ขอบคุณ / moderndog
To nara loves meถ้าฉันไม่ได้พบเธอ ไม่รู้จะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่ได้รักกัน แล้วฉันจะคู่กับใครบินโดยสวัสดิภาพครับ โอมเพี้ยงๆๆๆๆ ที่เหลืออ่านในจดหมายนะBlissfully Yours,Levine
Save My Soul, Ill Save Some for You Beth Orton
TAGGED 3 : วัน เดือน ปี / วรรธนา วีรยวรรธน
TAGGED 2 : Memory of the Past / Tahiti 80
Why everything bad or good seems better once it has passed? 4. ไม่กลับมาผมเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนโชคดีเรื่องเพื่อน จะอนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย หรือมหาลัย ต่อให้หวั่นใจตอนเปลี่ยนชั้นเรียนใหม่แค่ไหน สุดท้ายผมก็เจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขจนได้ กับเรื่องมิตรสหาย ผมจึงแทบไม่เคยกลัดกลุ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชัดอยู่แล้วว่าข้อดีของมันคือ เราไม่ต้องคลุกคลีกับความเดียวดายมากนัก อยากเสวนากับมนุษย์เมื่อไหร่ ก็มักมีใครสักคนให้คุยด้วย ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ พูดตรงๆ เมื่อก่อนนึกไม่ออกจนมามหาลัยปีสี่ ผมได้ทุนแลกเปลี่ยนไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ความตื่นเต้นคงไม่ต้องบรรยาย ผมไปถึงที่นั่นแล้วหลายเดือนในความฝัน ก่อนจะได้ลงเหยียบแผ่นดินเขาจริงๆ เสียด้วยซ้ำ มีเรื่องมากมายที่ตั้งใจจะทำพกไปตุงกระเป๋า ถ้าความปรารถนาแต่ละก้อนมีน้ำหนัก เขาคงไม่ให้ผ่านตอนโหลดของแน่และแล้วผมก็อยู่ที่นั่น ข้ามน้ำข้ามทะเลไปนั่งอยู่ในห้องแคบๆ สีขาวโพลนทั้งสี่ด้านของหอพักที่จะต้องเป็น บ้าน ของผมหนึ่งปีเต็ม โดยไม่รู้จักใครเลย แปลกที่ผมไม่เอะใจสักนิดก่อนไปว่า ความตื่นเต้นจะแพ้น็อคเอาต์ความเหงาได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนผู้อาศัยในหอนักเรียนต่างชาติที่นี่ทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว และผมกำลังเป็นมนุษย์ต่างดาวในต่างแดน กิจกรรมมากมายที่หวังจะทำน่ะเหรอ ผมทำได้แค่ไปนั่งแกว่งชิงช้าเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้หอพัก ตามองท้องฟ้าหายานแม่กลับบ้าน เฮ้ย แต่ใช่ผมจะไม่มีความหวังเสียเลยเมื่อไหร่ ข้างห้องมีชื่อเจ้าของห้องที่ยังมาไม่ถึงแปะอยู่ และเขาเป็นคนไทย!เขากลายเป็นคนที่ผมรอแล้วรอเล่า เมื่อ Godot คนนี้มา ผมจะเลิกเหงาเสียที สองสามอาทิตย์กับการเดินสวนสนามกับพวกฝรั่งเย็นชานี่ ใกล้จะจบลงแล้ว ผมเฝ้าคอยวันที่ประตูของคนข้างห้องจะเปิดอย่างใจจดใจจ่อแอ๊ดพงษ์มาจากสถาบันเดียวกับผม แต่ต่างคณะ เราคุยกันถูกคออย่างง่ายดาย ในฐานะผู้มาก่อนและพูดภาษาญี่ปุ่นเป็นบ้าง ผมแนะนำเขาต่างๆ นาๆ เรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ พาทัวร์มหาลัย และติดต่อเรื่องต่างๆ ให้ ที่สุดแล้วผมก็ได้ทราบว่า พงษ์เป็นตัวแทนของประเทศไทยในโปรแกรมต่างชาติของมหาลัยนี้ เช่นเดียวพวกฝรั่งและเอเชียนส่วนใหญ่ของหอ อืมมม ก็ดี จะได้รู้จักกับพวกนั้นง่ายขึ้น พงษ์สนิทกับพวกโปรแกรมเดียวกันอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งพงษ์ชวนผมขี่จักรยานไปมหาลัย ประหยัดค่ารถไฟได้โขอยู่ แต่เขาบอกทางค่อนข้างไกล ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า พูดตรงๆ เรื่องเหนื่อย ต้อมกลัวที่ไหนฟะ กรรมกรขนาดนี้ แต่ปั่นไปปั่นมาอยู่ดีๆ ก็หายใจไม่ทัน เนินชันที่มีอยู่ทั่วโอซาก้าเป็นปัญหาต่อการขี่จักยานของคนไม่คุ้นจริงๆ แหละ รู้สึกตัวอีกที พงษ์กับพวกฝรั่งที่มาด้วยกันก็ลับหายไปกับเลี้ยวไหนสักเลี้ยวแล้ว เอาวะ คอยสักพัก เดี๋ยวมันคงกลับมา ไม่กลับมาแฮะ คอยนานแค่ไหนก็ไม่กลับมาสองชั่วโมงหลังจากนั้น ผมพยายามหาทางไปมหาลัยด้วยตัวเอง เพราะจะกลับไปที่หอก็มาไกลจนไม่รู้ทางเสียแล้ว ตอนกลับก็เหมือนเดิม มั่วทางมาตลอด ผิดบ้างถูกบ้าง กว่าจะกระเสือกกระสนมาถึงหอได้ก็มืดแล้ว เหนื่อยขาแทบหัก แต่ทำไมมันยังเจ็บน้อยกว่าที่ใจเยอะเลยวะ สำหรับผมนี่คือการถูกหักหลังครั้งแรกตั้งแต่ลืมตาดูโลก นี่ไงข้อเสียของการมีเพื่อนดีๆ มาตลอดชีวิต คุณรู้ช้ากว่าคนอื่นแยะว่าเพื่อนแย่ๆ มันเป็นยังไง อะไรที่หล่อหลอมให้ผมเติบโตมาโดยเชื่อว่า การเห็นคนอื่นมีความสุขเป็นเรื่องน่ายินดี วันนั้นผมเกือบดึงมีดที่ปักอยู่ที่หลังมาเสียบมันตายคามือ ผมควรจะปล่อยให้เพื่อนคนนี้เผชิญทุกอย่างด้วยตัวมันเองแต่แรกพงษ์กลับมา เคาะประตูห้องผม ถามอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่อยู่ในห้องแล้วคนที่เคยอยู่ในห้องนั้นไม่กลับมาแล้วเหมือนกัน5. Everything is broken. Everyone is broken.ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันต่อเนื่องกับเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมยังอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ว่าจะญี่ปุ่น ไทย หรือที่ไหนในโลก เชื่อเถอะว่าเวลาเดินคนเดียว ผมจะฟังเพลงอยู่เสีย 90% และวันนั้นในรถบัสมุ่งตรงสู่มหาลัย ผมก็ฟังเพลงอยู่ เพื่อนใหม่ชาวรัสเซียที่รู้จักกันในหอ (เย่ มีเพื่อนแล้วว้อยยยย) ให้ยืม ซีดีหลายแผ่นมาลงใน MD หนึ่งในอัลบั้มเหล่านั้น ผมฟังวนไปวนมาอยู่เกือบอาทิตย์ก่อนหน้าเคยอ่านสัมภาษณ์ ส้ม อมรา เขาบอกว่า ดนตรีเป็นเหมือนแฟนคนแรกและคนเดียวของเขา (ถ้าจำไม่ผิด) ของผมก็คงไม่ต่างกัน ถึงจะเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นเลย แต่ผมนึกชีวิตที่ไม่มีเพลงไม่ออกจริงๆ หลายครั้งผมนอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงก้องอยู่ในหัวไม่ยอมเลิก ผมพยายามแกะๆ มันออกมาดูว่ามีเทปหรือซีดีหลงอยู่ข้างในหรือเปล่า ปรากฎว่ามีแต่ขี้เลื่อยรู้สึกตัวอีกที ผมก็มานั่งอยู่ข้างหน้าอาจารย์ที่ปรึกษา ใช่สิ วันนั้นผมไปมหาลัยนัดพบท่าน เพื่อปรึกษาเรื่องรายงาน ท่านกล่าวทักทาย และก้มลงดูรายงานที่ผมทำมาแล้วส่วนหนึ่งก่อนให้ความเห็น สักพักท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่าEverything is broken. Everyone is broken (กรุณาใส่ทำนองเอง)ผมจำวินาทีนั้นได้ไม่เคยลืม เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองใกล้เสียสติที่สุดแล้ว ไม่รู้อาจารย์สังเกตเห็นอารามตกใจในสีหน้าผมหรือเปล่า แต่ท่านต้องเห็นผมสะบัดหัวไล่ความประสาทนี่ออกไปแน่ๆ ดีใจเป็นบ้าที่ครู่ต่อมา ผมฟังอาจารย์พูดเป็นภาษามนุษย์ในที่สุดไม่ต้องเป็นห่วง นับจากวันนั้น เหตุการณ์แบบเดียวกันไม่เคยเกิดขึ้นอีก ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เข็ดหลาบ ฟังเพลงน้อยลงแต่อย่างใด อ้อ แล้วผมก็ไม่ได้นั่งพิมพ์ไอ้ข้อความทั้งหมดนี่จากศรีธัญญาด้วย ที่อยากให้คุณสนใจคือ ปุจฉา! อาจารย์ท่านร้องออกมาเป็นเพลงอะไรครับ? 6. สาวแคชเชียร์จริงๆ เรื่องนี้อาย ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาวะ!ผมปิ๊งสาวคนนึงตอนอยู่ญี่ปุ่น เธอทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้หอพักผมเอง แต่จริงๆ จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้หรอก เพราะมีร้านสะดวกซื้อใกล้กว่านั้นอีกตั้งหลายร้าน แต่ทุกทีที่อยากซื้อของ จักรยานเส็งเคร็งของผมจะถ่อไปที่นั่นทันที บางทีไม่ได้อยากซื้ออะไร ก็หาเรื่องไปเดินเล่นจนได้แหละเรียกใหม่ว่าที่ที่เธอทำงานคือ discount store ดีกว่า เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่พอตัว แคชเชียร์ก็มีหลายช่องให้เลือกจ่าย หนึ่งในพนักงานประจำช่องเป็นผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก ผมเคยพาเพื่อนคนญี่ปุ่นคนหนึ่งไปซื้อของที่นั่น มันบอก โห มีคนน่ารักๆ ที่นี่ก็ไม่บอก ผมบอก กูเจอก่อนนะว้อยเอาล่ะ บอกกันตรงนี้เลยว่า เรื่องจะจบลงตรงที่ว่า ผมไม่เคยพูดกับเธอเลย ชื่อก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าเธอรับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ในโลก ท่ามกลางคนจับจ่ายซื้อของจำนวนมากในร้าน บวกพนักงานอีกเพียบ1. มีครั้งหนึ่ง ผมหายไปนาน เพราะไปเที่ยวจังหวัดอื่น พอผมเดินเข้าประตูกลับมา เห็นเพื่อนเธอสะกิดเรียกเธอให้หันมามอง (โคตรดีใจ)2. มีครั้งหนึ่ง ผมกระแดะไปทำผมสีทองตามสมัยนิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่น (โดยไม่ได้ดูหน้าตาตัวเองเล้ยยยยย) หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมเธอจากสีดำ กลายเป็นสีทองเหมือนกัน (จริงๆ ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่า)3. มีครั้งหนึ่ง เพื่อนชาวรัสเซียที่ผมสนิทด้วย (จากเรื่องข้างบนนั่นแหละ) มันอุตริชวนผมถ่ายรูปในร้านนั้นขึ้นมา บอกอยากได้เป็นที่ระลึก เธออาสาเป็นคนถ่ายให้ หลังจากได้ยินเราคุยกันตรงแคชเชียร์เป็นภาษาอังกฤษ (หรือเขาอาจจะชอบไอ้รัสเซียนั่นฟะ)ก่อนกลับ ผมรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายให้เธอ สุดท้ายก็ได้แค่กล้าเขียน แต่ไม่กล้าให้ ทุกวันนี้ ยังได้แต่สงสัยว่า ถ้ากลับไปร้านเก่าร้านนั้น จะยังเห็นเธออยู่ที่นั่นหรือเปล่าหนอ
Why everything bad or good seems better once it has passed?
TAGGED 1 : I / Pizzicato Five
ตอนแรกว่าจะตอบการ tag ด้วยการใช้ adjective พูดถึงตัวเอง 5 ข้อดี กับ 5 ข้อแย่แต่คิดไปคิดมา มันจะดูตีแผ่ความดาร์กในชีวิตให้ปวงชนเห็นมากเกินไปหน่อย ว่าแล้วก็เล่นแบบนี้ดีกว่า นี่คือ 10 เหตุการณ์ที่ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้ ปะติดปะต่อกันได้เป็นคนยังไงก็คงต้องให้เป็นวิจารณญาณของท่านผู้อ่านระบายกันเอาเองนะครับขอยืนยันอย่างเดียวว่า ผมเป็นคนดี!(อ่านให้จบแล้วจะรู้ว่า ไอ้บ้านี่ไปเอาความเชื่อนี้มาจากไหน)1. ซูเปอร์แมนตอนเด็กๆ ไปเยี่ยมบ้านยายบ่อย ยายผมอยู่อยุธยา บ้านยายจะเป็นบ้านไม้เก่าๆ ยกไต้ถุนสูง ด้านหนึ่งของฝาบ้านจะเป็นประตูเปิดไว้ตลอดตอนกลางวัน เพื่อให้ทั้งลมและแดดโกรกเข้า หวังสร้างชีวิตชีวาให้กับบ้านด้วยกลิ่นขี้วัวหรือเจตนาใดก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ผมชอบไปยืนตรงนั้น มองไปข้างล่างซึ่งเป็นพื้นดิน เฝ้าสงสัยอยู่ตลอดว่า โดดลงไปจะยืนได้ไหม หากใครนึกภาพไม่ออก ความสูงจากพื้นถึงประตูไม้ที่เปิดโล่งนั้น ประมาณได้ราวตึก 2 ชั้น (หรือ 1 ½ หว่า) ทีนี้หลังจากสงสัยอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ปนกับความเขลาเพราะยังไม่เรียนเรื่องแรงโน้มถ่วง วันหนึ่ง ผมตัดสินใจโดด!ผมมั่นใจว่าขาผมลงมาแตะพื้นแล้ว อีกเดี๋ยวกำลังจะยกมือเหยียดเหนือหัวแบบนักยิมนาสติกเต็ม 10.00 ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้วูบนั้นคือ ตูดเป็นอวัยวะที่มีมวลใหญ่พอตัว ผสมกับแรงโน้มถ่วงมากเข้า ขามันจะรับไม่ไหว ผลที่ได้คือแก้มก้นหล่นใส่พื้นอย่างจัง สักพัก พ่อ แม่ ตา ยาย ตามเสียงร้องไห้มาชะโงกดูตรงประตูจากบนบ้านสิ่งที่พวกเขาเห็นคือ เด็กที่เพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าตัวเองไม่ใช่ซูเปอร์แมน แต่เป็นควาย!2. Pink Bulletได้ปืนอัดลมมาจากไหนไม่รู้ ลูกปืนทำจากยางสีชมพู ยิงน้องเล่นไปหลายนัดจนมันเบื่อหนีไปหลับ เลยต้องนั่งเล่นคนเดียว ก็ได้วะ ง้อที่ไหน แก๊กๆๆๆ เล่นคนเดียว ต้อมก็มันได้ว้อยยยยแชะจู่ๆ ลูกปืนก็ดันด้าน ยิงไม่ออกขึ้นมา เสียอารมณ์เป็นบ้า เพิ่งซื้อมานะโว้ย จะพังชนิดยังไม่ทันข้ามวันเลยเชียวหรือ แชะๆๆๆๆ ยังไม่ออก ตามประสาเด็กก็เลยหันกระบอกปืนเข้ามาดู มันเป็นห่าไรว หนึ่งใน Pink Bullet (โอ นี่มันชื่อเพลง The Shins นี่ เพิ่งรู้ว่าเราดองกันมาแต่เด็ก) ถลันเข้าใส่จมูกฉับพลัน ทั้งที่ไม่ได้เหนี่ยวไก!แม้จะแค่ข้างเดียว แต่แม่เจ้า มันหายใจไม่ออกว้อยยยย เรียกหาใครก็ไม่มีเสียงจะพูด มันจุกคอไปหมด ฮึดๆๆๆๆ นอนดิ้นพราดๆๆๆ อยู่ตรงลานนอกบ้านอย่างนั้น ปู่ย่าน้าอาหายไปไหนหมด ปกติอยู่เต็มบ้าน หลานกำลังจะตาย ไปนอนดูลำตัดกันอยู่หรือไงหา!เคราะห์ดี นรกเห็นตรงกันว่ายังไม่อยากรับภาระเด็กประสาทไปชดใช้บาป ดิ้นเป็นหมูโดนน้ำร้อนอยู่พักเบ้อเร่อ ลมหายใจออกเฮือกใหญ่หอบเอากระสุนตะไลนั่นออกจากรูจมูกเราได้ แฮ่กๆๆๆๆ อากาศแม่งวิเศษเป็นบ้าส่วนปืนห่านี่ เอาไปปาหัวหมาดีกว่า แค้นว้อยยยยยยถ้าเจอมันอีกทีตอนนี้ จะเอามาเหยียบๆๆๆๆ ให้หายแค้นอีกที ฮึ่ม!3. ขันติผมจบ ม. ต้น และ ม. ปลาย ที่โรงเรียนเดียวกัน เป็นโรงเรียนที่ผมรักมาก ทุกวันนี้ยังมีเรื่องฮาๆ เกี่ยวกับมันให้นึกถึงได้อยู่เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องอาจารย์อาจารย์ที่โรงเรียนนี้เป็นวาไรตี้ที่สนุกสนาน มีตั้งแต่เฮี๊ยบมาก ยันฮามาก อาจารย์ ส (ย่อเพราะจำชื่อไม่ได้แล้วอ่ะ) เป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนา แกรูปร่างท้วม อาจจะเป็นปัญหาเวลาสอนกราบเบญจางคประดิษฐ์ เพราะเวลาก้มแล้วติดพุงอยู่บ้าง แต่เรื่องหลักธรรมพุทธศาสนา แกส่งผ่านให้พวกเราไม่ขาดตรงบกพร่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 และอีกนานาหลักธรรม แกพูดถึงด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ชวนให้เลื่อมใสอยู่ตลอดเวลาวันหนึ่งแกเดินอยู่ตรงทางเดินข้างสนามบอล กำลังตรงไปโรงอาหาร ผมนั่งคุยกับเพื่อนอยู่แถวนั้น เด็กอื่นๆ ก็เล่นบอลโกลหนูของมันไป ทุกอย่างคงสดใสไร้มลทินเหมือนทุกวัน ถ้าลูกบอลพลาสติกมันไม่วิ่งจากเท้าเด็กคนหนึ่งไปสู่หัวอาจารย์เข้า!อาจารย์เดินอาดๆ ไปหยิบลูกบอลที่กระดอนมาโดนหัว แล้วตะโกนลั่น ใครเตะลูกบอลมาโดนช้านนนนน! ผมสาบานว่าเห็นลูกบอลนั่นโดนบีบแฟบไปต่อหน้าต่อตาด้วยสองมือป้อมๆ ของอาจารย์ ขันติ น่ะหรือ มันโดนขยี้คาตีนระหว่างที่แกเดินไปหยิบลูกบอลแล้วละมัง เสียดายผมไม่ได้ยินเสียงร้องก่อนตายของ ขันติผลคือ ลูกบอล ตาย ส่วนเด็กโชคร้ายที่ซวยเตะบอลไปโดนอาจารย์ ถูก ไปพบชั้นที่ห้องพักครูเดี๋ยวนี้หลายพยางค์กว่า แต่หมายถึง ตาย เหมือนกัน