ใกล้...จนมองผ่านไป หรือว่าไกล...จนสุดมือคว้า
Group Blog
 
All blogs
 
ดาหลา...ยาใจ บทที่ 3

ในที่สุดการทำมื้อเย็นก็สำเร็จ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
อาหารหน้าตาน่าทานปรากฏขึ้นตรงหน้า นัธฐามองอย่างภูมิใจ
เพราะไม่ใช่แค่หน้าตามันเท่านั้นที่ดูดี รสชาติก็ใช้ได้ ไม่ถึงกับต้องพึ่งเมนูไข่ของปรมัธแก้ขัด

อรดีโผล่หน้าเข้ามาในครัวราวกับมีพรายไปกระซิบข้างหูว่า
‘อาหารพร้อมแล้ว’

“โอ้โห น่าทานจังเลย”

“แน่ล่ะ ขืนรออรทำชาตินี้คงไม่ได้กิน” เสียงของคนขี้เก๊กปรามาส
แต่แทนที่อรดีจะโกรธกลับหัวเราะ ยอมรับเสียงดัง

“แน่ละค่ะ ขืนรออรก็คงไม่ได้กินแน่”
ก่อนจะฉวยโอกาสที่เพื่อนสาวง่วนกับการลำเลียงอาหารขึ้นโต๊ะ กระซิบกับคนปรามาส

“ช่วยให้ได้อยู่สองต่อสองกับนัธแล้วยังจะมาว่าอรอีก เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะเลยพี่ปอ”

ปรมัธดึงแขนอรดีเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะผลุบออกไปที่โต๊ะอาหาร กระซิบใส่บ้าง

“ช่วยอะไรฮึยัยอรตัวยุ่ง”

หญิงสาวหน้ามุ่ย ‘ตัวยุ่งงั้นรึ’ ส่งสายตาพิฆาตให้พี่ชาย
ที่เมื่อเห็นน้องเริ่มทำหน้ายักษ์ก็เปลี่ยนคำพูด “โอเค ยอมรับก็ได้ แต่เอาไว้ค่อยคุยนะ เดี๋ยวนัธสงสัย”

“ก็ได้ค่ะ ไว้ค่อยพูดก็ได้”

จบบทสนทนาที่เป็นความลับระหว่างสองพี่น้องนอกอุทร ปรมัธก็ลากแขนอรดีมาที่โต๊ะอาหาร
ก่อนจะจบมื้อนั้นด้วยเค้กวานิลาที่เจ้าของบ้านแอบไปซื้อเมื่อเช้าตอนขึ้นแผ่นดินใหญ่

หลังจากส่งเพื่อนสาวขึ้นนอนแล้วอรดีก็ย่องเงียบๆ กลับมาที่บ้านหลังข้างๆ
ปรมัธรออยู่ที่ชานบ้าน คืนนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง เพราะเป็นข้างขึ้น แม้จะยังเว้าแหว่งไปบ้าง
แต่ก็ดูงดงามกระจ่างตา

“มาแล้วรึยัยตัวยุ่ง”

ผู้ถูกเรียกหน้าง้ำกับคำที่ได้ยิน “ว่าอรอีกแล้ว”

“โอเค ไม่ว่าก็ได้ เริ่มเล่ามาได้แล้ว”

อรดีทำหน้าตาย ถามอย่างแกล้งๆ ว่า
“จะให้เล่าอะไรคะ อรจำได้ว่าไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามีอะไรจะเล่าให้พี่ปอฟัง”

ชายหนุ่มชูมือขึ้นทำท่าจะเขกบนศีรษะของคนช่างแกล้ง ทำเอาสาวน้อยร้องเสียงหลง

“โธ่ พี่ปอก็ แหย่หน่อยเดียวเอง จะทำร้ายร่างกายแม่สื่อคนนี้ซะแล้ว”

ปรมัธหน้าปั้นเสียงขรึมใส่ “เลิกล้อเล่นได้แล้ว เล่าเรื่องนัธฐาให้พี่ฟังได้แล้ว อย่าโยกโย้”

“ด้ายยยยสิ พี่ชาย” แกล้งลากเสียงยาวอย่างกวนๆ ก่อนที่จะพรั่งพรูเหตุการณ์ที่เพื่อนสาวประสบมาให้เขาได้รู้

จบเรื่องที่อรดีเล่า ชายหนุ่มก็นิ่งไป

“มิน่าเล่า ถึงได้หน้าเศร้าเหมือนแบกทุกข์หนักไว้ขนาดนั้น”

“ใช่ค่ะ เมื่อก่อนนัธเค้าไม่เป็นแบบนี้หรอก เป็นเพราะไอ้ผู้ชายบ้าๆ แบบนั้นแท้ๆ
แต่อรว่าตอนนี้ยัยนัธก็ดีขึ้นเยอะแล้วนะคะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว คิดในใจ ‘นี่ดีขึ้นแล้วเหรอ’
อรดีเห็นคนตรงหน้าทำหน้าแบบว่าไม่เชื่อ จึงย้ำอีกครั้ง
“อรพูดจริงๆ พี่ปอไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ถ้ามาเห็นยัยนัธก่อนหน้านี้
รับรองพี่ปอคงอยากรีบแล่นไปฆ่าไอ้หมอนั่นแทนอรแน่ๆ”

พูดจบก็มองหน้าปรมัธด้วยสายตาที่เขาบอกกับตัวเองว่า ‘ยัยนี่กำลังจะออกลูกบ้า’

“ว่าแต่พี่ปอเถอะ คิดจะจริงจังกับเพื่อนอรแค่ไหน”

ชายหนุ่มนิ่งคิด นั่นสิ เขาคิดยังไงกับนัธฐากันแน่
ที่รู้ๆ คือเขาไม่เคยคิดแบบนี้กับใคร...ที่เพิ่งรู้จัก

ห่วงใยทั้งๆ ที่เพิ่งเคยเห็นหน้า
อยากเห็นรอยยิ้มแทนใบหน้าเศร้าๆ ที่เจ้าตัวชอบเผลอทำ
อยากแหย่ให้หัวเราะหรือโกรธ ดีกว่าเฉยชาแบบคนไร้ความรู้สึก

“ไม่รู้หรอก” คำตอบที่ทำให้อรดีทำหน้ายักษ์หนักกว่าเดิม

“เพิ่งเคยเห็นหน้านี่นา จะให้พี่รักเค้าเลยหรือไง”

คำพูดสุดท้ายในประโยคนั้นทำเอาเธอชะงัก
ใช่สิ คนเพิ่งเคยเห็นหน้ากันนี่นา จะให้รักเลยคงแปลกแย่แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้เธองง

“แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าไม่ได้ชอบเพื่อนของเธอ”

อรดีเกาหัวแกรกๆ (ไม่เสียภาพพจน์แน่ๆ ก็ฉันไม่ใช่นางเอกนี่นา)
“หมายความว่าไงคะ”

“ไม่ได้โง่สักหน่อย ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ”

อ้าวปากเหรอนั่น แต่ยังไม่ทันแว้ดพี่ชายก็อธิบาย

“คือไงดีล่ะ ยังไม่ถึงกับรัก แค่ประทับใจ อะไรประมาณนั้นแหละ”

เออ พูดแค่นี้ก็เข้าใจแล้ว

“อรก็ไม่ได้หวังให้ถึงกับรักนี่คะ แค่อยากรู้ว่าไอ้ที่พี่ปอคิดเนี่ย
จริงจังรึเปล่า อรไม่อยากให้เพื่อนเสียใจซ้ำซาก”

“ก็น่าจะรู้ว่าพี่เป็นคนยังไง”

“รู้ค่ะว่าพี่ปอเป็นคนดี (ที่ขี้เก๊ก) เอางี้นะคะอรก็จะช่วยเท่าที่จะช่วยได้
อ๊ะ ไม่ต้องทำหน้าบาน อรช่วยเพราะอยากให้นัธเค้าหายอกหักไวๆ ต่างหาก
ไม่ได้ช่วยเพราะเห็นแก่พี่ปอหรอก” ดักคอก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะฉีกยิ้ม
ก่อนจะกระซิบให้เขาเสียวเล่น

“แต่ถ้าทำให้นัธเสียใจเหมือนผู้ชายคนนั้นอรเอาพี่ตายแน่”

เสียงคลื่นสาดซัดแว่วมาให้ได้ยินทำให้เธอรู้ตัวว่าตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ที่บ้าน
ร่างบางลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน อากาศแบบนี้น่านอนชะมัด แต่ก็น่าเดินเล่นด้วยเหมือนกัน

หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อย ส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองก็เห็นว่าซูบ
ไปกว่าก่อนมาก สาเหตุคงเพราะพิษร้ายจากพิษรักที่เล่นงานเธอเสียสะบักสบอม

เคราะห์ดีที่เธอยังไม่สูญเสียอะไรให้มาวินไป แม้อีกฝ่ายจะเรียกร้องมากเพียงใด
แต่เธอก็ใจแข็งไม่ยอมตามใจ จนอีกฝ่ายค่อนเธอเอาบ่อยๆ ว่าเป็น ‘แม่แก่’
และคงเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาต้องไปหาความสุขเอาจากคนอื่น

ยิ้มเหยียดให้กับข้ออ้างที่อีกฝ่ายยกขึ้นมา

‘เหตุผลของคนมักง่ายแท้ๆ’

ถามตัวเองอีกครั้งว่าโง่หรือเปล่าที่มานั่งเสียใจแทบเป็นแทบตายให้กับคนแบบนั้น
คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่โง่หรอก
เพราะเธอไม่ได้เสียใจที่เขานอกใจ เพียงแต่เสียดายเวลาที่ฟูมฟักความรักครั้งนี้
เกือบห้าปีที่เธอเฝ้าถนอมมัน ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะจบลงง่ายๆ แบบนี้

แต่ก็ดี ดีกว่าหากเธอตัดสินใจถลำลึกมากกว่านี้แล้วพบภายหลังว่ามาวินเป็นคนแบบนี้
ขนาดยังไม่ได้แต่งงานยังนอกใจและนอกกายเธอ
หากตัดสินใจแต่งงานด้วยจริงๆ เธอคงช้ำใจมากกว่านี้

เสียเวลาเศร้ามามากพอแล้ว พอกันที

ต่อไปนี้เธอจะลืม ลืมเสียทีและเริ่มต้นใหม่...


นัธฐาชะงักเท้าเมื่อเห็นแผ่นหลังของคนข้างบ้าน
ร่างสูงกำลังก้มๆ เงยๆ กับผืนผ้าใบขนาดใหญ่ คงจะออกมาวาดรูป
นึกว่าตื่นเช้าแล้วแท้ๆ แต่กลับมีคนตื่นเช้ามากกว่า ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าใกล้

เสียงย่ำเท้าแผ่วเบาทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเพลินกับภาพวาดสีน้ำเหลือบไปมอง
เมื่อเห็นเป็นเพื่อนน้องสาวก็หันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ใจเริ่มเต้นแรง

‘ไม่รู้ยัยอรบอกอะไรยัยตาโศกนี่หรือเปล่า’

นัธฐาก้าวมาใกล้ สายตาหยุดนิ่งบนแผ่นเฟรม เห็นภาพร่างคร่าวๆ ภาพทะเลยามเช้า
แม้จะเป็นเพียงภาพร่าง แต่เธอก็เป็นนักศิลปะพอที่จะมองออกว่า มันสวย...

“ตื่นเช้าจังนะคะพี่ปอ”

“อืม นัธเองก็ตื่นเช้าเหมือนกันนี่ หรือเป็นเพราะแปลกที่”
ร่างสูงตอบมาทั้งๆ ที่ยังนั่งหันหลังให้

ไม่ตอบแต่กลับเปลี่ยนเรื่อง “เพิ่งรู้ว่าพี่ปอเป็นศิลปิน รูปสวยจังค่ะ”

“ยังไม่เสร็จ รู้ได้ยังไงว่าสวย” คราวนี้หันกลับมามองอย่างแปลกใจ

หญิงสาวยิ้มอย่างอมภูมิ “เพราะนัธก็เป็นนักศิลปะนี่คะ วาดรูปเป็นเหมือนกัน
ดูคร่าวๆ ก็รู้ค่ะว่าคงสวย อ้อ ในกรณีที่ฝีมือลงสีของพี่อยู่ในเกณฑ์ดีนะคะ”

ปรมัธพยักหน้ารับรู้ ไม่ตอบว่ากระไร ทำให้นัธฐาเริ่มรู้สึกตัวว่า
คงจะมารบกวนสมาธิคนตรงหน้าเป็นแท้ “นัธกวนพี่ปอรึเปล่า”

สีหน้าคนถามดูจืดเจื่อน ทำให้เขาต้องรีบบอกไป
“อ๋อ ไม่หรอก กำลังเหงาปาก มีใครมาคุยด้วยก็ดี”

นัธฐายิ้มนิดๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ เอ่ยปากขออนุญาต
“นั่งด้วยคนนะคะ ขอนั่งมองเฉยๆ ไม่กวนหรอก”

แม้จะแปลกใจแต่เขาก็พยักหน้ารับ หญิงสาวเห็นสีหน้าคนข้างๆ ก็รูว่าเจ้าตัวคงจะสงสัย
ว่าจู่ๆ มาขอนั่งด้วยทำไม แต่เธอไม่จำเป็นต้องบอกนี่นาว่างานศิลปะทุกแขนงเป็นยาขนานดี
ที่จะทำให้เธอหายจากความเศร้า และภาพวาดนี่ก็เป็นตัวยาที่ดีทีเดียว

ไม่ได้เอะใจสักนิดว่าไม่ใช่เพียงภาพวาดที่เป็นยาดี
หากแต่คนข้างๆ ก็เป็นยาดีอีกขนานด้วยเช่นกัน!

สายตาของเธอเพ่งความสนใจไปที่มือที่ตวัดพู่กันลงบนแผ่นผ้าใบ
มือเรียวๆ ที่ไม่สมตัวของคนตัวโตข้างๆ
แปลก ตัวโตยังกับตึกแต่มือกลับเรียวสวยสมเป็นมือของศิลปินแท้ๆ

“วาดรูปได้ทำไมไม่ออกมาวาด”
คำถามถูกส่งออกมาจากคนที่กำลังตวัดมือไปมาอย่างขะมักเขม้น
“ไม่มีอารมณ์ค่ะ แค่อยากมองเฉยๆ รำคาญแล้วหรือคะ” นัธฐาถามกลับ

คราวนี้คนตัวโตหยุดมือ หันมาตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ไม่ได้รำคาญ เพียงแต่...พี่เริ่มจะไม่มีสมาธิ”

เม้มปากก่อนจะบอก “งั้นนัธไปก็ได้” นัธฐาลุกขึ้นเตรียมจะเดินกลับบ้าน
ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงยามเอ่ยประโยคนั้นออกไปสั่นเครือราวกับกำลังน้อยใจ

ปรมัธทิ้งพู่กันในมือ คว้าแขนบอบบางของคนขี้น้อยใจรั้งไว้
“พี่ไม่ได้หมายความว่านัธมาทำลายสมาธิพี่ แต่เวลานัธอยู่ใกล้ๆ พี่วาดรูปไม่ได้ เฮ้ย คือยังไงดี พี่ พี่”
ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้คนตรงหน้าหน้าเจื่อนลง ทำให้สุดท้ายเขาโพล่งออกไปตรงๆ

“พี่ตื่นเต้นเวลานัธอยู่ใกล้ มันทำให้พี่มือสั่น สงสัยจะดีใจมากไปมั้ง”

สีแดงๆ ที่เริ่มแต้มบนแก้มของนัธฐา เรียกกำลังใจจากเขาได้โข
แต่เมื่อนึกได้ว่ากำลังจับแขนหล่อนอยู่ก็รีบปล่อย

“ขอโทษที่ถือวิสาสะจับแขนไว้ แค่อยากให้นัธฟังพี่ก่อนเท่านั้นเอง ไม่โกรธใช่มั๊ย”

“ไม่โกรธหรอกค่ะ แต่ทำไมต้องดีใจด้วย” คำถามที่ดูเหมือนง่ายหาก
แต่มันยากนักที่จะอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ

นิ่งคิดเพื่อหาเหตุผลดีๆ อธิบายให้สาวน้อยที่กำลังมองเขาตาแป๋วฟัง
ก่อนจะตัดสินใจที่จะพูดตรงๆ ทั้งๆ ที่ความตั้งใจเดิมของเขา คือรอให้เวลาผ่านไปสักพัก
รอจนสาวน้อยตรงหน้าหายโศกเศร้า รอจนกว่าเธอจะเข้มแข็งพอ...

เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะ ความรู้สึกลึกๆ มันบอก

ยิ่งอ้อมค้อม นอกจากเขาอาจเจ็บปวดเพราะความไม่กล้าแล้ว
ผู้หญิงตรงหน้าก็อาจจะต้องจมกับแผลนี้ไปอีกนาน

ริจะรักษาแผลใจ ก็ต้องแลกด้วยความจริงใจที่เขาต้องแสดงให้เธอเห็น

“นัธฐา เธอบอกพี่หน่อยได้รึเปล่าว่าตอนนี้ใจเธอเข้มแข็งพอรึยัง”

แวบแรกที่ได้ยินนัธฐาสะดุ้ง

เขารู้เรื่องของเธอ!

เหมือนมีเข็มเล็กๆ ทิ่มแทงใจอยู่ แต่แปลก ที่ความเจ็บปวดมันน้อยกว่าที่เคยเป็น
คำถามที่ทำให้เธอต้องกลับมาย้อนถามตัวเอง

ใจเธอเข้มแข็งพอหรือยัง?

คำตอบที่เธอเองก็ไม่แน่ใจ

“ถ้าคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะเริ่มนับหนึ่งใหม่กับความรักแล้วพี่จะบอก”
ปรมัธเสี่ยงบอกไปอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งไม่ตอบอะไร

“บอกไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเข้มแข็งพอที่จะนับหนึ่งใหม่หรือเปล่า
แต่คิดว่าไม่เจ็บเหมือนแรกๆ อีกแล้ว” เพียรสงบใจที่เริ่มจะสั่น ก่อนจะยอมเปิดปาก

ชายหนุ่มถอนหายใจ โล่งอก ที่ได้ยินคำตอบแบบนี้ อย่างน้อยสาวน้อยตรงหน้าก็เปิดใจขึ้น

“อรเล่าอะไรให้พี่ฟังบางเรื่อง เพราะอรสังเกตเห็นว่าพี่สนใจนัธ”
คำบอกเล่าที่เรียกสีหน้าแปลกใจให้กับนัธฐา และเรียกสีขึ้นบนใบหน้าของคนเล่า

“พี่เองก็ยอมรับว่าสนใจนัธจริงๆ สะดุดตาตั้งแต่เห็นหน้าเศร้าๆ ตาโศกๆ ของนัธแล้ว
ยังคิดอยู่เลยว่า คนที่ดูแล้วออกจะยิ้มสวยแบบนัธ ทำไมถึงเศร้าแบบนี้”

“พี่ไม่ได้หวังให้นัธมาชอบพี่ตอบซะเดี๋ยวนี้ เพียงแต่ไม่อยากให้จมอยู่กับอดีต
ถ้านัธลองมองไปรอบๆ คงจะเห็นว่ามีหลายคนที่เค้าเป็นห่วงนัธ ทั้งอร คุณลุง และก็...พี่เองก็เป็นห่วงนัธ”

“แต่เราเพิ่งพบกันนะคะ แล้วทำไมถึง เอ่อ บอกว่าชอบนัธ” หญิงสาวอ้อมแอ้มถาม

“ตรงนี้มันบอก ว่าพี่ชอบเธอ” เอื้อมมือคว้ามือสาวน้อยมาแนบที่อกด้านซ้าย

“ไม่เร็วไปหรือคะ”

“ก็อาจจะ แต่เราก็ยังมีเวลาอีกตั้งมากที่จะพิสูจน์ ว่าแต่นัธเถอะ
จะยอมพิสูจน์ไปกับพี่ด้วยรึเปล่า” ปรมัธเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล ยังไม่ปล่อยมือที่กุมมือนุ่มๆ นั่นไว้

“ยังไม่ต้องรีบตอบหรอก บอกแล้วว่าพี่ไม่รีบ แดดเริ่มแรงแล้ว
เราเข้าบ้านกันดีกว่า ไม่รู้ว่าอรตื่นรึยัง” ชายหนุ่มค่อยๆ ปล่อยมือเธออย่างสุภาพ
เก็บอุปกรณ์วาดภาพแล้วเดินนำหล่อนไปที่บ้าน

ทิ้งคำพูดที่ปั่นหัวใจเธอให้ป่วนได้ ทั้งๆ ที่เคยคิดว่าใจน้อยๆ ดวงนี้มันเจ็บจนชาไปแล้วแท้ๆ



Create Date : 21 พฤษภาคม 2549
Last Update : 21 พฤษภาคม 2549 11:36:19 น. 0 comments
Counter : 277 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

@ลูกท้อแช่อิ่ม@
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เรียกยู้ได้นะคะ

แล้วก็ลงท้ายที่ MBA
Friends' blogs
[Add @ลูกท้อแช่อิ่ม@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.