I noticed tonight that the world has been turning
While I've been stuck here dithering around
Can't Stop Now/Keane
 
TAGGED 2 : Memory of the Past / Tahiti 80

“Why everything bad or good seems better once it has passed?”



4. ไม่กลับมา

ผมเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนโชคดีเรื่องเพื่อน จะอนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย หรือมหาลัย ต่อให้หวั่นใจตอนเปลี่ยนชั้นเรียนใหม่แค่ไหน สุดท้ายผมก็เจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขจนได้ กับเรื่องมิตรสหาย ผมจึงแทบไม่เคยกลัดกลุ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชัดอยู่แล้วว่าข้อดีของมันคือ เราไม่ต้องคลุกคลีกับความเดียวดายมากนัก อยากเสวนากับมนุษย์เมื่อไหร่ ก็มักมีใครสักคนให้คุยด้วย ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ…

พูดตรงๆ เมื่อก่อนนึกไม่ออก

จนมามหาลัยปีสี่ ผมได้ทุนแลกเปลี่ยนไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ความตื่นเต้นคงไม่ต้องบรรยาย ผมไปถึงที่นั่นแล้วหลายเดือนในความฝัน ก่อนจะได้ลงเหยียบแผ่นดินเขาจริงๆ เสียด้วยซ้ำ มีเรื่องมากมายที่ตั้งใจจะทำพกไปตุงกระเป๋า ถ้าความปรารถนาแต่ละก้อนมีน้ำหนัก เขาคงไม่ให้ผ่านตอนโหลดของแน่

และแล้วผมก็อยู่ที่นั่น ข้ามน้ำข้ามทะเลไปนั่งอยู่ในห้องแคบๆ สีขาวโพลนทั้งสี่ด้านของหอพักที่จะต้องเป็น ‘บ้าน’ ของผมหนึ่งปีเต็ม…โดยไม่รู้จักใครเลย แปลกที่ผมไม่เอะใจสักนิดก่อนไปว่า ความตื่นเต้นจะแพ้น็อคเอาต์ความเหงาได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนผู้อาศัยในหอนักเรียนต่างชาติที่นี่ทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว และผมกำลังเป็นมนุษย์ต่างดาวในต่างแดน กิจกรรมมากมายที่หวังจะทำน่ะเหรอ ผมทำได้แค่ไปนั่งแกว่งชิงช้าเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้หอพัก ตามองท้องฟ้าหายานแม่กลับบ้าน

เฮ้ย แต่ใช่ผมจะไม่มีความหวังเสียเลยเมื่อไหร่ ข้างห้องมีชื่อเจ้าของห้องที่ยังมาไม่ถึงแปะอยู่ และเขาเป็นคนไทย!เขากลายเป็นคนที่ผมรอแล้วรอเล่า เมื่อ Godot คนนี้มา ผมจะเลิกเหงาเสียที สองสามอาทิตย์กับการเดินสวนสนามกับพวกฝรั่งเย็นชานี่ ใกล้จะจบลงแล้ว ผมเฝ้าคอยวันที่ประตูของคนข้างห้องจะเปิดอย่างใจจดใจจ่อ

“แอ๊ด”

พงษ์มาจากสถาบันเดียวกับผม แต่ต่างคณะ เราคุยกันถูกคออย่างง่ายดาย ในฐานะผู้มาก่อนและพูดภาษาญี่ปุ่นเป็นบ้าง ผมแนะนำเขาต่างๆ นาๆ เรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ พาทัวร์มหาลัย และติดต่อเรื่องต่างๆ ให้ ที่สุดแล้วผมก็ได้ทราบว่า พงษ์เป็นตัวแทนของประเทศไทยในโปรแกรมต่างชาติของมหาลัยนี้ เช่นเดียวพวกฝรั่งและเอเชียนส่วนใหญ่ของหอ อืมมม…ก็ดี จะได้รู้จักกับพวกนั้นง่ายขึ้น

พงษ์สนิทกับพวกโปรแกรมเดียวกันอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งพงษ์ชวนผมขี่จักรยานไปมหาลัย ประหยัดค่ารถไฟได้โขอยู่ แต่เขาบอกทางค่อนข้างไกล ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า พูดตรงๆ เรื่องเหนื่อย ต้อมกลัวที่ไหนฟะ กรรมกรขนาดนี้ แต่ปั่นไปปั่นมาอยู่ดีๆ ก็หายใจไม่ทัน เนินชันที่มีอยู่ทั่วโอซาก้าเป็นปัญหาต่อการขี่จักยานของคนไม่คุ้นจริงๆ แหละ รู้สึกตัวอีกที พงษ์กับพวกฝรั่งที่มาด้วยกันก็ลับหายไปกับเลี้ยวไหนสักเลี้ยวแล้ว เอาวะ คอยสักพัก เดี๋ยวมันคงกลับมา…

ไม่กลับมาแฮะ คอยนานแค่ไหนก็ไม่กลับมา

สองชั่วโมงหลังจากนั้น ผมพยายามหาทางไปมหาลัยด้วยตัวเอง เพราะจะกลับไปที่หอก็มาไกลจนไม่รู้ทางเสียแล้ว ตอนกลับก็เหมือนเดิม มั่วทางมาตลอด ผิดบ้างถูกบ้าง กว่าจะกระเสือกกระสนมาถึงหอได้ก็มืดแล้ว เหนื่อยขาแทบหัก…แต่ทำไมมันยังเจ็บน้อยกว่าที่ใจเยอะเลยวะ

สำหรับผมนี่คือการถูกหักหลังครั้งแรกตั้งแต่ลืมตาดูโลก นี่ไงข้อเสียของการมีเพื่อนดีๆ มาตลอดชีวิต คุณรู้ช้ากว่าคนอื่นแยะว่าเพื่อนแย่ๆ มันเป็นยังไง อะไรที่หล่อหลอมให้ผมเติบโตมาโดยเชื่อว่า การเห็นคนอื่นมีความสุขเป็นเรื่องน่ายินดี วันนั้นผมเกือบดึงมีดที่ปักอยู่ที่หลังมาเสียบมันตายคามือ ผมควรจะปล่อยให้เพื่อนคนนี้เผชิญทุกอย่างด้วยตัวมันเองแต่แรก

พงษ์กลับมา เคาะประตูห้องผม ถามอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่อยู่ในห้องแล้ว

คนที่เคยอยู่ในห้องนั้นไม่กลับมาแล้วเหมือนกัน

5. “Everything is broken. Everyone is broken.”

ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันต่อเนื่องกับเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมยังอยู่ญี่ปุ่น

จริงๆ ไม่ว่าจะญี่ปุ่น ไทย หรือที่ไหนในโลก เชื่อเถอะว่าเวลาเดินคนเดียว ผมจะฟังเพลงอยู่เสีย 90% และวันนั้นในรถบัสมุ่งตรงสู่มหาลัย ผมก็ฟังเพลงอยู่ เพื่อนใหม่ชาวรัสเซียที่รู้จักกันในหอ (เย่ มีเพื่อนแล้วว้อยยยย) ให้ยืม ซีดีหลายแผ่นมาลงใน MD หนึ่งในอัลบั้มเหล่านั้น ผมฟังวนไปวนมาอยู่เกือบอาทิตย์ก่อนหน้า

เคยอ่านสัมภาษณ์ ส้ม อมรา เขาบอกว่า ดนตรีเป็นเหมือนแฟนคนแรกและคนเดียวของเขา (ถ้าจำไม่ผิด) ของผมก็คงไม่ต่างกัน ถึงจะเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นเลย แต่ผมนึกชีวิตที่ไม่มีเพลงไม่ออกจริงๆ หลายครั้งผมนอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงก้องอยู่ในหัวไม่ยอมเลิก ผมพยายามแกะๆ มันออกมาดูว่ามีเทปหรือซีดีหลงอยู่ข้างในหรือเปล่า ปรากฎว่ามีแต่ขี้เลื่อย

รู้สึกตัวอีกที ผมก็มานั่งอยู่ข้างหน้าอาจารย์ที่ปรึกษา ใช่สิ วันนั้นผมไปมหาลัยนัดพบท่าน เพื่อปรึกษาเรื่องรายงาน ท่านกล่าวทักทาย และก้มลงดูรายงานที่ผมทำมาแล้วส่วนหนึ่งก่อนให้ความเห็น สักพักท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า

“Everything is broken. Everyone is broken” (กรุณาใส่ทำนองเอง)

ผมจำวินาทีนั้นได้ไม่เคยลืม เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองใกล้เสียสติที่สุดแล้ว ไม่รู้อาจารย์สังเกตเห็นอารามตกใจในสีหน้าผมหรือเปล่า แต่ท่านต้องเห็นผมสะบัดหัวไล่ความประสาทนี่ออกไปแน่ๆ ดีใจเป็นบ้าที่ครู่ต่อมา ผมฟังอาจารย์พูดเป็นภาษามนุษย์ในที่สุด

ไม่ต้องเป็นห่วง นับจากวันนั้น เหตุการณ์แบบเดียวกันไม่เคยเกิดขึ้นอีก ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เข็ดหลาบ ฟังเพลงน้อยลงแต่อย่างใด อ้อ แล้วผมก็ไม่ได้นั่งพิมพ์ไอ้ข้อความทั้งหมดนี่จากศรีธัญญาด้วย ที่อยากให้คุณสนใจคือ…

ปุจฉา! อาจารย์ท่านร้องออกมาเป็นเพลงอะไรครับ?

6. สาวแคชเชียร์

จริงๆ เรื่องนี้อาย ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาวะ!

ผมปิ๊งสาวคนนึงตอนอยู่ญี่ปุ่น เธอทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้หอพักผมเอง แต่จริงๆ จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้หรอก เพราะมีร้านสะดวกซื้อใกล้กว่านั้นอีกตั้งหลายร้าน แต่ทุกทีที่อยากซื้อของ จักรยานเส็งเคร็งของผมจะถ่อไปที่นั่นทันที บางทีไม่ได้อยากซื้ออะไร ก็หาเรื่องไปเดินเล่นจนได้แหละ

เรียกใหม่ว่าที่ที่เธอทำงานคือ discount store ดีกว่า เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่พอตัว แคชเชียร์ก็มีหลายช่องให้เลือกจ่าย หนึ่งในพนักงานประจำช่องเป็นผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก ผมเคยพาเพื่อนคนญี่ปุ่นคนหนึ่งไปซื้อของที่นั่น มันบอก “โห มีคนน่ารักๆ ที่นี่ก็ไม่บอก” ผมบอก “กูเจอก่อนนะว้อย”

เอาล่ะ บอกกันตรงนี้เลยว่า เรื่องจะจบลงตรงที่ว่า ผมไม่เคยพูดกับเธอเลย ชื่อก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าเธอรับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ในโลก ท่ามกลางคนจับจ่ายซื้อของจำนวนมากในร้าน บวกพนักงานอีกเพียบ

1. มีครั้งหนึ่ง ผมหายไปนาน เพราะไปเที่ยวจังหวัดอื่น พอผมเดินเข้าประตูกลับมา เห็นเพื่อนเธอสะกิดเรียกเธอให้หันมามอง (โคตรดีใจ)

2. มีครั้งหนึ่ง ผมกระแดะไปทำผมสีทองตามสมัยนิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่น (โดยไม่ได้ดูหน้าตาตัวเองเล้ยยยยย) หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมเธอจากสีดำ กลายเป็นสีทองเหมือนกัน (จริงๆ ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่า)

3. มีครั้งหนึ่ง เพื่อนชาวรัสเซียที่ผมสนิทด้วย (จากเรื่องข้างบนนั่นแหละ) มันอุตริชวนผมถ่ายรูปในร้านนั้นขึ้นมา บอกอยากได้เป็นที่ระลึก เธออาสาเป็นคนถ่ายให้ หลังจากได้ยินเราคุยกันตรงแคชเชียร์เป็นภาษาอังกฤษ (หรือเขาอาจจะชอบไอ้รัสเซียนั่นฟะ)

ก่อนกลับ ผมรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายให้เธอ สุดท้ายก็ได้แค่กล้าเขียน แต่ไม่กล้าให้
ทุกวันนี้ ยังได้แต่สงสัยว่า ถ้ากลับไปร้านเก่าร้านนั้น

จะยังเห็นเธออยู่ที่นั่นหรือเปล่าหนอ



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 18:23:00 น. 13 comments
Counter : 475 Pageviews.  
 
 
 
 
เรื่องเพื่อนนี่เข้าใจมหาศาล เพราะเจอคนแย่ๆตอนโตเหมือนกัน งงไปเลย ไม่เข้าใจ ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่
เจอแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ดีตรงที่ว่า ในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้นไปเหมือนกัน เพราะมันเริ่มไม่ค่อยไว้ใจในความดีของคน

วิสัจชนา(สะกดไงคะ) >> ก็ planet telex หน่ะสิ ใช่ไหมๆ

สาวเจ้าเหมือนจะมีใจ แล้วทำไมไม่กล้าหล่ะค้า อ่านแล้วหงุดหงิด!
 
 

โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:3:27:46 น.  

 
 
 
ข้อสี่นี่เหมือนฉากในภาพยนตร์ยังไงไม่รู้แฮะ อ่านตอนแรกนึกว่าเพื่อนชื่อแอ๊ดซะอีก
 
 

โดย: ปืนกล IP: 203.131.220.50 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:39:49 น.  

 
 
 
ข้อ 4 Godot อย่างนั้นไม่น่าคอยให้เสียเวลาเลยเนอะ
ข้อ 5 ไม่รู้ล่ะ ว่าเพลงอะไร
ข้อ 6 ท่าทางสาวก็สนใจคุณออก ทำไมปล่อยให้เธอผ่านไป รู้สึกหงุดหงิดเหมือนคนข้างบนเลย

ป.ล.คุณเขียนหนังสือสนุกนะ Levine
 
 

โดย: grappa วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:52:33 น.  

 
 
 
พี่อาย

จริงครับ การเจอคนแย่ๆ ทำให้เราเสียศรัทธาในมนุษย์ได้ง่ายมาก แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าผมจะไม่เคยสงสัยมาก่อนว่ามีคนแบบนี้ในโลกไหม เพียงแต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเจอเท่านั้นเอง

ส่วนเพลงที่ตอบ แหม่ มันง่ายมากสำหรับเซียนเนื้อเพลง ใช่ไหม

ปืนกล

ไร เราว่าเหมือนฉากเปิดประตูในเกม resident evil (biohazard) มากกว่า

แต่ขำอ่ะ เพื่อนชื่อ "แอ๊ด" (ต้องมีเครื่องหมายคำพูดด้วย)


คุณ grappa

ข้อ 4 จริงพี่ เจอแล้ว มันกลายเป็น goddamn ไปทันที
ข้อ 5 เฉลยดังที่พี่อายบอกจ้า ช่วงนั้นผมบ้าฟัง The Bends / Radiohead อย่างหัวปักหัวปำ
ข้อ 6 คะ คะ คะ คือ คือว่า ผมขี้อายยยยยย มากๆๆๆ อ่ะครับ

ตอบ ป.ล. โห ดีใจมากๆ คุณ grappa ชมเลยนะเนี่ย ขอบคุณมากครับที่สละเวลามาอ่าน
 
 

โดย: Levine วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:56:27 น.  

 
 
 
สมัคร //cbox.ws แล้วเอา script มาแปะ! แปะ! แปะ!

ปกติเค้า tag กัน 5 เรื่อง
แต่อันสุดท้ายนี่ใจสั่งมาใช่ปะ

ปล. อยากเห็นพี่ผมทอง
 
 

โดย: N o o n หัวดำ IP: 125.25.192.53 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:44:10 น.  

 
 
 
อ๊ะๆ มีแอบกุ๊กกิ๊ก โรแมนติกด้วยนะ

ว่าแต่ที่ว่า ขี้อายอ่ะจริงเหรอ
 
 

โดย: รวีส่องแสง IP: 125.24.35.149 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:35:47 น.  

 
 
 
อ๋อ ที่พูดว่าเจอเพื่อนเอี้ยๆนี่เป็นอย่างงี้นี่เอง แล้วชื่อเล่นที่ใช้นี่ชื่อจริงเค้าป่าววะ เดี๋ยวมันมาอ่านเข้าให้ ป๊าดดดดดด

ปล ฝากบล๊อกๆที่เอ๊กตรีนนนนน ฮ่าๆๆๆๆๆ

//ed60797.exteen.com

 
 

โดย: Ed IP: 86.27.90.214 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:5:55:59 น.  

 
 
 
ตั้งตัวไม่ทันเลย
ต้อมอัพบล็อก

ปัจจุบันยังปิ๊งสาวแคชเชียร์อยู่ป่าว
 
 

โดย: King Of Pain วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:28:24 น.  

 
 
 
ได้อ่านภาคสองต่อแระ
สาวแคชเชียร์นี่ พี่ก็เคยปิ๊งสาวแคชเชียร์เซเว่นไฮไลท์ผมสีม่วงคนนึง
แต่เจอกันครั้งเดียวเอง สงสัยมาทำงานพิเศษ
แหม เรากะจะแวะซื้อลูกอมทุกชั่วโมงซะหน่อย
 
 

โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:04:45 น.  

 
 
 

เข้ามาอ่านแล้วนะตามสัญญา

ชิชะ! ยังคงเขียนหนังสือสนุกตามเคย

อย่าไปสนเลยอะไรที่ไม่กลับมา สนอะไรที่ยังอยู่ดีกว่าเนอะ เนอะ

ดีใจทุกทีเลยที่คิดว่าเรารู้จักกัน แม้เราจะไม่เคยทำงานแคชเชียร์มาก่อนก็ตาม
 
 

โดย: น้องบ่างไม่ด่างพร้อย IP: 58.10.149.87 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:24:58 น.  

 
 
 
....
พี่เต้สุดหล่อมมม...
..
 
 

โดย: คุณม้าฮาหลุดโลก วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:21:10 น.  

 
 
 
มาต่อ 4 ข้อที่เหลือเสียดีๆ
กดดันๆ
อัพบล็อกเมื่อไหร่ ไปบอกด้วยนะ
 
 

โดย: grappa วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:41:09 น.  

 
 
 
นุ่น & หนวยสุดซุ่น &คุณม้า อรนภา

อย่าเห็นเลย ผมทอง ช่างน่าอาย

บอกว่า จะเอา "เต้สุดท่อม"

รวีส่องแสง

ไมมีแต่คนไม่เชื่อวะ เวลาบอกขี้อาย

Ed

เออ ชื่อจริงเลย
เราว่ามันไม่ใช่เรี่องใหญ่ไรนิ ก็แค่คนทำไม่ดีต่อกัน อีกอย่าง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้โกรธไรมันแล้ว จริงๆ ตอนยังอยู่ญี่ปุ่นช่วงหลังๆ ก็คุยกันแล้วด้วยซ้ำ

โกรธใครไม่ได้นานหรอกเรา

KOP

ปิ๊งคนอื่นแทนละ

พี่ตู่

ไฮไลต์ม่วงนี่ เอ่อ... แรงอยู่นะพี่
เข้าใจปิ๊งนะ พี่ตู่

น้องบ่าง

ดีใจๆๆๆๆๆ (ขอไม้ยมกอีกล้านตัว) ที่รู้จักน้องบ่าง
korekara mo yoroshiku ne!

คุณ grappa

อัพตามคำกดดันแล้วคร้าบบบบ

จริงๆ เขียนเสร็จไว้นานแล้วเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาอัพ

ภาคนี้ชื่อ The Return of the King (Naresuan)

 
 

โดย: Levine วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:39:40 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Levine
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ทำแบบสอบถามอันแรก
เขาบอกเป็น
smooth talker
ทำอีกอัน เขาบอกเป็น
high achiever
แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นแค่
คนมองโลกในแง่ร้าย
ที่พยายามเหลือหลาย
ให้มองโลกในแง่ดี

Tonight I Have to Leave It / Shout Out Louds
[Add Levine's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com