The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

-

Suddenly, i
Have a feeling
That it's ok
To know nothing

Actually
Nobody
Knows
Anything

They just pretend that
They know
Because it is easier
And better
For the ego




 

Create Date : 26 เมษายน 2558    
Last Update : 26 เมษายน 2558 23:37:49 น.
Counter : 789 Pageviews.  

-

จู่ๆ ก็นึกถึงอาจารย์ที่ปรึกษาตอน ป.โทขึ้นมา อาจารย์เพิ่งเสียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว


สิ่งที่นึกขึ้นได้ คือตอนที่ทำธีสิส หลังจากติดอยู่นาน จู่ๆ ตูก็ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อใหม่ ซึ่งทำให้เป็นเรื่องเป็นราวเล็กน้อย และถูกอาจารย์หัวหน้าภาคเรียกไปคุย

ตอนที่เรียกไปคุย ตูออกไปทางมึนๆ งงๆ และไม่มีข้อมูล (คือคิดเปลี่ยนแต่ไม่ได้อ่านทฤษฎี) อาจารย์ถามอะไรจึงตอบไม่ได้ ทีหลังอาจารย์หัวหน้าภาคได้ไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่าเด็กคนนี้แปลกๆ ดูไม่ค่อยมีสติปัญญา  อาจารย์ที่ปรึกษาจึงมาบอกแกกลับไปว่า เด็กคนนี้ฉลาด ที่จริงถ้าขอทุนอานันท์ก็อาจจะได้... (และแกก็มาบอกตูว่าอย่างนี้ พร้อมกับถามทำไมเจ้าไม่อ่านข้อมูลก่อนไปคุยคะ)

ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็เป็นความมักง่ายของตูเอง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ยามที่นึกขึ้นมาได้ก็จะนึกขอบคุณอาจารย์ อาจารย์เห็นตูมีคุณค่า 

การที่คนอื่นเห็นคุณค่าของเราเป็นเรื่องที่ดีมากนะ ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะทำอย่างนั้นได้ ตูซึ่งเป็นคนเหม่อลอยอืดทืด สับสนในตัวเอง คิดมาก อยู่ในหัวมากกว่าอยู่ในโลกจริง ตั้งแต่เด็กมาก็ถูกให้ค่าว่าเป็นคนใช้ไม่ค่อยได้อยู่หลายปี (ในสายตาของครูบาอาจารย์หลายๆ คน...ซึ่งแกก็ไม่ผิดอะไร) ดังนั้นคนไหนที่เห็นค่าของตู ตูจึงรู้สึกขอบคุณ

สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อธีสิส เรียนจบมาได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจแวดวงวิชาการนั้นอีก แม้มีอาจารย์บอกให้ทำงานวิชาการก็ขี้เกียจทำและไม่อยากทำ เพราะในสายตาของตัวเองมองว่ามันเป็นสถานที่อันแออัดคับแคบ (ในบางความหมาย) เป็นที่ที่ยากจะใช้เซนส์ และในบางความหมายอีกนั่นแหละ ก็เป็นหอคอยงาช้าง ซึ่งเอาเข้าจริงบางทีตูก็สงสัยว่าไอ้ที่พยายามหรือถกกันมัน "มีประโยชน์" แค่ไหน ความรู้สึกนี้รุนแรงมากตอนที่ทำธีสิสกับนิยายเรื่องหนึ่ง ทั้งที่ตูรู้สึกว่ามันเป็นนิยายที่โอเค เขียนโอเค และมีแมสเสจโอเค แต่เพราะมันไม่มีความ "ไม่โอเค" ในเชิงเพศสภาพและการเมือง (ไม่มีความ "เท่าเทียม" ผู้หญิงมีทัศนคติลบกับความเป็นหญิง) อาจารย์จึงบอกให้ตูชี้จุดที่ "ใช้ไม่ได้" พวกนั้น เสียจนเรื่องกลายเป็นห่วยแตกยับเยิน ส่วนเรื่องที่ตูเองรู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกและใช้ไม่ได้ กลับเป็นเรื่องที่ "มีวาทกรรมอันถูกต้อง"

มันถูกเหรอวะ

แน่นอนว่าความคิดว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ก็เป็นการให้คุณค่าของตูเอง และเป็นทัศนคติของตูเอง 

สุดท้ายสิ่งที่ตูเองเห็นว่าสำคัญ ก็คือน้ำใจของคน การให้คุณค่ากับมนุษย์อื่น แบบนี้มั้ง การที่ใครสักคนมองว่าตูมีคุณค่า ตูก็ยังคงแสวงหา "ความหมาย" บางอย่างต่อไป

...

นี่ทำให้นึกถึงครูตอนมัธยม ตอนนั้นมีการแข่งขันความรู้เชิงสังคมศาสตร์รายการสำคัญ ชื่ออะไรจำไม่ได้  แน่นอนว่าคนที่เข้าแข่งก็ต้องเป็นตัวเก่งๆ ที่ครูมองว่าเก่งมาตั้งแต่ต้น

สุดท้ายเพราะอะไรจำไม่ได้ ครูก็เกิด recognize ขึ้นมาว่าตูเก่งเรื่องนี้ แต่มันช้าไปแล้ว แกจึงถามใส่หน้าตูว่า ทำไมตอนที่คัดตัวจึงไม่เสนอตัวเอง

ตูมึนเมามาก อ้าวเหรอ ตูต้องเสนอตัวด้วย ตูนึกว่านอกจากคนที่เข้าแข่งได้ คนที่เหลือเป็นพลเมืองชั้นสองที่ "ไม่มีสิทธิ์แข่ง" ซึ่งครูไม่สนใจ

และตูก็ยังคิดจนถึงเท่าทุกวันนี้ว่ามันเป็นหน้าที่ครูด้วยหรือเปล่าวะ ที่จะ "เห็น" ว่าคนไหนเก่งหรือไม่เก่ง ไอ้คำพูดว่าทำไมเมิงไม่เสนอตัวนี่มันไม่ยุติธรรมไปหน่อยเหรอวะ

แต่ครูก็เป็นแค่คนเท่านั้นเองน่ะนะ ป่านนี้แกคงลืมไปแล้ว  มีแต่ตูนี่แหละที่ยังจดจำเรื่องสมัยพระเจ้าเหาตอน ม.ปลายไปทำซากอะไร ผ่านมาจะยี่สิบปีแล้ว สุดท้ายก็เป็นปมในใจของตูเอง




 

Create Date : 22 เมษายน 2558    
Last Update : 22 เมษายน 2558 17:16:41 น.
Counter : 784 Pageviews.  

-

บางทีก็คิดว่า ตูอ่านแต่หนังสือมากเกินไปแล้ว


จริงๆ ไม่ควรจะคิดสินะ เพราะควรจะทำเลย เช่นถ้าคิดว่าอ่านหนังสือมากไป ก็ควรจะไป "ทำ" อะไรได้แล้ว

แต่จริงๆ การอ่านหนังสือก็เป็นความสุขนี่นะ และทำไมล่ะ ทำไมเราต้องกะเกณฑ์ให้ตัวเองเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น

หรือว่าจริงๆ แค่อยากอาศัยอยู่ในเซฟโซน

...

ข้างบนนี้เป็นเสียงในหัว (ที่เรียลมากเพราะได้ยินจริงๆ อยู่เสมอเวลาจิตตก)

เสียงในหัวเป็นสิ่งที่วุ่นวายมาก เสือกฉิบหาย นอกจากนั้นถ้า "แก้ไข" ปัญหานี้ได้แล้ว  ก็จะหาปัญหาใหม่มาบ่นต่อ  คนเรามีปัญหาเยอะแยะ  ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่  ต่อให้ไม่มีปัญหา มันก็จะบอกว่า "มึงไม่มีปัญหา มึงต้องมีปัญหาแน่ๆ" ...จากนั้นถ้าไม่ตั้งสติให้ดีๆ  ตัวเราก็จะคิดว่าตูมีปัญหาแน่ๆ (ดันเชื่อมัน) 

นี่เป็นสิ่งที่รู้มาพักหนึ่งแล้ว

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรกับมันได้  เพราะการรู้ก็ไม่ใช่การเข้าใจอยู่ดี

สิ่งที่พยายามทำตอนนี้คือทำนิ่งๆ ไว้ ดูมันเหมือนดูแมวข้างบ้าน  แต่เป็นแมวที่ทำให้ไม่สบายใจนิดหน่อย  เคยสังเกตไหมว่าเสียงในหัวจะมีผลกับร่างกาย (หรือคนอื่นไม่เป็น) อย่างเช่นตูนี่แหละ เวลาเขียนไม่ออก (ปัญหาประจำ) จะครั่นเนื้อครั่นตัวมาก ในจะอยากหนีไปจาก "ตรงนี้" อะไรประเภทช่วยให้กรูลืมๆ มันทีได้ไหม พอถึงจุดนี้ก็จะเริ่มเข้าใจเลยว่าทำไมนักเขียนบางคนถึงติดเหล้าติดยา ไปจนถึงติดกาแฟ (ตูว่าตูไม่ติดกาแฟนะ เพราะถ้าหยุดไปวันสองวันก็ยังเฉยๆ แต่ในฐานะที่กินอยู่แทบทุกวัน อาจจะถือว่าติดก็ได้)

บางทีข้อมูลนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่พูดซ้ำๆ บ่อยแล้วก็ได้  คือในบล็อคนี้ก็มีหลายเปอร์เซ็นต์ที่พูดเรื่องนี้แหละ  แต่ทำไงได้ ก็มันเป็นชีวิต เป็นสิ่งที่สัมผัสอยู่  และเป็นสิ่งที่เห็นว่าเป็น "ปัญหา" (หมายความว่าอาจจะมีปัญหาอื่นๆ แต่เผอิญยังไม่เห็นว่าเป็นปัญหา)

พอมีปัญหาก็ต้องอยู่กับมัน มองมันไป

...

ช่วงนี้อ่านเรื่องความแก่กับความตายไปเยอะด้วย

ทำไมน่ะหรือ ไม่ได้หดหู่หรอกนะ แต่ก็ยังไม่ "เข้าใจ" อะไรด้วย

หมายถึงต่อให้รับทราบคอนเซปต์บางอย่าง แต่ถ้าตัวเองเจอคนแก่มากๆ ที่ทุพพลภาพ หรือคนใกล้ตาย ก็ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นคนกล้าหาญหรอก  คาดว่าคงกลัวและหนีออกมาจากตรงนั้นด้วย  เพราะก็เป็นอย่างนี้ (จากนั้นเสียงในหัวก็จะ chastise ตัวเองว่าเมิงอ่อนแอเสียจริง) คือเป็นคนมีปัญหาตรงนี้ไง ไม่สามารถทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างอุดมคติได้  

ว่าไปแล้วก็ไม่มีใครเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างอุดมคติได้หรอก อุดมคติมันเป็นค่า mean อันหลอกลวง มีแต่คนที่มีจุดแข็งกับจุดอ่อน เผอิญจุดแข็งของทางนี้ไม่อยู่ตรงนี้

แต่สุดท้ายก็ยังอยาก "เข้าใจ" อยู่ดี ก็เลยพยายามอ่าน  เพราะคอนเซปต์บางอย่างเข้าไปสัมผัสโดยตรงแล้วเสียงในหัวมันอื้ออึงเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้  อยากจะเข้าใจความตาย ความแก่อาจจะเข้าใจยากหน่อย อยากจะทำใจให้นิ่งได้กับบางอย่าง  เพราะถ้านิ่งได้ ก็รู้สึกว่าจะดี

ช่วงนี้สนใจเรื่องพินัยกรรมคนเป็น คือสิ่งที่เขียนไว้ตอนยังเป็นๆ อยู่ว่าอยากให้คนข้างหลังจัดการกับสังขารร่างและทรัพย์สมบัติอย่างไร ในกรณีที่ตัวเองบอกไม่ได้แล้ว ณ จุดที่กำลังจะตาย

ถ้าเอาแบบเท่ก็อยากจะยอมเจ็บและตายอย่างมีสติ  แต่เผอิญมี doubt อยู่เหมือนกันว่ากรูจะเท่ไหวไหม (ความเจ็บบางอย่างถ้าให้ทนก็ทนได้จริงๆ นะ แต่อีตอนไม่รู้มันกลัวนี่หว่า) พอมี doubt ก็เลยคิดว่า งั้นช่วยทำให้ตูตายไปทั้งหลับแล้วกัน  แต่ถ้าร่างกายมันไม่มีสิทธิจะฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ก็ช่วยปล่อยตูไป  ถ้าเป็นผักก็เขียนนิยายไม่ได้ อยู่กับคนที่ชอบไม่ได้แล้ว กินอาหารอร่อย กินกาแฟ กินไอติม ทำอะไรที่ชอบก็ไม่ได้  นอกจากนั้นก็คงทำประโยชน์อะไรให้ใครไม่ได้ด้วย ดังนั้นควรจะไป ว่าไปแล้วก็จะได้ไม่เปลืองทรัพยากร

แวบหนึ่งสงสัยว่าเขียนแบบนี้จะเป็น "ลาง" ไหม แต่ลางคืออะไรเล่า แล้วชีวิตของเราคืออะไร ถ้ารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเร็วหรือช้า (ช้าๆ ก็ดี นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ตูไม่ใช่ผู้กล้าพลีกายมาจากไหน) คิดไว้ก็มีประโยชน์ดีเหมือนกัน

ไม่ใช่คิดแค่ว่าจะต้องสะสมตังค์ไว้เผื่อเกษียณแค่ไหน คิดแค่นั้นจริงๆ แล้วอาจจะไม่เวิร์ค เพราะ quality of life มันไม่ได้อยู่ที่ความกลัว (ว่าตูจะป่วย จะต้องใช้เงิน จะอยู่สบายไหม) แต่อยู่ที่มีจุดหมายอยู่ที่ไหนสักแห่ง  ได้ทำอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ

อนึ่ง นี่ก็เป็นแต่เพียง ranting ของคนที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิด บางทีควรว่าดีแต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด ถ้าถึงเวลาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนี้เลยก็ได้  แต่ในเมื่อยังไม่มีโอกาส (และใจจริงจะอยากมีไหม...ไม่รู้ ถ้ามันจะมีมันก็คงต้องมี) ก็เลยได้เขียนอย่างนี้

มาอ่านอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าอาจจะหมั่นไส้ตัวเองแทบตาย




 

Create Date : 18 เมษายน 2558    
Last Update : 18 เมษายน 2558 18:09:40 น.
Counter : 483 Pageviews.  

-

ช่วงนี้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของแมดเดอลีน แลงเกิล คนเขียนเรื่อง A Wrinkle in Time (เป็นหนังสือเด็กคลาสสิกเล่มหนึ่ง สนุกดีและไอเดียบรรเจิดมาก)


หนังสือเล่มนี้ชื่อ Walking on Water เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ faith และ art ที่เขียนเรื่องนี้เพราะคุณแมดเดอลีนแกเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อมั่นคงมากคนหนึ่ง และมีคนพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา แกจึงมาใคร่ครวญด้วยการเขียน

ที่ว่ามีความเชื่อมั่นคงนี้ ไม่ได้หมายความแกเป็นคนปิด ที่จริงแล้วแกเป็นคนเปิดกว้างมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าก็ยังมีหลายๆ อย่างที่เราอาจจะไม่เห็นด้วย  แต่ภาพที่แกเห็นมันก็น่าสนใจดี และมีหลายอย่างที่ตรงกับข้อย หรือเป็นสิ่งที่ข้อยอ่านแล้วต้องคิดตาม

เรื่องหนึ่งที่คิดอยู่เสมอจนถึงเดี๋ยวนี้ คือไม่มีอะไรการันตีเลยว่าเราจะเขียนหนังสือ "ดีขึ้นเรื่อยๆ"

คือถ้าเฉพาะเทคนิคน่ะ เขียนไปเรื่อยๆ มันย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ ได้  แต่ศิลปะบางแขนงมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคนิคและฝีมืออย่างเดียว  มันขึ้นอยู่กับปัจจัยลึกลับบางอย่างด้วย ซึ่งเกี่ยวเนื่องอย่างมากกับอารมณ์ ความคิดจิตใจ ตลอดจนพลังที่มากับเรื่องนั้นๆ  ซึ่งเคยมีใครสักคนเรียกมันว่า "ยอดคลื่น"

และไม่ใช่ว่าคนเราจะอยู่บนยอดคลื่นตลอดเวลาได้  ไม่ใช่ว่าเราจะเขียนเรื่องโซพาวเวอร์ฟูลแล้ว ก็จะพาวเวอร์ฟูลขึ้นไปชั่วกาลนานได้  ในความเป็นจริงคือ มีขึ้นไปแล้วก็มีลงมา

มีบางคนที่ "โชคดี" มียอดคลื่นที่ใหญ่มากๆ เปรี้ยงเดียวเกิดเลย  แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่หลังจากนั้น โชคดีจะกลายเป็นโชคร้าย คือเขียนอย่างเรื่องแรกไม่ได้อีกเลย ไม่ว่าจะทำอย่างไร (เช่นคนเขียนเคนชินก็เป็นตัวอย่างที่ดี) บางคนช็อคไปเลย ทั้งที่ไม่ได้อยากเลิกเขียน ก็กลายเป็น one book author ไปเสียอย่างนั้น ซึ่งทำให้บางคนในจำนวนนั้นกลายเป็นคนขมขื่น เหมือนกับว่าความสำเร็จชั่วชีวิตของกรูคือการเขียนหนังสือหนึ่งเล่ม แล้วที่เหลือมันคืออะไรวะ เศษขยะเรอะ

เป็นธรรมดาว่าคนที่เคยขึ้นไปแล้วย่อมจะอยากขึ้นไปอีก เพราะชั่วขณะที่ได้ขึ้นนั้นมันอร่อย สนุก ได้รับความรักเสมอ แต่แน่นอนว่าชีวิตก็เป็นอย่างนี้ คือจะขึ้นตลอดไปไม่ได้

เราคิดว่าคุณแมดเดอลีนแกก็คงมีชีวิตอยู่กับคำว่า "คนเขียน wrinkle in time" ไปจนตายเหมือนกัน ทั้งๆ ที่แกเขียนมันตอนอายุยี่สิบกว่าๆ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องไหนที่แกเขียนซึ่ง "เหนือ" กว่าเรื่องนั้นในแง่ของ recognition อีก (ไม่ได้หมายความว่าแกเขียนเรื่องดีกว่านั้นไม่ได้ เช่นเรื่อง swiftly tiling planets นั้นเราเห็นว่าดีกว่า wrinkle in time แต่การ recognition ก็ยังคงต่ำกว่า)

เพราะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น จึงมีพีเรียดนึงยาวๆ เลยที่คุณแมดเดอลีนเขียนอะไรไม่ออก คือชื่อเสียงมันทับ ความสำเร็จมันทับ

แต่ต่อมาแกก็เขียนอีกอยู่ดี เขียนเยอะด้วย เขียนไปตลอดชีวิตไม่ได้เลิก และในหนังสือเล่มนี้ที่เราอ่าน แกก็บอกว่าแกตัดสินใจว่าจะวางใจในพระเจ้า แกแค่มีหน้าที่เป็นเครื่องมือ เป็นภาชนะ แกจะซื่อสัตย์กับงานของแก จะทำงานเท่าที่ทำได้ ส่วนพระเจ้าจะให้อะไรมาหรือไม่ให้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัย

นั่นเป็นการวางใจที่ดีนะ เพราะพวกเราก็เป็นคนเท่านั้นเองแหละ เราควบคุมอะไรไปหมดไม่ได้หรอก ยิ่งอยากควบคุมก็จะยิ่งเจ็บเอง เพราะมันใหญ่โตเกินไป นอกจากนั้นการควบคุมก็ไม่ได้ทำให้ได้งานที่ดีด้วย  คือเราควบคุมเทคนิคได้  แต่พลังและ recognition นั้นจะมาเมื่อมันมา ต่อให้เราโฆษณาเก่งมากๆ  แต่ recognition ที่เกิดจากการโฆษณา มันก็ไม่เหมือนกับที่มาจากเนื้องานจริงๆ และตัวเราเองสุดท้ายถ้าไม่หลอกตัวเองก็รู้ดี

ยิ่งแบกไว้ก็ยิ่งหนัก เพราะที่แบกมันก็อีโก้ มันก็คืออดีต มันก็คือความคาดหวังที่บางทีก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงอีกต่อไป  และที่เราทำได้จริง บางทีก็มีแค่ "ทำงาน" เท่าที่ทำได้

(สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า อาจจะต้องคิดเป็นอย่างอื่น เช่นสากลจักรวาลหรืออะไรก็ว่าไป)

...

ข้อยเองก็มีโมเมนต์ที่คิดนะว่า ต่อไปจะเขียนงานที่ได้ขนาดเล่มก่อนนี้ไหม (หลังจากเขียนเล่มที่ตัวเองรู้สึกว่าดีจบ มักจะมีสลัมป์อันยาวนานตามมาเห็นๆ เลย) 

เราก็มีความอยากของตัวเองแหละ อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเขียนหนังสือที่ดีมาก งามมาก สักเล่มในชีวิต  แต่เพราะโลภมาก สิ่งที่อยากได้มากพอๆ กัน ก็คือใจที่นิ่งและสามารถวางอีโก้ไปทำงานได้

บางทีมันอาจจะมาพร้อมกัน คือการขึ้นกับการลง มาไปจนกว่าเราจะเข้าใจ

บางทีเป้าหมายของทั้งหมดอาจจะเป็น "ความเข้าใจ" ตรงนั้นก็ได้  ว่าอย่างไรดี สุดท้ายพวกเราทุกคนก็ทำสิ่งที่วันหนึ่งจะสูญสลายใช่ไหมล่ะ แต่เราทำแล้วเราก็ได้เรียนอะไรบางอย่างไปด้วย

ที่พูดว่าวันหนึ่งจะสูญสลาย ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าหรอกนะ  มันไม่มีอะไรเศร้า  ที่จริงเรารู้สึกว่ามันดี




 

Create Date : 16 เมษายน 2558    
Last Update : 16 เมษายน 2558 16:10:00 น.
Counter : 459 Pageviews.  

-

เนื่องจากทำต้นฉบับจีนไปสองสามเล่ม ช่วงนี้เรื่องที่คิดคือขงจื๊อ


specific อีกหน่อย สิ่งที่คิดคือคำของขงจื๊อที่พูดถึงช่วงวัยต่างๆ ของตัวเอง

เมื่ออายุ 15 ปี ข้าพเจ้าตั้งจิตใจไว้กับการศึกษา 
เมื่ออายุ 30 ปี ข้าพเจ้าสามารถยืนได้ 
เมื่ออายุ 40 ปี ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัย 
เมื่ออายุ 50 ปี ข้าพเจ้ารู้ถึง “บัญญัติแห่งสวรรค์” 
เมื่ออายุ 60 ปี ข้าพเจ้าเชื่อฟัง (ต่อ “บัญญัติแห่งสวรรค์”) 
เมื่ออายุ 70 ปี ข้าพเจ้าสามารถทำความต้องการของจิตใจตนเอง โดยไม่ก้าวล้ำออกนอกขอบเขต(ของสิ่งที่ถูกต้อง) 

(ก็อปข้อความเขามา แต่คิดว่าสำนวนแปลไหนๆ คงไม่ต่างกันนักหรอก)

ลิสต์นี้เห็นครั้งแรกตอนเด็กมากๆ ในการ์ตูนขงจื๊อของไช่จื้อจง ฉบับแปลไทย แน่นอนว่าตอนนั้นอ่านก็เข้าใจเท่าที่สติปัญญาเด็กจะเข้าใจ

พออยู่มาจนถึงตอนนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง ตอนเด็กๆ ที่คิดว่าอายุ 30 แก่มากๆ แล้ว และอายุ 40 ขึ้นไปเป็นสิ่งอัศจรรย์พันลึกกุไม่เข้าใจ พออายุถึงตอนนี้ถึงเข้าใจว่า โลกแม่งเปิดกว้างออกตรงหน้า สิ่งที่ไม่เคยเห็นนี่จะได้เห็นไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด ในระดับความลึกที่ตอนเด็กๆ เคยไม่เข้าใจด้วย

พอคิดอย่างนี้ จึงทำให้รู้สึกว่า ทำไมตอนเด็กๆ เราถึงถูก "ตัดขาด" ออกจากความเข้าใจแบบนี้ คือทำไมเราจึงหลงเชื่อว่าอายุ 30 คือความแก่เฒ่า หรือเป็นเพราะสังคมของเราเทิดทูนความหนุ่มสาว และชิงชังรังเกียจความแก่ชรา (เพราะมันเข้าใกล้ความตายและการเสื่อมสลาย?) 

หรือเป็นเพราะในช่วงวัยขนาดนั้น เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ว่าอายุสามสิบขึ้นไปจะเป็นอย่างไร คือมีองค์ประกอบบางอย่างที่ไม่พร้อม สื่อสารกันไม่ได้ เหมือนอยู่คนละโลกกัน

อาจจะเป็นอย่างหลังก็ได้ เพราะนึกไป ตัวตนสมัยที่เด็กมาก กับตัวตนตอนนี้ก็ต่างกัน แม้จะยังมีรากเดียวกันอยู่ 

คนเราอาจจะ "เกิด" และ "ตาย" หลายครั้งในชีวิต แต่การเกิดและตายไม่ได้หมายความว่าจบ แต่หมายความว่ามีตัวตนใหม่เกิดขึ้นจากตัวตนเก่า

ตอนที่อายุ 20 ปลายๆ จนถึงตอนนี้ เป็นช่วงที่โลกทัศน์เปลี่ยนไปมาก มีการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวดเกิดขึ้น (ในใจ คนอื่นมองไม่เห็นหรอก) จะว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยก็ได้ เพราะมันไม่มีผลอะไรกับคนนอก แต่จะว่าใหญ่ก็ได้ เพราะมันมีผลกับตัวตนของตูทั้งตัวนี่ไง

พอผ่านตรงนั้นมา โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว อะไรที่อยากยึดติดก็ไม่ค่อยจะอยากยึด อาจจะมีสติขึ้นมานิดหน่อย เห็นปมและความโง่งมงายของตัวเองชัดขึ้นมานิดหน่อย  ร่างกายไม่ได้ดีเหมือนตอนเด็กๆ แต่ความเข้าใจ ความรู้สึกว่ามั่นคง และ "ยืนได้" มันก็มาเหมือนกัน

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ตอน 40 50 60 70 จะได้เจออะไร จะเป็นอย่างขงจื๊อไหม

ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอดูกันต่อไป




 

Create Date : 12 มีนาคม 2558    
Last Update : 12 มีนาคม 2558 14:13:42 น.
Counter : 519 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.