ชีวิตในฟินแลนด์ อยู่ให้เป็น ไปต่อให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในฟินแลนด์ ...
Group Blog
 
All Blogs
 
แหวนแต่งงาน... กับเรื่อง "เพชร" ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

อยากให้เป็นความรู้พื้นฐานในการเลือกหาซื้อเพชรค่ะ ในแนวคิดของลูกค้า ไม่ใช่เจ้าของร้านเพชร  (และไม่ใช่การอวดแต่อย่างใด)

 เพราะก่อนหน้านี้เท่าที่เสิรชหาข้อมูลในเน็ต ก็จะมีความรู้จากร้านเพชรแบบนิดๆหน่อยๆเท่านั้นที่เค้านำมาแชร์กัน

ถ้าอยากได้ความรู้จริงๆ ต้องไปนั่งคุยทางร้าน และศึกษากันแบบเอาเป็นเอาตายกันเลยโน่นแหละ แต่ทีนี้ใครจะทำล่ะ เพราะเรื่องเพชรมันเป็นเรื่องไกลตัว จริงๆนะ

สมัยที่ป้าลีเป็นเด็กสาวที่ทำงานรุ่งโรจน์ เพชรเป็น เฟอนิเจอร์อย่างหนึ่งที่ต้องมี และเป็นความสำคัญมากๆกับอาชีพของป้าในสมัยนั้น

เนื่องจากว่า เราต้องโมติเวชั่นคน สร้างกลุ่ม ดันทีมให้เกิดแรงทำงานให้เรา เพชรจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยก็ว่าได้

แต่พอเลิกอาชีพนั้น เพชรก็เลยกลายเป็นเรื่องห่างตัว ที่เราลืมๆ ไปซะงั้น เพราะมันเป็นของเล่นราคาแพง ที่เราไม่ค่อยอยากจะไปเสียเงินซื้อหามันสักเท่าไหร่

สู้เอาเงินหลายๆแสน ไปลงทุนซื้อที่ดินจะดีกว่า ได้กำไรมากกว่าเห็นๆ

แต่ทีนี้ถ้าเรามาคุยกันเล่นๆล่ะ กรณีเพชรไม่ใช่เรื่องไกลตัว และดันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ก่อนการซื้อหาซะด้วยสิ นั่นก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง “เมื่อต้องใส่แหวนแต่งงาน”

ก็เลยเป็นเหตุให้เราต้องศึกษานิดหน่อยก่อนการตัดสินใจ
สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านก็ผ่านไปเถอะนะคะกับหมวดนี้ เพราะว่าป้าลีก็ไม่ได้ส่งเสิรมยกย่องของพวกนี้สักเท่าไหร่นักหรอก

แต่ที่นำมาเล่าเพราะเรื่องมันเกิดตอนที่ป้าลีจะแต่งงานนี้แหละ

“วงการแท็กซี่ กับร้านเพชรในกรุงเทพฯ” ก็ด้วยที่ป้าลีอยากจะแชร์

ตอนนั้นเมื่อแฟนหนุ่ม(ในสมัยนั้น ตอนนี้ตกเป็นสามีของป้าลีเรียบร้อยแล้ว ) ขอแต่งงาน (ป้าลีไม่ได้อยากจะแต่งงานค่ะ อันนี้จะเล่าให้ฟังทีหลังว่าปัญหามันคืออะไร)

ป้าลีก็เลี่ยงๆไป รวมทั้งอ้างไปถึงเรื่องแหวนเพชรด้วย

“ถ้าชั้นจะต้องใส่แหวนแต่งงาน ถ้าไม่ใช่แหวนเพชร ชั้นไม่ใส่นะ” ป้าลีบอก

หนุ่มเอ๋อค่ะ งานนี้ ก็จริงอ่ะ ฝรั่งเค้าไม่ได้มาสนใจกันหรอกเรื่องแหวนแต่งงานต้องเป็นเพชร มีแต่ทองเกลี้ยงๆมั่งล่ะที่เห็นใส่กัน หรือ เพชรเล็กๆ แค่พองามมั่งล่ะ

ใครจะบ้าไปหาซื้อเพชร ล้านสองล้าน แล้วได้ก้อนหินนิดเดียว มาใส่ติดนิ้ว... เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า

แต่ป้าลีก็ยืนยันตามนั้นจริงๆ เพราะอะไรรู้มั๊ย.... ป้าลีตอบแบบไม่กลัวใครตำหนิเลยในเรื่องความคิดนี้

“ก็เพราะว่า การใส่แหวนแต่งงานมันคือการประกาศ เรื่องการมี “ผัว” (ขอโทษค่ะ..แต่เพื่อให้ฟิน... ต้องใช้คำนี้แหละ) “

และการที่ผู้หญิงจะมี “ผัว” สักคน มันเป็นการเสียสละหลายๆ อย่างในสังคม ค่ะ เสียโอกาสหลายอย่าง ลดความเด่นในหลายเรื่องลงไป
เหตุเพราะมี “ผัว” แล้วนี่แหละ ...

ทั้งๆ ที่งานก็มาตรฐานเดิมทุกอย่าง ... อันนี้เรื่องจริง และยังมีอื่นๆ อีกหลายเหตุผลนะคะที่ผู้หญิงเราต้องเสียไปหลังการแต่งงาน!

แต่คุณว่าที่สามี ณ ขณะนั้น ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ป้าลียอมใส่แหวนแต่งงาน ก็เลยเป็นเหตุในการสรรหาเพชรนี่แหละค่ะ

เพชร มีหลายเกรด อย่างที่เรารู้กัน อธิบายคร่าวๆ ได้ว่า ถ้าเพชร หนึ่งกะรัต(ที่น้ำงามเข้าตาหน่อย) ราคาจะอยู่ระดับ สามแสนขึ้นไป จนเป็นล้านก็มี

ทั้งๆที่น้ำหนักก็หนึ่งกะรัตเท่าเดิมนี่แหละ เพราะว่า เพชรแต่ละเม็ดแม้จะน้ำหนักเท่ากันแต่ ระยิบระยับไม่เท่ากัน ใสไม่เท่ากัน และตำหนิต่างกัน หรือกระทั่งเพชรบางเม็ดเป็นฝ้าด้วยนะเออ(สงสัยไม่ได้ใช้ครีมกันแดด) 

หรืออ้วน หรือสูงต่างกันอีก หรือ มีใบเซอร์ กับไม่มีใบเซอร์ราคาก็ต่างกันอีก

และ เหตุผลอื่นๆ ก็มีแต่เป็นรองๆลงไป เช่น มีใบเซอร์ฯ นะ แต่ต่างสถาบันกันอีก


นั่นแหละหลายๆ สาว จึงเป็นงงเพราะเคยรู้มาว่า เพชรหนักหนึ่งกะรัต ราคาสามแสนกว่า แต่มีสาวมาแวกแนวบอกว่าของชั้น แปดแสน ถูกนินทาเลยงานนี้ หาว่าขี้โม้มั่งล่ะ โอ้อวดมั่งล่ะ แต่ไม่ได้ไปถามนะว่าทำใมแพงกว่ากันหลายเท่า (ไม่ถาม แต่เอาไปนินทาไง อิอิ)


เอาล่ะ รายละเอียดแบบไม่ลึกก็คือ เพชรจะถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับ (คุณสมบัติ 4c’s)

1.ซีตัวแรก คือ Color สีของเพชร D E F G H โดยที่สี D =น้ำที่ 100% ส่วนสี E ก็คือ น้ำ 99 และ F =98 (โดยปกติเพชรทั่วไป บ้านเราใช้ 97% ก็คือสี จี ก็ถือว่างามมากแล้ว ถ้าไปซื้อสี ดี ราคาก็กระโดดไปอีกหลายแสนเลยทีเดียว แต่ได้น้ำหนักเท่าเดิม)


2.ซีตัวที่สอง ก็คือ Clearity เช่น สะอาดแค่ใหน มีตำหนิแบบใหนบ้าง(ตำหนิบางอย่างมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ชื่อที่เรียกการวัดความสะอาดก็คือ VVS1 ที่สะอาดมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นรอยตำหนิ

หรือ VS1 ที่ก็มองไม่เห็นรอยตำหนิด้วยตาเช่นกันแต่แพงน้อยกว่า VVS1 และอีกอันที่นิยม คือ SI1 ตัวนี้จะมองเห็นรอยตำหนิด้วยตาเปล่าแต่น้อยมากกกก และราคาก็ย่อมเยาลงมา

(ตัว SI1 จะน่าซื้อสุดเพราะว่าถูกและยังดูสวยอีกด้วยเพราะมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็นตำหนินั่นเอง)
ป.ล. นอกจากที่ว่ามาก็จะมี VVS2,VS2 และ SI2 อีกด้วย ที่ราคาจะถูกลงมามากว่าระดับ 1 นั่นเอง
และชื่อที่วัดความสะอาดยังมีอีกหลายชื่อ แต่ป้าลีเสนอแค่นี้ ค่ะ


3.ซีตัวที่สาม คือ Cut การเจียระไน หน้าตัดของเพชร เหลี่ยมเพชร (หน้ากว้างเท่าไหร่ หรือหน้าแคบแต่ลึกลงไป ก็คือ อ้วนหรือสูง นั่นเอง อันนี้ป้าลีเรียกเองค่ะ)

การเจียระไนเพชรจะโชว์ใน ใบเซอร์ว่า Excellent นี่คือ คุณภาพการเจียระไนเริ่ด ราคาก็จะแพงขึ้น เพราะเพชรสวยแต่เจียระไนไม่เริ่ด ความสวยของเพชรก็ลดลงไป นั่นเอง

ป.ล. คำว่าหน้าตัดของเพชร หมายถึง ส่วนหน้าของเม็ดเพชร ถ้ากว้างก็แพงขึ้นหน่อย เพราะดูสวยและหลอกตาว่าเป็นเพชรใหญ่ ทั้งๆที่ก็น้ำหนักหนึ่งกะรัตเท่ากันกับอีกอัน(พูดแค่หนึ่งกะรัตนะคะ ถ้าสองกะรัตหรือมากกว่าป้าลีไม่แน่ใจเรื่องหน้ากว้าง)  

แต่ถ้าหน้าแคบกว่า เผอิญน้ำหนักลงไปหนักที่ตูดของเพชร ประมาณนั้นราคาอาจจะถูกลงได้ 

เพชรที่มีใบเซอร์ฯ เท่าที่ทราบจะมีการเลเซอร์ตัวเลขเพื่อบ่งบอกรหัส เลเซอร์ตัวเลขลงไปที่มุมตัดวงกลมรอบวงของเพชรแต่มองด้วยตาไม่เห็น ต้องใช้กล้องส่อง

และตัวเลขนั้นจะโชว์ในใบเซอร์ฯ ด้วยว่า ตัวเพชรเม็ดนี้ตรงกันกับใบเซอร์ฯ อันนี้หรือไม่ นั่นเอง


4.ซีตัวที่สี่คือ กะรัต Carat น้ำหนักนั่นเอง ในหนึ่งกะรัต มี 100 สตางค์ค่ะ ถ้าเพชรเล็กกว่าหนึ่งะรัตก็จะเรียกกัน

เช่น

75 สตางค์ หรือ ห้าสิบสตางค์ ซึ่งราคาก็จะถูกลงตามไซด์ นั่นเอง

สรุป เพชรหนึ่งกะรัต ถ้าสี ที่D (100%) ความสะอาดที่ VVS1 เจียระไน Excellent มีใบเซอร์ฯ เล่นไฟระยิบเตะตา  และหน้าตัดกว้างอีกด้วย ราคาสุดๆ เลยล่ะ  ราคาอาจเฉียดล้านได้ หรือ เจ็ดแปดแสน  เพราะว่า

เอาแค่หนึ่งกะรัต สี 97% ความสะอาด SI1 ไม่มีใบเซอร์ แต่เล่นไฟระยิบ คือสวยเด่น แค่นี้ก็ ประมาณ สี่แสนแล้วค่ะ

น้อยคนนักจะไปเล่น สีที่ 100% เพราะจะแพงโดยใช่เหตุ (ส่วนตัวป้าลีคิดว่า ถ้าไม่เอาเพชรมาเทียบกันจริงๆ แทบมองไม่ออกด้วยซ้ำ ระหว่าง เพชร สี D (100%) หรือ สี G (98%) เพราะมันต่างกันน้อยมาก


มากันที่ใบเซอร์ฯ บ้าง ใบเซอร์ บ้านเราก็มักจะบอกว่า “มีใบเซอร์ค่ะ แต่เป็นของทางร้านนะคะ” ก็คือสรุปว่าไม่มีน่ะแหละเพราะทางร้านเค้าออกใบเองก็คือเค้าเขียนเอง

ไม่ได้ มีใบรับประกันจากสถาบันรับรองของโลก เช่น GIA,IGI,EGL หรือสถานบันอื่นๆ

บ้านเรา หลายคนคิดว่า ขอให้มีใบเซอร์ GIA เป็นว่าอุ่นใจ จริงๆแล้ว ใบเซอร์ฯ นี้ ของยี่ห้ออื่นก็เชื่อถือได้ค่ะ อยู่ที่คุณสมบัติของเพชร  แถมราคาถูกกว่าจีไอเอซะอีก    ขอให้พิจารณาตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน
เพราะเวลาเราใส่แหวน เราไม่ได้เอาใบเซอร์มาแปะหน้าผากไว้ แต่เราเอาแหวนมาใส่ที่นิ้วต่างหาก


เราสองคนหาแหวนที่ร้านในกรุงเทพฯ แต่ด้วยเนื่องว่ามีเวลาน้อย ก็เลยวิ่งหาดูได้บางส่วนแค่นั้นเอง

ร้านที่เซ็นทรัลพลาซ่าไปดูทุกร้าน (ไม่ผ่านตาเลย) จะไปหาที่บ้านหม้อ ก็ไม่ไหวค่ะ เวลาไม่พอ ก็ไปดูกันอีก ที่แถวๆ ที่พัก ก็คือสีลม

และถามแท็กซี่... ซึ่งไปเจอวงการท่านพอดีเลย.. เค้าเป็นคนขับแท็กซี่ที่ขายของเก่งมาก เค้าออกตัวเลยว่าเค้าขับแท็กซี่เพราะว่าเป็นงานที่สอง

เค้าจะมาขับแค่ช่วงหลังเลิกงานเท่านั้น และเค้าก็บอกว่า ถ้าจะหาร้านเพชรจริงๆ ผมก็พอจะรู้จักบ้างแต่ผมไม่รับปากนะ เพราะไม่ใช้งานหลักของผม

แต่มีลูกค้าเรียกไปบ่อยๆ ว่าร้านเพชรโซนนี้ จะเป็นร้านนี้แหละที่เวิร์คสุด

เค้าก็พาเราไป ร้านนี้..




ตามที่เห็นในรูป ไปถึงเราเดาออกแล้วแหละ ว่าเป็นแหล่งพานักท่องเที่ยวมา......นั่นเอง


ทางร้านหาน้ำมาให้ดื่ม เราก็จับๆ แล้วแตะ แต่ไม่ดื่ม เกรงว่าจะมีไรในน้ำ อิอิ (คิดเหมือนในหนังไง)
แล้วเค้าก็หาเพชรมาให้เราดู ซึ่งเราก็ดูไปบ้างตามมารยาท แต่ตอนนี้จะหาจังหวะออกแล้วแหละ เพราะเสียเวลา

แต่ข้อมูลที่ได้ก็คือ เพชรออกเหลือง(ในสายตาของป้าลี) และราคากระโดดไปสองเท่าตัวจาก ร้านเพชรอื่นๆ ที่เราได้ตระเวณหาดูกัน
(ไปดูที่สยามพาราก้อน และประตูน้ำ ด้วย อันที่จริง นึกถึง รามคำแหงแต่ไกลเกิน)

ก็เลยขอตัว... ปรากฏว่า คนขับแท็กซี่ยังอยู่ อ้างว่าพอดีขอตัวเข้าห้องน้ำ ก็เลยยังไม่ออกไป.. จะรอค่าคอมมิชชั่นมากกว่าล่ะป้าลีว่า


ก็เลยไปเจอร้านเพชร DD เจมส์ ในเซ็นทรัล ศาลาแดง (ตั้งใจไปเข้าห้องน้ำ แต่ไปเจอโดยบังเอิญ ) ที่ร้านไม่ใหญ่มาก แต่สินค้าก็เต็มร้านแหละ แฟชั่นใหม่ๆ สวยเก๋ ป้าลีเห็นแล้วก็ชอบแฮะ.. ก็เลยไปขอดูสินค้า

ไปครั้งแรก เจอหลานสาวเจ้าของร้าน สองคน พูดภาษาอังกฤษได้ดี ก็เต็มใจให้เราดูสินค้า(ปกติก็เป็นแบบนั้นดูแล้ว)

แต่เค้าน่ารักกว่านั้น คือ (เรามีราคาในดวงใจ) เราขอต่อราคาได้แบบที่กันเองมากๆ(ด้วยความที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านเพชร ก็เลยมีราคาในดวงใจที่ค่อนข้างต่ำ)  ทางร้านรับซื้อคืน แต่หัก 10% และถ้าเปลี่ยนไม่ชาร์จ

ตอนแรกเราซื้อมาก่อน สองวง ของผู้ชายกับของป้าลีเอง ตอนนั้นหาเพชรหนึ่งกะรัตในราคาในดวงใจไม่ได้ 

ก็เลยเอา ห้าสิบสตางค์มาก่อน เพราะต้องใช้ในวันแต่งงาน แล้วค่อยกลับไปเปลี่ยนใหม่ ก็เลยได้แบบนี้มา เธอมีนามว่า “หญิงเล็ก” (ซ้ายมือ)




และระหว่างก่อนถึงวันแต่งงาน เราก็พากันตระเวณหาดูร้านเพชรในเฮลซิงกิ ซึ่งหายากมากถ้าถามถึงหนึ่งกะรัต (ราคาจะประมาณ 12,000-16,000 ยูโร ในสีที่ จี (97%) ก็ประมาณ ห้าแสนอ่ะนะ)
เราสองคนก็เลยขอบายละกันเพราะราคาโหดเกินไป


จนในที่สุดก็มาเจออันนี้เธอมีนามว่า “มิสคัลเลอร์ดี” .....






มียิงเลเซอร์ตัวเลขด้วย(มีใบเซอร์) เป็นเพชรมีตำหนิที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
และสีที่ D หนึ่งกะรัตที่เราอยากได้ และในราคาที่เรารับได้ด้วย (อันนี้สำคัญมากเพราะว่ามีผลทางใจ)
ที่ราคาไม่กระโดดเพราะว่า การเล่นไฟไม่เต็มที่ของเธอนั่นเอง




สีที่ 100% ความสะอาดหน้ากว้างอะไรได้หมด ยกเว้นการระยิบระยับ ไม่ถึงกับสวยเหมือนหญิงเล็ก จากร้าน DD เจมส์ ที่เปล่งประกายสวยงามมาก



มิสคัลเลอร์ ดี กับ หญิงเล็ก ประชันความงามกัน... จะสังเกตุว่า สีไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ในของจริงป้าลีลองดูคนละครั้งด้วยตาเปล่า.. ยอมรับว่าไม่แตกต่างกันเลย


พอวันเอาหญิงเล็กไปคืน และไม่ได้เปลี่ยนแต่อย่างใด แต่ทางร้านก็ยังบริการดีมากไม่ได้พยายามบิดเพรี้ยวอะไรเลย รู้สึกประทับใจมาก

และเพชร ดีดีเจมส์ ยอมรับว่า เพชรสวย ขาว ใส วาว (ก็ตระเวณหาดูมาเยอะอ่ะนะ เลยเปรียบเทียบได้)

สุดท้าย ป้าลีก็เลยใจอ่อน ตกหลุมรัก สร้อยคอจี้น่ารักๆ ติดมือมาอีกอันซะงั้น

ก็เจ้าของร้านน่ารักอ่ะ (คราวนี้เจอน้าสาวคนที่เป็นเจ้าของร้านพร้อมกับหลานสาว ... ป้าลีขอชมด้วยใจว่า ครอบครัวนี้น่ารักมาก)



มิสคัลเลอร์ ดี กลางแดด จะเห็นว่า สีเธอใสมาก แม้กล้องจะถ่ายจากมือไม่อาชีพก็ตาม และการถ่ายรูปเพชรหรือจิวเวอรี่ให้สวยเป็นเรื่องที่ทำยากมาก เพราะมันต้องเล่นแสง  แต่ป้าลีก็ทำได้แค่นี้แล้วแหละค่ะ 



Create Date : 19 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 20:12:06 น. 0 comments
Counter : 3056 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Lee Jay
Location :
Nurmijärvi,Vantaa,Helsinki Finland

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 143 คน [?]




ชื่อ ลี ค่ะ เป็นป้ารุ่น เกือบ เลขที่ 5 เข้าทีมวัยรุ่น
ไม่ได้อัดบล็อกเกือบ 3ปี

pub-3852458659373246
New Comments
Friends' blogs
[Add Lee Jay's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.