-
บางทีก็คิดว่า ตูอ่านแต่หนังสือมากเกินไปแล้ว
จริงๆ ไม่ควรจะคิดสินะ เพราะควรจะทำเลย เช่นถ้าคิดว่าอ่านหนังสือมากไป ก็ควรจะไป "ทำ" อะไรได้แล้ว
แต่จริงๆ การอ่านหนังสือก็เป็นความสุขนี่นะ และทำไมล่ะ ทำไมเราต้องกะเกณฑ์ให้ตัวเองเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น
หรือว่าจริงๆ แค่อยากอาศัยอยู่ในเซฟโซน
...
ข้างบนนี้เป็นเสียงในหัว (ที่เรียลมากเพราะได้ยินจริงๆ อยู่เสมอเวลาจิตตก)
เสียงในหัวเป็นสิ่งที่วุ่นวายมาก เสือกฉิบหาย นอกจากนั้นถ้า "แก้ไข" ปัญหานี้ได้แล้ว ก็จะหาปัญหาใหม่มาบ่นต่อ คนเรามีปัญหาเยอะแยะ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ต่อให้ไม่มีปัญหา มันก็จะบอกว่า "มึงไม่มีปัญหา มึงต้องมีปัญหาแน่ๆ" ...จากนั้นถ้าไม่ตั้งสติให้ดีๆ ตัวเราก็จะคิดว่าตูมีปัญหาแน่ๆ (ดันเชื่อมัน)
นี่เป็นสิ่งที่รู้มาพักหนึ่งแล้ว
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรกับมันได้ เพราะการรู้ก็ไม่ใช่การเข้าใจอยู่ดี
สิ่งที่พยายามทำตอนนี้คือทำนิ่งๆ ไว้ ดูมันเหมือนดูแมวข้างบ้าน แต่เป็นแมวที่ทำให้ไม่สบายใจนิดหน่อย เคยสังเกตไหมว่าเสียงในหัวจะมีผลกับร่างกาย (หรือคนอื่นไม่เป็น) อย่างเช่นตูนี่แหละ เวลาเขียนไม่ออก (ปัญหาประจำ) จะครั่นเนื้อครั่นตัวมาก ในจะอยากหนีไปจาก "ตรงนี้" อะไรประเภทช่วยให้กรูลืมๆ มันทีได้ไหม พอถึงจุดนี้ก็จะเริ่มเข้าใจเลยว่าทำไมนักเขียนบางคนถึงติดเหล้าติดยา ไปจนถึงติดกาแฟ (ตูว่าตูไม่ติดกาแฟนะ เพราะถ้าหยุดไปวันสองวันก็ยังเฉยๆ แต่ในฐานะที่กินอยู่แทบทุกวัน อาจจะถือว่าติดก็ได้)
บางทีข้อมูลนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่พูดซ้ำๆ บ่อยแล้วก็ได้ คือในบล็อคนี้ก็มีหลายเปอร์เซ็นต์ที่พูดเรื่องนี้แหละ แต่ทำไงได้ ก็มันเป็นชีวิต เป็นสิ่งที่สัมผัสอยู่ และเป็นสิ่งที่เห็นว่าเป็น "ปัญหา" (หมายความว่าอาจจะมีปัญหาอื่นๆ แต่เผอิญยังไม่เห็นว่าเป็นปัญหา)
พอมีปัญหาก็ต้องอยู่กับมัน มองมันไป
...
ช่วงนี้อ่านเรื่องความแก่กับความตายไปเยอะด้วย
ทำไมน่ะหรือ ไม่ได้หดหู่หรอกนะ แต่ก็ยังไม่ "เข้าใจ" อะไรด้วย
หมายถึงต่อให้รับทราบคอนเซปต์บางอย่าง แต่ถ้าตัวเองเจอคนแก่มากๆ ที่ทุพพลภาพ หรือคนใกล้ตาย ก็ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นคนกล้าหาญหรอก คาดว่าคงกลัวและหนีออกมาจากตรงนั้นด้วย เพราะก็เป็นอย่างนี้ (จากนั้นเสียงในหัวก็จะ chastise ตัวเองว่าเมิงอ่อนแอเสียจริง) คือเป็นคนมีปัญหาตรงนี้ไง ไม่สามารถทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างอุดมคติได้
ว่าไปแล้วก็ไม่มีใครเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างอุดมคติได้หรอก อุดมคติมันเป็นค่า mean อันหลอกลวง มีแต่คนที่มีจุดแข็งกับจุดอ่อน เผอิญจุดแข็งของทางนี้ไม่อยู่ตรงนี้
แต่สุดท้ายก็ยังอยาก "เข้าใจ" อยู่ดี ก็เลยพยายามอ่าน เพราะคอนเซปต์บางอย่างเข้าไปสัมผัสโดยตรงแล้วเสียงในหัวมันอื้ออึงเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ อยากจะเข้าใจความตาย ความแก่อาจจะเข้าใจยากหน่อย อยากจะทำใจให้นิ่งได้กับบางอย่าง เพราะถ้านิ่งได้ ก็รู้สึกว่าจะดี
ช่วงนี้สนใจเรื่องพินัยกรรมคนเป็น คือสิ่งที่เขียนไว้ตอนยังเป็นๆ อยู่ว่าอยากให้คนข้างหลังจัดการกับสังขารร่างและทรัพย์สมบัติอย่างไร ในกรณีที่ตัวเองบอกไม่ได้แล้ว ณ จุดที่กำลังจะตาย
ถ้าเอาแบบเท่ก็อยากจะยอมเจ็บและตายอย่างมีสติ แต่เผอิญมี doubt อยู่เหมือนกันว่ากรูจะเท่ไหวไหม (ความเจ็บบางอย่างถ้าให้ทนก็ทนได้จริงๆ นะ แต่อีตอนไม่รู้มันกลัวนี่หว่า) พอมี doubt ก็เลยคิดว่า งั้นช่วยทำให้ตูตายไปทั้งหลับแล้วกัน แต่ถ้าร่างกายมันไม่มีสิทธิจะฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ก็ช่วยปล่อยตูไป ถ้าเป็นผักก็เขียนนิยายไม่ได้ อยู่กับคนที่ชอบไม่ได้แล้ว กินอาหารอร่อย กินกาแฟ กินไอติม ทำอะไรที่ชอบก็ไม่ได้ นอกจากนั้นก็คงทำประโยชน์อะไรให้ใครไม่ได้ด้วย ดังนั้นควรจะไป ว่าไปแล้วก็จะได้ไม่เปลืองทรัพยากร
แวบหนึ่งสงสัยว่าเขียนแบบนี้จะเป็น "ลาง" ไหม แต่ลางคืออะไรเล่า แล้วชีวิตของเราคืออะไร ถ้ารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเร็วหรือช้า (ช้าๆ ก็ดี นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ตูไม่ใช่ผู้กล้าพลีกายมาจากไหน) คิดไว้ก็มีประโยชน์ดีเหมือนกัน
ไม่ใช่คิดแค่ว่าจะต้องสะสมตังค์ไว้เผื่อเกษียณแค่ไหน คิดแค่นั้นจริงๆ แล้วอาจจะไม่เวิร์ค เพราะ quality of life มันไม่ได้อยู่ที่ความกลัว (ว่าตูจะป่วย จะต้องใช้เงิน จะอยู่สบายไหม) แต่อยู่ที่มีจุดหมายอยู่ที่ไหนสักแห่ง ได้ทำอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ
อนึ่ง นี่ก็เป็นแต่เพียง ranting ของคนที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิด บางทีควรว่าดีแต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด ถ้าถึงเวลาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนี้เลยก็ได้ แต่ในเมื่อยังไม่มีโอกาส (และใจจริงจะอยากมีไหม...ไม่รู้ ถ้ามันจะมีมันก็คงต้องมี) ก็เลยได้เขียนอย่างนี้
มาอ่านอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าอาจจะหมั่นไส้ตัวเองแทบตาย
Create Date : 18 เมษายน 2558 | | |
Last Update : 18 เมษายน 2558 18:09:40 น. |
Counter : 483 Pageviews. |
| |
|
|
|