ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 

บุญเก่า หมดบุญ

เขียนโดย ลูกแก้ว

ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติเอเชียและความน่าลงทุนในสายตาของเขาอย่างเป็นทางการสำหรับเดือนธันวาคม 2549 กับ มกราคม 2550 ว่า ประเทศในย่านเดียวกับไทย นอกเหนือจากจีนแล้ว เวียดนามกับมาเลเซียมีความน่าลงทุนมากที่สุด ส่วนประเทศไทยนั้นมีเปอร์เซนต์ติดลบด้วยตัวเลขที่สูงและไม่น่าลงทุนมากที่สุดโดยมีลาวและเขมรเป็นคู่แข่งกัน มันบ่งบอกภาวะการลงทุนในประเทศไทยจากสายตานักลงทุนหรือรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งถือว่ามีการลงทุนในต่างประเทศสูงมากประเทศหนึ่งในโลก หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในอันดับใกล้เคียงกับจีนมาตลอดและเวียดนามอยู่ต่ำกว่าไทย แต่ปัจจัยในประเทศหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2549 แค่ปีเดียวสามารถลดระดับความน่าลงทุนในไทยลงได้อย่างน่าสยองใจ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงผลติดตามมาภายหลังประกาศดังกล่าวเปิดเผยไปทั่วโลกซึ่งมักนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อต้องมองหาสถานที่ลงทุนใหม่หรือการพิจารณาเพิ่มการลงทุนในชาติเอเชีย
ประเทศไทยมิได้อยู่โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ การติดต่อค้าขายหรือแลกเปลี่ยนผลผลิตทางเกษตรหรืออุตสาหกรรมถือเป็นเรื่องปกติที่กระทำต่อกันได้ รวมทั้งการลงทุนในประเทศด้วยเงินของต่างชาติที่มองเห็นศักยภาพของคนไทยและโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่จะสร้างกำไรในการผลิตสินค้าของเขา มันเป็นเรื่องสำคัญต่อการเจริญเติบโตหรือใช้พัฒนาองค์ความรู้ในประเทศได้เช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่องเพราะจักส่งผลต่อรายได้ประชากรและถ่ายทอดความรู้ ความชำนาญให้คนไทยได้ หลายชาติในเอเชียต่างเห็นประโยชน์เหล่านี้ เช่น จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น ชาติล่าสุดที่ประกาศต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติอย่างเต็มที่ คือ เวียดนาม เพื่อนบ้านของไทยซึ่งการเมืองมีความเข้มแข็งสูง หลังจากสหรัฐประกาศติดต่อทางการทูตและการค้าระดับปกติแล้ว การลงทุนเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่เวียดนาม ขณะที่ไทยกำลังถดถอยลงตามลำดับหลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงการปกครองตอนปลายปี พ.ศ. 2549 คนไทยเริ่มพบกับผลลัพธ์จากการปฏิวัติครั้งนี้อย่างช้าๆเพราะหลายประเทศในโลกไม่รับรองรัฐบาลจากคณะปฏิวัติที่พยายามเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว การวางเฉยทางการทูต การเจรจาการค้าถูกลดระดับความสำคัญลงหรือไม่ยอมเจรจาด้วย การตอบโต้ทางการค้ามีมากขึ้นอย่างไม่เกรงใจ ด้านเอกชนของต่างชาติเลี่ยงทำการค้าที่เสี่ยงตามคำเตือนจากประเทศตน นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของไทยแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อนักลงทุนต่างชาติ
โดยทั่วไปแล้วการสั่งซื้อสินค้าระหว่างประเทศนั้นจะมีใบสั่งเป็นรายปี รายหกเดือน โดยอาศัยความเชื่อใจกันของคนซื้อและคนขาย หากสังเกตให้ดีว่าหลังการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลเดิมหรือประชาธิปไตยของคนไทยแล้ว คณะบริหารใหม่ยืนยันว่าการค้าขายยังดีอยู่ ไม่มีการลดระดับลง เศรษฐกิจของไทยยังดีมากโดยมีการแสดงสถิติแต่ละเดือนเป็นตัวเลขที่น่ามองทั้งสิ้น ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าภาพนั้นเป็นความจริง คนไทยจะไม่ลำบากแน่นอน เงินทองหยิบใช้เต็มมือเหมือนหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่พวกเขามิได้บอกให้ครบถ้วนคือ สถิติการส่งสินค้าออกเหล่านั้นล้วนสืบเนื่องจากใบสั่งซื้อเมื่อต้นปีซึ่งยังบริหารเศรษฐกิจด้วยรัฐบาลเดิมที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและทั่วโลกยอมรับและเชื่อถือในการทำงาน โดยเฉพาะมีการปิดบังข่าวสารด้านเศรษฐกิจของไทยในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่างชาติที่ปลายปีจะมีการบอกเตือนให้ระมัดระวังความตกต่ำด้านต่างๆเพื่อให้คนไทยเตรียมรับมือไว้ ตัวเลขที่นำเสนอทุกเดือนจึงดูงดงามเพราะเป็นผลมาจากใบสั่งเก่า แต่ไม่มีการเอ่ยถึงสถิติการสั่งซื้อสินค้ารอบใหม่ซึ่งจะมีผลในปีถัดไปเลย จึงไม่แปลกที่ต้นปีพ.ศ. 2550 ผลการจัดอันดับประเทศน่าลงทุนของญี่ปุ่นจึงแตกต่างจากภาพที่รัฐบาลสร้างขึ้นและบอกกล่อมคนไทยมาหลายเดือนว่าเศรษฐกิจของไทยดีมากและจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ภาพสวนทางที่เกิดขึ้นคือ การออกมาตรการทำลายการลงทุนหลายอย่างโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของชาติและทำลายนักลงทุนต่างชาติที่ดีด้วยความโง่เขลาและขาดความรอบคอบอย่างมากเมื่อคิดเทียบกับนักวิชาการประเภทเดียวกันในต่างประเทศซึ่งแสดงฝีมือบริหารการเงินให้ชาติรุ่งเรือง ประชากรไม่อดอยาก ทั้งที่นักการเงินของไทยหลายคนก็เรียนรู้มาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหล่านั้น แต่แสดงฝีมือได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ผลการบริหารเศรษฐกิจของคณะบริหารประเทศในเวลาไม่กี่เดือนนี้ เอกชนไทยจำต้องยอมรับสภาพความลำบากยากแค้นในการทำธุรกิจของปีพ.ศ. 2550 และส่งสัญญาณเตือนให้คนไทยรับทราบไว้ในงานสัมมนาต่างๆแล้ว หากติดตามข่าวสารและกลั่นกรองให้ดีจักทราบสภาวะการครองชีพของคนไทยที่ต้องพบความลำบากซึ่งอาจไม่แตกต่างจากปีพ.ศ.2540 หรือ พ.ศ. 2544 มากนัก ข้อมูลบางส่วนแจ้งแล้วว่าคนไทยหลายกลุ่มลดการใช้จ่ายเงินหาความสุขลงทันทีหลังการปฏิวัติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยประสบภัยในปีแห่งความทุกข์ยากของคนไทยมาแล้ว การหมุนเวียนเงินในประเทศที่ลดต่ำลงมากและต่อเนื่องจะส่งผลต่อการบริหารเงินของรัฐบาลอย่างมากเยี่ยงเดียวกับที่ญี่ปุ่นเคยประสบมาแล้วกับภาวะเงินฝืดแบบคนมีเงิน แต่ไม่ยอมใช้จ่ายเพราะขาดความมั่นใจในอนาคตของตนและครอบครัว รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นให้คนจ่ายเงินเพื่อสร้างระบบหมุนเวียนเงินขึ้นอย่างเร็วอันเป็นการรักษาระบบเศรษฐกิจไว้
ความน่าเชื่อถือในการค้าและการลงทุนมิได้สร้างในวันเดียว แต่การทำลายสามารถทำง่ายได้ในพริบตาเดียว ผลสถิติที่ญี่ปุ่นประกาศไปทั่วโลกใช้ข้อมูลหลากหลายและเป็นจริงมากกว่าที่คนไทยรับรู้กันในประเทศ จึงต้องคิดทบทวนประกอบกัน คนไทยน่าจะมองเห็นความล้มเหลวอันสืบเนื่องจากการปฏิวัติเมื่อปลายปี พ.ศ. 2549 เป็นสาเหตุหลักใหญ่ที่ตัวเลขติดลบของไทยสูงมากจนกระทั่งต้องไปแข่งกับลาวและเขมร ทั้งที่ศักยภาพแท้จริงของไทยพิสูจน์ต่อสายตาชาวโลกเมื่อหลายปีที่ผ่านมาว่า เราเป็นประเทศน่าลงทุนในอันดับต้นต่อเนื่องมาภายใต้การบริหารของรัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเปลี่ยนการบริหารไปอยู่กับรัฐบาลแต่งตั้งจากคณะปฏิวัติ อันดับความน่าลงทุนตกต่ำอย่างน่าใจหายด้วยเวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น มาตรการทางการเงินของนักบริหารการเงินของไทยสร้างความเสียหายแก่ชาติอย่างสูงมากชนิดที่นักการเงินต่างชาติส่ายหน้าระอาใจกับแนวคิดดังกล่าว มาตรการบังคับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่เหมาะสมแก่กาลเวลานำออกใช้อย่างต่อเนื่อง ทุกมาตรการล้วนออกมาท่ามกลางความไม่ไว้วางใจของนักลงทุนต่างชาติต่อที่มาของรัฐบาลและการไม่รับรองความมีอยู่ของรัฐบาลจากหลายประเทศทั่วโลก ยิ่งลดความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาลและเห็นประสิทธิภาพของคณะบริหารประเทศชัดขึ้นจึงขาดความยำเกรงหนักขึ้น ความด้อยประสบการณ์ในสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ ส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับชาติต่างๆ การค้าขายหลายอย่างหยุดชะงัก ผู้ซื้อไม่เสี่ยงสั่งสินค้าจากไทย แล้วหันไปยังเพื่อนบ้านที่มีความมั่นคงทางการเมืองและผลิตสินค้าเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่า ทั้งที่เมื่อก่อนไทยได้รับความไว้วางใจสูงและเป็นมิตรกับหลายชาติ ทำให้ลูกค้ายังเลือกใช้บริการจากไทยมากที่สุด
หากคิดพิจารณาให้ลึกซึ้งและเปรียบเทียบกับหลายรัฐบาลที่ผ่านมาจักเห็นว่า ปัญหาทางการเงินหรือการแสดงทางการทูตในนามประเทศไทย ล้วนสืบเนื่องจากความไม่รอบรู้และไม่ฉลาดเฉลียวเท่าทันเพียงพอกับโลกยุคใหม่ของผู้นำประเทศซึ่งต้องเป็นผู้รับผิดชอบตามหน้าที่ แต่ปล่อยละเลยในการรับรู้ปัญหาและเลือกวิธีแก้ไขด้วยตัวเองตามความรู้และประสบการณ์ส่วนตนซึ่งมีอาวุโสสูงและมีความยับยั้งชั่งใจมองรอบด้านมากกว่าลูกน้องซึ่งเก่งและมองเห็นแค่ด้านเดียวโดยมอบการตัดสินใจทั้งหมดให้ลูกน้องเป็นหลัก เมื่อเกิดความผิดพลาดผู้นำทำนิ่งเฉยและปกป้องลูกน้องมิให้ต้องรับผิดชอบโดยไม่ยอมทำตามขั้นตอนเรียกร้องความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นจากการบริหารการเงินที่ผิดพลาดในอดีตทั้งที่เรียกร้องความมีคุณธรรม จริยธรรม จากรัฐบาลชุดเดิมตามสื่อมวลชนทุกวัน ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหนี้สินของประเทศในปีพ.ศ. 2540 กับ การครอบงำของเจ้าหนี้ ถือเป็นปัญหาหนักใจมากที่สุดที่คนไทยต้องทนทุกข์มาถึง 4 ปี แต่รัฐบาลในยุคปี พ.ศ. 2544 สามารถพาเรือไทยฝ่ามรสุมอันหนักหน่วงไปสู่ฝั่งแห่งอิสรภาพจากหนี้สินและเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ ต้องยอมรับกันว่ามันเกิดจากฝีมือการบริหารเศรษฐกิจทั้งมหภาคและจุลภาคของรัฐบาลในยุคนั้น จากนั้นคนไทยสัมผัสกับความเจริญรุ่งเรือง พ้นความยากแค้น เรียกคืนศักดิ์ศรีที่ตกต่ำในฐานะลูกหนี้ใกล้ล้มละลายที่เจ้าหนี้ไม่อยากพบพูดคุยด้วยเพราะกลัวขอเงินหรือความช่วยเหลือใดๆ การตกงานลดน้อยลงตามลำดับ การลงทุนของต่างชาติมีเพิ่มขึ้น ภาพอดีตเหล่านี้บ่งบอกได้ว่า รัฐบาลที่เก่งต้องเลือกนักบริหารเศรษฐกิจที่ดีและมีความสามารถเพื่อดูแลการลงทุน การทำงาน ความอยู่ดีกินดีของคนไทยไปพร้อมกัน มิใช่เน้นที่จุดเดียวเท่านั้น ถ้าเศรษฐกิจของชาติตกต่ำ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนไทย การเลือกทีมงานจึงบ่งบอกความฉลาดของผู้นำได้อย่างดี
รัฐบาลและคนไทยต้องยอมรับความจริงก่อนว่าเงินรายได้จากการค้าขายกับต่างชาติหรือเงินลงทุนจากทุกชาติล้วนส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนไทย ณ เวลานี้เงินเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารประเทศชาติ รัฐเร่งรีดภาษีจากคนไทยเพราะต้องการเงินไปใช้บริหารบ้านเมืองอย่างไม่พอเพียง แต่ต้องการมากที่สุด ขณะที่รัฐเร่งเปลี่ยนแนวคิดให้ประชาชนทำงานพอเพียง เก็บเงินพอเพียง ใช้จ่ายพอเพียง มันจึงสวนทางกันอย่างมาก หลายคนให้ความหมายว่าพอเพียงคือการทำงานตามใจชอบ เบื่อก็หยุดทำ มันเป็นสไตล์ของคนไทยยุคหลังปฏิวัติไปแล้ว อันส่งผลต่อการพัฒนาบ้านเมืองอย่างมากเมื่อคนไม่ขยันทำงานเพื่อหาเงินเก็บออมใช้ในบั้นปลายชีวิต ย่อมกลายเป็นภาระของรัฐบาลตั้งแต่ยังไม่ชรา โดยสังเกตการทำงานอย่างพอเพียงจากสถิติการขอรับเงินอุดหนุนการตกงานของประกันสังคมซึ่งสนับสนุนแนวคิดของรัฐบาลอย่างมากด้วยการทำงานสักระยะหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนด แล้วลาออกจากงานเพื่อขอรับเงินจากรัฐ พอสิ้นสุดเวลาแล้วก็หางานทำใหม่อีกครั้ง มันเป็นไปตามหลักความพอเพียงในการทำงานซึ่งกำลังแพร่กระจายในกลุ่มคนทำงานอย่างมาก แม้แต่ต่างชาติยังเข้าใจนโยบายพอเพียงของรัฐบาลว่า ต่อไปนี้ไทยจะไม่ค้าขายกับชาติอื่นๆแล้ว และใช้ชีวิตโดยไม่คิดถึงอนาคตอีก เพราะพอเพียงในวันนี้ เหตุใดต้องคิดถึงอนาคตเพราะมันจะเป็นความโลภซึ่งผิดจากนโยบายของรัฐบาล นอกจากนั้นจะส่งผลให้คนยากจนไม่อยากทำงานเพราะพอเพียงต่อความเป็นอยู่ยากแค้น จึงไม่กระตือรือร้นในการศึกษา การทำงาน เพื่อหวังจะมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น หลักความเป็นจริงของโลกหลายศตวรรษมาแล้วแรงผลักดันในการเปลี่ยนฐานะการเงินของมนุษย์ส่งผลต่อการคิดประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์งานหลากชนิดอันเกิดผลดีต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง ถ้าไม่รู้จักแยกแยะใช้ความพอเพียงให้ถูกกาลเทศะและสถานการณ์แล้ว ประเทศชาติต้องหยุดการเติบโตและประชากรเกียจคร้านมากขึ้น ความยากจนทวีตัวไปสู่ทุกกลุ่ม บ้านเมืองจะไม่มีวันสงบสุขได้
ตัวอย่างประเทศที่เริ่มกระตุ้นให้ประชากรมีความหวังต่ออนาคตจากความขยันหมั่นเพียรและอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อส่งผลต่อการพัฒนาบ้านเมืองซึ่งคนไทยเห็นชัดคือ จีนและเวียดนาม เมื่อก่อนคงเคยได้ยินว่าคนในสองประเทศนี้จะมีเวลาทำงานน้อยมากต่อวันเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก แม้แต่ประเทศไทยก็ตาม โดยให้นอนพักได้หลายชั่วโมง หลายกะ ต่อวัน เมื่อผู้นำประเทศต้องการให้ชาติพัฒนาก็รณรงค์ให้ประชาชนทำงานเพิ่มเวลามากขึ้นพร้อมกับเพิ่มเงินเดือน เมื่อรายได้สูง ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มสูง การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นด้วยเวลาไม่นานนัก มันส่งผลต่อรายได้จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เงินภาษีที่ใช้บริหารประเทศมีมากขึ้น ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของประชาชนมีหลากหลาย โดยเฉพาะคนเหล่านั้นสามารถเดินทางไปเที่ยวหรือลงทุนนอกประเทศได้ คนจนลดลง บ้านเมืองโดยรวมเจริญอย่างต่อเนื่องจากความขยันของประชาชน ผลผลิตมีเพิ่ม การส่งออกก็สูง รายได้ของประเทศมีมาก ความสุขสบายทั้งมวลจะย้อนกลับไปที่ประชาชนของประเทศนั้นๆ ต้นแบบแห่งความหวังต่ออนาคตที่ผลักดันให้ประเทศก้าวสู่จุดสูงสุดของอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา แม้แต่จีนกับเวียดนามยังต้องนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการกระตุ้นให้คนมีความหวังจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ด้วยความขยันคิด เพียรทำงาน หากใช้ความพอเพียงกับอนาคตที่อยากเปลี่ยนแปลง ชาติต้องหยุดเติบโต แต่ใช้ความพอเพียงคู่กับการควบคุมตนเองในการใช้จ่ายเงินหรือการก่อหนี้ไม่เกินตน ย่อมสร้างประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติได้ ดังนั้น ความพอเพียงเป็นหลักคิดที่ดีเยี่ยม แต่ต้องนำไปใช้อย่างถูกเวลาและสภาพการณ์ด้วย จึงไม่เป็นโทษต่อประเทศหรือสังคมที่ต้องเป็นไปตามวัฏจักรของโลกเมื่อคนไทยไม่อาจหยุดเวลาได้ ก็ต้องหมุนตามไปอย่างระมัดระวังเท่านั้น

*************************************




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2550 14:35:26 น.
Counter : 511 Pageviews.  

ลืมอดีต

เขียนโดย แก้วมณี

ผู้ที่ไม่มีอดีต คือ คนตาย ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีอดีตทั้งด้านดีและด้านร้าย หลายคนที่อ่านข่าวเศรษฐกิจของไทยซึ่งระยะหลังนี้ต้องรู้จักกลั่นกรองให้มากเพราะแต่ละข่าวจะมีการกลบเกลื่อน ปิดบัง และความนัยแฝงอยู่ หากคิดไม่ลึกซึ้งคงคาดไม่ได้ว่า คนไทยกำลังพบวิกฤตในชีวิตมิช้านี้แล้วทั้งที่รัฐบาลแถลงทุกอาทิตย์ว่า เศรษฐกิจของไทยดีวันดีคืนด้วยการบริหารประเทศของคณะบริหารที่คัดสรรมาอย่างดีว่ารู้จักแนวคิดพอเพียงที่ลึกซึ้งมากที่สุดในประเทศไทยอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้บริหารบางคนเคยให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณชนว่า เขาคือผู้มาแก้ไขปัญหาหมักหมมทางเศรษฐกิจของชาติ ทั้งที่ในอดีตเขาคือหนึ่งในผู้บริหารทางการเงินของรัฐบาลเดิม แต่กลับพูดประณามนโยบายการเงินในอดีตซึ่งเขามีส่วนในเรื่องดังกล่าวด้วย
คนไทยที่มีหัวใจเป็นธรรมและมีชีวิตในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำของปีพ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2544 ประเทศอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหนี้อย่างกองทุนไอ เอ็ม เอฟ และรัฐบาลชวนต้องทำตามคำสั่งของเจ้าหนี้อย่างเคร่งครัด การจ้างที่ปรึกษาต่างชาติประจำธนาคารชาติก็เกิดขึ้นในยุคนั้น มันเป็นภาพน่าอดสูใจของคนไทยมานาน รัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีทางแก้ไขและสร้างปัญหาทับถมขึ้นจากคำสั่งของเจ้าหนี้ พันธนาการแห่งหนี้จึงทำลายความมั่นคงของชาติลงตามลำดับ เมื่อรัฐบาลใหม่ในเวลานั้นนำเสนอวิธีปลดหนี้โดยเร็วเพื่อขับไล่เจ้าหนี้ไปจากประเทศด้วยการเร่งหมุนเวียนเศรษฐกิจ แทนที่จะหยุดเคลื่อนไหวทางการเงินด้วยนโยบายประหยัดในขณะที่ชาวบ้านไม่มีเงินในมือ ทีมเศรษฐกิจเลือกใช้วิธีกระตุ้นการหมุนเวียนเงินโดยเร่งส่งสินค้าไทยออกสู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กงล้อการเงินทำงาน เงินจากการขายสินค้าจะไหลส่งทอดสู่หลายระดับและไปถึงมือของชาวบ้านเพื่อจับจ่ายใช้สอยสบายตัวขึ้น วัฏจักรการเงินเริ่มหมุนอีกครั้ง มันเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่งซึ่งนำไปใช้ตามสถานการณ์เวลานั้น รัฐบาลเร่งเปิดตลาดการค้าต่อเนื่องเพื่อส่งสินค้าที่ชาวบ้านผลิตออกไปแล้วนำเงินกลับเข้าประเทศให้ชาวบ้านใช้สอยและปลดหนี้สินของชาติได้ตามเป้าหมาย มันเป็นภาพที่คนไทยเห็นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาและถือเป็นการแก้ไขปัญหาด้านการเงินของไทยอย่างเหมาะสมในเวลานั้นเพราะการปลดหนี้ต้องหาเงินไปจ่ายคืนเจ้าหนี้เท่านั้น จะนั่งขอร้องอ้อนวอนให้เจ้าหนี้ปรานีนั้น เป็นเรื่องเหลวไหล แต่ควรใช้ศักยภาพของประเทศและคนไทยอย่างเต็มที่เพื่อหารายได้เข้าประเทศและปลดภาระหนี้สินโดยเร็ว ภาพคนตกงานและต้องกินข้าวตามโรงทานของมูลนิธิต่างๆลดลงอย่างมาก การใช้สอยเพื่อดำรงชีพดีขึ้น การขยายงานและการผลิตสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นจากวัฏจักรการเงินซึ่งหมุนเป็นปกติแล้ว
ประเทศญี่ปุ่นเคยพบเศรษฐกิจฝืด คนเก็บออมเงินเป็นหลัก จนกระทั่งวัฏจักรการเงินหยุดเคลื่อนไหวซึ่งส่งผลทำลายระบบเศรษฐกิจของตนและของโลกที่ต้องมีการหมุนเวียนซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน แต่คนญี่ปุ่นไม่ยอมซื้อสินค้าทั้งของตนและของต่างชาติเพราะกลัวเกรงขาดเงิน จึงเน้นเก็บออมเป็นหลัก รัฐบาลในสมัยนั้นต้องออกมาตรการแจกเงินให้คนด้อยโอกาสไปจับจ่ายใช้สอยเพื่อต้องการหมุนเวียนเงินตรากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและผลักดันออกจากภาวะเศรษฐกิจฝืด ในที่สุดแนวคิดนี้ประสบความสำเร็จเมื่อวัฏจักรการเงินเริ่มหมุนปกติ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตอย่างมีระบบถูกต้องอีกครั้งและผ่านพ้นความฝืดเคืองได้ มันบ่งบอกว่าการเก็บออมเป็นเรื่องดี แต่ต้องทำอย่างเหมาะสมจึงส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม หากทำไม่เหมาะกาลเวลาย่อมสร้างความเสียหายต่อชาติได้ เราต้องไม่ลืมว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่คนรู้จักเก็บออมมากที่สุดของโลกและชาตินิยมอย่างมาก รัฐบาลยังต้องส่งเสริมให้คนของเขาพิจารณาซื้อสินค้าของต่างชาติบ้างเพื่อสร้างความเสมอภาคในตลาดการค้าขึ้นเพราะญี่ปุ่นต้องอยู่ร่วมกับประชากรโลก จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
การกำหนดนโยบายการเงินการคลังเป็นหน้าที่หลักของธนาคารชาติและกระทรวงการคลัง โดยต้องหาแนวทางให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเวลานั้นๆเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดำเนินต่อเนื่องคือการส่งเสริมให้ประชาชนเก็บออมอย่างเหมาะสมและใช้จ่ายอย่างพอดี จึงไม่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานอันเป็นที่รู้กันดีในนักวิชาการและประชาชน หากนำไปใช้ถูกกาลเวลา จะช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติได้ จึงต้องหาสมดุลของการใช้จ่ายและเก็บออม นโยบายการเงินการคลังในอดีตที่พาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตด้านหนี้สินไปได้ก็มาจากทีมเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังและธนาคารชาติร่วมมือกันทำงาน ต่อมาวันหนึ่งบุคคลซึ่งเคยเป็นใหญ่สูงสุดในธนาคารชาติแล้วเปลี่ยนสถานะเป็นผู้นำกระทรวงการคลังภายใต้อำนาจของคณะปฏิวัติกลับตำหนิประณามวิธีบริหารการเงินการคลังของรัฐบาลเดิมซึ่งตนเคยมีส่วนในนโยบายดังกล่าวว่าทำลายชาติ สร้างปัญหาการเงินให้ชาติ มันจึงเกิดภาพหนึ่งขึ้นในใจของประชาชนซึ่งเคยใช้ชีวิตในยุคนั้นว่า เขาลืมอดีตในธนาคารชาติแล้วจดจำแต่เพียงสถานะปัจจุบันเท่านั้น แล้วยังขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนในอดีตด้วย
เมื่อนโยบายการเงินในอดีตของธนาคารชาติซึ่งตนเคยบัญชางานอยู่ทำลายเศรษฐกิจของชาติตามที่กล่าวหา เขาควรรับผิดชอบในความเสียหายนั้นด้วยการชดใช้เงินที่สูญเสียไปและวางมือจากการบริหารการเงินที่อ้างว่าผิดพลาด เนื่องเพราะนโยบายดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากเขาตามอำนาจหน้าที่ จึงนำไปใช้กับทุกส่วนราชการได้ หากเกิดผลร้ายต่อบ้านเมืองผู้นำองค์กรต้องรับผิดชอบเป็นคนแรก แต่เขากลับเปลี่ยนไปรับตำแหน่งผู้นำกระทรวงการคลังที่ดูแลธนาคารชาติ แล้วยังมีส่วนเห็นชอบนโยบายการเงินในอดีตที่อ้างว่าทำลายความเข้มแข็งทางการเงินของไทย ค่าเงินบาทที่บอกว่าลดลงน่าพอใจ ตอนนี้ก็แข็งมากขึ้นกว่าเดิมอีก ความเสียหายนับหมื่นล้านบาทยังไม่มีใครเข้ามารับผิดชอบสักคน แม้แต่ผู้นำธนาคารชาติหรือกระทรวงการคลังซึ่งเป็นเจ้าของนโยบายดังกล่าว เมื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเดิมรับผิดชอบกับนโยบายที่เลวทรามซึ่งตนมีส่วนในการร่างและบังคับใช้จนกระทั่งเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเกินคาดหมายกัน ประชาชนมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ ชีวิตมีความหวังมากขึ้น หากเป็นความเสียหายเขาซึ่งเคยเป็นผู้นำธนาคารชาติและตอนนี้อยู่กระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบเป็นคนแรกร่วมกับรัฐบาลเดิม
หนี้สินของประชาชนเกิดจากจิตสำนึกส่วนตนและต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของธนาคารชาติในการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบในการก่อหนี้ ดังนั้น ตัวเลขหนี้สินที่สูงในภาคประชาชนนั้นส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดของธนาคารชาติและกระทรวงการคลังที่ต้องการให้เกิดการใช้สอยเงินรายได้เพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างทั่วทุกธุรกิจ การเติบโตด้านการคลังของรัฐจึงเกิดขึ้นได้ การค้าขายระหว่างประเทศจะไม่พัฒนา ถ้ากำลังซื้อของคนไทยต่ำ ดังนั้น รัฐบาลที่มีความสามารถจึงต้องมองที่การสร้างงานให้ประชาชน การส่งออกผลผลิตของชาติไปสู่ตลาดโลกมากน้อยแค่ไหน ประชาชนอยู่ดีมีสุขตามมาตรฐานสากลหรือไม่ การหยุดวัฏจักรเศรษฐกิจด้วยการไม่ขยายพัฒนาธุรกิจเท่ากับสร้างตัวเลขว่างงานขึ้น ตลาดการค้าขายระหว่างชาติลดลง การลงทุนในประเทศจากเงินของต่างชาติมีน้อยลง ตัวเลขหนี้สินไม่ลดลงเพราะคนขาดเงิน จักก่อผลเสียต่อประเทศชาติยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนจะเลือกเก็บออมเงินเป็นหลักเพื่อเอาตัวรอดจากสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลจงใจสร้างขึ้นเพื่อเข้ากับนโยบายพอเพียง เมื่อเกิดภาวะไม่หมุนเวียนทางการเงินภายในและการลงทุนจากนอกประเทศลดลงเสริมอีก จักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจฝืด คนมีเงินก็ไม่กล้าใช้ คนไม่มีเงินก็ตกงานและหนี้สินพอกพูนจนมีคนล้มละลาย ไร้เครดิตในชาติเพิ่มอย่างน่าอันตราย
ความสมดุลทางการเงินและการคลังจากแนวคิดของธนาคารชาติและกระทรวงการคลังเป็นเรื่องสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศหลังการปฏิวัติล้มล้างรัฐธรรมนูญและรัฐบาลมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ ทำให้ประเทศนี้ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักด้านการเจรจาการค้า เปิดตลาดการค้ายาก นโยบายการทูตต้องหยุดนิ่ง การตอบโต้ทางการค้ามีเพิ่มขึ้นโดยอาศัยช่วงที่รัฐบาลไม่เป็นที่ยอมรับ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเพราะขาดลูกค้า ผู้บริหารประเทศหลายคนขาดประสิทธิภาพการทำงานและติดกับบทบาทเจ้าขุนมูลนาย การตัดสินใจด้านเศรษฐกิจหรือการเงินผิดพลาดและด้อยมาตรฐานความรู้ที่เรียนมาจากต่างชาติทั้งที่หลายคนเป็นนักเรียนทุน การปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ลำบากของรัฐบาลภายใต้กฎอัยการศึกจึงต้องค้นหาบทบาทหน้าที่ให้เหมาะสมเพื่อเรียกคืนความสุขสบายของประชาชนที่ถูกลิดรอนไปโดยมองดูวิถีการทำงานของประเทศไต้หวันซึ่งถูกบีบคั้นจากประเทศจีนมิให้มีบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศโดยหลายประเทศไม่รับรองความมีอยู่ของเขา แต่การค้าของไต้หวันซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่สุขสบายแก่ประชากรกลับรุ่งเรืองและอยู่ในอันดับต้นของโลกมาช้านาน แม้แต่ไทยในยุคประชาธิปไตยก็ยังเป็นรองหลายระดับเมื่อเทียบกับไต้หวัน ดังนั้น แม้ที่มาของรัฐบาลนี้จะไม่สวยงามและน่านับถือตามแบบสากลนัก ถ้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถยังพอเป็นความหวังของคนไทยที่จะไม่ต้องอดอยาก ลำบากมากเกินเหตุเพราะการบริหารที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง ถ้าคนลำบากมาก ทั้งที่พอเพียงแล้ว คนไทยย่อมไม่โง่ที่จะมองเห็นสาเหตุหลักที่ต้องตกต่ำในวันนี้ว่าควรแก้ไขที่ต้นเหตุใดเพื่อหลุดพ้นจากความลำบาก ส่วนนโยบายของอดีตผู้นำธนาคารชาติซึ่งกล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องเลวทรามและส่งผลร้ายต่อชาติ ก็ควรรับผิดชอบเยี่ยงลูกผู้ชายกับแนวทางของตนในอดีต มิใช่กล่าวประณามและโยนให้รัฐบาลเดิมอย่างเดียว เมื่อมีโอกาสบริหารการคลังด้วยฝีมือของตนแล้ว แต่กลับสร้างความเสียหายนับหมื่นล้านบาทซึ่งพิสูจน์ความสามารถต่อสาธารณชนแล้ว มันแสดงเป็นนัยว่า วิสัยทัศน์ของผู้นำกระทรวงการคลังในอดีตอย่างท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับ เขาในปัจจุบัน ผู้ใดมีฝีมือบริหารหรือประสิทธิภาพมากกว่ากัน คนหนึ่งปลดหนี้สินของชาติได้ ส่วนอีกคนสร้างตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจการลงทุนนับหมื่นล้านในวันเดียว อีกตัวอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ซึ่งใช้นโยบายเศรษฐกิจนำพาประเทศชาติผ่านจุดวิกฤตไปได้ด้วยความรู้และฝีมือยอดเยี่ยมจนเป็นที่นับถือ คือ ท่านสมหมาย ฮุนตระกูล สถิติความน่าลงทุนในไทยจากมุมมองของนักลงทุนญี่ปุ่นลดต่ำที่สุดและไทยเป็นคู่แข่งของลาวกับเขมรเท่านั้น คนไทยซึ่งเคยผ่านช่วงเวลาปีพ.ศ. 2540 และพ.ศ. 2544 ทั้งที่ตกงานและกิจการปิดตัว น่าจะมองเห็นฝีมือบริหารการเงินและการคลังของผู้นำทางเศรษฐกิจในรัฐบาลแต่ละชุดถนัดตากันแล้ว จึงหวังว่าประเทศไทยจะรอดปลอดภัยจากเจ้าหนี้และไม่ตกหลุมพรางกับดักเป็นหนี้ท่วมหัวอีกครั้งจากความด้อยประสิทธิภาพและการกอบโกยของผู้ลงทุนปฏิวัติทั้งหลาย ขอให้คนไทยตั้งอยู่ในความไม่ประมาทด้วยการรักษาตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่าตกงาน เก็บออมเงินให้มากที่สุด รัฐบาลไม่ช่วยจ่ายคืนหนี้สินแทนท่าน คนที่รับผิดชอบคือตัวท่าน งดเว้นการก่อหนี้เพิ่มเด็ดขาด บัตรเครดิตมีไว้เพื่อความสะดวกในการจ่ายเงิน ห้ามเป็นหนี้บัตรฯแล้วจะมีความสุขตามอัตภาพ ชีวิตจึงผ่านช่วงลำบากนี้ได้ เชื่อว่าคนที่เคยลำบากในสองปีดังกล่าวคงตระหนักใจดีว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้และอยากให้บอกเตือนเพื่อนๆระวังการใช้ชีวิตหลังการปฏิวัติครั้งนี้เพราะประวัติศาสตร์เกิดซ้ำซากเสมอโดยเฉพาะความลำบากยากแค้นของประชาชนอันสืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว มันได้รับการพิสูจน์จากกาลเวลามาแล้วจนกลายเป็นสัจธรรม ดังคำที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าหวังพึ่งรัฐบาล

********************************




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2550 14:31:02 น.
Counter : 461 Pageviews.  

กฎหมู่เหนือกฎหมาย

เขียนโดย ลูกแก้ว

มนุษย์นับถือตนเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงบนโลกใบนี้ เราสามารถคิดประดิษฐ์สิ่งของเพื่ออำนวยความสะดวกหรือรักษาโรคต่างๆได้ด้วยสมองอันชาญฉลาด โดยเฉพาะคนไทยซึ่งมีอุปนิสัยรักความสุข มองคนในแง่ดี มีเมตตา รู้จักให้อภัยตามหลักพุทธศาสนาอันมีส่วนอย่างมากที่สร้างสังคมไทยให้สงบสุขและไม่ชอบใช้สงครามรุกรานใคร นอกจากการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแล้ว มนุษย์ยังสร้างกฎการตีราคานามธรรมอย่างหนึ่งขึ้นในสังคมด้วยซึ่งมองเห็นได้ในคนไทยกลุ่มหนึ่ง คือ การตีมูลค่าความซื่อสัตย์เป็นจำนวนเงินหรือสิ่งของ
สารคดีทางโทรทัศน์เกี่ยวกับมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทราบกันดีว่ามีความภักดีสูงมากต่อผู้เป็นเจ้านายได้ตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความอยากมีอยากได้อย่างไร้ขอบเขตและยังกำหนดมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขด้วยอัตราดังนี้ ความซื่อสัตย์ของสุนัขหนึ่งตัวมีค่าเท่ากับกะลามังพลาสติค 1 ใบ ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลที่จะให้คนไทยมีจิตสำนึกในทางที่ถูกต้องและเน้นย้ำว่า ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งล้ำค่าที่ควรมีและรักษาไว้ การแลกกะลามังกับความซื่อสัตย์ของสุนัขถ้าเกิดในประเทศที่มองมันเป็นอาหารเท่านั้นย่อมถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเทศไทยมีมุมมองต่อสุนัขในฐานะเพื่อนที่ต้องให้ความรักเอาใจใส่มันเยี่ยงเดียวกับเพื่อนมนุษย์ บางส่วนที่นิยมรับประทานสุนัขเป็นอาหารประจำวันยังต้องปิดบังซ่อนเร้น แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่มันขัดต่อหลักความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของสุนัข ดังนั้น ภาพเจ้าของสุนัขอุ้มมันไปแลกกะลามังพลาสติค จึงดูน่าสังเวชใจกับการตอบแทนความซื่อสัตย์ของสุนัขที่เจ้านายกระทำต่อมัน มูลค่าความรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายช่างมีค่าน้อยกว่าอาหารหนึ่งมื้อของหนึ่งคนเสียอีก
สารคดีชิ้นนี้ถ่ายทอดความรักไว้วางใจของสุนัขต่อเจ้านายอย่างมากเนื่องเพราะคนซื้อไปจับมัน จะพบการดิ้นรนหนีอย่างสุดชีวิต ถ้าเจ้านายที่ให้ข้าวและน้ำแก่มันเป็นผู้จับ จะไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนอันเกิดจากความไว้วางใจนั่นเอง สายตาของสุนัขในกรงมองเจ้านายรับกะลามังบ่งบอกความเศร้าและผิดหวัง หากผู้ดูสารคดีมีจิตใจสงบจักสัมผัสความรู้สึกจากสีหน้าและดวงตาของสุนัขได้ชัดเจน เจ้าของสุนัขบางคนรู้ชะตากรรมของมันดีว่าจะตกระกำลำบากเพียงไรก่อนจบชีวิต แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง สารคดีชุดนี้น่าจะชี้ให้เห็นชัดถึงปลายทางชีวิตของสุนัขว่าต้องเจ็บปวดทรมานเพียงไรเมื่อเทียบกับกะลามังของเจ้านายที่มีค่าในการเก็บของหรือชำระล้างเสื้อผ้าเท่านั้น มันคุ้มค่ากับความซื่อสัตย์ในการเฝ้าสิ่งของและคนหรือเป็นเพื่อนไว้วางใจยามเหงามากน้อยแค่ไหน หากมองให้ลึกซึ้งไปอีกก็เชื่อได้ว่าถ้าเจ้านายฆ่ามันเพื่อคลายความหิวจากความยากจน สุนัขย่อมยินดีมากกว่าขายมันแลกกะลามังเพื่อเป็นอาหารของคนอื่น
เมื่อมนุษย์ตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขได้ เราย่อมอยากรู้ว่ามูลค่าความซื่อสัตย์ของคนอยู่ที่จำนวนใด และใช้เครื่องมือใดเพื่อตีค่าของมัน แล้วสามารถนำไปแลกกับสิ่งของใดได้ รัฐบาลเน้นปลูกฝังให้คนรู้จักคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมอย่างมาก ในสังคมผู้ใหญ่บางคนแสดงการมีคุณธรรมด้านความซื่อสัตยกันน้อย ปกปิดความไม่ดีของตัวเอง การใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ละอายใจ การใช้คำพูดเหยียดแคลนหรือให้ร้ายต่อบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อตนในที่สาธารณะอันเป็นการไม่ให้เกียรติแก่เขา การตรวจสอบและยัดเยียดข้อกล่าวหาแก่ฝ่ายตรงข้ามด้วยหวังกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือเกรงจะถูกแก้แค้นภายหลัง ความซื่อสัตย์ถือเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่มนุษย์พึงมีและต้องรักษาไว้ หากผู้ใดมีลูกน้องที่มีความซื่อสัตย์ถือว่าได้เพชรล้ำค่าไว้ในครอบครองแล้ว จึงต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี ขณะเดียวกันคนซื่อสัตย์ควรรักและให้เกียรติแก่ผู้ส่งเสริมตนในหน้าที่การงาน แม้สักวันหนึ่งผู้ส่งเสริมจะประสบเคราะห์กรรมจากการทำหน้าที่ของคนซื่อสัตย์ หากผู้นั้นมีคุณธรรมด้านกตัญญูด้วยย่อมไม่พึงเหยียบย่ำซ้ำเติม ด่าทอประณาม เหยียดหยามคนที่เคยส่งเสริมตนให้สูงเด่นในหน้าที่การงาน แต่พึงทำงานตามหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดโดยปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมหรือขั้นตอนของงาน ผู้ส่งเสริมย่อมเข้าใจหน้าที่ของคนซื่อสัตย์และคนทั่วไปจะยกย่องสรรเสริญความมีคุณธรรมของเขา แต่จะรังเกียจและประณามผู้ซื่อสัตย์ที่ขาดความกตัญญูซึ่งเหยียดแคลนด้วยกิริยาหรือวาจาต่อผู้มีพระคุณไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็ตาม ระดับการวางตนตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกใฝ่ดีของเขาเป็นหลัก
ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของมนุษย์ได้ชัดเจนเท่ากับที่กระทำต่อสุนัข แต่เชื่อได้ว่ามูลค่าของมันน่าจะสูงกว่ากะลามังหนึ่งใบแน่เพราะมนุษย์ย่อมตีค่าของตนสูงล้ำกว่าสัตว์จำพวกอื่นอันเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงความซื่อสัตย์หรือตอบแทนกันคงบอกโดยประมาณได้ว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่ ดังเช่น การมอบตำแหน่งหน้าที่สูงให้คนหนึ่ง แล้วเขาใช้อำนาจในหน้าที่นั้นทำร้ายเจ้านายในเวลาต่อมา หรือ การส่งเสริมให้มียศศักดิ์สูงเด่น วันหนึ่งคนนั้นใช้คำพูดเสียดสีหยามแคลนผู้สนับสนุนตนในที่สาธารณะว่าเป็นคนไม่ดี คนชอบโกหก เป็นต้น การดูสารคดีเรื่องความซื่อสัตย์ของสุนัขกับกะลามังแล้วย้อนมองเปรียบเทียบกับนามธรรมความซื่อสัตย์ของมนุษย์ เชื่อว่าหลายคนปลงสังเวชต่อด้านมืดของมนุษย์ที่กระทำต่อสัตว์ สิ่งพึงระวังให้มากคือ วันใดที่มนุษย์ตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของคนเทียบกับสิ่งของได้เยี่ยงเดียวกับที่กระทำต่อสุนัข โลกจะต้องปั่นป่วนอย่างหนักเพราะสุนัขยอมจำนนต่อมนุษย์ แต่มนุษย์ย่อมมีหนทางของตัวเองและไม่ยอมก้มหัวต่อความอยุติธรรมที่เกิดกับตนและครอบครัวอย่างแน่นอน มนุษย์จึงควรยกย่องให้ความซื่อสัตย์สูงเกินประมาณมูลค่าได้ แล้วควรเผื่อแผ่แนวคิดนี้แก่สัตว์โลกอื่นด้วยเท่าที่จะทำได้โดยเฉพาะในสังคมไทย อย่าปล่อยให้สุนัขในเมืองไทยต้องโดดเดี่ยวและควรให้ความเป็นธรรมแก่สุนัขที่ซื่อสัตย์ต่อมนุษย์และพิสูจน์ความซื่อสัตย์มานานเกินกว่าร้อยปีด้วย เราควรขายความซื่อสัตย์ของสุนัขแลกกับกะลามังต่อไปหรือไม่ หากต้องการให้เป็นสินค้าประเภทอาหารดังเช่น เป็ด ไก่ หมู ก็ควรมีระเบียบควบคุมการฆ่าที่เหมาะสม ชัดเจน และปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมด้วย คงต้องคิดพิจารณาให้ถ้วนถี่และเหมาะสมกับคนไทยซึ่งมีหลักพุทธศาสนายึดเหนี่ยวจิตใจให้มีความเมตตาสูงลักษณะเฉพาะของสุนัขบ้าน และมุมมองส่วนใหญ่เกี่ยวกับสุนัขในแผ่นดินไทย โดยยังต้องยอมรับต่อความเชื่อของประเทศอื่นเรื่องสุนัขว่าเป็นเพียงสินค้าและอาหารเท่านั้นเนื่องเพราะไทยมิใช่ประเทศเดียวที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้
************************************




 

Create Date : 17 มกราคม 2550    
Last Update : 17 มกราคม 2550 14:47:19 น.
Counter : 496 Pageviews.  

ซื่อสัตย์ สุนัข และ กะลามัง

เขียนโดย ลูกแก้ว

มนุษย์นับถือตนเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงบนโลกใบนี้ เราสามารถคิดประดิษฐ์สิ่งของเพื่ออำนวยความสะดวกหรือรักษาโรคต่างๆได้ด้วยสมองอันชาญฉลาด โดยเฉพาะคนไทยซึ่งมีอุปนิสัยรักความสุข มองคนในแง่ดี มีเมตตา รู้จักให้อภัยตามหลักพุทธศาสนาอันมีส่วนอย่างมากที่สร้างสังคมไทยให้สงบสุขและไม่ชอบใช้สงครามรุกรานใคร นอกจากการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแล้ว มนุษย์ยังสร้างกฎการตีราคานามธรรมอย่างหนึ่งขึ้นในสังคมด้วยซึ่งมองเห็นได้ในคนไทยกลุ่มหนึ่ง คือ การตีมูลค่าความซื่อสัตย์เป็นจำนวนเงินหรือสิ่งของ
สารคดีทางโทรทัศน์เกี่ยวกับมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทราบกันดีว่ามีความภักดีสูงมากต่อผู้เป็นเจ้านายได้ตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความอยากมีอยากได้อย่างไร้ขอบเขตและยังกำหนดมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขด้วยอัตราดังนี้ ความซื่อสัตย์ของสุนัขหนึ่งตัวมีค่าเท่ากับกะลามังพลาสติค 1 ใบ ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลที่จะให้คนไทยมีจิตสำนึกในทางที่ถูกต้องและเน้นย้ำว่า ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งล้ำค่าที่ควรมีและรักษาไว้ การแลกกะลามังกับความซื่อสัตย์ของสุนัขถ้าเกิดในประเทศที่มองมันเป็นอาหารเท่านั้นย่อมถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเทศไทยมีมุมมองต่อสุนัขในฐานะเพื่อนที่ต้องให้ความรักเอาใจใส่มันเยี่ยงเดียวกับเพื่อนมนุษย์ บางส่วนที่นิยมรับประทานสุนัขเป็นอาหารประจำวันยังต้องปิดบังซ่อนเร้น แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่มันขัดต่อหลักความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของสุนัข ดังนั้น ภาพเจ้าของสุนัขอุ้มมันไปแลกกะลามังพลาสติค จึงดูน่าสังเวชใจกับการตอบแทนความซื่อสัตย์ของสุนัขที่เจ้านายกระทำต่อมัน มูลค่าความรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายช่างมีค่าน้อยกว่าอาหารหนึ่งมื้อของหนึ่งคนเสียอีก
สารคดีชิ้นนี้ถ่ายทอดความรักไว้วางใจของสุนัขต่อเจ้านายอย่างมากเนื่องเพราะคนซื้อไปจับมัน จะพบการดิ้นรนหนีอย่างสุดชีวิต ถ้าเจ้านายที่ให้ข้าวและน้ำแก่มันเป็นผู้จับ จะไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนอันเกิดจากความไว้วางใจนั่นเอง สายตาของสุนัขในกรงมองเจ้านายรับกะลามังบ่งบอกความเศร้าและผิดหวัง หากผู้ดูสารคดีมีจิตใจสงบจักสัมผัสความรู้สึกจากสีหน้าและดวงตาของสุนัขได้ชัดเจน เจ้าของสุนัขบางคนรู้ชะตากรรมของมันดีว่าจะตกระกำลำบากเพียงไรก่อนจบชีวิต แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง สารคดีชุดนี้น่าจะชี้ให้เห็นชัดถึงปลายทางชีวิตของสุนัขว่าต้องเจ็บปวดทรมานเพียงไรเมื่อเทียบกับกะลามังของเจ้านายที่มีค่าในการเก็บของหรือชำระล้างเสื้อผ้าเท่านั้น มันคุ้มค่ากับความซื่อสัตย์ในการเฝ้าสิ่งของและคนหรือเป็นเพื่อนไว้วางใจยามเหงามากน้อยแค่ไหน หากมองให้ลึกซึ้งไปอีกก็เชื่อได้ว่าถ้าเจ้านายฆ่ามันเพื่อคลายความหิวจากความยากจน สุนัขย่อมยินดีมากกว่าขายมันแลกกะลามังเพื่อเป็นอาหารของคนอื่น
เมื่อมนุษย์ตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของสุนัขได้ เราย่อมอยากรู้ว่ามูลค่าความซื่อสัตย์ของคนอยู่ที่จำนวนใด และใช้เครื่องมือใดเพื่อตีค่าของมัน แล้วสามารถนำไปแลกกับสิ่งของใดได้ รัฐบาลเน้นปลูกฝังให้คนรู้จักคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมอย่างมาก ในสังคมผู้ใหญ่บางคนแสดงการมีคุณธรรมด้านความซื่อสัตยกันน้อย ปกปิดความไม่ดีของตัวเอง การใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ละอายใจ การใช้คำพูดเหยียดแคลนหรือให้ร้ายต่อบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อตนในที่สาธารณะอันเป็นการไม่ให้เกียรติแก่เขา การตรวจสอบและยัดเยียดข้อกล่าวหาแก่ฝ่ายตรงข้ามด้วยหวังกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือเกรงจะถูกแก้แค้นภายหลัง ความซื่อสัตย์ถือเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่มนุษย์พึงมีและต้องรักษาไว้ หากผู้ใดมีลูกน้องที่มีความซื่อสัตย์ถือว่าได้เพชรล้ำค่าไว้ในครอบครองแล้ว จึงต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี ขณะเดียวกันคนซื่อสัตย์ควรรักและให้เกียรติแก่ผู้ส่งเสริมตนในหน้าที่การงาน แม้สักวันหนึ่งผู้ส่งเสริมจะประสบเคราะห์กรรมจากการทำหน้าที่ของคนซื่อสัตย์ หากผู้นั้นมีคุณธรรมด้านกตัญญูด้วยย่อมไม่พึงเหยียบย่ำซ้ำเติม ด่าทอประณาม เหยียดหยามคนที่เคยส่งเสริมตนให้สูงเด่นในหน้าที่การงาน แต่พึงทำงานตามหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดโดยปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมหรือขั้นตอนของงาน ผู้ส่งเสริมย่อมเข้าใจหน้าที่ของคนซื่อสัตย์และคนทั่วไปจะยกย่องสรรเสริญความมีคุณธรรมของเขา แต่จะรังเกียจและประณามผู้ซื่อสัตย์ที่ขาดความกตัญญูซึ่งเหยียดแคลนด้วยกิริยาหรือวาจาต่อผู้มีพระคุณไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็ตาม ระดับการวางตนตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกใฝ่ดีของเขาเป็นหลัก
ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของมนุษย์ได้ชัดเจนเท่ากับที่กระทำต่อสุนัข แต่เชื่อได้ว่ามูลค่าของมันน่าจะสูงกว่ากะลามังหนึ่งใบแน่เพราะมนุษย์ย่อมตีค่าของตนสูงล้ำกว่าสัตว์จำพวกอื่นอันเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงความซื่อสัตย์หรือตอบแทนกันคงบอกโดยประมาณได้ว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่ ดังเช่น การมอบตำแหน่งหน้าที่สูงให้คนหนึ่ง แล้วเขาใช้อำนาจในหน้าที่นั้นทำร้ายเจ้านายในเวลาต่อมา หรือ การส่งเสริมให้มียศศักดิ์สูงเด่น วันหนึ่งคนนั้นใช้คำพูดเสียดสีหยามแคลนผู้สนับสนุนตนในที่สาธารณะว่าเป็นคนไม่ดี คนชอบโกหก เป็นต้น การดูสารคดีเรื่องความซื่อสัตย์ของสุนัขกับกะลามังแล้วย้อนมองเปรียบเทียบกับนามธรรมความซื่อสัตย์ของมนุษย์ เชื่อว่าหลายคนปลงสังเวชต่อด้านมืดของมนุษย์ที่กระทำต่อสัตว์ สิ่งพึงระวังให้มากคือ วันใดที่มนุษย์ตีมูลค่าความซื่อสัตย์ของคนเทียบกับสิ่งของได้เยี่ยงเดียวกับที่กระทำต่อสุนัข โลกจะต้องปั่นป่วนอย่างหนักเพราะสุนัขยอมจำนนต่อมนุษย์ แต่มนุษย์ย่อมมีหนทางของตัวเองและไม่ยอมก้มหัวต่อความอยุติธรรมที่เกิดกับตนและครอบครัวอย่างแน่นอน มนุษย์จึงควรยกย่องให้ความซื่อสัตย์สูงเกินประมาณมูลค่าได้ แล้วควรเผื่อแผ่แนวคิดนี้แก่สัตว์โลกอื่นด้วยเท่าที่จะทำได้โดยเฉพาะในสังคมไทย อย่าปล่อยให้สุนัขในเมืองไทยต้องโดดเดี่ยวและควรให้ความเป็นธรรมแก่สุนัขที่ซื่อสัตย์ต่อมนุษย์และพิสูจน์ความซื่อสัตย์มานานเกินกว่าร้อยปีด้วย เราควรขายความซื่อสัตย์ของสุนัขแลกกับกะลามังต่อไปหรือไม่ หากต้องการให้เป็นสินค้าประเภทอาหารดังเช่น เป็ด ไก่ หมู ก็ควรมีระเบียบควบคุมการฆ่าที่เหมาะสม ชัดเจน และปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมด้วย คงต้องคิดพิจารณาให้ถ้วนถี่และเหมาะสมกับคนไทยซึ่งมีหลักพุทธศาสนายึดเหนี่ยวจิตใจให้มีความเมตตาสูงลักษณะเฉพาะของสุนัขบ้าน และมุมมองส่วนใหญ่เกี่ยวกับสุนัขในแผ่นดินไทย โดยยังต้องยอมรับต่อความเชื่อของประเทศอื่นเรื่องสุนัขว่าเป็นเพียงสินค้าและอาหารเท่านั้นเนื่องเพราะไทยมิใช่ประเทศเดียวที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้
*************************************




 

Create Date : 17 มกราคม 2550    
Last Update : 17 มกราคม 2550 14:34:17 น.
Counter : 651 Pageviews.  

กฎอัยการศึกแผลงฤทธิ์กับสื่อฯ

เขียนโดย แก้วมณี

ก่อนปีใหม่รัฐบาลที่แต่งตั้งมาจากคณะปฏิวัติประกาศให้คนไทยดีใจว่า จะเลิกกฎอัยการศึกเป็นของขวัญปีใหม่ โดยมีจังหวัดที่ยกเว้นจำนวนหนึ่ง เมื่อเริ่มศักราชใหม่ความจริงที่คนไทยเพิ่งรับรู้คือ กฎอัยการศึกยังใช้บังคับอยู่เพราะอยู่ในขั้นตอนทางธุรการซึ่งใช้เวลานานหลายเดือนแล้ว ขณะที่หลายมติครม.ซึ่งผ่านพ้นในวาระเดียวกันประกาศใช้บังคับไปแล้ว มันส่อแสดงว่ามีการซ่อนแฝงเจตนาไม่ดีที่ต้องการรักษากฎอัยการศึกไว้ ทำให้รัฐธรรมนูญขาดความศักดิ์สิทธิ์และไม่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือสื่อมวลชนอย่างแท้จริง เพราะกฎอัยการศึกจะอยู่ในระดับสูงกว่ารัฐธรรมนูญ ผู้นำตามกฎอัยการศึกคือผู้ปกครองประเทศอย่างแท้จริง มิใช่ผู้นำรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือสื่อมวลชนต้องมีขอบเขตตามคำสั่งของผู้นำทหารเท่านั้น หากผู้ใดสร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มผู้นำคมช.ซึ่งแปลงร่างจากคณะปฏิวัติและมีอำนาจตามกฎอัยการศึก จะต้องถูกลงโทษตามคำสั่งของพวกเขาทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆ แม้แต่โทษประหารชีวิตก็ตาม
หลายเดือนที่ผ่านมาคณะคมช.พยายามไม่พูดย้ำว่ากฎอัยการศึกยังใช้บังคับอยู่ เพราะเกรงการต่อต้านจากประชาชน จึงสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนทั้งแตกต่างและสนับสนุนคมช. รวมทั้งการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนก็เน้นอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญซึ่งให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือตีแผ่ข้อเท็จจริง แต่ขณะนี้สถานภาพของสื่อมวลชนและประชาชนเริ่มสั่นคลอนหนัก เมื่อคมช.ออกประกาศขู่ว่าผู้ใดหรือสื่อมวลชนใดแสดงหรือเผยแพร่ความคิดเห็นที่แตกต่างจากคมช.หรือรัฐบาล รวมทั้งลงข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลชุดก่อนหรือตีแผ่ข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของรัฐบาลหรือคมช.อันเป็นการสร้างภาพลบ จะต้องถูกลงโทษตามกฎอัยการศึก ซึ่งมีทั้งโทษจำคุกหรือปิดสื่อมวลชนโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม มันส่อแสดงชัดให้ประชาชนหรือสื่อมวลชนเชื่อแล้วว่า คมช.มีอำนาจตามกฎอัยการศึกเต็มที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว พวกเขาจะใช้อำนาจกับใคร ลงโทษใครด้วยคำสั่งของผู้นำทหารก็ได้ มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามอำนาจของกฎอัยการศึกซึ่งคนไทยจำต้องเคารพเชื่อฟัง
เมื่อผู้นำตามกฎอัยการศึกส่งคำเตือนเรื่องขอบเขตการใช้เสรีภาพด้านการแสดงความคิดเห็นของประชาชนหรือสื่อมวลชนแล้ว คนไทยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะเป็นการขัดต่อความรู้สึกที่ว่าหลายคนย่อมมีหลายความเห็นกันได้ อีกทั้งหน้าที่ของสื่อมวลชนคือการเผยแพร่ข้อเท็จจริงในสังคม ไม่ว่าจะก่อประโยชน์หรือโทษแก่ฝ่ายใดก็ตาม แต่ผู้ตัดสินคือ ประชาชน เท่านั้น กลุ่มที่เสียประโยชน์หรือถูกกล่าวโทษจากข้อมูลที่ผิดพลาด ก็สามารถใช้เวทีของสื่อมวลชนตอบโต้แก้ข่าวได้อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากคมช.ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดมีความเห็นแตกต่างจากพวกเขา เมื่อรัฐธรรมนูญซึ่งคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความเห็นยังไม่มีผลใช้บังคับ คนไทยต้องอดทนเก็บปากเก็บคำพูดไว้ สื่อมวลชนที่คิดจะทำงานต่อไป คงต้องเก็บอุดมการณ์ใส่กระเป๋าก่อน หากคิดจะแพร่สารพัดข่าวดังเช่นที่เคยทำกับรัฐบาลชุดก่อนซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 นั้น ต้องพบปัญหาหนักแน่อาจถึงจำคุกหรือตายก็ได้ การปฏิวัติจะสำเร็จสมบูรณ์ได้ ต้องควบคุมข่าวสารไว้ในมือ มันเป็นสูตรสำเร็จของการปฏิวัติ ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ คนไทยจะเห็นพวกเขาคุมสื่อมวลชนก่อนเสมอ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยรสช.ยึดอำนาจจากรัฐบาลของนายกฯชาติชายก็คุมสื่อฯมิให้เสนอข่าวขัดแย้งกับตน ปิดข่าวทุกรูปแบบคล้ายกับยุคคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งเกิดพฤษภาทมิฬเพราะคนอึดอัดในการไม่รับรู้ข่าวสารแท้จริง หลายคนหาข่าวจากต่างประเทศทางดาวเทียม วิทยุคลื่นสั้น เป็นต้น เนื่องเพราะสื่อทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ได้รับคำสั่งให้บิดเบือนข่าวเสริมภาพพจน์ของคณะรสช.เป็นหลัก
คำสั่งควบคุมสื่อมวลชนมิได้เกิดในไทยเท่านั้น ตั้งแต่มีการประท้วงขับไล่ผู้นำประเทศในไทยหรือไต้หวันหรือชาติตะวันตกบางประเทศ จึงเกิดแนวความคิดควบคุมสื่อมวลชนในการเสนอข่าวไปนอกประเทศขึ้นในจีนเป็นประเทศแรก โดยออกคำสั่งบังคับสำนักข่าวต่างประเทศซึ่งจะเสนอข่าวของจีนต้องผ่านเซ็นเซอร์ของจีนก่อนจึงนำข่าวออกเผยแพร่ได้ หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม จะถูกลงโทษจำคุกหรือขับไล่ออกนอกประเทศแล้วยังมีชื่อในบัญชีดำห้ามเข้าประเทศอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงของชาติตามข้อกล่าวอ้างของเขา เราต้องไม่ลืมว่าจีนมีปัญหาใหญ่ภายในด้านชนชาติกลุ่มน้อย คือ ซินเกียง ซึ่งมักก่อปัญหาแบ่งแยกดินแดนเป็นระยะ ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกบฏเชเชนของรัสเซียซึ่งสร้างปํญหาวุ่นวายเป็นระยะจนกระทั่งรัสเซียต้องปราบปรามและควบคุมข่าวสารในประเทศไว้ในระดับหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น การควบคุมสื่อมวลชนของไทยจึงเป็นเรื่องทันสมัยอย่างหนึ่ง เพื่อรักษาภาพพจน์และความมั่นคงของคมช.และกลุ่มผู้นำ พวกเขาจำต้องระงับการเผยแพร่ข่าวที่ส่งผลร้าย ไม่ให้พูดคุยกันเกี่ยวกับงานหรือกลุ่มคมช.ในด้านลบ มุมมองหนึ่งที่ละเลยไม่ได้คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของไทยไม่ด้อยกว่าชาวโลกแล้ว อินเตอร์เนต ดาวเทียม โทรศัพท์ มือถือ ส่งข้อความสั้น ล้วนส่งออกข่าวสารโดยตรงจากคนไทยไปสู่สำนักข่าวนอกประเทศได้อย่างง่ายดาย การควบคุมทำค่อนข้างยากและซับซ้อน ขณะที่คมช.ยังไม่ใช้อำนาจปิดระบบสื่อสารพื้นฐานที่อยู่ในความควบคุมของตนลงทั้งหมดเพราะเกรงจะกระทบต่อการค้าขายของประเทศ ส่วนสื่อมวลชนไทยควบคุมความเห็นที่แตกต่างตามคำสั่งของคมช.ได้ แต่สื่อฯต่างชาติจะส่งข่าวอีกด้านหนึ่งออกไปเผยแพร่ผ่านสื่ออินเตอร์เนต ดาวเทียม ซึ่งคนไทยก็รับทราบอีกแง่มุมได้ตลอดเวลา เราต้องไม่ลืมว่ามนุษย์มีนิสัยอยากรู้ อยากเห็นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว โลกแห่งการสื่อสารพัฒนาไปไกลจากหลายร้อยปีที่ผ่านมา คมช.ซึ่งมาจากทหารน่าจะยอมรับว่ามีเทคโนโลยียุคไซเบอร์ที่คนสื่อสารกันแค่หน้าจอ ไม่ต้องคุยกัน ก็ได้ หนังสือพิมพ์ก็ไม่ใช่กระดาษเท่านั้น อีเมล์ก็ใช้แพร่หลาย หากจะปิดข่าวในยุคไซเบอร์ คงทำยาก สิ่งที่คมช.ทำก็เป็นแค่กลบเกลื่อน ปิดบัง ข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างจากข่าวที่อยากให้คนไทยรับรู้เท่านั้น สิ่งที่ปิดบังไว้ย่อมกระจายสู่นอกบ้านด้วยอำนาจของไซเบอร์ เราคงใช้กระสุนปืนยิงคลื่นที่ลอยล่องรอบตัวไม่ได้ วิธีป้องกันมิให้ภาพพจน์ดีงามของคมช.ถูกทำลายลง คือ ข้อเท็จจริงและการชี้แจงความถูกต้องแก่ประชาชน ส่วนการปิดกั้นสื่อมวลชนหรือการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่เสนอหรือพูดในแง่ที่ฟังไม่เสนาะหูของคมช.นั้น จักเป็นการลดทอนเวลาครองอำนาจปกครองประเทศและสร้างความอึดอัดใจแก่ประชาชนเมื่อถูกปิดกั้นธรรมชาติของมนุษย์ไว้ อีกด้านหนึ่งการประกาศคำขู่สื่อมวลชนมิให้เสนอข่าวสารของผู้นำหรือคนในรัฐบาลเก่า ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดหรือมีอยู่ในสังคม ประชาชนย่อมมองเห็นความหวั่นกลัวต่อศรัทธาของประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังมีต่อรัฐบาลจากการเลือกตั้งซึ่งคมช.เห็นเป็นศัตรูที่อาจทำลายอำนาจของตนได้ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่กระทำเป็นความถูกต้อง มีอำนาจชอบธรรม มีกองทัพทหารเป็นกำลังหนุนสำคัญ ก็ไม่ต้องหวั่นกลัวฝ่ายใดเลย ส่วนอีกฝ่ายยังไม่มีความผิดตามกฎหมายใด ย่อมใช้สิทธิของคนไทยอย่างสมบูรณ์ได้ การขัดขวางการใช้สิทธิของคนไทยบอกความไม่มั่นคงทางอารมณ์และกำลังหนุนไม่แข็งแกร่งอย่างชัดเจนของคมช.อันน่าจะลดทอนบารมีลงด้วยมือของตน การขัดขวางการทำงานของสื่อมวลชนตามอุดมการณ์เป็นความเสี่ยงสูง ทั้งที่ความสำเร็จสำคัญของการปฏิวัติในการสร้างเจตนารมณ์ขึ้นก็มาจากการทำงานตามอุดมการณ์ของสื่อมวลชน แต่กลับระงับขัดขวางมิให้พวกเขาทำงานตามหน้าที่ด้วยเหตุผลของการหวั่นเกรงศรัทธาประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจากเสียงเลือกตั้งของประชาชนยังมีอยู่ มันส่งผลเสียหายต่อภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของคมช.มากกว่า คมช.ควรเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นที่แตกต่างจากตนผ่านสื่อมวลชนหรือประชาชน น่าจะมองเห็นศัตรูชัดขึ้นหรือคิดแผนตอบโต้ได้ดีขึ้น มันย่อมมีประโยชน์มากกว่าปล่อยให้ศัตรูซ่อนตัวไว้แล้วลอบทำร้ายเป็นระยะให้น่ารำคาญใจ
การทำลายศรัทธาประชาชนที่มีต่อผลงานรัฐบาลชุดก่อนหรือผู้นำรัฐบาลในอดีตควรกระทำอย่างคนมีน้ำใจนักกีฬา ใช้ความจริงมาตีแผ่ งดเว้นการใส่ร้ายป้ายสีกันหรือเล่นละครตบตาเพราะเห็นชาวบ้านโง่เขลา การใช้ความสามารถแท้จริงและความตั้งใจอย่างสุจริต จักบ่งบอกความจริงให้ประชาชนรับทราบ มากว่าการใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดกั้นคู่อริ เพื่อให้เห็นแต่ภาพของฝ่ายตนเท่านั้น นอกจากไม่ใช่การส่งเสริมแล้ว ยังทำลายภาพพจน์ของตนอีกด้วยว่าหวั่นกลัวคู่แข่งเกินเหตุทั้งที่เป็นเจ้าภาพงานแข่งขันอยู่แล้ว ยังมัวคิดหาวิธีกลั่นแกล้งเพื่อกำจัดอีกฝ่ายและเป็นผู้ชนะคนเดียวอย่างแท้จริงอันมิใช่วิสัยของนักกีฬาตัวจริง การกลั่นแกล้งทับถมผู้แพ้ในเกม ถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ โดยเฉพาะผู้ที่เอาชนะด้วยวิธีนอกกติกายิ่งไม่พึงทำร้ายหรือซ้ำเติมผู้แพ้ มันจะส่งผลให้อีกฝ่ายมีภาพพจน์ของผู้แพ้ที่สง่างามกว่าผู้ชนะที่ไม่อยู่ในกติกายิ่งขึ้น คำที่บรรพชนพร่ำสอนเด็กรุ่นต่อๆมาว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา จึงเป็นความจริงที่ได้รับการพิสูจน์จากกาลเวลามาแล้ว

**************************




 

Create Date : 13 มกราคม 2550    
Last Update : 13 มกราคม 2550 14:32:32 น.
Counter : 475 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.