ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 
ล่าอสูร....The 2 Swords 2

ล่าอสูร...The 2 Swords
เขียนโดย "วายุอัสนี"
2.
ปักษาแหวกรัง

เช้าวันหนึ่งเสียงเคาะประตูห้องพักหนึ่งในอาคารที่พักย่านชุมชนดังขึ้น
“พี่ซื้อข้าวต้มทรงเครื่องมาฝากเธอ อาเหมย” เสียงของมัคคุเทศก์หนุ่มจีนดังขึ้น
หนุ่มจีนถือถุงข้าวต้มและปาท่องโก้ชิ้นใหญ่เป็นอาหารเช้าของหญิงสาวในห้องพัก
“ฉันยังไม่หิว..... พี่กลับไปเถอะ” เสียงผู้หญิงในห้องตอบกลับด้วยน้ำเสียงกร้าว
หม่าหยงเคาะประตูต่อไป ปากพูดว่า “เธอโกรธอะไร เปิดประตูออกมาคุยกันก่อน”
ยังไม่ทันมีเสียงตอบจากคนในห้องกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งขึ้นมาจากบันได มือถือมีดดาบเล่มยาวมุ่งตรงเข้าหาหม่าหยง
หนึ่งในชายกลุ่มนั้นตะโกนออกมา “อาหยง! นายบังอาจเบี้ยวหนี้เสี่ยเปา เขาต้องการมือหนึ่งข้าง”
ลูกน้องเสี่ยเปาง้างมีดดาบหมายฟันหม่าหยง หนุ่มจีนปาถุงข้าวต้มใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ทันที
“ค่อยๆพูดกันก็ได้” หม่าหยงตะโกนบอกกลุ่มชายเหล่านั้น พลางถอยหลังไป
หม่าหยงต้องปัดป้องการโจรตีเป็นพัลวันเมื่อลูกน้องของเสี่ยเปารุกจู่โจมพร้อมกัน แม้จะพอมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจต้านทานได้แล้ว เมื่อหนุ่มจีนใกล้จะเพลี่ยงพล้ำ ประตูห้องของอาเหมยเปิดออกอย่างรวดเร็วจนกระแทกหนึ่งในคนร้ายกระเด็นถอยไป หญิงสาวในชุดวอร์มสีแดงสดเข้าช่วยเหลือด้วยการเตะและต่อยอย่างรวดเร็วทำให้ลูกน้องเสี่ยเปาผงะถอยไป
“ระวังด้วย อาเหมย” หม่าหยงตะโกนเตือนหญิงสาวที่กำลังต่อสู้แทนตนอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
“พี่หยงเข้าไปในห้อง.........”
หญิงสาวไม่รอคำตอบแล้วถีบหม่าหยงเข้าไปในห้องแล้ววิ่งตามไป หล่อนพยายามปิดประตู แต่ลูกน้องเสี่ยเปากระแทกประตูจนเปิดอีกครั้ง การต่อสู้จึงดำเนินต่อไปในห้องนั้น ทั้งสองหลบมีดดาบได้แต่รู้ว่าไม่อาจต้านไว้ได้นานนัก
“พี่หยงออกทางหน้าต่าง” หญิงสาวตะโกนบอก แล้วสกัดการไล่ล่าของลูกน้องเสี่ยเปาไว้
หม่าหยงกระโดดออกทางหน้าต่างแล้วปีนลงไปตามนั่งร้านไม้ไผ่โดยมีอาเหมยกระโดดตามไป ทั้งสองวิ่งไปตามถนนในซอยเล็กๆโดยมีลูกน้องเสี่ยเปาตามมาอย่างกระชั้นชิด สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่ ยอดและเกตุนั่งกินข้าวต้มด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง

หม่าหยงและอาเหมยวิ่งหนีเต็มกำลัง ช่วงหนึ่งหม่าหยงถูกลูกน้องของเสี่ยเปาไล่ตามทันแล้วเตะกระเด็นไปที่โต๊ะซึ่งยอดและเกตุนั่งอยู่ จานอาหารบนโต๊ะกระจายเกลื่อนพื้น สองหนุ่มสาวไทยตกใจมากเมื่ออยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของคนจีน ยอดจำได้ว่าชายหนุ่มที่ตกมาที่โต๊ะคือมัคคุเทศก์หนุ่มจีนในงานแสดงวัฒนธรรมตะวันออกเมื่อวานนี้ ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายหม่าหยงด้วยมีดดาบ แต่หนุ่มจีนยกมือขึ้นปิดป้องใบหน้าไว้ พลันหม่าหยงแปลกใจที่ไม่รู้สึกว่าดาบเล่มนั้นฟันใส่ร่างของเขา จึงลืมตาขึ้นมองหาเจ้าของมีดดาบ เขาพบว่ายอดใช้ท่อนแขนรับคมดาบนั้นไว้ แต่ไม่เกิดแผลหรือแม้แต่รอยขีดข่วนใดบนท่อนแขนของยอดเลย ชั่วแว่บหนึ่งหนุ่มจีนเห็นรอยสักสีทองเป็นอักษรประหลาดปรากฏที่ท่อนแขนของยอด สักครู่มันก็จางหายไป เขาเบิ่งตาค้าง หัวใจเต้นรัว เจ้าของดาบเข้าจู่โจมยอด ชั่วพริบตาเดียวชายคนนั้นล้มลงหมดสติด้วยการเตะก้านคออย่างแม่นยำเพียงครั้งเดียวของยอด
พวกนักเลงเสี่ยเปาอีกสี่คนมองแค้นใจยามเห็นเพื่อนนอนสลบเหมือดบนพื้นด้วยการเตะของยอด จึงผละจากอาเหมยตรงเข้าทำร้ายยอด การต่อสู้หนึ่งต่อสี่จึงเกิดขึ้น ยอดจดหมัดสองข้างขึ้นแบบมวยไทยเพื่อป้องกันใบหน้าและลำตัวพลางเบี่ยงตัวหลบการฟันด้วยดาบของพวกนักเลงอย่างคล่องแคล่ว ลูกน้องเสี่ยเปาคนหนึ่งฟันดาบใส่ยอดขณะที่เขากำลังพันตูกับคนอื่น ทันใดนั้นยอดหันขวับไปเห็นเจ้าของดาบก่อน จึงวิ่งเข้าประชิดตัวจากนั้นฟันศอกเสยใส่ใบหน้าเจ้าของดาบอย่างแรงและแม่นยำ ชายคนนั้นผละถอยหลังไป ท่าทางมึนงง คนที่เหลือเริ่มระวังตัวเพิ่มขึ้น มันคือ “อิเหนาแทงกริซ” หนึ่งในแม่ไม้มวยไทยซึ่งยอดใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
หม่าหยง อาเหมย และเกตุยืนตะลึงมองการต่อสู้เบื้องหน้าที่ยอดถูกพวกนักเลงของเสี่ยเปาล้อมกรอบทำร้ายอยู่ ชายสามคนตกใจกับท่ามวยประหลาดนี้ พลางรวบรวมความกล้าใช้ดาบรุกเข้าทำร้ายยอดอีกครั้ง ยอดชิงจังหวะเข้าตอบโต้ด้วยการเตะไปที่มือจับดาบทำให้มันหลุดจากมือกระเด็นไปไกล ยอดรุกต่อเนื่องด้วยการหมุนตัวเป็นครึ่งวงกลมแล้วใช้เท้าเตะนักเลงทั้งสามล้มคว่ำลง
“ฉันรู้จักท่านี้ จระเข้ฟาดหาง !” อาเหมยร้องบอก ท่าทางตื่นเต้น
หม่าหยงกระซิบถามว่า “เห็นที่ไหน ?”
“ฉันดูรายการถ่ายทอดต่อยมวยไทยบ่อยๆ นักมวยบางคนใช้ท่าจระเข้ฟาดหางเพื่อการโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นแม่ไม้มวยไทยที่สวยงามมากท่าหนึ่ง”
หม่าหยงมองทึ่งใจกับท่ามวยที่หนุ่มไทยใช้ต่อสู้กับพวกนักเลงของเสี่ยเปา เกตุนึกไม่ถึงว่าเพื่อนจะมีวิชาต่อสู้และใช้อย่างคล่องแคล่วมาก เมื่อเห็นบางคนยันกายขึ้นยืนอีกครั้ง ยอดโจมตีต่อเนื่องด้วยการกระโดดเข้าหาแล้วฟันข้อศอกคู่ใส่ศีรษะของอีกฝ่ายจนสลบไป นักเลงอีกคนฟันดาบใส่ยอดจากด้านหลัง ยอดเห็นประกายดาบสะท้อนแสงไปที่กระจกร้านค้าเข้าตาของเขาจึงก้มตัวหลบคมดาบไปอย่างเฉียดฉิว แล้วตอบโต้ด้วยการเตะลำตัวของชายคนนั้นซ้ำไปมา จังหวะที่นักเลงคนนั้นใช้ดาบฟันซ้ำอีก ยอดวิ่งประชิดวงในแล้วกระแทกศอกไปที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้อย่างถนัดถนี่ด้วยท่า “ฟานลูกบวบ” หนึ่งในลูกไม้มวยไทยที่เลื่องชื่อ
บัดนี้ นักเลงทั้งหมดนอนไร้สติบนพื้นด้วยฝีมือของยอดเพียงคนเดียว หม่าหยง อาเหมย กับ เกตุมองทึ่งใจยิ่งแล้วเดินเข้าไปหาหนุ่มไทย

ตำรวจสองคนเดินผ่านมาบริเวณถนนสายนี้จึงเข้ามาเพื่อจับกุมพวกก่อความวุ่นวายทั้งสองกลุ่ม นักเลงทั้งห้าคนเริ่มฟื้นสติและยันกายลุกขึ้นเมื่อเห็นตำรวจจึงวิ่งหนีไปโดยเร็ว ตำรวจคนหนึ่งวิ่งไล่ตามนักเลงไป อีกคนยืนซักถามเหตุการณ์โดยหม่าหยงเป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ตำรวจกำชับให้หม่าหยงกับเพื่อนไปให้การเพิ่มเติมที่โรงพักก่อนแยกตัวไปไล่ตามนักเลงทั้งหมด
“ขอบคุณมากที่ช่วย” หม่าหยงบอกเป็นภาษาไทยไปทางยอด
“ไม่เป็นไร” ยอดตอบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “นายมีเรื่องอะไร จึงถูกไล่ฟันแบบนี้”
อาเหมยตอบสวนเป็นภาษาไทยว่า “คงไปยืมเงินขาใหญ่มาแล้วไม่จ่ายล่ะซิ!”
“คุณพูดไทยได้หรือ ?” ยอดมองเพื่อนหญิงของหม่าหยงด้วยความฉงน
หม่าหยงตอบว่า “เราสองคนเคยเรียนหนังสือที่เมืองไทยมาห้าปี จึงพูดได้”
“คุณสองคนพูดไทยได้ชัดมาก” เกตุกล่าวชมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ฉันชื่อ จงเหมยฮวา เรียกฉันว่า อาเหมยก็ได้ ส่วนเขาชื่อ หม่าหยง” สาวจีนในชุดวอร์มสีสดใสกล่าวแนะนำตัวเองและหนุ่มจีน
“เรียกว่า อาหยง ก็ได้” มัคคุเทศก์หนุ่มจีนบอก รอยยิ้มกว้าง
“ผมชื่อ ยอด ส่วนเธอชื่อ เกตุ” ยอดผายมือไปทางหญิงสาวที่ยืนเคียงข้าง
“ฝีมือของนายเยี่ยมมาก เขาเรียกว่ามวยไทยใช่ไหม ?” หม่าหยงถามด้วยความสนใจ
ยอดพยักหน้ารับ อาเหมยพูดชมว่า “คุณใช้ท่ามวยคล่องและลื่นไหลมาก คงฝึกนานแล้วสิ”
“ครับ.....ตั้งแต่เด็กแล้ว” ยอดตอบ
“แขนของนายเป็นอย่างไร? บาดเจ็บหรือไม่?” หม่าหยงถามด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากเห็นยอดใช้ท่อนแขนรับดาบแทนตนถนัดตา พลางฉวยแขนของหนุ่มไทยไปลูบคลำเพื่อหาบาดแผล แต่ไม่พบรอยขีดข่วนใดๆบนท่อนแขนของยอด หนุ่มจีนอดประหลาดใจไม่ได้
“ดาบฟันไม่โดนแขนของผมหรอก” ยอดตอบกลบเกลื่อนพร้อมกับดึงแขนกลับทันใด
“แต่ฉันเห็นกับตาว่านายถูกฟันที่แขน!” หม่าหยงพูดยืนยัน แววตาอยากรู้
“ยังเมาค้างและตาลายล่ะสิ พี่หยง” อาเหมยพูดเย้า
“พี่ไม่ได้ดื่มเหล้าแล้วจะเมาได้อย่างไร” หม่าหยงกล่าวโต้ ใบหน้าบึ้ง
“ทุกคนปลอดภัยแล้ว พวกเราต้องขอตัวก่อน” ยอดกล่าวตัดบท
“นายต้องไปทำงานที่งานวัฒนธรรมอีกใช่ไหม ?” หม่าหยงถาม
“วันนี้ไม่ต้องทำงานเพราะงานถูกสั่งปิด ผมยังไม่รู้ว่าจะเปิดได้เมื่อไร”
“เกิดอะไรขึ้น ?” หม่าหยงถาม พลางขมวดคิ้วกับข่าวใหม่
“นายไม่ได้อ่านข่าวเช้านี้หรือ ?” ยอดมองแปลกใจ พลางเอ่ยต่อไปว่า “เมื่อคืนวานนี้มีโจรเข้าไปขโมยมัมมี่จีน ยามก็ถูกเล่นงานด้วย ตำรวจกำลังสืบสวนคดีอยู่ งานแสดงจึงถูกปิดชั่วคราว”
“โจรจะเอามัมมี่ไปทำอะไร ?” อาเหมยถามด้วยความสงสัย
“มัมมี่จีนถือเป็นสมบัติของชาติ ถ้าโจรเอาไปขายให้ต่างชาติ คงได้ราคาไม่น้อย” เกตุให้ความเห็น แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเงาชั่วร้ายจากอดีตที่กำลังกลับมาสร้างความพรั่นพรึงแก่ผู้คนในยุคไซเบอร์
“พวกเราต้องขอตัวกลับก่อน” ยอดบอกกับสองหนุ่มสาวจีน
“ขอบคุณมากที่ช่วย ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้ ชาวจีนไม่ลืมบุญคุณใครอยู่แล้ว เก็บนามบัตรของฉันไว้” หม่าหยงกล่าวอำลาพร้อมกับส่งนามบัตรให้ยอด
ยอดรับนามบัตรมาดูแล้วขมวดคิ้ว “นายชื่อเชอรี่ ทำงานที่บาร์ อะโก โก้รึ ?”
“โอ้..... ขอโทษทีหยิบผิดใบ ใบนั้นเป็นของลูกค้าน่ะ”
หม่าหยงทำท่าตกใจแล้วรีบหยิบนามบัตรจากมือของยอดแล้วส่งใบใหม่ สายตาเหลือบมองท่าทีขุ่นเคืองของอาเหมย เขายิ้มเจื่อน
“ลูกค้าจริงๆ” หนุ่มจีนบอกเสียงอ่อยไปทางเพื่อนหญิง
ยอดอ่านนามบัตรอีกครั้ง พลางพูดว่า “นายเป็นนายหน้าค้าที่ดิน ไม่ใช่มัคคุเทศก์หรอกรึ”
“มัคคุเทศก์แค่งานเสริม งานหลักเป็นนายหน้าถ้าต้องการซื้อที่ดินในฮ่องกงก็บอกฉันได้ จักช่วยเป็นกรณีพิเศษ” หม่าหยงตอบอย่างคล่องแคล่ว
“อย่าไปเชื่อพี่หยงเลย เขาทำงานไม่เป็นหลักแหล่งหรอก” อาเหมยพูด พลางดึงแขนของหนุ่มจีนแยกตัวไปจากยอดและเกตุ
“อาเหมยพูดแบบนี้ พี่เสียหายหมด” อาหยงพึมพำ อาเหมยไม่สนใจท่าทีของเพื่อนหนุ่ม
“ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเรา ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทดสอบมวยไทยของคุณสักครั้ง” อาเหมยหันกลับมากล่าวอำลายอดด้วยแววตาชื่นชม ยอดยืนยิ้มเล็กน้อยแล้วพาเกตุเดินจากไป

หลังจากเช้าที่วุ่นวายผ่านไปยอดและเกตุเดินเที่ยวพักผ่อนตามแหล่งขายของต่างๆหลังจากจับจ่ายใช้สอยเป็นที่พอใจแล้วก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ทั้งสองเดินหาร้านอาหารจีนอันเลื่องชื่อตามรายชื่อที่แผ่นพับการท่องเที่ยวฮ่องกงแนะนำไว้ แต่ละร้านมีลูกค้านั่งจนเต็มแน่น เมื่อพบร้านหนึ่งซึ่งลูกค้าค่อนข้างบางตา ด้วยความหิวยอดและเกตุจึงเลือกร้านนี้
“ทำไมจึงมีลูกค้าน้อยกว่าร้านอื่น ?” เกตุเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ ขณะนั่งรออาหาร
“ราคาอาหารก็ไม่แพง อาจเป็นเพราะไม่อร่อยก็ได้” ยอดตอบ ดวงตามองสำรวจร้านนั้น
ยอดและเกตุชิมอาหารจานแรกแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติดีมาก จานที่สองสามถูกลำเลียงมาอยู่บนโต๊ะ ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ได้รับการสำเร็จโทษโดยยอดและเกตุ ทั้งสองคนยังรู้สึกชื่นชมในความอร่อยที่ยังติดปากอยู่
“ร้านนี้ฮวงจุ้ยไม่ดีมีสิ่งที่ชงหลายเรื่องต้องแก้ไขหลายอย่าง พลังงานในร้านไม่ดีทำให้ค้าขายไม่ขึ้น”
เสียงชายหนุ่มในชุดเสื้อสีแดงคอจีนดังขึ้น เขาแต่งกายเรียบร้อย ท่าทางมีสง่าราศีดี มือซ้ายถือกล่องไม้สีเหลืองตรงกลางมีเข็มทิศหมุนบนจานที่มีอักษรจีนเขียนเป็นวงรอบ มือขวาถือพัดชี้ไปมาอธิบายให้เจ้าของร้านรับรู้สิ่งที่ต้องแก้ไข ภายใต้ชุดจีนนั้นกลับเป็น “อาหยง” หนุ่มจีนท่าทางคล่องแคล่ว
“ต้นไม้ยังเหี่ยวเฉาเลย” อาหยงชี้พัดไปที่กระถางต้นไม้ใหญ่กลางร้านซึ่งยืนต้นแห้งตาย ใบของมันเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบ ไร้ความสดชื่น
“ส่วนภาพวาดก็ดูไร้ชีวิตชีวา” ซินแสหนุ่มชี้ที่ภาพวาดพู่กันจีนขนาดใหญ่ที่ผนังด้านหนึ่งของร้าน
“ต้นไม้ไร้ใบไร้ชีวิต.....อย่างนี้กิจการเจริญได้อย่างไร” อาหยงวิจารณ์ต่อ
“มันเป็นภาพทิวทัศน์หน้าหนาว จะเอาใบไม้ที่ไหนล่ะ ซินแสหม่า” เจ้าของร้านตอบ
“อีกอย่าง..... หน้าตาของเฮียก็ไม่รับกับร้านนี้เลย” ซินแสหนุ่มพูดเน้นเสียง ดวงตามองสำรวจเจ้าของร้านอาหาร “ใบหน้าหม่นหมองแต่งกายไร้รสนิยม ทรงผมล้าสมัย ดวงตาเล็ก สมัยโบราณเป็นเสี่ยวเอ้อได้สบายๆ แต่ได้เป็นเจ้าของร้านนี้ถือว่าโชคดีแบบสุดๆแล้ว” ซินแสหนุ่มพูดเสียงรัว
“คนจีนก็มีตาชั้นเดียวกันทั้งนั้นแหละ” เจ้าของร้านตอบด้วยความสงสัย
หม่าหยงเบิ่งตากว้างแล้วตอบ “นี่ไง.... ตาชั้นเดียวก็จริงแต่ดวงตากลมโตไม่ตี่สักหน่อย มองปุ๊ปก็รู้ว่าราศีดีมีชาติตระกูลจริงไหม?”
“จริงครับ” เจ้าของร้านตอบด้วยความนอบน้อม “เราจะทำอย่างไรจึงทำมาค้าขึ้นล่ะ ซินแสหม่า” เจ้าของร้านถามด้วยความกระวนกระวายใจ
อาหยงทำท่าคิดสักครู่ สายตากวาดมองทั่วร้านแล้วเดินไปทางหน้าร้านเพื่อพิจารณาข้อบกพร่อง สายตาเหลือบไปเห็นยอดและเกตุกำลังนั่งอยู่ ด้วยความตกใจหม่าหยงกางพัดยกขึ้นปิดหน้าไว้ แล้วพูดแนะนำเจ้าของร้านไปเรื่อยๆ

ยอดโยกตัวไปมาเพื่อดูให้แน่ชัดว่าเป็นเพื่อนหนุ่มจีนที่มีเรื่องตอนเช้าหรือไม่ หม่าหยงพยายามหันหลบไปมาและใช้พัดปิดหน้าไว้ ตอนที่หนุ่มจีนเดินเฉียดใกล้ยอด เขาลุกขึ้นดึงพัดออกจากใบหน้าของหนุ่มจีน
“ไม่นึกว่าจะเจอยอดที่นี่” หม่าหยงพูดก่อน พลางแย้มยิ้มกลบเกลื่อน
“นายเป็นซินแสดูฮวงจุ้ยด้วยหรือ ?” ยอดทำท่าแปลกใจ
“มันเป็นงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่ง” หม่าหยงตอบอ้อมแอ้ม ท่าทางโอ่เล็กน้อย “คนมีความสามารถรอบด้านแบบฉันก็ต้องทำหลายอย่างหน่อย”
“เก่งมากเลยนิ” เกตุพูดชื่นชม
“ขอบคุณ…..อันที่จริง.......เอ่อ......ก็ไม่เก่งเท่าไรหรอก นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของความสามารถของผมเลยน่ะเนี่ย” หม่าหยงพูดโอ่ทันที
“พวกเขาเป็นเพื่อนของซินแสหรือ ?” เจ้าของร้านถามสงสัย
“ใช่ เขาเคยเป็นลูกค้าที่ผมดูฮวงจุ้ยให้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เป็นเจ้าของบริษัทข้ามชาติใหญ่โตไปแล้ว” ซินแสหนุ่มพูดเป็นภาษาจีนตอบกลับ สองหนุ่มสาวไทยมีสีหน้าไม่เข้าใจ “เขาเป็นคนไทย มาติดต่อการค้าที่ฮ่องกงนะ”
เจ้าของร้านเพิ่มความเลื่อมใสในซินแสหนุ่ม พลางเอ่ยต่อไปว่า “เมื่อพวกเขาเป็นเพื่อนของซินแส ก็ถือเป็นคนกันเอง มื้อนี้ผมเลี้ยงเองครับ”
“เขาพูดว่าอะไรหรือ” ยอดกระซิบถามหนุ่มจีน
หม่าหยงแปลข้อความว่า “เขาเลี้ยงอาหารมื้อนี้ของนาย”
“ทำไม ?” เกตุถามสงสัย
“พวกคุณเป็นเพื่อนของฉันก็เลยให้เกียรติด้วยการเลี้ยงอาหารมื้อนี้ไง” หม่าหยงอธิบาย
“ไม่ได้หรอก..... ทำมาค้าขายนี่นา” ยอดตอบด้วยความเกรงใจ
“กินฟรีก็ดีแล้ว ถ้าเป็นฉันจะขอปิ่นโตใส่กลับบ้านด้วย” หนุ่มจีนพูดแนะอย่างอารมณ์ดี
“เราไปหลังร้านกันดีกว่า ผมจะเขียนสิ่งที่ต้องแก้ไขให้” หม่าหยงหันไปพูดกับเจ้าของร้าน
ซินแสหนุ่มรีบพาเจ้าของร้านเดินไปหลังร้านเพื่อให้คำแนะนำต่อไป ปล่อยให้ยอดกับเกตุนั่งงง
ยอดส่ายหน้า แล้วพูดว่า “หม่าหยงเป็นพวก 18 มงกุฏหรือเปล่า ดูไม่น่าไว้วางใจเลย”
เกตุตอบด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ามองคนในแง่ร้าย เขาขยันทำมาหากินนะ”
“เธอเชื่อหมอดูคนนี้หรือ ?”
เกตุส่ายหน้า พลางผายมือไปรอบกาย “เขาเป็นยาให้กำลังใจอย่างดีของเจ้าของร้านนะ”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ยอดพูดยามมองจำนวนลูกค้าของร้านที่น้อยเมื่อเทียบกับรสชาติอาหารที่เยี่ยมยอดซึ่งเขาเพิ่งรับประทานไป
“อย่าตัดสินคนที่ใบหน้า โลกนี้ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ ก็อย่างเธอไงฉันรู้ว่าเป็นมวยไทยแต่ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้” เกตุพูด ยอดยิ้มรับคำชม

ความมืดเข้าปกคลุมเมืองที่วุ่นวายอย่างฮ่องกงแสงสีจากป้ายร้านค้าเริ่มส่องสว่างขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าชีวิตยามราตรีได้เริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอย เที่ยว ดื่ม กินหลังเสร็จสิ้นจากงานตามปกติ ยอดกลับไปที่ห้องพักในโรงแรมซึ่งมีชุดไทยโบราณ โล่กลมและดาบไทยคู่วางอยู่บนโต๊ะ ยอดล้มตัวลงนอนพักด้วยท่าทางอ่อนล้าหลังผ่านวันที่แสนเหนื่อยอ่อนแล้วเผลอหลับไป จนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนความสงบเงียบยามค่ำคืนก็ถูกทำลายด้วยแสงประหลาดพุ่งผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นเงาดำที่แฝงด้วยพลังอันชั่วร้ายและปลุกยอดให้ตื่นขึ้น ความชั่วร้ายและกลิ่นไอปีศาจยังทิ้งร่องรอยไว้
“กลิ่นนี่มัน.............” ยอดพึมพำแล้ววิ่งไปเปิดหน้าต่างห้อง
หนุ่มไทยเห็นชายร่างใหญ่ในเสื้อคลุมยืนบนยอดตึกถัดไป แต่ไม่เห็นใบหน้าได้ชัดเนื่องจากความมืดยามราตรี เงาดำเคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ยอดรีบคว้าดาบคู่ติดตัวไปโดยเก็บซ่อนไว้ในผ้าขาวม้า

****************โปรดติดตามตอนต่อไป**********



Create Date : 08 สิงหาคม 2554
Last Update : 8 สิงหาคม 2554 23:40:46 น. 1 comments
Counter : 589 Pageviews.

 


โดย: Smileangle1982 วันที่: 26 พฤษภาคม 2555 เวลา:22:22:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.