In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

คนแจวเรือ

ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่อิตาลีและอังกฤษ และก็เช่นเคย ผมมีข้อสังเกตจาก สิ่งที่พบเห็น

เรื่องแรก คือ ผมเพิ่งตระหนักว่า พนักงานบริการ เช่น พนักงานเสิร์ฟอาหารตามภัตตาคารโดยเฉพาะในอิตาลี ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ 30-40 ปี ที่เป็นผู้หญิงมีน้อยมาก ทำให้ผมแปลกใจ เพราะบ้านเรา หรือแถบเอเชีย มักจะเห็นผู้หญิงมากกว่า ทำให้ผมคิดว่า งานในอิตาลี หรือหลายๆ ประเทศในยุโรปคงจะหายาก งานเสิร์ฟจึงเป็นงานที่มีรายได้ดี จึงมีคนแย่งกันทำ และผู้ชายเข้ามาทำกันมาก และไม่ใช่เป็นงานชั่วคราวเพื่อรองานอื่น แต่เป็นอาชีพที่ "พ่อบ้าน" ทำกันเป็นงานประจำ ผมนึกต่อไปถึงญี่ปุ่น ผมเคยเห็นผู้ชายอายุมากทำงานเป็นคนนั่งเฝ้าสถานที่อาบน้ำร้อนของผู้หญิง


อุทาหรณ์เรื่องนี้ คือ แรงงานที่สำคัญถูกใช้ไปทำงานที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่ามากนักทางเศรษฐกิจ อาจบ่งบอกว่า ในระยะยาว ประเทศ อาจจะไปไม่ได้ไกลมากนัก จากจุดที่เป็นอยู่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงอิตาลีหรือยุโรป ทำงานอะไรเป็นหลัก หรืออยู่มากในภาคไหนของเศรษฐกิจ


เรื่องที่สอง ก็คือ คนแจวเรือกอนโดลา ที่เมืองเวนิส เรือกอนโดลา เป็นเรือโบราณที่นักท่องเที่ยวใช้นั่งชมเมือง เป็นเรือที่ใช้คนพาย แต่สิ่งที่ผมทึ่ง ก็คือ ค่าจ้างของคนพายเรือ ในเวลาครึ่งชั่วโมงของการให้บริการ คนพายเรือคิดค่าบริการตกเป็นเงินไทย 4,000-5,000 บาท คร่าวๆ ถ้าทำ วันละ 4-5 เที่ยว โดยเฉลี่ยได้เงินวันละ 20,000 บาท เดือนหนึ่งถ้าทำสัก 20 วัน ก็จะมีรายได้ถึงเดือนละ 4 แสนบาท ถ้าเป็นคนไทยรายได้ขนาดนี้ คงต้องเป็นคนระดับซีอีโอของบริษัท ผมเชื่อว่าอาชีพนี้คงมีการสงวนไว้เฉพาะแต่คนท้องถิ่นเท่านั้นที่ทำได้


ความเชื่อของผมเรื่องนี้ คือ รายได้ของคนแจวเรือกอนโดลา ซึ่งผมดูแล้ว ไม่ได้มีทักษะพิเศษอะไร แต่ได้ผลตอบแทนสูงมาก เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานหนักเท่าๆ กันในเมืองไทย หรือประเทศแถบเอเชียส่วนใหญ่ แสดงว่า คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ คงได้เงินเดือนที่สูงมากเมื่อเทียบกับงานที่ทำ แต่ถ้าถามว่า ทำไมนักท่องเที่ยวยอมจ่าย คำตอบ คือ เมืองเวนิส เป็นเมืองสุดยอดที่น่าเที่ยวเมืองหนึ่งของโลก ผมหรือคนจำนวนมากจึงยอมจ่าย เพื่อโอกาสอันพิเศษสุดนี้ ถ้าเปรียบไป คนเอเชียหรือคนเมืองอื่นที่มาเที่ยวเวนิส หรืออีกหลายๆ เมืองในอิตาลี หรือในยุโรปยอมทำงานหนักและงานที่ใช้ความสามารถสูง เพื่อจะผลิตสินค้ามาให้คนเวนิสใช้เต็มที่ โดยที่คนเวนิสอาจตอบแทนด้วยการให้คนเหล่านั้นมาพักและนั่งเรือกอนโดลาที่พายโดยคนเวนิสปีละครั้ง ดูไปแล้วไม่ใคร่ยุติธรรม แต่ผมก็ไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนแบบนี้จะดำรงอยู่ไปได้นานเท่าไร


เรื่องที่สาม ที่น่าแปลกใจ คือ ห้าง สินค้าแบรนด์เนมหรูหลุยส์วิตตอง ในกรุงลอนดอน พบว่า ลูกค้าต้องเข้าคิวรอเข้าชมสินค้า เพราะเขาจำกัดจำนวนลูกค้าเข้าชมและซื้อสินค้า แต่สิ่งที่น่าทึ่ง คือ 80-90% ของคนที่อยู่ในร้านและรอคิวอยู่ เป็นคนหน้าตาแบบ เอเชีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยว สินค้าของหลุยส์วิตตอง เราทราบดีว่าราคาสูงกว่าต้นทุนมาก เรียกว่าทำกำไรให้กับเจ้าของมหาศาล และผมเชื่อว่า ผลิตในแถบเอเชียด้วยต้นทุนต่ำมาก และขายให้คนเอเชียในราคาสูงมาก เปรียบไปแล้วเหมือนกับว่า คนเอเชียต้องทำงานหนัก เพื่อผลิตสินค้าให้คนยุโรปใช้ แล้วกลับไปขอแบ่งสินค้าบางส่วนกลับมา พร้อมกับความยินดีที่ได้สินค้ามีชื่อเอามาอวดเพื่อนที่บ้าน


พูดถึงสินค้าแบรนด์เนม ในระหว่างที่อยู่อังกฤษ ผมได้ข่าวว่าบริษัทผู้ผลิตและขายสินค้าแบรนด์ดังอย่างปราด้า ซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อมิวมิว กำลังขายสินค้าดีระเบิดในเอเชีย หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าคนเอเชีย เห่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมดังๆ แบบเดียวกับคนอังกฤษเข้าห้างไพร์มมาร์ค ซึ่งเป็นห้างขายสินค้าแฟชั่นราคาถูกคุณภาพดีกลางกรุงลอนดอน ผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่า บางทีโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป คนอังกฤษและคนยุโรปกำลังหันมาซื้อสินค้าราคาถูกคุณภาพใช้ได้ ส่วนคนเอเชีย ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากให้กับคนยุโรปเพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อ "หน้าตา" ผมก็ไม่รู้ว่าแนวทางธุรกิจแบบนี้ จะไปได้นานแค่ไหน ถ้าให้เดาจากคิวของลูกค้าร้านหลุยส์วิตตอง ผมคิดว่าคงไม่เร็วนักที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้


จากเหตุการณ์ 3 เรื่องนี้ ผมเองสรุปว่า ยุโรปวันนี้ น่าจะเป็นยุโรปที่กำลัง "ตกดิน" มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ยังสูงมากวันนี้ ดูเหมือนกำลังหยุดนิ่งและค่อยๆ ลดต่ำลง คนทำงานน้อยลง คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้ทำงาน นั่นคือ ตกงาน และไม่ได้ทำงานที่ใช้ทักษะสูงนัก จำนวนมากทำงานบริการพื้นๆ ที่คนเอเชียทำได้ดีไม่แพ้กัน


สิ่งที่ทำให้ยุโรปยังดำรงความโดดเด่น คือ ยุโรปมีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่ มีโบราณสถานที่ทำให้คนมาท่องเที่ยว และยอมจ่ายเงินแพงมาก และยัง "ผูกขาด" เรื่อง "การเป็นผู้มีรสนิยมสูง" ผ่านสินค้าแบรนด์หรูระดับโลก สองสิ่งนี้ มีส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาสถานะการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงของยุโรปไว้ การที่ยุโรปจะก้าวหน้าหรือโตต่อไป ดูแล้วน่ายากเหลือเกิน พื้นฐานสำคัญจริงๆ ของการมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูงได้จริงๆ ในโลกที่เป็นโลกาภิวัตน์ ก็คือ คุณต้องทำงานหนักและเป็นงานที่มีคุณค่าสูง


พูดมาเสียยาว ถ้าจะถามว่านี่จะมีอะไรเกี่ยวกับการลงทุนหรือเปล่า? คำตอบของผม คือ คงเกี่ยวบ้างในแง่วิเคราะห์สถานการณ์ยุโรป ที่กำลังประสบกับปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจรุนแรงช่วงนี้ ในความคิดของผม คนยุโรป น่าจะใช้ชีวิตที่สูงกว่าความสามารถของตนมานานโดย ผ่านการกู้หนี้ หรือ "ยืมอนาคตมาใช้" แต่อนาคตที่ว่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอยู่จริง ยุโรปจึงต้องลดมาตรฐานความเป็นอยู่ลง


นี่คือ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้น อาจผ่านสิ่งที่เรียกว่า "วิกฤติเศรษฐกิจ" ผมพูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังทำนายว่ากรีซจะ "ไปไม่รอด" หรืออิตาลีจะต้องประสบภาวะวิกฤติเร็วๆ นี้ บางทียุโรปอาจลดมาตรฐานการดำรงชีวิตลงอย่างช้าๆ เทียบกับคนเอเชียได้ โดยไม่ต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่า ยุโรป กำลังตกดิน และจะไม่กลับมายิ่งใหญ่อีกในชั่วอายุของเรา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//bit.ly/poOhqs




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2554    
Last Update : 4 ตุลาคม 2554 10:06:47 น.
Counter : 580 Pageviews.  

คำถามที่ต้องตอบ

ออกจากงานประจำมาทำธุรกิจดีไหม? เมื่อไหร่จะเริ่มธุรกิจของตัวเองดี ? ปัญหาเบสิกยอดฮิตที่หลายคนตั้งคำถามกับผมบ่อยๆ

พร้อมแค่ไหนที่จะออกไปเป็นเถ้าแก่ สิ่งแรกต้องย้อนกลับไปถามตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าเป็นต้นไม้ เราคือต้นไม้พันธุ์อะไร

เป็นต้นไม้พันธุ์เล็ก หรือพันธุ์ใหญ่ คุณรู้จักตัวเองไหม

ถ้ายังไม่มีความอดทน ยังเป็นคนอ่อนแอ เบื่อง่าย ท้อแท้ง่าย ไม่ชอบเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าปัญหา ไม่กล้าตัดสินใจ คุณคือต้นไม้พันธุ์เล็กที่ต้องโตอยู่ในกระถาง “มนุษย์เงินเดือน” เล็กๆ ต่อไป เพราะออกมาเผชิญแดดเจอพายุไม่เท่าไหร่ก็เฉาตาย

แต่ถ้าเป็นนักสู้ไม่ยอมแพ้ เป็นคนหัวใจแกร่ง ไม่กลัวอุปสรรคและความล้มเหลว คุณคือต้นไม้พันธุ์ใหญ่

ถ้าไม่กล้าออกมานอกกระถางก็จะไม่มีทางโต..ไม่มีวันที่จะได้เห็นต้นไม้ใหญ่นี้เติบโตแผ่กิ่งก้านบานสะพรั่ง

ต้นไม้พันธุ์ใหญ่ถ้าย้ายออกจากกระถางมาลงดิน ขยับในจังหวะที่เหมาะสมขณะยังเป็นต้นกล้าเล็กๆ อายุยังน้อย โอกาสที่ต้นไม้รอดจะมีสูง ไม่ต่างจากคนหนุ่มคนสาวที่ยังมีไฟ มีพลัง

แต่ถ้าให้ปล่อยให้โตจนเกินไป 20-30 ปีแล้วถึงค่อยขุดออกมาโต โอกาสที่ต้นไม้อายุมากย้ายที่ใหม่แล้วจะรอดมักร่วงโรยไปตามวัย

เด็กๆ ล้มแล้วโต..คนแก่ล้มแล้วตาย เคยได้ยินไหมครับคำกล่าวทำนองนี้

ทุกครั้งของการเริ่มต้นใหม่ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ราบรื่น ต้องมีอุปสรรค ต้องมีบทเรียน ต้องเสียรู้ก่อนถึงจะฉลาด

ถ้าล้ม ลำบาก เจ๊งในวันที่ยังหนุ่มอยู่ คุณยังมีแรงสู้ใหม่อีกหลายรอบ

แต่ถ้าอายุมากแล้วมาเริ่มต้นใหม่ บางทีใจสู้แต่ไม่มีแรง ล้มทีเดียวก็หมดแรงลุก

การจะเริ่มต้นธุรกิจ มีทั้ง “ข้อที่ต้องมี” กับ “ข้อที่ต้องทำ”

ข้อที่ต้องมี คือ ใจสู้หรือเปล่า พร้อมที่จะไม่กลัวปัญหาแล้วหรือยัง..บางคนตัวพร้อม ใจไม่พร้อม บางคนใจพร้อมทุนไม่พร้อม บางคนพร้อมทุกอย่างแต่กลัวไม่กล้า

คนจะทำธุรกิจอย่าความคิดติดกรอบ รอให้เศรษฐกิจดีก่อน รอให้มีทุนพร้อมก่อน รอให้พร้อมทุกอย่างก่อน เพราะวันเวลาแห่งโอกาสไม่เคยคอยใคร

ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจทิ้งงานประจำ ลาออกจากเซลล์ขายของ มาลงทุนแผงขายหนังสือพิมพ์ครั้งแรก ไม่ได้เริ่มต้นจาก “ทุน” ที่พร้อมแล้ว แต่เพราะ “ใจ” ที่พร้อม

5 ปีที่ผมวิ่งเข้าใส่งาน เจอปัญหายากๆ หล่อหลอมให้ผมเป็นคนไม่กลัวปัญหา

วันหนึ่งเมื่อ “โอกาส” มาถึง ผมจึงไม่ลังเลใจก้าวออกมาตามฝัน

ผมกล้า เพราะผมมีความเชื่อและมองเห็นความสำเร็จที่รออยู่เบื้องหน้า

ธุรกิจคือการลงทุน..กล้าได้ เสี่ยงได้ เพียงแต่ต้องไม่ทำอะไรที่เกินตัว

มีคำถามว่า ต้นไม้พันธุ์เล็กที่อ่อนแอจะตัดต่อพันธุกรรมให้เป็นพันธุ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ไหม ?

ผมไม่เรียกว่าตัดต่อพันธุ์ แต่ว่าเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ สร้างนิสัยนักสู้ได้จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา

ถ้าคุณอยู่กับคนไม่สู้ ใจคุณก็ไม่ฮึกเหิม แต่ถ้าคุณอยู่กับนักสู้ คุณก็ซึมซับความเป็นนักสู้

ผมมีวันนี้ เพราะมี "บุคคลต้นแบบ" ผมชอบคนทำงาน ชอบคนที่ประสบความสำเร็จ แม้ผมจะเรียนน้อย แต่ “ดร.เทียม โชควัฒนา” ก็เรียนน้อย แต่สามารถประสบความสำเร็จได้ และเป็นต้นแบบนักสู้ที่ให้ผมมีแรงฮึด

ทุกอย่างมันอยู่ที่ “กำลังใจ” และ “ความเชื่อ”

ถ้าเรามีกำลังใจ มีความเชื่อ ทุกอย่างเราจะผ่านมันไปได้

จะออกจากงานมาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองดีไหม คำถามนี้ ความจริงไม่จำเป็นต้องถามใคร

เพราะคนแรกที่ต้องถาม และตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดคือตัวคุณเท่านั้นครับ

ตัน ภาสกรนที
วิถีตัน
//bit.ly/rr8gBt




 

Create Date : 26 กันยายน 2554    
Last Update : 26 กันยายน 2554 10:27:04 น.
Counter : 640 Pageviews.  

Trade ทองอย่างมีสติได้สตางค์

ผมเป็นห่วงนักเก็งกำไรสมัครเล่นที่เห็นเขา "ตื่นทอง" กัน ก็เลยอยากจะฉุดเอาไว้ หรือสะกิดเอาไว้บ้าง

ผมเขียนบทความนี้ตอนเวลาดีบ่ายวันอาทิตย์ คิดอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องทองดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจดังที่กำลังเขียนอยู่นี่แหละครับ เหตุผลหลักที่ทำให้ลังเลก็เป็นเพราะว่า ผมเองไม่เคย trade ทองแบบที่ trade เงินและดอกเบี้ยมาตลอดชีวิตการทำงาน อาจจะมี Position ทองบ้างก็เป็นแบบ "แก้คันมือ" ดังนั้น สรุปว่าไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ "Go Ahead"


ทั้งนี้ ก็เพราะอยากจะเตือนสติบรรดานักเก็งกำไร เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ จริงๆ ผมไม่เคยมีความกังวลใจในเรื่องที่ trader มืออาชีพจะขาดทุนหรือเสียหายเลย เพราะว่าหากนับเป็นอาชีพแล้ว การขาดทุน (ซะบ้าง) ก็เป็นเรื่องปกติ แต่กลุ่มคนที่ผมเป็นห่วง ก็คือ บรรดานักเก็งกำไรสมัครเล่นที่เห็นเขา "ตื่นทอง" กัน ก็เลยลุยเข้ามา เอาทรัพย์สินที่เก็บหอมรอมริบมานานมาตื่นทอง ก็เลยอยากจะฉุดเอาไว้ หรือสะกิดเอาไว้บ้าง


ผมเคยเขียนบทบาทของ trader ที่ควรจะเป็นและกฎพื้นฐานที่ trader ทุกคนควรจะมี (เม.ย. 53) แต่คราวนี้จะไม่เน้นเรื่องเดิมครับ ถือว่าได้ “สอน” ไปแล้ว แต่คราวนี้จะลงภาคปฏิบัติเลย และต้องขอออกตัวว่าผมไม่ใช่ Gold Trader โดยอาชีพ แต่ผมเอาเรื่องวันนี้มาเล่าให้ฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตามทฤษฎี หรือแนวปฏิบัติ (Practices) ของมืออาชีพด้านนี้ ดังนั้น ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ


กฎข้อแรก ของผมในการ Trade ทอง ก็คือ ต้องเริ่ม Position ด้วยการ "long" หมายความว่า หากท่านยังไม่มีอะไรเกี่ยวกับทองเลยขอให้เริ่มต้นด้วยการ ซื้อทอง ไม่ว่าจะเป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณ แต่ไม่ใช่ในรูปของ Futures หรือกองทุนทอง เหตุผลของผมก็คือ ทองเป็นโลหะที่มีค่าในตัวมันเอง ซึ่งแตกต่างจาก "สินค้า" ตัวอื่นๆ ในตลาด การที่เราสามารถ "ซื้อ" ทอง เข้ามาได้ก็หมายความว่า ในกรณีเลวร้ายที่สุด เราก็ยังมี "ทอง" อยู่ในมือ ผลเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ราคาทองมีราคาลดลง ก็จะสะท้อนเพียงการขาดทุนจากส่วนต่างของราคาที่เกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ยังคงมีทองให้ลูบคลำอยู่แก้ช้ำใน (ใจ)


กฎข้อที่สอง ต้องระลึกไว้เสมอว่า ตลาดทองคำในบ้านเรายังไม่ได้ "Regulated" หมายความว่า ท่านเมื่อเข้ามาเก็งกำไรแล้ว ท่านต้องยอมรับสภาพ เมื่อท่านซื้อทองจ่ายเงินเขาไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ทอง (Settlement Risk) หรือเมื่อตอนขายท่านอาจจะขายไม่ได้ เพราะร้านขายทองปิดร้านเฉยเลย หรือยังไม่ได้เงิน (Liquidity Risk) ท่านที่ซื้อ/ขาย ทอง ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ก็คงจะได้มีประสบการณ์ดังกล่าวมาบ้างไม่มากก็น้อย


ดังนั้น การคาดหวังกำไรจากการ trade ทองคงต้องนำความเสี่ยงทั้งสองอย่าง (Settlement Risk และ Liquidity Risk) เข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย เมื่อตลาดยังไม่ได้รับการจัดระเบียบย่อมมีผลประโยชน์ส่วนเกินเกิดขึ้น และคงไม่ต้องบอกต่อไปว่าใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์ และตอนนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานทางการ (หรือเอกชนก็เถิด) เข้ามาดูแลเป็นเรื่องเป็นราวเลย


กฎข้อที่สาม ต้องรู้จักใช้ตลาดทองอื่นๆ ซึ่งได้รับการ regulated แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งได้แก่ ตลาดล่วงหน้า (Futures) กองทุนต่างๆ ที่ออกโดย บลจ.ต่างๆ ตลาดและเครื่องมือเหล่านี้ ได้รับการจัดระเบียบแล้วโดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงที่ผมบอกข้างต้น ที่บอกให้ใช้ให้เป็นก็เพราะว่า หากใช้ไม่เป็นพวกเราก็อาจจะต้องตายทั้งเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Futures เนื่องจากว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะที่พวกเราเรียกว่า highly leverage เป็นอย่างมาก ท่านวาง initial margin 10% ท่านสามารถเล่นได้มากกว่าหลายเท่า (แน่นอน initial margin จะได้รับการประกาศเปลี่ยนแปลงโดยทางการตามสถานการณ์ในตลาด) ตอนได้กำไรก็ตาโตเพราะมาเร็วและแรง แต่โลกมันมีสองด้านเสมอ ตอนขาดทุนจนท่านถูกเรียก top up ก็อาจจะหน้ามืดได้นะครับ


เทคนิคเล็กๆ ที่ผมขอแนะนำ ก็คือ เมื่อท่านได้ long ทองดังกล่าวในกฎข้อแรกแล้ว หากราคาของทองสูงขึ้น และท่านยังไม่อยากจะขาย (หรือขายไม่ได้แล้วแต่กรณี) ท่านสามารถ Lock in profit ด้วยการ short ในตลาด Futures ได้ในจำนวน contracts ที่พอเหมาะพอควรไม่จำเป็นต้องเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง (เช่น มีทองแท่ง 50 บาท และ short contracts 50 บาท) ท่านอาจจะเล่นได้สักเล็กน้อยแต่คงไม่ใช่ 500 บาท นะครับ หากราคาของทองสูงขึ้นไปอีก ท่านก็จะมี position ที่ "natural hedge" (หากทำแบบหนึ่งต่อหนึ่ง)


ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง ก็คือ หากเปรียบเทียบทองคำกับสินค้าตัวอื่นๆ ที่ใช้ในการลงทุนแล้ว ทองคำเพิ่งจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง เหตุผลก็มีผู้คนได้พูดจาวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากแล้ว ผมคงไม่นำมาพูดอีก หากดูกันในระยะยาวแล้ว (เก็บคุณสมบัติส่วนตัวของทองเรื่องการเป็นโลหะมีค่าไว้สักนิดหนึ่ง) การลงทุนในหุ้นดีๆ กับการลงทุนในทอง ก็มี return ที่แตกต่างกัน คือ หุ้นดีๆ จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า


แต่หากนำคุณสมบัติพิเศษของทองมาพิจารณาก็อาจจะตัดสินใจได้ยาก ผมส่วนตัวแล้วผมมีทองอยู่ใน portfolio ของผมหากเทียบเป็น percent แล้วก็ไม่มากนัก (น้อยกว่า 10%) เพราะผมมองทองในแง่คุณสมบัติเฉพาะของมันมากกว่า อยากจะได้มีโอกาสพูดว่า ตอนที่ลูกชายโตเป็นหนุ่มแล้วจะต้องไปหมั้นสาว จะบอกผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวให้เอาตาชั่งมาด้วยในวันหมั้น จะได้เอามาชั่งทองหมั้นของลูกชายว่ามีสักกี่กิโล


สุดท้ายขอให้ทุกท่านโชคดีในการเก็งกำไรทองคำนะครับ... สวัสดี

//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/satien/20110907/408214/Trade-ทองอย่างมีสติได้สตางค์.html




 

Create Date : 07 กันยายน 2554    
Last Update : 7 กันยายน 2554 10:29:37 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

ทศวรรษแห่ง VI

ผมเริ่มเป็นวิทยากรที่พูดเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น แบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment มานานนับสิบปี

สิ่งที่ผมสังเกตเห็น ก็คือ จำนวนคนที่สนใจเข้าฟัง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแทบจะเรียกว่า "อัดแน่น" ในช่วงหลังๆ ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า สังคมการลงทุนของคนไทย กำลังเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรือประมาณปี 2543 ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และราคาหุ้นตกต่ำถึงพื้น อะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้?


ประการแรก ก็คือ คุณสมบัตินักลงทุน หรือคนที่เข้ามาฟังการสัมมนา ก่อนปี 2540 คนฟังการสัมมนาคือ "คนเล่นหุ้น" คือกลุ่มคนที่กล้าเสี่ยง เป็นคนที่ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งโดยสัญชาตญาณของความเป็นพ่อค้า ย่อมกล้าเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่น


กลุ่มต่อมา คือ แม่บ้านที่มีฐานะปานกลาง มีเวลาว่าง และเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น บางคนอาจจะชอบเล่นการพนันอย่างอื่น นี่เป็นกลุ่มที่ลงทุนด้วยเงินที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มักจะเป็นผู้ชาย ที่เล่นหุ้นเอาจริงเอาจังมากกว่า


กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มพนักงานตามสำนักงาน โดยเฉพาะคนทำงานในแวดวงการเงิน ที่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นดีกว่าคนทั่วไป และมีข้อมูลมากกว่า พวกเขาเล่นหุ้นเพราะเห็นโอกาส "ทำกำไรง่ายๆ" ที่เขาพบเห็นบางช่วงเวลา


และสุดท้าย คือ "เซียน" หรือกลุ่ม "ขาใหญ่" ที่มีเม็ดเงินมาก และมักทำการซื้อขายนำเพื่อ "ทำราคาหุ้น" บางคนก็ "ปั่นหุ้น" เพื่อทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น


นักลงทุนที่ผมเห็นในที่สัมมนาใน พ.ศ.นี้ ส่วนมากน่าจะเป็นคนทำงานกินเงินเดือนที่เป็นคนชั้นกลาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยที่กำลังทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคต และคิดว่าการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น เป็นหนทางที่ดีกว่าการฝากเงินหรือลงทุนอย่างอื่น พวกเขาไม่ใช่คน "ชอบความเสี่ยง" แบบผู้ประกอบการ แต่พร้อมเสี่ยงด้วยเงินจำนวนหนึ่ง


พวกเขาเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ "คุ้มค่ากับความเสี่ยง" และเขารับได้ การได้เรียนรู้และจากประสบการณ์สั้นๆ ช่วยให้พวกเขามั่นใจ ภาพของหุ้นที่เป็นตราสาร "เก็งกำไร" เปลี่ยนไป การลงทุนในหุ้นสำหรับคนจำนวนไม่น้อย เป็นการลงทุน "ทำธุรกิจ" พวกเขารู้และคิดว่าถ้าเราเป็น "IV" น่าจะปลอดภัย และได้ผลตอบแทนที่ดี


กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่ง คือ เจ้าของกิจการที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควร ซึ่งรวมถึงลูกที่เรียนจบและเริ่มทำงาน คนกลุ่มนี้ ตั้งแต่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 พวกเขา "รอด" มาได้ และช่วง 10 ปีที่ผ่านมากลับรุ่งเรือง และมีเงินสดเหลือมากมาย พวกเขาต้องทนฝากเงินกินดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำมานาน


เมื่อเห็นราคาหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นติดต่อกันมานานหลายปี เขาเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เริ่มเรียนรู้ว่าหุ้น ก็คือธุรกิจเหมือนกับที่เขาทำอยู่ ซื้อหุ้นก็เหมือนซื้อธุรกิจ กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นของพวกเขาที่ผ่านมาไม่กี่ปี ดีและเร็วกว่าธุรกิจของตนเองมาก


ดังนั้นตลาดหุ้นสำหรับพวกเขาจึงไม่ใช่ "แหล่งการพนัน" พวกเขาอาจจะเรียก และคิดว่าตนเองเป็น "IV" ไม่ได้ซื้อหุ้นมั่วๆ ไม่มีพื้นฐาน และนี่ก็คือกลุ่มนักลงทุนที่มีเม็ดเงิน และศักยภาพมหาศาลขับเคลื่อนหุ้น โดยเฉพาะที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนักได้


กลุ่มสุดท้าย ยังเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่เป็นแม่บ้าน และผู้ประกอบการรายย่อยจริงๆ ที่เน้นการเล่นหุ้นรายวันและมักอยู่ตามห้องค้า กลุ่มนี้น้อยลงไปมากในห้องสัมมนา สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ พวกเขาหันมาเล่นหุ้น "IV" ตามการเล่นของคนกลุ่มอื่นๆ ประเด็นสำคัญสำหรับกลุ่มนักลงทุนรุ่นดั้งเดิม คือ กลุ่มที่เรียกว่า "ขาใหญ่"ยุคใหม่นี้จำนวนมาก "ล้มหายตายจาก"ไป แต่ที่ยังอยู่และยังร่ำรวย หรือรวยยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงไป หลายคนเป็น "IV เต็มตัว"


หลายคนแม้ยังชอบ "เล่นเร็วและไล่ราคา" แต่การทำอย่างนั้น มักจะทำกับหุ้น "IV" พวกเขายอมรับว่า VI เป็น "กระแส" ที่ไม่สามารถฝืนได้ การเล่นหุ้น หรือทำราคาหุ้นโดย "ไม่มีเหตุผล" ด้านพื้นฐานมาสนับสนุนสำเร็จได้ยาก


ถ้าจะพูดว่า "ถนนทุกสายมุ่งสู่ VI" ก็ไม่น่าจะเกินความเป็นจริง และนั่นทำให้หุ้น "IV" ค่อยๆ ปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ หุ้นเหล่านี้ มักเป็นหุ้นตัวเล็ก หรืออย่างมากก็ระดับกลางค่อนไปทางเล็ก แต่เนื่องจากเม็ดเงินที่เข้ามาเล่น หรือซื้อหุ้นเหล่านี้ไม่ได้เล็ก นักลงทุนบางคนหรือบางกลุ่มมีพอร์ตการลงทุนที่ซื้อหุ้นได้ทั้งบริษัทอย่างง่ายๆ


ดังนั้น หุ้น "IV" จำนวนมากจึงปรับตัวขึ้น ตัวแรกปรับขึ้นจนราคาสูง อาจ "เต็มมูลค่า" จึงถูกขาย เม็ดเงินที่ได้กำไรจากการขายหุ้นของ VI ที่ "มาก่อน" ก็เข้าไปซื้อหุ้น "IV" ตัวใหม่ ทำให้ราคาหุ้นตัวใหม่ปรับขึ้นไป สิ่งนี้ชักจูงให้เม็ดเงินใหม่จากรายใหม่เข้ามาซื้อ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก ไม่ช้าหุ้น "IV" ก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ จนหมดสภาพเป็นหุ้น "IV"


กระบวนการทั้งหมด แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับดัชนีหุ้น เพราะหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่ชี้นำดัชนีได้จริงๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาของนักลงทุนที่เป็น "IV" ดังนั้นผลตอบแทนที่ทำได้ของนักลงทุน VI บางคนจึงสูงกว่าดัชนีมาก และหลายครั้งไม่ได้ปรับตัวตามตลาดมากนัก


ความสำเร็จของนักลงทุน VI ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมอยากเรียกว่าเป็น "ปรากฏการณ์" โดยเฉพาะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมากกว่า 100% แต่ VI บางคน พวกเขาอาจกำไรมากเสียจน "รวยไปเลย" IV บางคนอายุน้อยมาก และเพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่กี่ปี แต่กลับมีเงินหลายสิบล้าน บางคนมีหลายร้อยล้านจากการลงทุน


บางคนเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมากจากธุรกิจที่บ้าน กลายเป็นเศรษฐีพันล้านในเวลาอันรวดเร็ว แม้ไม่พูดถึงคนที่รวยเป็นเรื่องเป็นราว นักลงทุน "IV" รายย่อยที่เป็นคนกินเงินเดือน เก็บเงินจากเงินเดือนมาลงทุน หลายคนกลายเป็นคนที่มีเงินหลายล้านบาท และรู้สึก"แตกต่าง" จากเพื่อนที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้น ข้อสรุปของผม นี่คือยุคทองของ VI และผมอยากเรียกว่า 10 ปีที่ผ่านมาเป็น "ทศวรรษแห่ง VI"


แต่ยุคแห่งความรุ่งเรือง วันหนึ่งต้องผ่านไป ชีวิตที่ได้เงินมามากและง่าย ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะคนใหม่ๆ จะเข้ามาทำบ้าง และในกระบวนการ ก็ทำให้วิธีการหาเงินแบบนั้นไร้ผล ผมไม่รู้ว่า "ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองของ VI" จบสิ้นแล้วหรือยัง เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นเร็วๆ ชี้ให้เห็นว่า การเป็น "IV" แบบไม่ค่อยได้ศึกษา หรือลงแรงจริงจัง แทนจะกำไรอาจขาดทุนอย่างหนัก แต่ไม่ว่ายุคสมัยจะเป็นอย่างไร VI ก็ยังเป็นแนวคิดและวิธีการที่ดีเสมอตราบที่เราใช้มันอย่างถูกต้อง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20110906/408050/ทศวรรษแห่ง-VI.html




 

Create Date : 06 กันยายน 2554    
Last Update : 6 กันยายน 2554 11:14:05 น.
Counter : 490 Pageviews.  

หุ้นหลายเด้ง

นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จสูงในระยะยาว หนีไม่พ้นที่ต้องมีหุ้นที่ทำกำไรสูงมากเป็นหลายๆ เท่าตัวจากต้นทุนที่เขาซื้อมา

ในวงการนักลงทุนเรียกว่า "หุ้นหลายเด้ง" นอกจากกำไรเป็นหลายเท่าตัวแล้ว หุ้นหลายเด้งที่ว่านั้น ต้องมีจำนวนเป็นเม็ดเงินอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่มีเพียง 200-300 หุ้น ซึ่งไม่มีความหมายต่อขนาดของพอร์ตโฟลิโอ ตรงกันข้าม หุ้นหลายเด้ง ต้องมีขนาดพอสมควรที่ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตสูงกว่าปกติต่อเนื่องกันหลายปี พูดง่ายๆ ถ้าตัดหุ้นตัวนี้ออก ผลตอบแทนรวมของพอร์ตอาจจะดูธรรมดามาก หรือหุ้นหลายเด้ง เป็นหุ้นที่สร้างความแตกต่างระหว่าง "เซียน" กับนักลงทุนธรรมดา ดังนั้น เราจึงควรมาดูกันว่าเราจะหาหุ้นหลายเด้งได้อย่างไร


ข้อแรก ที่ผมคิดว่าสำคัญ ก็คือ หุ้นที่จะเติบโตขึ้นมาหลายๆ เท่าตัวได้ในระยะเวลาไม่นาน เช่น ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าตัวในเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยที่หุ้นตัวนั้นไม่ได้ถูก "ทำราคา" หรือ "ปั่น" มักจะอยู่ใน หุ้น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่หนึ่ง เป็นหุ้นที่ อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีวัฏจักรขึ้นลงรุนแรง เช่น ธุรกิจเดินเรือ ปิโตรเคมี แร่ธาตุที่หายาก หรือสินค้าเกษตรที่ต้องใช้เวลาในการปลูกยาวนานเช่นยางพารา เป็นต้น


การที่จะทำกำไรได้หลายเด้งในหุ้นกลุ่มนี้ วิธีที่ได้ผลมากที่สุด คือ ซื้อหุ้นในยามที่หุ้นอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำสุด และไม่มีคนสนใจและพูดถึงเลย และเรารู้ หรือมั่นใจว่าอุตสาหกรรมกำลังฟื้นตัวและการฟื้นตัวนั้น จะฟื้นแรงด้วยเหตุผลที่ชัดเจนถูกต้อง และเมื่อสิ่งที่เราคาดไว้ถูกต้อง หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วในรอบแรก เราต้องถือหุ้นต่อไปจนกว่าวัฏจักรจะเป็นขาขึ้นเต็มตัว ซึ่งราคาหุ้นก็จะปรับตัวตามไปเรื่อยๆ เราจะขายต่อเมื่อทุกอย่าง "ดูดีหมด" โบรกเกอร์เกือบทุกสำนักจะเชียร์หุ้นตัวนั้น นักลงทุนแทบจะทุกกลุ่มต่าง ก็ดูว่าเป็น หุ้น "สุดยอด" เพราะ "กำไรดีมาก" ผู้บริหาร "คาดการณ์แม่นมีวิสัยทัศน์" บริษัท "ขยายตัวต่อเนื่อง" และที่สุดยอด ก็คือ "เงินสดเพียบและไม่มีหนี้เลย" เมื่อเกิดภาวการณ์แบบนี้ อย่ารอที่จะขายหุ้นทิ้ง อย่ารอให้เห็นว่าเป็นวัฏจักรขาลงแล้ว เพราะนั่นจะไม่ทันกาล


กลุ่มที่สอง ที่มีโอกาสเป็นหุ้นหลายเด้ง คือ "หุ้นฟื้นตัว" นี่คือหุ้นที่ประสบปัญหาการดำเนินงานจนแทบจะเอาตัวไม่รอด หลายๆ บริษัทต้องเข้าแผนฟื้นฟู บางบริษัทหุ้นถูกพักการซื้อขาย ราคาหุ้นจะตกต่ำมาก ดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัท จะต่ำมากเทียบกับยอดขาย แม้บริษัทจะขาดทุนหนัก และติดต่อกันมานาน แต่กิจการยังดำเนินต่อไป และแข่งขันกับคู่แข่งได้ ยี่ห้อสินค้าของบริษัท ยังเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ที่สำคัญ คือ ทรัพย์สินบริษัท เช่น โรงงานและอุปกรณ์ต่างๆ ยังมีค่าและมีคนต้องการ


ที่สำคัญประเด็นสุดท้าย คือ หนี้ของบริษัทไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ตามราคาตลาด การซื้อหุ้นแบบนี้ บางครั้งก็ทำได้ยากเพราะปริมาณการซื้อขายหุ้นมีน้อยมากเนื่องจากบริษัทมีขนาดเล็กมากในแง่ของมูลค่าหุ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทเริ่มฟื้นจริงๆ ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปสูงและเร็วมาก บางครั้งปรับตัวเกินพื้นฐานไปด้วยเนื่องจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน ดังนั้น เราอาจจะขายทิ้งไปเมื่อหุ้นกำลัง "ร้อนจัด" ดีกว่าที่จะรอซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อฟื้นแล้วบริษัทจะกำไรดีหรือเปล่า


หุ้น กลุ่มสุดท้าย ที่จะเป็นหุ้นหลายเด้งได้ คือ "หุ้นโตเร็ว" นี่คือ หุ้นที่เติบโตต่อไปได้ยาวนานไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยโตได้เป็นสองหลักทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรจะโตมากกว่ารายได้ เช่น รายได้อาจโต 15% ต่อปี ขณะที่กำไรจะโตถึง 20% ต่อปีโดยเฉลี่ย ประเด็นสำคัญในการมองหาหุ้นในกลุ่มนี้ คือ การวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโต และคุณสมบัติของตัวกิจการ คือ บริษัทต้องโตอย่างแท้จริง เมื่อรายได้และกำไรโตขึ้นแล้ว ต้องไม่ลดลง หรือ "โตอย่างถาวร" ความเสี่ยงที่รายได้และกำไรจะลดลงในอนาคตมีน้อยมาก


ประการต่อมา การโตของบริษัท ไม่ควรต้องลงทุนในสินทรัพย์มาก ถ้าโตได้โดยที่ "แทบไม่ต้องลงทุนเลย" ก็ยิ่งดี แต่ถ้าโตโดยที่ต้องลงทุนมากก็จะเป็นการเติบโตที่ "ไม่มีประโยชน์" เพราะกิจการอาจไม่สามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มเติมเนื่องจากเวลามีกำไร จะต้องเอาเงินนั้นไปลงทุนต่อ เงินนั้นไม่มาถึงผู้ถือหุ้นเท่าไรนัก วิธีที่จะดูว่าเป็นการโตที่มีประโยชน์หรือไม่ ก็คือ ดูว่าค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทสูงแค่ไหน ถ้าต่ำกว่า 10% ผมก็คิดว่าเป็นการโตที่ไม่มีประโยชน์ ถ้าสูงกว่า 20% ผมคิดว่าเป็นการโตที่ดีมาก ข้อมูลอีกตัวหนึ่ง ก็คือ บริษัทที่จะโต ไม่ควรมีหนี้เงินกู้มาก ถ้าจะให้ดีไม่ควรเกิน 1 เท่าของเงินทุนของบริษัท ถ้าโตโดยไม่มีหนี้เลยก็ยิ่งดีใหญ่


การซื้อหุ้นบริษัทที่โตเร็ว ควรซื้อยามที่ราคาหุ้นไม่แพง เมื่อซื้อแล้วและราคาหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นไป อย่ารีบขาย ถือไปเรื่อยไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป ที่จริง 5 ปีขึ้นไปยิ่งดี แต่จุดขายจริงๆ จะเป็นช่วงเวลาที่เติบโตเริ่มชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทเริ่มเผชิญกับคู่แข่งที่น่ากลัว การขายหุ้นโตเร็ว ความจำเป็นที่จะต้องขายอย่างรีบเร่งน่าจะน้อยกว่าหุ้นวัฏจักร หรือหุ้นฟื้นตัวมาก เพราะหุ้นโตเร็ว ราคาหุ้นเมื่อการเติบโตเริ่มช้าลง จะค่อยๆ ปรับตัวลงตามช้าๆ มากกว่าจะดิ่งลงเหมือนหุ้นกลุ่มอื่น


การเล่นหุ้นหลายเด้ง แม้จะทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย ประเด็นก็คือ เราอาจคาดการณ์ผิด เราไม่รู้หรือไม่เข้าใจจริง ที่สำคัญ เราไปฟังการวิเคราะห์ของคนอื่น และเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดถูกต้อง โดยสิ่งที่ทำให้เชื่อ นอกจากเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตัวบริษัท ก็คือ ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแรงพร้อมๆ กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่มากเกินปกติ ลักษณะนี้ แม้สิ่งที่คาดการณ์ไว้เกี่ยวกับกิจการจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็จะไม่ได้หุ้นหลายเด้ง ถ้าโชคดี อาจจะได้กำไรบ้าง บางทีอาจจะได้หนึ่งเด้ง แต่ถ้าโชคร้าย อาจขาดทุนหนักเหมือนกัน คนที่จะได้กำไรหลายเด้ง ต้องเป็นคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำมาก ก่อนที่หุ้นจะเป็นข่าว หรือเป็นที่กล่าวขวัญถึง และนี่คือ "เซียน" ตัวจริง


ผมคงจะจบบทความไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า เราไม่ควรคิดลงทุนเฉพาะหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้นหลายเด้ง เพราะการทำแบบนั้น เป็นเรื่องอันตราย เพราะจะทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงสูงเกินไป อย่าไปคิดว่า จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง ที่จริงเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ หรือหาหุ้นหลายๆ เด้งได้ถูกต้อง บ่อยครั้งเราเห็นหุ้นที่กลายเป็นหุ้นหลายเด้งแล้ว จึงมาสรุปถึงเหตุผล แล้วก็คิดว่ารู้ตั้งแต่วันแรก ประสบการณ์ของผม คือ หุ้นหลายเด้งส่วนใหญ่ที่ผมได้ ในวันที่ผมซื้อ ผมไม่รู้และไม่ได้คิดว่า ได้กำไรถึงขนาดนั้น ผมซื้อเพราะกิจการดี และมีราคาที่เหมาะสม น่าจะทำให้ผมกำไรซักปีละ 10-15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่บังเอิญมา "เด้ง" ทีหลัง ผมอยากเรียกว่า เป็นโชคดีที่เกิดจากการทำสิ่งที่ดีมากกว่า

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/nives/20110830/407013/หุ้นหลายเด้ง.html




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2554    
Last Update : 30 สิงหาคม 2554 5:53:12 น.
Counter : 601 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.