ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 
วัฒนธรรมการไหว้ทักทายของไทย

เขียนโดย ลูกแก้ว

เมื่อมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกและรวมตัวกันเป็นสังคม จึงสร้างวัฒนธรรมของตนตามลักษณะเชื้อชาติ ถิ่นกำเนิด สภาพแวดล้อม และความเชื่อทางศาสนา เราจึงเห็นความหลากหลายตามท้องถิ่นต่างๆแม้จะอยู่ในดินแดนเดียวกันก็ตาม วัฒนธรรมหนึ่งซึ่งมีในทุกชนชาติของโลก นั่นคือ การทักทาย ซึ่งมีทั้งการแสดงออกทางกายอย่างเดียว หรือ มีคำพูดประกอบด้วย มันมิได้มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น ในกลุ่มสัตว์ยังมีการทักทายกันด้วยการชนจมูกหรือปากกัน โอบกอด ช่วยหาแมลงให้กัน และอื่นๆ ถ้าเรามองไปยังหลายประเทศทั่วโลกจักสังเกตเห็นวัฒนธรรมการทักทายที่แตกต่างกัน เช่น การชนจมูกกัน การจับมือกัน การจูบแก้มกัน การไหว้ เป็นต้น ทุกวัฒนธรรมการทักทายบนโลกล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติต่อกันโดยไม่สนใจต่อประวัติครอบครัว ข่าวลือ หรือพฤติกรรมของผู้นั้น นอกจากเป็นการให้เกียรติกันแล้ว ยังเป็นการแสดงน้ำใจต่อกันด้วย จึงถือว่าการทักทายเป็นวัฒนธรรมอันงดงามของมนุษย์บนโลกนี้ที่สุด
ทวีปยุโรปและอเมริกาจะมีวัฒนธรรมการทักทายที่เราเห็นชินตา คือ การจับมือกัน บางแห่งอาจมีการเพิ่มหอมแก้มด้วย หากกระทำต่อผู้มีฐานันดรศักดิ์สูง เช่น ราชวงศ์ เป็นต้น อาจเพิ่มการถอนสายบัวหรือจูบมือไปด้วย แต่ทุกอิริยาบถของการทักทายล้วนดูงดงามน่ามองทั้งสิ้น การทักทายเหล่านี้จะกระทำต่อผู้มาเยือนหรือมิตรซึ่งมาเยี่ยมหรือพบปะกัน อีกทั้งไม่คำนึงถึงภูมิหลังหรือประวัติครอบครัวและการทำงานของเขา ข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งซึ่งเห็นในการทักทายของเหล่าผู้นำประเทศ คือ พวกเขาจะทักทายผู้นำทุกชาติเสมอกัน แม้ว่าผู้นำบางชาติอาจมีข่าวด้านลบจากการทำงานของเขาหรือมีความขัดแย้งกัน แต่การทักทายยังต้องยึดถือธรรมเนียมของประเทศตนเช่นเดิม เนื่องเพราะธรรมเนียมการทักทายถือเป็นการให้เกียรติต่อกันและเป็นการแสดงน้ำใจ ดังนั้น เราจะไม่เห็นผู้นำประเทศซึ่งแม้จะเป็นคู่แข่งกันไม่ยอมทักทายกันยามที่พบตามงานสำคัญต่างๆเลย ตัวอย่างเช่น ผู้นำเกาหลีใต้เคยไปเยือนและพบปะกับผู้นำเกาหลีเหนือ ภาพที่เห็นไปทั่วโลกคือ ผู้นำทั้งสองจับมือกันด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เป็นต้น
ส่วนธรรมเนียมการทักทายของคนไทย คือ การไหว้และกล่าวคำ สวัสดี แล้วยังเพิ่มรอยยิ้มเป็นมิตรเข้าไปด้วย จนกระทั่งได้รับฉายาว่า รอยยิ้มสยามเพราะคนไทยชอบยิ้มกับทุกคนเสมอ หากเป็นการทักทายต่อผู้มีฐานันดรศักดิ์สูง ก็ต้องเพิ่มการถอนสายบัวเข้าไปด้วย ภาพการทักทายแบบคนไทยเป็นที่ยกย่องของคนทั่วโลกที่เคยมาเยือนประเทศนี้ ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง บิดามารดาจะสอนให้ลูกหลานไหว้ทักทายกัน โดยเฉพาะกระทำต่อผู้อาวุโส จะถือเป็นการให้เกียรติอย่างสูง การไหว้ที่สอนสืบทอดกันมานั้นบรรพชนกำชับให้ไหว้ทักทายทุกคนด้วยหัวใจแห่งความเป็นมิตร หากกระทำต่อผู้เฒ่าก็ต้องเพิ่มความเคารพนับถือเข้าไปด้วย เนื่องเพราะเป็นการให้เกียรติและแสดงน้ำใจไมตรีต่อกันด้วย
ณ วันนี้ผู้ใหญ่บางคนและนักวิชาการความรู้ท่วมหัวบางคนกลับบิดเบือนเจตนารมณ์ของการไหว้ที่บรรพชนสอนแก่ลูกหลานคนไทยเพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนและใช้เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่นอย่างไม่ละอายใจ อันที่จริงแล้วการไหว้เป็นการทักทายกันของคนไทยมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยมีเจตนารมณ์ให้ทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะ ระดับความรู้ ชนิดของการทำงาน ภูมิหลังของครอบครัว อายุ แตกต่างกัน มันเป็นการแสดงน้ำใจไมตรีให้กันทุกครั้งที่พบเจอกันตามสถานที่ต่างๆ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของคนไทยและเป็นรากฐานแห่งความสงบสุขในสังคมไทยด้วย กลุ่มคนซึ่งอาศัยชื่อเสียงหรือสถานภาพของความน่าเชื่อถือบิดเบือนจุดประสงค์ของการไหว้ด้วยการนำไปผูกกับความเป็นคนดีคนชั่ว โดยบอกแนะว่าต้องยกมือไหว้กับคนดีเท่านั้น คนชั่วให้เมินเฉยและสาปแช่ง ทั้งที่คนดีคนชั่วยังไม่มีมาตรฐานใดวัดแยกแยะได้ชัดเจน แต่กลับพยายามใช้การไหว้เป็นบทลงโทษคนที่ตนไม่ชอบ
มาตรฐานของคนดีคนชั่วมิได้วัดกันที่ผู้ใดปฏิบัติตนไม่ละเมิดศีลห้าเท่านั้น แต่ยังต้องมีองค์ประกอบหลายด้าน เช่น การไม่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง การไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ การควบคุมกิเลสตัณหาให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรม เป็นต้น การตัดสินความเป็นคนดีคนชั่วของใคร มิได้เกิดจากปากของคนอื่น เนื่องเพราะบางครั้งคนที่พูดสั่งสอนผู้อื่นให้ทำความดีก็อาจทำผิดประเวณีกับหญิงหรือชายอื่นก็ได้ บ้างเคยรับสินบนตอนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ บ้างผิดหวังในการทำงานแล้วพาลตำหนิคนอื่น หลายคนไม่อาจทราบอดีตของคนเหล่านั้นได้ จึงเป็นจุดอ่อนที่ถูกนำไปใช้เพื่อยุแยงให้คนในสังคมซึ่งขาดสติยับยั้งชั่งใจร่วมกันกระทำตามคำชี้นำ เช่น ห้ามการไหว้ทักทายคนชั่ว พูดจาด่าทอคนชั่ว เป็นต้น แล้วกำหนดคนที่ตนไม่ชอบให้เป็นคนชั่วเป้าหมาย ทั้งที่บางครั้งคนพูดยุยงมีพฤติกรรมน่ารังเกียจทั้งส่วนตัวและส่วนรวมอย่างมาก แต่เรื่องของเขามีการรับรู้ในวงแคบ จึงอาศัยภาพพจน์ดีที่เพียรสร้างไว้เป็นเครื่องมือทำลายคนที่เกลียดชัง ตัวอย่างเช่น อดีตข้าราชการระดับสูงหรือนักวิชาการผู้มีวิชาล้ำลึกเคยรับเงินสินบนหรือทำผิดประเวณีกับหญิงหรือชายอื่นทั้งที่ตนมีครอบครัวแล้ว แต่สร้างภาพพจน์ความเป็นคนดีด้วยการบริจาคเงินสม่ำเสมอ พูดสั่งสอนให้คนอื่นทำความดี พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้หลายคนตัดสินว่าพวกเขาเป็นคนดี แต่น้อยคนจะทราบเบื้องหลังภาพนั้นว่าเป็นภาพหลอกลวง คนที่เคยให้เงินสินบนหรือคนที่ร่วมทำความชั่วด้วยกันจะบอกให้คนอื่นรับรู้ความจริงได้ในวงแคบเท่านั้น หลายคนจึงเชื่อถือในภาพพจน์ความเป็นคนดีที่เขาสร้างไว้ มันจึงกลายเป็นอิทธิพลส่วนตัวซึ่งอาจนำไปใช้ทำลายคู่อริของตนเมื่อใดก็ได้ เป็นต้น
การไหว้เป็นเสน่ห์ของคนไทย ผู้ใหญ่และนักวิชาการทั้งหลายควรใช้สติปัญญาคิดพิจารณาให้หนักว่า การบิดเบือนเจตนารมณ์ของการไหว้ทักทายที่คนไทยกระทำกันมานานเป็นร้อยปีนั้น เป็นการลบหลู่คำสอนของบรรพชนคนไทย หลายคนร่ำเรียนในเมืองนอกย่อมต้องเข้าใจความหมายของการทักทายในสากลโลก แต่อาจหลงลืมประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จึงไม่ควรยุยงคนไทยให้ละเว้นการไหว้คนอื่นด้วยการแบ่งแยกคนดีคนชั่วซึ่งขาดมาตรฐานวัดแยกแยะได้ แม้แต่พระซึ่งเคยมีอดีตเป็นคนไม่ดี ถ้าห่มผ้าเหลืองของพระ บรรพชนยังสอนลูกหลานว่า เราไหว้ความเป็นพระ มิใช่คนที่สวมจีวร มันเป็นการรักษาพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไปได้โดยไม่จำกัดที่ตัวบุคคล ก่อนจะสั่งสอนคนอื่นให้เป็นคนดี ไม่กระทำตัวเป็นคนชั่ว พวกท่านต้องกระทำให้ได้ก่อน มิใช่ซ่อนอดีตชั่วไว้ในเสื้อ แล้วแสดงตนเป็นมาตรฐานของคนดี มันคือการหลอกลวงและฉ้อฉลต่อความไว้วางใจของคนอื่น การไหว้คนดีหรือคนชั่วเป็นการสร้างมิตรไมตรีต่อกัน ถือเป็นกุศโลบายของบรรพชนที่ส่งเสริมให้สังคมไทยร่มเย็นอย่างแยบยล ส่วนการตัดสินคนดีคนชั่วไม่ใช่หน้าที่ของผู้ใดผู้หนึ่งกระทำต่อกัน การทำผิดกฎหมายหรือไม่ หน้าที่ตัดสินเป็นของศาลซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ดังนั้น กลุ่มบุคคลที่คิดใช้การไหว้เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น ด้วยการตัดสินที่ไร้มาตรฐานของตนเองว่าเขาเป็นคนชั่ว ย่อมถือเป็นการทำบาปและไม่เคารพต่อคำสั่งสอนของบรรพชน อีกทั้งการไม่ให้เกียรติต่อผู้นำบ้านเมืองซึ่งถือเป็นตัวแทนของประเทศด้วยการไม่ให้ไหว้ทักทายยามที่พบปะกัน มันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของประเทศและของตนเองเนื่องเพราะการไหว้ถือเป็นธรรมเนียมพึงปฏิบัติสืบทอดกันมาตามคำสอนของบรรพชนโดยไม่มีการแบ่งแยกความชั่วความดีระหว่างกัน คนต่างชาติย่อมมองดูแคลนความเป็นคนไทยที่ไม่รู้จักให้เกียรติต่อคนไทยด้วยกัน ทั้งที่เป็นผู้นำบ้านเมืองเพียงแค่อาศัยคำพูดกรอกหูกันว่า เขาเป็นคนชั่ว โดยปราศจากหลักฐานเอาโทษตามระบอบกฎหมายซึ่งคนไทยเป็นผู้กำหนดขึ้น มันบ่งบอกว่าคนไทยยึดถืออารมณ์ มากกว่าหลักกฎหมาย ทั้งที่หลักสากลในการลงโทษคนอื่นต้องมีกระบวนการพิจารณาความผิดและบทลงโทษอย่างเป็นธรรม มันทำลายภาพพจน์ของไทยในโลกสากลด้วยมือของคนไทยกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะการนำการไหว้ทักทายของคนไทยเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น ถือเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายและขาดเจตนาที่ดีต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง คนไทยไม่ควรทำลายเกียรติของคนไทย แล้วสร้างรอยยิ้มพอใจแก่กลุ่มที่จ้องทำลายความมั่นคงของไทยอยู่ จงใช้สติปัญญาและแยกแยะคำบอกกล่าวทั้งหลายที่ได้ยินจากผู้ใหญ่หรือนักวิชาการเพิ่มขึ้น หลายคนเริ่มควบคุมสติไม่ได้ เพราะไม่เป็นดังใจหวัง เราจึงได้ยินคำพูดหรือคำแนะนำประหลาดไม่เหมาะสมกับวัยวุฒิหรือระดับความรู้ของพวกเขาบ่อยครั้งขึ้น จึงเป็นภาระใหญ่หลวงของคนไทยทั้งประเทศซึ่งต้องกลั่นกรองคัดแยกคำสอนที่ดีเก็บไว้ในสมอง แล้วหาข้อมูลเชิงลึกของผู้ตั้งตัวสั่งสอนคนอื่นให้มากขึ้น เราจะมองเห็นธาตุแท้ของผู้มากด้วยกิเลสตัณหาในคราบของคนที่อวดอ้างตนเป็นคนดีศรีสังคมชัดขึ้น บางทีคนที่พูดสั่งสอนยังมีความดีน้อยกว่าผู้ฟัง แล้วควรเชื่อฟังคนประเภทนี้ได้มากน้อยเพียงใด คนไทยควรต้องใช้สติชั่งใจในการฟังคนอื่นมากขึ้นก่อนจะกลายเป็นเหยื่อของสงครามน้ำลาย

*************************************


Create Date : 12 กันยายน 2549
Last Update : 12 กันยายน 2549 1:51:02 น. 0 comments
Counter : 2895 Pageviews.

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.