมากมาย

การลงทุนข้างต้นเพื่อช่วยนักลงทุนหน้าใหม่ สามารถกระจายเงินลงทุนให้หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะได้ประโยชน์หลายต่อจากการลงทุนแล้ว ยังเป็นการสะสมความมั่งคั่งป้องกันอุบัติเหตุทางการเงินอาจเกิดขึ้นกับตัว เองและครอบครัวในอนาคต


ระวังการใช้จ่าย
นอกจากคำแนะนำ ข้อเสนอแนะของแลนเดสแล้ว เอมี. อี บัตเทล จากแบงก์เรทดอทคอม ก็มีไอเดียดีช่วยอุดช่องโหว่ข้อบกพร่องที่คนรุ่นใหม่ อาจมองข้ามบางจุดที่ควรเตรียมคิดเตรียมทำไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งเริ่มจากเป้าหมายออมเงินโดยไม่คิดลดภาระต้นทุน จัดระเบียบงบการเงินของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

"การพักอาศัยอยู่ กับพ่อหรือแม่ก่อน ในช่วงที่หางานหรือได้งานทำเป็นงานแรกของชีวิต จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงแรกของชีวิตการทำงานได้ไม่มากก็น้อย และแทนที่จะนำเงินไปเสียค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ คุณสามารถออมเงินก้อนนี้ไว้ หรือเผื่อใช้เป็นทุนฉุกเฉินหากรถคู่ใจเกิดทรยศต้องซ่อมบ่อยครั้ง" จอห์น คอร์น นักวางแผนการเงินจากบัคกิ้งแฮม แอสเซต แมเนจเมนท์ ให้ความเห็น

และ หากทางเลือกอาศัยอยู่กับพ่อแม่ กลับเพิ่มภาระให้ผู้มีพระคุณ คนรุ่นใหม่วัยทำงานอาจผ่อนภาระให้ผู้ปกครองของพวกเขา ไปพร้อมๆ กับการคิดสั่งสมความมั่งคั่ง ด้วยการหาทางเลือกแบบหารสอง ลดค่าครองชีพจากการหาห้องพักที่ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันหรือต้องจ่ายแพง ช่วยกันรับภาระค่าห้องได้อย่างสบายกระเป๋ากับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนที่รู้จัก กันพอสมควร เพื่อเพิ่มเงินออมของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ทำงบมีวินัยการเงิน
คอร์น นักวางแผนการเงินจากบัคกิ้งแฮม แอสเซต แมเนจเมนท์ ให้ไอเดียเป็นเหมือนการเติมเต็มยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่คิด รวยเร็ว เกษียณได้ ก่อน 40 ว่า การเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ย่อมนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายมากมายในชีวิต ทั้งเสื้อผ้าของกินของใช้และค่าเดินทาง ดังนั้นการจัดทำงบบัญชีรายรับรายจ่ายจึงสำคัญ

"คนรุ่นใหม่ทุกคนจำเป็น ต้องจัดทำงบบัญชี ต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต เงินภาษีสุทธิที่ต้องชำระแต่ละเดือน และผลประโยชน์ที่ได้รับแต่ละเดือน ต้องดูรายจ่ายทั้งค่าเช่าห้อง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จิปาถะ รวมถึงสินเชื่อเพื่อการศึกษา" คอร์นยกตัวอย่าง

คนไทยทั้งในและต่าง ประเทศ ที่เป็นคนรุ่นใหม่วัยทำงาน สามารถใช้ตัวช่วยในการจัดงบการเงินของตัวเอง ผ่านเว็บไซต์ Mint.com เพื่อช่วยวิเคราะห์วางแผนรายได้กับรายจ่าย และช่วยวางเป้าหมายการเงินให้เกษียณได้ก่อนวัย 40

แต่ คอร์นเตือนว่า การใช้จ่ายเงินก้อนแรก คนรุ่นใหม่วัยทำงานควรใช้เพื่อตัวเอง โดยเฉพาะต้องใช้เพื่อการสะสมเงินทุนฉุกเฉิน เผื่อไว้ในยามว่างงานหรือเปลี่ยนงาน และเตรียมเงินสำรองไว้สนับสนุนเป้าหมายระยะสั้น อย่างเช่นความจำเป็นต้องซื้อรถใหม่ไว้ใช้ช่วยให้สะดวกเดินทาง


หางานสนุกทำหลังเกษียณ
ขอ ปิดท้ายด้วยคำแนะนำสุดท้ายของแลนเดสจากเว็บไซต์ ยูเอสนิวส์ ที่ว่าคนรุ่นใหม่ประสบผลสำเร็จจากการนำหนทางสี่ข้อแรกไปปฏิบัติใช้ในชีวิต จริงแล้ว และเตรียมก้าวเพื่อจะเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งชัยชนะนั้น แลนเดสเชื่อว่าผู้ชนะยังต้องประคองความสำเร็จไว้ ด้วยการไม่อยู่นิ่งเฉย

เพียง แค่เคลื่อนไหวทำงานอะไรก็ได้ ที่ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือเป็นการบีบบังคับใจตัวเอง เพื่อจะหารายได้มาจุนเจือพอใช้จ่ายเลี้ยงชีวิตในแต่ละวันและแต่ละเดือน โดยไม่ส่งผลกระทบทำให้เงินทองที่สั่งสมมาและกำลังปล่อยให้เงินเหล่านี้ทำงาน ต่อยอดเพิ่มมูลค่าอยู่นั้น มีอันต้องร่อยหรอหรือลดจำนวนลงในเวลาอันรวดเร็ว

ความ สำเร็จของคนรุ่นใหม่ ที่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการทำงานออฟฟิศ ตอกบัตรเข้าเช้าเซ็นออกงานเย็น เปลี่ยนไปเป็นการทำในองค์กรเพื่อสังคม เพื่อประโยชน์ของชุมชนหรือประเทศบ้านเกิด ล้วนเป็นทางเลือกบนเส้นทางแห่งความพอเพียง และความสำเร็จทางการเงินที่น่าสนใจ และอาจเป็นงานชื่นชอบถูกใจของคนรุ่นใหม่ ที่รวยได้ก่อนวัยเกษียณ

โดย : อุไรวรรณ ภู่วิจิตรสุทิน
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/personal/20101212/366772/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8-40.html




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553    
Last Update : 13 ธันวาคม 2553 0:57:44 น.
Counter : 716 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.