I noticed tonight that the world has been turning
While I've been stuck here dithering around
Can't Stop Now/Keane
 
 

ขอบคุณ / moderndog

To nara loves me

“ถ้าฉันไม่ได้พบเธอ ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
“ถ้าเราไม่ได้รักกัน แล้วฉันจะคู่กับใคร”

บินโดยสวัสดิภาพครับ โอมเพี้ยงๆๆๆๆ

ที่เหลืออ่านในจดหมายนะ

Blissfully Yours,
Levine




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 13 พฤษภาคม 2550 0:39:12 น.   
Counter : 744 Pageviews.  


“Save My Soul, I’ll Save Some for You” – Beth Orton

อะไรทำให้ชีวิตห่วย?

ผมว่า มันคือ “ความชินชา”
มี quote หนึ่งจากหนังที่ผมชอบมาก มันมาจากเรื่อง Taste of Cherry ของ Abbas Kiarostami

“คุณลืมรสชาติของเชอร์รี่ไปแล้วเหรอ”

ชายแปลกหน้าถามตัวเอกของเรื่องซึ่งเปิดเผยว่ากำลังจะฆ่าตัวตาย




*ตัวเอกในเรื่องที่จะฆ่าตัวตาย*

นั่นสิ เราลืมรสชาติหวานจับใจของเชอร์รี่ ลืมความตื่นเต้นที่ได้เห็นตึกระฟ้า ลืมความสดชื่นของสายลมพัดกระทบใบหน้า และเหนือสิ่งอื่นใด ลืมความมหัศจรรย์ของชีวิตไปได้อย่างไรกัน
จับมือมันดมได้ “ความชินชา” คือตัวร้ายที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้
ผมรักที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคน ยกเว้นไอ้ “ความชินชา” นี่ ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ผมพยายามจะเบือนหน้าหนี ปฏิบัติกับมันเหมือนขี้ และบอกรักชีวิตดังๆ สามครั้ง

ซวยจริงๆ ที่ผมมีสันดานขี้ลืม เพื่อนด่าเสมอว่า “อย่างมึงต้องแดกแปะก๊วยทั้งต้น” ผมเถียง “ห่า กูไม่ขี้ลืมขนาดนั้นหรอก”
ว่าแต่ นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ
…
…
…
อ้อ ผมกำลังเขียนบล็อกอยู่นี่
อ้าว แล้วที่กอดคอผมอยู่นี่มือใคร? หันไปมองหน้าเจ้าของ… ไอ้ “ความชินชา” มันยิ้มแฉ่งเยาะเย้ย น่าประทับบาทาตรงหน้าเป็นบ้า
เฮ่อออออ จะสลัดยังไง ผมก็แค่เพื่อนอีกคนหนึ่งของมันเท่านั้นละมัง




เมื่อราวเดือนที่แล้ว ช่วงที่หายหัวไป มีเรื่องแปลกๆ เกิดกับผม
ทุกครั้งที่ยกนาฬิกาในมือถือขึ้นมาดู (ผมไม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เพราะมักจะยกขึ้นมาดู 5 นาที/ครั้ง จนรำคาญตัวเอง) ผมจะเห็นเลขเหล่านี้

1:11 2:22 09:09 11:11 23:23 19:19 ฯลฯ

ส่วนตัวแล้วผมรัก repetition รูป มาริลีน มอนโร ฉีกยิ้มของ แอนดี้ วอร์ฮอล สนุกทุกครั้งที่มอง และผมก็เชื่อว่า ฝันดีๆๆๆๆ มีส่วนทำให้ “ฝันดี” มากกว่าแค่ ฝันดี เวลาลาเพื่อนไปนอนในเอ็มเอสเอ็น
แต่ แม่เจ้า เห็นบ่อยๆ แล้วมันหลอนว่ะ! จะเกิดอะไรขึ้นกับกูฟะเนี่ย
จะซวย? จะเสียของ? จะผิดหวัง? พระเจ้ากำลังส่งสัญญาณอะไรอยู่กันแน่ ผมจินตนาการถึงทุกอย่างที่เลวร้าย

การณ์ผ่านไปหลายสัปดาห์ คำสาปยังติดตามจองเวร และระหว่างที่ปั่น thesis หน้าดำคร่ำเครียด ผมก็ยูเรก้า
“อ้อ หรือมันจะหมายความว่า กูจะเรียนไม่จบ”
เลขที่ซ้ำกัน หมายถึงการวนมาอีกครั้ง ผมต้องกลับไปเรียนอีกปีหนึ่งหรือนี่!
เช้าวันที่ตระหนักเรื่องนี้ได้ คือเช้าวันที่ลุยมาถึงส่วนสุดท้ายของรายงานซึ่งบังคับให้ต้องคำนวณตัวเลข และผมเก่งพอๆ กับเด็กอนุบาล
ตุ้บ จิตผมตกไปอยู่ตาตุ่มฉับพลัน
จะให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันช่วย แต่ละคนก็คงยุ่งอยู่กับ project ตัวเอง จะเอาเวลาที่ไหนมาสน
ห้องนอนเปลี่ยนสภาพเป็นห้องทรมาน สันดานชอบโทษตัวเองของผมโบยแส้ลงที่หลังนับครั้งไม่ถ้วน “แล้วทำไมไม่ทำเสียตั้งนานแล้ว” “แล้วทำไมเรียนเหมือนชาวบ้านเขา ยังทำไม่ได้อีก” “แล้วทำไมมึงถึงโง่แบบนี้วะ” ฯลฯ
ฟ้านอกหน้าต่างสีดำทะมึน ฝนเจ้ากรรมเสือกกำลังจะตกอีกนั่น เหี้ยครบ 360 องศาจริงๆ

มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันหว่า
ผมรู้สึกว่าการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องเสี่ยง หากคาดหวังจะเห็นมือใครสักคนมาฉุดเราขึ้นจากเหว ผมอุ่นใจกว่าที่จะคิดว่า สุดท้ายมันจะเป็นมือของผมเอง
เพราะทันทีที่ส่งสายตาวิงวอนไปยังผู้อื่นในยามวิกฤติ แต่กลับได้รับการตอบกลับด้วยใบหน้าเย็นชา
ผมมักจะ...พัง

วันนั้นผมโทรหาเพื่อนด้วยความรู้สึกกลัวพังเช่นเคย ผมคบมันมาตั้งแต่ม. ต้น และรู้ว่ามันชำนาญเรื่องนี้ดี แต่เมื่อถูกไล่หลังด้วยความกดดันจากเดดไลน์ในวันรุ่งขึ้น ผมอดหวั่นไม่ได้ว่า มิตรภาพกว่า 10 ปี สุดท้ายแล้วจะเป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเอง

เฮ่ออออ เศร้าว่ะ
แล้วผมก็คิดไปเองจริงๆ แหละ…
เพื่อนตกปากรับคำง่ายดาย ทั้งที่มันเองก็มีงานที่ต้องสะสาง เพื่อนอีกคนแม้ไม่ได้เก่งอะไร ก็มานั่งเป็นกำลังใจอยู่ใกล้ๆ เรานั่งปั่น project ของผมกันจนถึงเที่ยงคืน
ผมคิด…มาก…ไปเองจริงๆ
มากจนกระทั่งกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ตอนเราออกมากินข้าวกันหลังจากเสร็จเรียบร้อย
หลังจากอึ้งไปสักพักเพราะไม่เคยเห็นผมร้องไห้ เพื่อนคนหนึ่งก็โพล่งออกมาว่า

“มึงทำอะไรเองทุกอย่างไม่ได้หรอก แล้วกูก็ไม่เข้าใจว่า มึงจะบั่นทอนตัวเองในเวลาที่ตัวเองต้องการกำลังใจที่สุดทำไม”

มันหมายถึง นิสัยก่นด่าตัวเองทุกระยะหนึ่งชั่วโมงระหว่างนั่งคร่ำเครียดทำงานของผมน่ะ “โง่ว่ะ” “ขี้เกียจเองแหละถึงได้เป็นงี้” “กูแม่งห่วยว่ะ” เมดเลย์ loser เรียงคิวปักมีดเจ้าของคำพูดเองสนุกสนาน
มันคงไม่รู้ว่า ตอนนั้นผมกำลังด่าตัวเองในใจอยู่อีกอย่าง

“มึงกล้าตีค่าน้ำใจของเพื่อนต่ำขนาดนั้นได้ไงวะ ไอ้ห่วย”

ความแปลกใหม่คือความตื่นเต้นของการมีชีวิตเสมอ
ครั้งแล้วครั้งเล่า เราวิ่งหาความแปลกใหม่ ป้องกันตัวเองไม่ให้เบื่อกับทุกลมหายใจบนผืนโลก
ครั้งแล้วครั้งเล่า เราวิ่งหาความแปลกใหม่อีกครั้ง หลังจาก “ชินชา” กับความแปลกใหม่ครั้งก่อน
ลืมคุณค่าและความลำบากของการได้มา ที่สำคัญ ลืมว่ามันเคย Save My Soul อย่างไรเสียสิ้น
ผมมองนาฬิกาอีกครั้ง

12:12

หรือพระเจ้ากำลังส่งสัญญาณเตือนสติให้ผม “กลับมา” เห็นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง?
ไม่ต้องบอกถี่นักหรอกครับ
เพื่อนๆ ที่รักทุกคน ไม่ว่าผมจะวิ่งไปข้างหน้าแค่ไหน เมื่อคุณต้องการผม

I’ll Save Some for You




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 5 พฤษภาคม 2550 15:44:37 น.   
Counter : 810 Pageviews.  


TAGGED 3 : วัน เดือน ปี / วรรธนา วีรยวรรธน



เชื่อไหมว่า blog tag ทั้งหมดนี่ ความยาวรวมกันได้ 10 หน้า A4!

ปกติผมไม่เคยเขียนไดอารี่ การเขียน blog tag ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงเรื่องต่างๆ นาๆ ในอดีต แล้วนำมาเรียงเป็นตัวอักษร แทนที่จะจบแค่วูบความคิดในสมอง หรือลมปากเล่าให้เพื่อนฟัง

บอกตรงๆ ว่าผมสนุกมาก เหมือนเห็นชีวิตตัวเองเป็นบทหนังเลยแฮะ

ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านจนจบครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะสนุกเท่าที่ผมสนุกหรือเปล่า ไม่ได้ตั้งใจให้มันยาวขนาดนี้เลย สาบานได้

ขอบคุณ ฝ้าย กับ นุ่น ที่เอา blog tag มาให้เล่น

ป.ล. ระหว่างเขียนๆ ให้หมด 10 เหตุการณ์อยู่นี่ ลองแว่บๆ ไปอ่านของคนอื่นบ้าง ปรากฏเพิ่งเข้าใจว่า ต่อให้โดนคน tag กี่คน ก็เล่าแค่ 5 ข้อนี่นา (นุ่นไปเอามาจากไหน เราต้องเล่า 10 ข้อวะ แกล้งกันป่าวเนี่ย )

ส่วน TAG ต่อไป ผมขอเอาออกไปนอก bloggang เพราะคนที่รู้จักที่นี่ถูกแปะหมดแล้ว กอล์ฟ แกะหลง กับ เอ็ด ณ ลอนดอน คือผู้โชคดีรายต่อไป

Enjoy!


7. ฟูจิ

ระหว่างรถไฟจากโอซาก้าไปโตเกียว คุณจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิแผ่ร่างกว้างขวางขนาบทะเลสาบเหมือนในโปสการ์ด มองไกลๆ ย่อมสวยดี แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เพื่อปีนไปให้ถึงยอด ห่า ดันมีแต่กรวดหินดินทราย!

จริงๆ จะว่าเป็นความผิดของภูเขาไฟก็ใช่ที่ ไอ้โง่นี่ดันอุตริคิดเอาเองว่า การปีนภูเขาคือการเดินขึ้นทางชันที่มีป่าไม้เขียวขจีล้อมรอบ เผลอๆ มีกวางวิ่งน่ารักให้เห็นเป็นหย่อมๆ ...โดยไม่คำนึงถึงเลยว่า ไอ้ที่เพื่อนโพล่งชวนให้มันไปด้วยกันระหว่างอยู่โตเกียวนั่นคือ ภูเขาไฟ!

การปีนภูเขาไฟฟูจิทำได้เฉพาะในฤดูร้อน เพราะฤดูหนาว หิมะจะแผ่ปกคลุมทั่วภูเขา ปีนไปมีหวังลื่นลงมาไส้แตกตาย อย่างไรก็ตาม การปีนมักเกิดขึ้นตอนกลางคืน ยิ่งสูงยิ่งหนาว แถมอากาศที่ใช้หายใจก็เบาบางไปทุกทีตามระยะทาง ถึงจะเป็นหน้าร้อน ก็ไม่ใช่ของกล้วยแน่ๆ

ผมกับแก็งค์เริ่มปีนกันตอนสี่ทุ่ม ตอนแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างสนุกสนาน เราคุย/ ร้องเพลง/ ถ่ายรูปกันเสียงดังจอแจ ใครอยู่ข้างหน้าสองกิโลก็ยังต้องรู้ว่ามีกลุ่มคนไทยอยู่ตรงนี้ เพราะความเอะอะมะเทิ่งคือเอกลักษณ์ที่สังเกตได้ของเรา ทว่าความสนุกมันเริ่มเฉาลงเรื่อยๆ เพราะความโหดของเส้นทาง บ้างเริ่มหอบหายใจไม่ทัน บ้างเห็นทางชันขนาดต้องมีเชือกมาโยงให้ปีนเป็นบางช่วงถึงกับผงะ แสงไฟที่ส่องบอกระยะทางแต่ละสถานีพักที่ห่างกันเป็นโยชน์ก็รังแต่จะทำให้ผู้เดินทางรู้สึกหดหู่ อยากจะ rest in peace ไปตามๆ กัน

เฮ้ย แต่มาขนาดนี้แล้วจะถอยได้ยังไง ผมกัดฟันก้าวไปถึงจุดชมพระอาทิตย์โดยมีเสียงเพลงเป็นเพื่อน รางวัลแห่งความพยายามนั้นคือการได้เห็นทะเลเมฆ และฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่งามที่สุดเท่าที่พบมาในชีวิต ผมรอคอยเพื่อนที่เหลือตามขึ้นมาทีละคนสองคนจนครบ ก่อนออกเดินทางไปถึงยอดปล่องภูเขาไฟจริงๆ เสียที ระหว่างทาง มีสิ่งแปลกประหลาดมากมายให้พบ นับตั้งแต่ เหล่าซอมบี้ที่นอนตายเกลื่อนริมทางเพราะทนความเหนื่อยไม่ไหว, กลุ่มคนแก่ที่เดินจ้ำเอาๆ ทั้งที่แต่ละคนอายุน่าเกิน 70, พ่อที่แบกลูกขึ้นบ่า แต่ยังเดินสบายบรื๋อ และฝรั่งคู่หนึ่งที่คนหนึ่งแบกจักรยาน ส่วนอีกคนแบกสเตอริโอ (เอาไปทำอะไรบนยอดฟะ!) นอกจาก ฝ้าย แล้ว โลกนี้ยังมีเรื่องพิสดารอยู่อีกมากจริงๆ เฮ่อออ

นึกว่าการผจญภัยจะจบลงแล้วเมื่อถึงยอด หลังจากเหนื่อยอนาถกับการเดินน่องปูดตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยัน 7 โมงเช้า มาแล้ว อย่าลืมว่าเมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องลงให้ได้ ทางลงภูเขาไฟฟูจิหฤหรรษ์กว่าตอนขึ้นเสียอีก เพราะมันชันเสียจนจากเดินอยู่ดีๆ คุณจะกลายเป็นวิ่ง และในบางกรณีต้องใช้ตูดในการเบรกตัวเอง ก่อนจะบันจี้จัมป์ลงขอบภูเขาแบบไม่ใช้สตันท์และไม่มีสลิง ถึงตอนนี้ เราแทบไม่มีแรงจะพูดกันอยู่แล้ว เราเป็นคนไทยที่แฝงตัวในชาวญี่ปุ่นได้เนียนสุดตอนนั้นนี่เอง

แต่แล้วข้อเสียของการไม่สื่อสารก็ปรากฏ เมื่อเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งดันพลัดหลงไประหว่างทางลงที่ทั้งชัน และวิสัยทัศน์แย่ด้วยหมอก ทุกคนที่ลงมาแล้ววิ่งวุ่นกันตามหาว่ามันหายไปไหน มือถือโทรไปกี่ทีก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ กว่าจะหาได้ว่ามันเลี้ยวผิดไปลงทางลงอีกจังหวัดหนึ่ง ก็เล่นเอาทุกคนเครียดไปตามๆ กัน

มีสำนวนญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า “คนโง่เท่านั้นที่ปีนภูเขาไฟฟูจิรอบสอง”
เอาล่ะ มันเหนื่อย มันหนาว มันแพง และมันอาจจะเครียด ถ้ามีคนหลงขึ้นมาอีก

แต่พับผ่า ตอนนี้ผมอยากเป็นคนโง่ชะมัด


8. คำชม

หนึ่งปีในญี่ปุ่นเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับผม ผมเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวให้มีความสุข เรียนรู้ที่จะก้าวข้ามความขี้ขลาดน่าบัดซบของตัวเองในหลายๆ ครั้ง และไม่นานก่อนจะกลับเมืองไทย ผมเรียนรู้เรื่องที่สำคัญมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก

ผมจำไม่ได้ว่ารู้จัก ไห่เจิ้น เป็นเพื่อนลำดับที่เท่าไหร่ในหอพัก และจะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนักเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ไห่เจิ้น เป็นตัวแทนจากจีนที่เข้าร่วมโปรแกรมนานาชาติของมหาลัยเช่นเดียวกับพงษ์ (“ไม่กลับมา”) นั่นเอง บอกตามตรงว่า ขณะที่เขียนนี่ ผมเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรกว่า ทั้งสองคล้ายกันอีกอย่างตรงที่ ต่างก็มีส่วนเกี่ยวพันกับจักรยานทั้งคู่ในความทรงจำของผม

วันหนึ่ง ผมมีนัดออกไปข้างนอก แต่ดันมาพบว่าจักรยานที่จอดไว้หน้าหอเกิดเสียซะนี่ ไอ้ซ่อมเองก็ไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว ยิ่งล่กๆ เพราะความรีบ ยิ่งไปกันใหญ่ เอเดรียน เพื่อนชาวฝรั่งเศสเดินมาเห็น ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เรื่องแล้วก็แค่ “Well, good luck.” ผมเองก็เลิกคิดที่จะยืมจมูกคนอื่นหายใจไปแล้ว เขาจะช่วยหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม

“Hey, what’s wrong?” สำเนียงอังกฤษแปร่งๆ ของไห่เจิ้นดังขึ้นมาจากข้างหลังผมครู่ถัดมา ผมกำลังจะตัดใจเดินไปแทนอยู่แล้ว แต่ไห่เจิ้นก้มลงช่วยซ่อมจักรยานให้อย่างเต็มใจ ทั้งๆ ที่เหมือนกับเอเดรียนนั่นแหละ เขาไม่ต้องทำก็ได้ ผมยับยั้งตัวเองจากการคาดหวังเรื่องนี้อยู่แล้ว วันนั้น จักรยานผมกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ทั้งยังขี่ได้เพลินกว่าเก่าด้วยซ้ำ น้ำใจคือน้ำยาหล่อลื่นชั้นเยี่ยมจริงๆ

ผมไม่ลืมที่จะตอบแทนไห่เจิ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น ความซาบซึ้งจากการได้รับความช่วยเหลือยามเคราะห์ร้าย มันคงใหญ่ไม่เบา ผมพูดขอบคุณเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเจอ และช่วยเหลือทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ก่อนเราจะแยกย้ายกลับประเทศไม่นาน ผมไปเที่ยวกับกลุ่มชาวจีนเพื่อนไห่เจิ้น เรากินเหล้าและนั่งคุยสัพเพเหระกันจนถึงเช้า ก่อนนั่งรถไฟกลับหอด้วยกัน ในรถไฟนั่นเอง ไห่เจิ้นบอกกับผมว่า

“You’re a good man”

โดยสันดานแล้ว ผมไม่ชอบเห็นคนอื่นมีความทุกข์ และมักดีใจเมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุขโดยปริยาย ถึงงั้นก็เถอะ ผมไม่เคยดิ้นรนที่จะเป็นคนดี เมื่อมีคนมาพูดต่อหน้าว่า ‘แกเป็นคนดีนะ’ จึงเป็นเรื่องเกินความคาดหมายและน่าตื้นตันเป็นบ้า ยิ่งเป็น ไห่เจิ้น ซึ่งมีธรรมชาติคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น กระทั่งเคยด่าฝรั่งร่วมหอเพราะนิสัยหมาๆ ของมันมาแล้วต่อหน้า ผมยิ่งเชื่อสนิทใจ

ถึงทุกวันนี้ เวลารู้จักใครใหม่ๆ ประโยคที่ผมมักพูดได้ไม่อายปากอยู่เรื่อยๆ ก็คือ “ผมเป็นคนดีนะ” ด้วยนอกจากจะภูมิใจในคำชมที่จะจำไปจนวันตายนี่แล้ว

ผมว่าผมยังเป็นคนเดิมที่ไห่เจิ้นรู้จักอยู่นะ

9. 3 ปี

ก้าวแรกของชีวิตการทำงานผมค่อนข้างแย่ แต่ที่จริง มันก็เป็นประสบการณ์ทรงค่าที่บอกให้รู้ว่า ผมได้ทดลองแล้วว่างานตามสายที่เรียนมานั้น ไม่ตรงใจเสียเท่าไหร่ แต่ก้าวที่สองนี่สิ มาโดยไม่ได้คาดหมายอย่างแรง!

วันดีคืนดีหลังจากลาออกจากบริษัทแรก พี่ที่รู้จักคนหนึ่งก็ชวนผมไปเขียนคอลัมน์ในหนังสือภาพยนตร์กำหนดเปิดหัวใหม่ เพราะเห็นผมดูหนังมากใช้ได้ ไอ้ผมไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ตกลงกับตัวเองไว้แล้วว่า ถ้าอยากทำอะไรจะเลิกคิด แล้วทำเลย เพราะทันทีที่เริ่มคิดเมื่อไหร่ ความกลัวจะเข้าครอบงำอยู่ร่ำไป คำตอบเลยเป็น “ทำครับ” การทำงานของเส้นสมองเท่ากับศูนย์

ปรากฏว่าคอลัมน์ที่ผมเขียนไปถูกใจพี่เจ้าของหนังสือ และด้วยจังหวะบางประการ ผมจับพลัดจับผลูได้ไปนั่งเป็น บ.ก. ของหนังสือเล่มนี้ ชีวิตนี่ก็ตลกดี ผมสนุกกับการอ่านหนังสือ รองๆ จากการฟังเพลงและดูหนัง แต่ไม่ยักคิดเลยสักนิดว่าจะต้องมาทำงานสายนี้ แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

อย่าหลงเชื่อชื่อตำแหน่งใหญ่โต บรรณาธิการของนิตยสารเล่มนี้ มีทีมงานภายใต้สังกัดที่ไหนกัน ผมช็อกเป็นระลอกที่สอง หลังจากกล้ำกลืนไปก่อนหน้าแล้วว่าเงินเดือนมันแทบไม่ถึงครึ่งของที่เก่า นี่เรายังต้องมาทำแทบคนเดียวเพราะที่เหลือเป็นฟรีแลนซ์หมดเลยอีกหรือ พี่เจ้าของหนังสือบอก “ต้อม หานักเขียนคนอื่นๆ มาช่วยเขียนส่งได้เลยนะ” แต่พี่ครับ ผมมาจากสายล่ามแปลภาษา จะไปรู้จักนักเขียนสักคนได้ไงฟะ!

ปรากฏการณ์ sink or swim เริ่มขึ้นนับจากตอนนั้น ผมเรียนรู้การทำหนังสือไปพร้อมๆ กับทำหนังสือจริงๆ จะว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีก็ใช่ แต่ใครจะมานั่งซาบซึ้งอยู่ได้ ในเมื่อคุณต้องปั่นคอลัมน์หามรุ่งหามค่ำยันตี 4 แทบทุกวันเพื่อให้เสร็จทันกำหนด แถมเพื่อนในออฟฟิศก็เพิ่งพบหน้าค่าตา จะถามอะไรทีก็ลำบากใจเอาเรื่อง ทางออกของผมคือก้มหน้าก้มตาทำไปจนกว่าจะเสร็จ ดีไม่ดี เล่มนี้เรียบร้อยเมื่อไหร่ กูออก!

แปลกดีที่ความคิดแบบนั้นกลายเป็นธุลีไปทันทีที่ผมได้เห็นผลงานชิ้นแรกของตัวเองอยู่ในมือ ความภูมิใจแบบนี้ไม่เคยมีระหว่างทำงานที่เก่า และความภูมิใจแบบเดียวกันนี่เอง ทำให้ผมอยู่กับที่นี่ได้ยืดยาวเกือบ 3 ปี ทั้งที่ทนทรมานอยู่กับที่เก่าได้แค่ 9 เดือน ผมไม่เคยเลิกตื่นเต้นที่จะจับและพลิกอ่านหนังสือที่ตัวเองทำทุกต้นเดือน ทั้งความสนุกกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมเจอช่วงทำงานที่นี่ ยิ่งทำให้การบอกลางานนี้เป็นเรื่องยาก...แต่เอาเข้าจริงแล้ว ก็ไม่มีปาร์ตี้ไหนเฮฮาไปได้ตลอดกาลหรอก คนเราต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ยึดติดไว้เสมอ

ผมจำตัวเองตอนสังสรรค์ปีใหม่ที่ผ่านมาของบริษัทได้ ระหว่างเต้นเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนเมายาดอง ผมมองไปยังห้องที่เคยนั่งทำงานแล้วมั่นใจว่า ผมจะคิดถึงที่นี่แน่ๆ

แค่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันจริง

10. คุณ

ผมคงโกหกตัวเองถ้าจะบอกว่า ไม่มีเรื่องของ ‘คุณ’ เป็นเหตุการณ์ที่ผมลืมไม่ลง
ไม่นานมานี้ ผมไปดู Final Score ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรกับหนังมากนัก แต่ซาวนด์แทรกตอนจบทำผมเกือบร้องไห้ เพราะมันเหมือนผมจังเลยแฮะ

วัน เดือน หรือปีหว่า กว่าเรื่องทุกอย่างนี่จะจบจริงๆ




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2550 21:48:11 น.   
Counter : 600 Pageviews.  


TAGGED 2 : Memory of the Past / Tahiti 80

“Why everything bad or good seems better once it has passed?”



4. ไม่กลับมา

ผมเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนโชคดีเรื่องเพื่อน จะอนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย หรือมหาลัย ต่อให้หวั่นใจตอนเปลี่ยนชั้นเรียนใหม่แค่ไหน สุดท้ายผมก็เจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขจนได้ กับเรื่องมิตรสหาย ผมจึงแทบไม่เคยกลัดกลุ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชัดอยู่แล้วว่าข้อดีของมันคือ เราไม่ต้องคลุกคลีกับความเดียวดายมากนัก อยากเสวนากับมนุษย์เมื่อไหร่ ก็มักมีใครสักคนให้คุยด้วย ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ…

พูดตรงๆ เมื่อก่อนนึกไม่ออก

จนมามหาลัยปีสี่ ผมได้ทุนแลกเปลี่ยนไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ความตื่นเต้นคงไม่ต้องบรรยาย ผมไปถึงที่นั่นแล้วหลายเดือนในความฝัน ก่อนจะได้ลงเหยียบแผ่นดินเขาจริงๆ เสียด้วยซ้ำ มีเรื่องมากมายที่ตั้งใจจะทำพกไปตุงกระเป๋า ถ้าความปรารถนาแต่ละก้อนมีน้ำหนัก เขาคงไม่ให้ผ่านตอนโหลดของแน่

และแล้วผมก็อยู่ที่นั่น ข้ามน้ำข้ามทะเลไปนั่งอยู่ในห้องแคบๆ สีขาวโพลนทั้งสี่ด้านของหอพักที่จะต้องเป็น ‘บ้าน’ ของผมหนึ่งปีเต็ม…โดยไม่รู้จักใครเลย แปลกที่ผมไม่เอะใจสักนิดก่อนไปว่า ความตื่นเต้นจะแพ้น็อคเอาต์ความเหงาได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนผู้อาศัยในหอนักเรียนต่างชาติที่นี่ทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว และผมกำลังเป็นมนุษย์ต่างดาวในต่างแดน กิจกรรมมากมายที่หวังจะทำน่ะเหรอ ผมทำได้แค่ไปนั่งแกว่งชิงช้าเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้หอพัก ตามองท้องฟ้าหายานแม่กลับบ้าน

เฮ้ย แต่ใช่ผมจะไม่มีความหวังเสียเลยเมื่อไหร่ ข้างห้องมีชื่อเจ้าของห้องที่ยังมาไม่ถึงแปะอยู่ และเขาเป็นคนไทย!เขากลายเป็นคนที่ผมรอแล้วรอเล่า เมื่อ Godot คนนี้มา ผมจะเลิกเหงาเสียที สองสามอาทิตย์กับการเดินสวนสนามกับพวกฝรั่งเย็นชานี่ ใกล้จะจบลงแล้ว ผมเฝ้าคอยวันที่ประตูของคนข้างห้องจะเปิดอย่างใจจดใจจ่อ

“แอ๊ด”

พงษ์มาจากสถาบันเดียวกับผม แต่ต่างคณะ เราคุยกันถูกคออย่างง่ายดาย ในฐานะผู้มาก่อนและพูดภาษาญี่ปุ่นเป็นบ้าง ผมแนะนำเขาต่างๆ นาๆ เรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ พาทัวร์มหาลัย และติดต่อเรื่องต่างๆ ให้ ที่สุดแล้วผมก็ได้ทราบว่า พงษ์เป็นตัวแทนของประเทศไทยในโปรแกรมต่างชาติของมหาลัยนี้ เช่นเดียวพวกฝรั่งและเอเชียนส่วนใหญ่ของหอ อืมมม…ก็ดี จะได้รู้จักกับพวกนั้นง่ายขึ้น

พงษ์สนิทกับพวกโปรแกรมเดียวกันอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งพงษ์ชวนผมขี่จักรยานไปมหาลัย ประหยัดค่ารถไฟได้โขอยู่ แต่เขาบอกทางค่อนข้างไกล ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า พูดตรงๆ เรื่องเหนื่อย ต้อมกลัวที่ไหนฟะ กรรมกรขนาดนี้ แต่ปั่นไปปั่นมาอยู่ดีๆ ก็หายใจไม่ทัน เนินชันที่มีอยู่ทั่วโอซาก้าเป็นปัญหาต่อการขี่จักยานของคนไม่คุ้นจริงๆ แหละ รู้สึกตัวอีกที พงษ์กับพวกฝรั่งที่มาด้วยกันก็ลับหายไปกับเลี้ยวไหนสักเลี้ยวแล้ว เอาวะ คอยสักพัก เดี๋ยวมันคงกลับมา…

ไม่กลับมาแฮะ คอยนานแค่ไหนก็ไม่กลับมา

สองชั่วโมงหลังจากนั้น ผมพยายามหาทางไปมหาลัยด้วยตัวเอง เพราะจะกลับไปที่หอก็มาไกลจนไม่รู้ทางเสียแล้ว ตอนกลับก็เหมือนเดิม มั่วทางมาตลอด ผิดบ้างถูกบ้าง กว่าจะกระเสือกกระสนมาถึงหอได้ก็มืดแล้ว เหนื่อยขาแทบหัก…แต่ทำไมมันยังเจ็บน้อยกว่าที่ใจเยอะเลยวะ

สำหรับผมนี่คือการถูกหักหลังครั้งแรกตั้งแต่ลืมตาดูโลก นี่ไงข้อเสียของการมีเพื่อนดีๆ มาตลอดชีวิต คุณรู้ช้ากว่าคนอื่นแยะว่าเพื่อนแย่ๆ มันเป็นยังไง อะไรที่หล่อหลอมให้ผมเติบโตมาโดยเชื่อว่า การเห็นคนอื่นมีความสุขเป็นเรื่องน่ายินดี วันนั้นผมเกือบดึงมีดที่ปักอยู่ที่หลังมาเสียบมันตายคามือ ผมควรจะปล่อยให้เพื่อนคนนี้เผชิญทุกอย่างด้วยตัวมันเองแต่แรก

พงษ์กลับมา เคาะประตูห้องผม ถามอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่อยู่ในห้องแล้ว

คนที่เคยอยู่ในห้องนั้นไม่กลับมาแล้วเหมือนกัน

5. “Everything is broken. Everyone is broken.”

ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันต่อเนื่องกับเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมยังอยู่ญี่ปุ่น

จริงๆ ไม่ว่าจะญี่ปุ่น ไทย หรือที่ไหนในโลก เชื่อเถอะว่าเวลาเดินคนเดียว ผมจะฟังเพลงอยู่เสีย 90% และวันนั้นในรถบัสมุ่งตรงสู่มหาลัย ผมก็ฟังเพลงอยู่ เพื่อนใหม่ชาวรัสเซียที่รู้จักกันในหอ (เย่ มีเพื่อนแล้วว้อยยยย) ให้ยืม ซีดีหลายแผ่นมาลงใน MD หนึ่งในอัลบั้มเหล่านั้น ผมฟังวนไปวนมาอยู่เกือบอาทิตย์ก่อนหน้า

เคยอ่านสัมภาษณ์ ส้ม อมรา เขาบอกว่า ดนตรีเป็นเหมือนแฟนคนแรกและคนเดียวของเขา (ถ้าจำไม่ผิด) ของผมก็คงไม่ต่างกัน ถึงจะเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นเลย แต่ผมนึกชีวิตที่ไม่มีเพลงไม่ออกจริงๆ หลายครั้งผมนอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงก้องอยู่ในหัวไม่ยอมเลิก ผมพยายามแกะๆ มันออกมาดูว่ามีเทปหรือซีดีหลงอยู่ข้างในหรือเปล่า ปรากฎว่ามีแต่ขี้เลื่อย

รู้สึกตัวอีกที ผมก็มานั่งอยู่ข้างหน้าอาจารย์ที่ปรึกษา ใช่สิ วันนั้นผมไปมหาลัยนัดพบท่าน เพื่อปรึกษาเรื่องรายงาน ท่านกล่าวทักทาย และก้มลงดูรายงานที่ผมทำมาแล้วส่วนหนึ่งก่อนให้ความเห็น สักพักท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า

“Everything is broken. Everyone is broken” (กรุณาใส่ทำนองเอง)

ผมจำวินาทีนั้นได้ไม่เคยลืม เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองใกล้เสียสติที่สุดแล้ว ไม่รู้อาจารย์สังเกตเห็นอารามตกใจในสีหน้าผมหรือเปล่า แต่ท่านต้องเห็นผมสะบัดหัวไล่ความประสาทนี่ออกไปแน่ๆ ดีใจเป็นบ้าที่ครู่ต่อมา ผมฟังอาจารย์พูดเป็นภาษามนุษย์ในที่สุด

ไม่ต้องเป็นห่วง นับจากวันนั้น เหตุการณ์แบบเดียวกันไม่เคยเกิดขึ้นอีก ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เข็ดหลาบ ฟังเพลงน้อยลงแต่อย่างใด อ้อ แล้วผมก็ไม่ได้นั่งพิมพ์ไอ้ข้อความทั้งหมดนี่จากศรีธัญญาด้วย ที่อยากให้คุณสนใจคือ…

ปุจฉา! อาจารย์ท่านร้องออกมาเป็นเพลงอะไรครับ?

6. สาวแคชเชียร์

จริงๆ เรื่องนี้อาย ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาวะ!

ผมปิ๊งสาวคนนึงตอนอยู่ญี่ปุ่น เธอทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้หอพักผมเอง แต่จริงๆ จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้หรอก เพราะมีร้านสะดวกซื้อใกล้กว่านั้นอีกตั้งหลายร้าน แต่ทุกทีที่อยากซื้อของ จักรยานเส็งเคร็งของผมจะถ่อไปที่นั่นทันที บางทีไม่ได้อยากซื้ออะไร ก็หาเรื่องไปเดินเล่นจนได้แหละ

เรียกใหม่ว่าที่ที่เธอทำงานคือ discount store ดีกว่า เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่พอตัว แคชเชียร์ก็มีหลายช่องให้เลือกจ่าย หนึ่งในพนักงานประจำช่องเป็นผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก ผมเคยพาเพื่อนคนญี่ปุ่นคนหนึ่งไปซื้อของที่นั่น มันบอก “โห มีคนน่ารักๆ ที่นี่ก็ไม่บอก” ผมบอก “กูเจอก่อนนะว้อย”

เอาล่ะ บอกกันตรงนี้เลยว่า เรื่องจะจบลงตรงที่ว่า ผมไม่เคยพูดกับเธอเลย ชื่อก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าเธอรับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ในโลก ท่ามกลางคนจับจ่ายซื้อของจำนวนมากในร้าน บวกพนักงานอีกเพียบ

1. มีครั้งหนึ่ง ผมหายไปนาน เพราะไปเที่ยวจังหวัดอื่น พอผมเดินเข้าประตูกลับมา เห็นเพื่อนเธอสะกิดเรียกเธอให้หันมามอง (โคตรดีใจ)

2. มีครั้งหนึ่ง ผมกระแดะไปทำผมสีทองตามสมัยนิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่น (โดยไม่ได้ดูหน้าตาตัวเองเล้ยยยยย) หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมเธอจากสีดำ กลายเป็นสีทองเหมือนกัน (จริงๆ ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่า)

3. มีครั้งหนึ่ง เพื่อนชาวรัสเซียที่ผมสนิทด้วย (จากเรื่องข้างบนนั่นแหละ) มันอุตริชวนผมถ่ายรูปในร้านนั้นขึ้นมา บอกอยากได้เป็นที่ระลึก เธออาสาเป็นคนถ่ายให้ หลังจากได้ยินเราคุยกันตรงแคชเชียร์เป็นภาษาอังกฤษ (หรือเขาอาจจะชอบไอ้รัสเซียนั่นฟะ)

ก่อนกลับ ผมรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายให้เธอ สุดท้ายก็ได้แค่กล้าเขียน แต่ไม่กล้าให้
ทุกวันนี้ ยังได้แต่สงสัยว่า ถ้ากลับไปร้านเก่าร้านนั้น

จะยังเห็นเธออยู่ที่นั่นหรือเปล่าหนอ




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 18:23:00 น.   
Counter : 474 Pageviews.  


TAGGED 1 : I / Pizzicato Five



ตอนแรกว่าจะตอบการ tag ด้วยการใช้ adjective พูดถึงตัวเอง 5 ข้อดี กับ 5 ข้อแย่
แต่คิดไปคิดมา มันจะดูตีแผ่ความดาร์กในชีวิตให้ปวงชนเห็นมากเกินไปหน่อย

ว่าแล้วก็เล่นแบบนี้ดีกว่า

นี่คือ 10 เหตุการณ์ที่ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้ ปะติดปะต่อกันได้เป็นคนยังไงก็คงต้องให้เป็นวิจารณญาณของท่านผู้อ่านระบายกันเอาเองนะครับ
ขอยืนยันอย่างเดียวว่า ผมเป็นคนดี!

(อ่านให้จบแล้วจะรู้ว่า ไอ้บ้านี่ไปเอาความเชื่อนี้มาจากไหน)

1. ซูเปอร์แมน

ตอนเด็กๆ ไปเยี่ยมบ้านยายบ่อย ยายผมอยู่อยุธยา บ้านยายจะเป็นบ้านไม้เก่าๆ ยกไต้ถุนสูง ด้านหนึ่งของฝาบ้านจะเป็นประตูเปิดไว้ตลอดตอนกลางวัน เพื่อให้ทั้งลมและแดดโกรกเข้า หวังสร้างชีวิตชีวาให้กับบ้านด้วยกลิ่นขี้วัวหรือเจตนาใดก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ผมชอบไปยืนตรงนั้น มองไปข้างล่างซึ่งเป็นพื้นดิน เฝ้าสงสัยอยู่ตลอดว่า

“โดดลงไปจะยืนได้ไหม”

หากใครนึกภาพไม่ออก ความสูงจากพื้นถึงประตูไม้ที่เปิดโล่งนั้น ประมาณได้ราวตึก 2 ชั้น (หรือ 1 ½ หว่า) ทีนี้หลังจากสงสัยอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ปนกับความเขลาเพราะยังไม่เรียนเรื่องแรงโน้มถ่วง วันหนึ่ง ผมตัดสินใจโดด!

ผมมั่นใจว่าขาผมลงมาแตะพื้นแล้ว อีกเดี๋ยวกำลังจะยกมือเหยียดเหนือหัวแบบนักยิมนาสติกเต็ม 10.00
ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้วูบนั้นคือ ตูดเป็นอวัยวะที่มีมวลใหญ่พอตัว ผสมกับแรงโน้มถ่วงมากเข้า ขามันจะรับไม่ไหว ผลที่ได้คือแก้มก้นหล่นใส่พื้นอย่างจัง
สักพัก พ่อ แม่ ตา ยาย ตามเสียงร้องไห้มาชะโงกดูตรงประตูจากบนบ้าน
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ เด็กที่เพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าตัวเองไม่ใช่ซูเปอร์แมน

แต่เป็นควาย!

2. Pink Bullet

ได้ปืนอัดลมมาจากไหนไม่รู้ ลูกปืนทำจากยางสีชมพู ยิงน้องเล่นไปหลายนัดจนมันเบื่อหนีไปหลับ เลยต้องนั่งเล่นคนเดียว ก็ได้วะ ง้อที่ไหน แก๊กๆๆๆ เล่นคนเดียว ต้อมก็มันได้ว้อยยยย
“แชะ”

จู่ๆ ลูกปืนก็ดันด้าน ยิงไม่ออกขึ้นมา เสียอารมณ์เป็นบ้า เพิ่งซื้อมานะโว้ย จะพังชนิดยังไม่ทันข้ามวันเลยเชียวหรือ
แชะๆๆๆๆ ยังไม่ออก ตามประสาเด็กก็เลยหันกระบอกปืนเข้ามาดู มันเป็นห่าไรว…

หนึ่งใน Pink Bullet (โอ…นี่มันชื่อเพลง The Shins นี่ เพิ่งรู้ว่าเราดองกันมาแต่เด็ก) ถลันเข้าใส่จมูกฉับพลัน ทั้งที่ไม่ได้เหนี่ยวไก!

แม้จะแค่ข้างเดียว แต่แม่เจ้า…มันหายใจไม่ออกว้อยยยย เรียกหาใครก็ไม่มีเสียงจะพูด มันจุกคอไปหมด ฮึดๆๆๆๆ นอนดิ้นพราดๆๆๆ อยู่ตรงลานนอกบ้านอย่างนั้น ปู่ย่าน้าอาหายไปไหนหมด ปกติอยู่เต็มบ้าน หลานกำลังจะตาย ไปนอนดูลำตัดกันอยู่หรือไงหา!

เคราะห์ดี นรกเห็นตรงกันว่ายังไม่อยากรับภาระเด็กประสาทไปชดใช้บาป ดิ้นเป็นหมูโดนน้ำร้อนอยู่พักเบ้อเร่อ ลมหายใจออกเฮือกใหญ่หอบเอากระสุนตะไลนั่นออกจากรูจมูกเราได้ แฮ่กๆๆๆๆ อากาศแม่งวิเศษเป็นบ้า

ส่วนปืนห่านี่ เอาไปปาหัวหมาดีกว่า แค้นว้อยยยยยย
ถ้าเจอมันอีกทีตอนนี้ จะเอามาเหยียบๆๆๆๆ ให้หายแค้นอีกที ฮึ่ม!

3. ขันติ

ผมจบ ม. ต้น และ ม. ปลาย ที่โรงเรียนเดียวกัน เป็นโรงเรียนที่ผมรักมาก ทุกวันนี้ยังมีเรื่องฮาๆ เกี่ยวกับมันให้นึกถึงได้อยู่เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องอาจารย์

อาจารย์ที่โรงเรียนนี้เป็นวาไรตี้ที่สนุกสนาน มีตั้งแต่เฮี๊ยบมาก ยันฮามาก อาจารย์ ส (ย่อเพราะจำชื่อไม่ได้แล้วอ่ะ) เป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนา แกรูปร่างท้วม อาจจะเป็นปัญหาเวลาสอนกราบเบญจางคประดิษฐ์ เพราะเวลาก้มแล้วติดพุงอยู่บ้าง แต่เรื่องหลักธรรมพุทธศาสนา แกส่งผ่านให้พวกเราไม่ขาดตรงบกพร่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 และอีกนานาหลักธรรม แกพูดถึงด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ชวนให้เลื่อมใสอยู่ตลอดเวลา

วันหนึ่งแกเดินอยู่ตรงทางเดินข้างสนามบอล กำลังตรงไปโรงอาหาร ผมนั่งคุยกับเพื่อนอยู่แถวนั้น เด็กอื่นๆ ก็เล่นบอลโกลหนูของมันไป ทุกอย่างคงสดใสไร้มลทินเหมือนทุกวัน ถ้าลูกบอลพลาสติกมันไม่วิ่งจากเท้าเด็กคนหนึ่งไปสู่หัวอาจารย์เข้า!

อาจารย์เดินอาดๆ ไปหยิบลูกบอลที่กระดอนมาโดนหัว แล้วตะโกนลั่น

“ใครเตะลูกบอลมาโดนช้านนนนน!”

ผมสาบานว่าเห็นลูกบอลนั่นโดนบีบแฟบไปต่อหน้าต่อตาด้วยสองมือป้อมๆ ของอาจารย์ ขันติ น่ะหรือ มันโดนขยี้คาตีนระหว่างที่แกเดินไปหยิบลูกบอลแล้วละมัง เสียดายผมไม่ได้ยินเสียงร้องก่อนตายของ ขันติ
ผลคือ ลูกบอล…ตาย ส่วนเด็กโชคร้ายที่ซวยเตะบอลไปโดนอาจารย์ ถูก “ไปพบชั้นที่ห้องพักครูเดี๋ยวนี้”

หลายพยางค์กว่า แต่หมายถึง “ตาย” เหมือนกัน




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2550 14:42:13 น.   
Counter : 483 Pageviews.  


1  2  3  

Levine
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ทำแบบสอบถามอันแรก
เขาบอกเป็น
smooth talker
ทำอีกอัน เขาบอกเป็น
high achiever
แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นแค่
คนมองโลกในแง่ร้าย
ที่พยายามเหลือหลาย
ให้มองโลกในแง่ดี

Tonight I Have to Leave It / Shout Out Louds
[Add Levine's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com