The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

เวลาที่โกรธ

เวลาที่โกรธ จะรู้สึกเหมือนมีอะไรในอก อะไรที่หนัก ๆ ที่ขมับจะรู้สึกว่ามีอะไรแรง ๆ อยู่ ที่ไหล่สองข้างจะรู้สึกว่ามีกำลัง ความโกรธรุนแรงมากบางทีจะเหมือนกินกาแฟ คือแบบว่ากินแล้วคึกมาก สามารถกัดคอคนได้

เวลาที่โกรธ จะพยายามเบรคตัวเอง แต่บางทีก็เบรคอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง และบางทีถึงเบรคอยู่ก็โกรธตัวเอง เพราะรู้สึกว่าไม่กล้าหาญ ไม่กล้ากัดคอไอ้คนนั้น อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร ความโกรธที่เย็นลงแล้วก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องด๋อยลงทุกที (มันเย็นแล้วหดตัวว่ะ) ซึ่งหมายความว่าที่จริงแล้ว ความโกรธทำให้สายตาสั้นอย่างยิ่ง และความไม่โกรธจะทำให้สายตายาวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอีกที แม้สายตาจะยาวแล้ว บางทีก็ยังโกรธตัวเอง เพราะโกรธว่าทำไมตูไม่สู้ แต่ตูไม่รู้จะสู้ยังไง และตูไม่ทราบว่าตูตั้งอยู่ในอุเบกขาแล้วจะเป็นที่หัวเราะไยไำพของมันหรือไม่ และการที่ตูมาบอกว่าตูตั้งจิตอยู่ในอุเบกขานี้ ที่จริงแล้วคือการปลอบใจตัวเอง เหมือนอีตาอาคิวในเรื่องของหลู่ซวิ่นหรือไม่ แต่ตูก็เห็นจริง ๆ นี่ว่าถ้ากระทำการตอบมันไป ตูจะมีความซวยกับมันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และเพื่อไม่ให้มีความซวยต่อมันไม่มีที่สิ้นสุด ตูก็จะทำได้สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกที่ไม่โต้ตอบมัน อย่างที่สองคือทำให้มันกลัว

อนึ่ง การไม่โต้ตอบมันนั้นดูขี้ขลาด แต่การทำให้มันกลัว จขบ.ไม่รู้ว่ามันจะไปจบตรงไหม เข้าใจไหม คือว่าถ้าคนเราทำอะไรต่อกันแล้ว ย่อมทำต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด และเรื่องงี่เง่าประมาณเหยียบเท้ากันก็อาจจะไปถึงโรงถึงศาลด้วยเหตุผลที่ว่า แกจงกลัวข้าสิ ข้าสามารถใช้อำนาจราชศักดิ์มาบี้เอ็งได้ แต่ทั้งนี้ จขบ.ไม่ต้องการทำอย่างนั้น เพราะถึงแม้จะใช้อำนาจราชศักดิ์บี้มันได้ จขบ.ก็รู้ว่ามันจะไม่จบลงโดยง่ายอย่างที่คิดเลย เพราะจขบ.ก็จะเสพติดการบี้ชาวบ้าน เสพติดอำนาจ และต่อไปภายหน้าแม้มีคนทำดีหรือไม่ดีต่อจขบ. จขบ.ก็จะเผลอบี้มันก่อนทันทีที่เกิดระคายเคืองขึ้นมา แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การไม่สู้ด้วยประการทั้งปวง ก็ก่อเรื่องด๋อยมากมายขึ้นมาในโลกนี้แล้ว เช่นทำให้คนดี ๆ ไม่กล้าพูด และทำให้คนไม่ดีนอนอืดทืดผึ่งพุงอยู่ตามที่ต่าง ๆ ได้อย่างกร่างเขื่องโข จขบ.ไม่ชอบแบบนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี บางทีคงมีคนอีกมากมายไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี

บางทีคงต้องใช้พลังหมู่จริง ๆ แต่ว่าบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าใครคิดเหมือนเรา ยิ่งเป็นคนดีเท่าไรก็จะยิ่งคิดถึงคนอื่นมากเท่านั้น และวัฒนธรรมเงียบก็จะเกิดง่ายขึ้นเท่านั้นด้วย

ที่จริงเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องงี่เง่าเท่านั้นเอง เป็นความไม่จริง แต่ความไม่จริงมันกัดได้ มันเจ็บจริง จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรกับมันดี เลยมานั่งดูมันอยู่อย่างนี้เอง




 

Create Date : 15 เมษายน 2552    
Last Update : 15 เมษายน 2552 15:41:38 น.
Counter : 1326 Pageviews.  

to she who will always be alright

วันก่อนนี้เจอเพื่อนเก่า จำไม่ได้ว่าเขาเข้ามาแตร์ตอนอนุบาลหรือป.หนึ่ง แต่เอาเป็นว่าเป็นเวลานานแสนนานที่เห็นหน้ากันตอนเด็ก ๆ ถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนสนิท เพราะจขบ.เป็นเด็กแปลก ๆ ที่ยากจะเข้าใจ แม้แต่ตัวตูเองก็ไม่เข้าใจ (กาลเวลาที่ชีอยู่ในดักแด้...ตอนนี้ยังแด้อยู่ไหมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ) แต่ในสมองของจขบ.ได้จัดเพื่อนคนนี้ไว้ว่าเป็นเพื่อนที่ดี

ที่จริงแล้ว สิ่งที่จขบ.จำได้ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับเขาก็คือ คราวหนึ่งตอนไปค่าย ครูให้แก้ปริศนาเชาวน์ ไอ้แบบยักษ์กับคนข้ามฟาก ถ้าฟากไหนยักษ์มากกว่ายักษ์จะกินคน แต่เรือรับได้แค่คราวละสามคนอะไรทำนองนั้น จำได้ว่าคราวนั้น เกมยากชิบเป๋ง ครูเอามาให้ตูทำทำไมวะ และเป็นงานกลุ่ม สรุปหลังจากทำไปจนสติแตกกันหมด ทั้งกลุ่มก็พากันเลี่ยงลี้หนีหายไปทีละคน (รวมทั้งตูด้วย - -') เหลือเพื่อนคนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียว

แน่นอนว่าทีหลังเราย่อมถูกครูด่า แต่เรื่องครูด่าหรือไม่ด่านั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือจขบ.จำภาพของเพื่อนคนนั้นที่นั่งเรียงไพ่ไปมาอยู่คนเดียวไม่ยอมเลิกได้จนตาย ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้ แต่เขาก็ทำ แล้วก็พยายามทำจนสำเร็จด้วย ตอนที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญอีกครั้งวันก่อน ความทรงจำนี้ก็กลับมาอีก คุยกันเรื่องสัพเพเหระ ถามว่าทำอะไรอยู่เป็นยังไงบ้าง (เดี๋ยวนี้เป็นสถาปนิกอิสระ) แต่ที่จริง ในใจจขบ.มีความมั่นใจแปลก ๆ และอยากบอกเขา แต่ก็บอกไม่ได้ เพราะโอกาสมันไม่อำนวย และมันคงแปลกถ้าจู่ ๆ ก็โพล่งออกไปอย่างนั้น

อยากจะบอกว่าในใจเรารู้สึกว่า ไม่ว่าแกจะเป็นอะไรในชีวิต แกก็ต้องไม่เป็นอะไรชัวร์ ๆ เพราะฉันจำได้ว่าแกทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ ที่คนอื่นทิ้งหมดแล้วทุกคน แกทำจนสำเร็จได้ด้วยตัวแกเองคนเดียว

ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกต้องไม่เป็นอะไรชัวร์ ๆ




 

Create Date : 05 เมษายน 2552    
Last Update : 5 เมษายน 2552 22:17:53 น.
Counter : 585 Pageviews.  

เวลาที่พูดว่าลอก

ตั้งแต่อยู่มาจนถึงตอนนี้ มักจะได้ยินคำว่าลอก และ plagiarism บ่อย ๆ ประมาณสองปีหนจะมีเรื่องลอกเรื่องใหญ่ให้ได้ยินสักครั้ง ทุกครั้งจะมีคนพูดถึงการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนและแผ่นผี หลังจากนั้นจะมีการวิเคราะห์วิจัยวิตกวิจารณ์เรื่องลอกและไม่ลอกและขอบเขตของการลอกและไม่ลอกตามมา ประมาณสิบกว่าบทความอยู่เรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ ทุกบทความมักรู้สึกว่าตัวเองได้ชี้ช่องให้เห็นความจริงแลไม่จริงในโลกแห่งการลอกแลไม่ลอกได้ชัดเจนแล้ว (รวมทั้งกาลครั้งหนึ่งตูก็เป็นเยี่ยงนั้นด้วย) แต่สุดท้ายทุกอย่างก็มักจะวนกลับไปที่เดิมอยู่ดีแหละ

มันไม่ได้เริ่มตรงนั้นหรอก สิ่งที่เห็นเป็นแค่ปลายเหตุ สาวหางมันขึ้นไปเรื่อย ๆ รับรองว่าสนุกมาก เพราะมันจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย พลิกเปลี่ยนมุมเสียแล้วก็จะกลายเป็นอีกเรื่องไปได้เรื่อย ๆ ให้พูดมั่วซั่วตอนนี้ อาจจะบอกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมตะวันออกซึ่งไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความเป็นเจ้าของและอัตตา เป็นแนวคิดของตะวันออกซึ่งไม่ผ่านยุคเรเนสซองส์และยุคมนุษยนิยม หรือจะให้บอกว่าเป็นแนวคิดอันลักลั่นของคนชาติหนึ่งซึ่งเดิมก็มีนิสัยหลั่นล้าชอบสบายและหยวน ๆ กันไปอยู่แล้ว หรือจะว่าเป็นแนวคิดของคนในชาติที่สงบสุขเสียจนไม่คิดว่าจะต้องเอาอะไรมากกับชีวิต ไม่ต้องดิ้นรนมาก และไม่ชอบคนที่ทำให้ตัวเองต้องดิ้นรนมากด้วย หรือจะให้บอกว่าเป็นปัญหาของชาติซึ่งรับทุนนิยมเข้ามาแบบงง ๆ และงงว่าตูจะมีชีวิตต่อไปยังไง จำควรที่ตูจะหาเงินมาก ๆ เข้าไว้หรือ จำควรที่ตูจะประสบความสำเร็จมาก ๆ เข้าไว้หรือ เพื่อที่ตูจะได้มีความสุขและมีหลักประกันในชีวิต อย่างนั้นหรือ จำควรที่ตูจะสนใจเรื่องความปลอดภัยส่วนตัวก่อน ส่วนเรื่องการสร้างให้มั่นคงถาวรเพื่อที่จะปลอดภัยในระยะยาวนั้นไม่พึงคิด เพราะคงไม่มีใครมาสนใจแยแสกับตูหรอก เพราะคนบ้านนี้เมืองนี้ดีแต่เห่อกันไป เบื่อแล้วก็ทิ้งก็ขว้าง ไม่มีใครเขาอยากรู้ว่าตูพยายามหรือไม่พยายามอะไรอยู่ทั้งนั้น บังเอิญดังก็ดีแล้ว จะไปแยแสทำไมมี

หรือจะให้เข้าพระศาสนา ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ลอกหรือไม่ลอกก็สิ้นสูญเท่ากัน (แต่อย่าคิดอย่างนั้นเลย เพราะมันเจ็บปวดมาก เราเคยเป็นอยู่นาน มันเป็นทางตัน ทำให้ไม่มีอะไรงอกเงย ไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริงดอก)

พูดไปยืดยาว ที่จริงก็อาจจะไม่มีความหมายอะไรก็ได้ แต่ไหน ๆ แล้วขอพูดเรื่องเทปผีซีดีเถื่อนอีกอันละกัน เรื่องใช้ของเถื่อนดีหรือไม่ดี เราก็ว่าไม่ดี ถามว่าทำไมถึงไม่ดี ไม่ใช่เพราะเงินไม่ตกกับฝรั่งร่ำรวยเจ้าของบริษัท แต่เงินจะไม่ตกกับคนไทยด้วย เงินที่ไม่อยู่ในระบบอันถูกต้องจะไม่นำไปสู่การพัฒนา ถ้าคนไทยทำเกมขึ้นมาแล้วกลายเป็นของเถื่อนในสามวัน เกมไทยจะไม่พัฒนา ความรักชาติไม่ได้อยู่ที่การพยายามรักษา national identity ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงอย่างเดียว แต่คือการพยายามเพิ่มพูนให้ถาวรด้วย และไม่ใช่แค่ว่าพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองเสร็จแล้วก็ไม่ทำด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าเวลามีเรื่องลอกแล้วมาพูดถึงเรื่องของเถื่อนนี้ หมายความว่าอย่าไรหรือ หมายความว่า สูอย่าได้ว่ากล่าวผู้กระทำบาปเลย ด้วยว่าสูเองก็เคยกระทำบาปเหมือนกัน อย่างนั้นหรือ มันหมายความว่ายังไงวะ หมายความว่าแกจงรู้สึกผิด (ใช่แล้ว ฉันรู้สึกผิด) จากนั้นก็เลยปล่อยให้ทุกคนทำบาปทำกรรมกันอย่างแฮปปี้ตกคลั่ก ฝนตกขี้หมูไหล โลกก็อุปี้ลงทุกทีรึไงเรอะ หรือจะให้คิดเรื่องบาปไม่บาปไปจนถึงไหน ถึงขนาดพระศาสนาเชนที่ต้องมีผ้าขาวบางกรองจะได้ไม่สูดสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เข้าไป เหมือนพระบิดาพระมารดาของพระมหาวีระที่ไม่ยอมทำบาปเลยอดอาหารจนตาย หรือตูไม่ต้องกินยา เชื้อโรคน่าสงสารนับสิบล้านจะได้ไม่ตาย

พอเถอะ มันเป็นอจินไตยว่ะ มันทำให้ตัวเองป่วย เกิดระบบคิดป่วย ๆ แล้วคนที่ป่วยจริงก็จะไม่หายด้วย และเราจะบอกให้ คนที่รู้สึกผิดจนไม่กล้าว่ากล่าวใครต่อ ก็คือคนดี ๆ ทั้งนั้น หาใช่คนหน้าด้านหน้าทนหรือคนไม่ดีด้วย ทำไมถึงต้องลงโทษคนดีด้วย แล้วพวกคนดีก็เหมือนกัน ทำไมต้องรู้สึกเหมือนถูกลงโทษด้วย ถ้าตระหนักว่าผิดก็ไม่ทำอีก ถ้าตระหนักว่าทำไม่ได้ มีเหตุปัจจัยอื่น ก็ลดลงไม่งั้นก็พยายามทางอื่น แต่ไม่ใช่กลายเป็นทุกคนก็เลวเหมือนกัน เรามาเลวกันเถอะ พอกันที

เอาเป็นว่าขอขอบคุณคุณคนที่มาเตือนเรื่องของเถื่อนก็แล้วกัน ตูตระหนักแล้ว ต่อไปถ้าเป็นไปได้ตูจะไม่ทำ แต่คนที่ลอกนั้น มันก็ผิดโว้ย ผิดก็คือผิดโว้ย

###

ที่จริงไม่ได้กะเขียนบล็อคเรื่องทั้งหมดนี้หรอกนะ - -'' ที่จริงช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องลอกไม่ลอกด้วย เพียงแต่ตอนนี้จขบ.เปื่อยอาหารเป็นพิษนอนตายอยู่บ้าน เลยรื้อเอาหนังสือมาดู เห็นข้อความของกรมนริศที่ชอบมาก ๆ เลยว่าจะเอามาใส่บล็อค เขียนไปเขียนมาก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ

ส่วนข้อความของกรมนริศ (ซึ่งจขบ.เห็นว่า cool ที่สุดในโลก) ก็มีเนื้อหาอย่างนี้

"บรรดาช่างที่จะลือว่าดีนั้น ได้คิดเห็นเป็นชอบกลหนักหนา เป็นต้นว่าช่างที่ฝีมืออ่อน แม้จะเขียนงูเหมือนกระทั่งเกล็ดและลงสีด้วย แต่ก็ยังพ่ายช่างที่ชื่อเขาลือเขียนด้วยถ่านไฟ แต่พอเป็นรูปอะไรก็ทำให้เป็นเช่นนั้น ก็เห็นว่า ช่างที่ฝีมืออ่อนนั้นถึงจะเขียนอย่างดีด้วยวิธีใด ก็เห็นเป็นงูตายทั้งนั้น ส่วนคนที่เขาแข็งถึงแม้จะเขียนด้วยของที่เลวกว่าก็ชนะ เพราะเหตุที่เห็นเหมือนงูเป็น ๆ ดูดุจว่าจะเลื้อยไปได้ฉะนั้น จึงว่าไม่สำคัญในสิ่งที่เขียน สำคัญอยู่ที่การเขียนอย่างไร"

"คนเขาถือกันว่าฉันเป็นช่างดี แต่จะถูกหรือนั้นไม่ทราบ ตัวเองก็ตัดสินไม่ได้ จะนับว่าเป็นศิลปินหรือไม่ใช่ก็ไม่แน่ แม้คำว่าศิลปะ ก็กลายเป็นเปลือกกายไปก็ได้ จึงใช้ด้วยคำไทย ๆ ว่า "ช่าง" ซึ่งยังไม่มีเปลี่ยนแปลง ช่างดีนั้นพูดกันว่าฝีมือดีแต่ไม่จริงมิได้ ฝีมือจะใช้อะไรได้ต้องว่า ความคิดดี คือความคิดนำมือไป อันความคิดของพวกช่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่เห็นว่าจะต้องทรงองค์คุณเหล่านี้เป็นที่ตั้ง

ข้อหนึ่ง ต้องดูมาก

ข้อสอง จะทำอะไรต้องนึกเอง จะจำเขามาทำ (คือก๊อปปี้) นั้นไม่ควร เพราะจะดีไม่ได้ ถ้าหากดีคนที่คิดเดิมเขาก็เอาไปดีไปกินเสีย ช่างที่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเทวดาเหาะมาแต่ไหน ถ้าหากจะเปรียบแล้ว ก็คือกินของที่เขาทำแล้วเข้าไป แล้วแตกเป็นเหงื่อออกมานี่เองจัดว่าเป็นความคิด

ข้อสาม ความคิดของช่างที่ดีไม่ใช่ดีไม่เสมอทีก็เสีย แต่ต้องจำไว้ว่าเสียแล้วเป็นครู คือไม่ทำอีก คำโบราณก็มีอยู่ว่า "โรคเป็นครูหมอ งานเป็นครูช่าง" คำนี้เป็นถูกที่สุด

ข้อสี่ เขาให้ทำอะไรต้องทำโดยไม่คิดถึงผล นั่นเองจะเป็นผลประโยชน์แก่ตัวเราที่ได้ฝึกทำงาน

ข้อห้า จะทำอะไรต้องเดาน้อยที่สุด ที่ว่าเดาน้อยนั้นก็ต้องดูแต่จะดูก็ต้องเลือก คือถ้าจะทำของประจำบ้าน เราจะต้องดูของไทยในบ้านเรา จะดูแบบสำรวจที่เขาทำมานั้นจะหลง ว่าอย่างง่าย ๆ วัวไทยกับวัวฝรั่งรูปร่างก็ไม่เหมือนกัน เว้นแต่จะทำของในต่างประเทศ จึงควรดูแบบสำเร็จซึ่งเขาทำมา แต่จะรับรองว่าถูกก็ไม่ได้ อย่างก็จะถูก อย่างก็จะผิด"

ที่ชอบที่สุดคือที่บอกว่าต้องกิน (ดูและศึกษา) จนกระทั่งไหลออกมาเป็นเหงื่อ (คือเอาไปทำมาก ๆ จนกว่าจะค้นพบรูปแบบของตัวเอง)

Super, super cool T^Tb




 

Create Date : 31 มีนาคม 2552    
Last Update : 31 มีนาคม 2552 16:26:07 น.
Counter : 440 Pageviews.  

แท็กจ้ะ

คุณสาวไกด์แปะมา

1. ก๊อปปี้คำถามพวกนี้ไปที่โน้ตของคุณ
2. ลบคำตอบของฉันออกไปซะ
3. ใส่คำตอบของคุณเองลงไป
4. หลังจากนั้นจะแท็กเพื่อนกี่คนก็ได้
5. ใช้ตัวพยัญชนะแรกของชื่อคุณในการตอบคำถามต่อไปนี้
6. ต้องตอบเป็นความจริง

###

1. ชื่ออะไร/ เคียว

2. คำสี่ตัวอักษร/ คริคริ

3. ชื่อผู้ชาย/ คาซีมีร์ (เอาพระเอกมาขาย)

4. ชื่อผู้หญิง/ คานาอัน (ชอบแบบไม่มีเหตุผล)

5. อาชีพ/ คาบหนังสือไปอ่านแล้วคายออกมาเป็นหนังสืออีกเล่ม

6. สี/ คาดว่าแล้วแต่อารมณ์

7. สิ่งที่ใส่ไว้บนร่างกาย/ คาดผม คัทชู แคมรี่ (อันสุดท้ายนี่แกถูกทับตายแล้วสินะ)

8. อาหาร/ คางคกพันปีกินเข้าไปถ้าไม่ตายจะมีพลังยุทธสูงส่ง

9. ของที่เจอในห้องน้ำ/ คางคกพันปีตัวข้างบน (อ๋อเจอในนี้นี่เอง)

10. สถานที่/ คางคกพันปีประทับอยู่ตรงนั้น

11. เหตุผลที่มาสาย/ คางคกพันปีกัด

12. คำที่ตะโกนออกมา/ คางคกพันปีกัดข้อยยยยย

13. ชื่อหนัง/ คางคกพันปีอภินิหาร

14. เครื่องดื่ม/ คางคกพันปี'ส บลัด

15. วงดนตรี/ คางคกพันปี'ส ซอง

16. สัตว์/ คางคกพันปี! (ดีใจโคตรที่มาเจอข้อนี้)

17. ชื่อถนน/ โคกคางคกพันปี (ทั้งหมู่บ้านมีถนนสายเดียวมันก็ต้องชื่อเดียวกับหมู่บ้านดิ)

18. รุ่นรถ/ คางคกพันปี VIII (เป็นโฟล์คคันกลม ๆ เล็ก ๆ น่ารักแหละ)

19. ชื่อเพลง/ คางคกพันปี'ส ซอง อัลบั้มแด่ความรัก สายน้ำและตะปุ่มตะป่ำบนตัวตู

20. คำกริยา/ คางคกพันปีing (กริยาใหม่เพิ่งคิดเมื่อกี้ แปลว่าไรไม่รู้)

###

ชีเิพิ่งรู้ตัวว่าลืมกฎข้อสุดท้ายไปแล้วตอนทำเสร็จ แต่ช่างมันเถอะเนอะ

แท็กต่อให้ยุ้ย (เมเปิ้ลสีขาว) ส่วนคนอื่น ๆ ใครอยากเอาไปทำก็เอาเถอะนุ




 

Create Date : 23 มีนาคม 2552    
Last Update : 3 มกราคม 2553 21:12:00 น.
Counter : 380 Pageviews.  

ก็หลายเรื่อง

วันก่อนนี้ได้อ่านเรื่อง Devil's Bride ของพี่กก ตัวเอกของเรื่องมีชาติกำเนิดเป็นว่านปีศาจ ตอนที่ยังเป็นว่านอยู่จะต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งเลือดและเนื้อ ดังนั้นตอนที่ไปเจอ รอบ ๆ ตัวเอกที่ยังเป็นว่านปีศาจนั้นจึงมีลักษณะเป็นพื้นดินแห้งเป็นวงรัศมีเท่าที่ตัวเอกสามารถ "กิน" ได้ ว่าอีกอย่างคือกินรอบ ๆ นั่นจนอย่างอื่นตายหมด และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ กลัวจนไม่ยอมเข้ามาใกล้อีก

ที่จะพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับตัวนิยาย (แต่นิยายสนุก น่าหาอ่าน) แต่เกี่ยวกับสภาพของตัวเอก ตอนนั้นเล่าเรื่องนี้ให้คุณ LMJ ฟัง และบอกว่าตัวเอกนี้ผิดธรรมชาติปรกติมาก ไม่ควรมีชีวิตดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในธรรมชาติได้ เพราะใกล้ความเป็นมนุษย์มากแล้ว หมายความว่าแม้จะเป็นว่านปีศาจ แต่มี "ความโง่" เหมือนมนุษย์อย่างยิ่ง ได้แก่การทำลายระบบนิเวศรอบ ๆ ตัวของตัวเอง เอาจนตัวเองถึงตายได้ กรณีนี้สัตว์และพืชอื่น ๆ ไม่เป็น เว้นแต่ว่าสัตว์หรือพืชนั้น ๆ จะไม่ได้อยู่ในระบบนิเวศของตัวเอง (เช่นกระต่ายที่ถูกเอามาปล่อยในออสเตรเลีย) เพราะการมีชีวิตรอดในธรรมชาตินั้น ไม่ได้มีความหมายแค่ survival for the fittest แต่ยังมีความหมายว่า ทุกอย่างในระบบนิเวศจะต้องเอื้อกันเอง และห่วงโซ่อาหารจะต้องไม่ขาด หมายความว่าถึงแม้จะมีตัวหนึ่งเข้มแข็งและตัวหนึ่งอ่อนแอ แต่ทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอจะต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะพากันตายหมด

พอปากพูดออกไปอย่างนี้ ทำให้นึกได้ว่าในเรื่องแมทริกซ์ภาคหนึ่งนั้น คุณเอเจนต์สมิธเคยพูดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน ดูเหมือนจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตบ้า ๆ อย่างนี้มีแต่มนุษย์กับไวรัสเท่านั้น เพราะทั้งสองอย่างได้เข้าไปทำลาย "ร่างใหญ่" ที่ตัวเองอยู่จนวอดวายหมด พอวอดแล้วตัวเองก็เลยพลอยตายไปด้วย แกเป็นบ้าอะไรของแก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคิดอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหรือ หมายความว่ามนุษย์สูญเสียสันชาตญาณบางอย่างไป (เพื่อแลกกับอะไรอย่างอื่น?) หรือเพราะว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะ "คิดเอง" ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกครอบงำด้วยระบบสันชาตญาณ ซึ่งทำให้ "ฉลาดขึ้น" และ "โง่ลง" ในจังหวะเดียวกัน ก่อนนี้เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Another Way คนเขียนเป็นชาวอังกฤษ เขาทำงานเกี่ยวกับองค์กรเพื่อสันติภาพมาตลอดชีวิต งานที่ทำคือการบรรเทาความรุนแรงของสงครามด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีประสบการณ์ทำนองว่าใช้เวลาเจรจากับผู้นำเผด็จการในแอฟริกาเป็นเดือน ๆ อะไรอย่างนั้น แต่อย่าถามว่าหยุดสงครามได้จริงไหม เพราะในความเป็นจริง สงครามเป็นเรื่องที่พัวพันปัจจัยหลายอย่างมาก สิ่งที่ทำได้และเป้าหมายที่เป็นจริงคือการบรรเทาความรุนแรง พยายามให้เกิดเจรจาแทนที่จะทำให้เกิดการรบ และพยายามสร้างความรู้สึกทางมนุษยธรรม (ซึ่งจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกลัวและหวาดระแวงไม่ได้)

คุณคนอังกฤษคนนี้ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อไปในถิ่นยากจนของเมืองใหญ่แม้ในประเทศที่เจริญแล้ว จะเห็นว่าอาคารบ้านเรือนถูกทำลาย ไฟถนนแตก กระจกแตก มีคนพ่นสีข้อความหยาบ ๆ คาย ๆ ไว้เต็มกำแพง และสาธารณูปโภคใช้ไม่ได้ (เพราะคนในท้องถิ่นทำลายเอง) เขาตั้งคำถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะที่จริงคนที่ทำลายก็คือวัยรุ่นในท้องถิ่น ซึ่งจะต้องอาศัยอยู่ในสถานที่นี้เอง การทำลาย "รัง" ของตัวเองเป็นสิ่งที่สัตว์อื่น ๆ นอกจากมนุษย์ไม่ทำ สภาพจิตแบบไหนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

คุณคนนั้นมีความเห็นว่าเป็นเพราะมนุษย์มีธรรมชาติอยู่สองอย่าง ซึ่งเขาเรียกว่า "ปมปืนเด็กเล่น" และ "ปมเสือดาว" ที่เรียกว่าปมปืนเด็กเล่น เป็นเพราะตอนเด็ก ๆ เขาเองเคยอยากได้ปืนเด็กเล่นอันหนึ่งมาก อยากมากจนกระทั่งคิดว่าขอเพียงได้ปืนอันนี้มา ก็จะไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต ในที่สุดพอแม่ให้แล้ว มีความสุขอยู่ในสักสามสี่วัน ก็เกิดเรื่องทำให้ผิดหวัง ตอนนั้นถึงแม้จะเด็กมาก ก็เกิดตระหนักขึ้นมาว่า ปืนอันนี้ไม่ได้ทำให้ "ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต" นี่นา

ว่าอีกอย่างคือ มนุษย์มีความอยากเฉพาะหน้าในระยะสั้น หรือเรียกว่ามีความฝันเกี่ยวกับความยั่งยืนถาวรแบบฝังรากก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่อง paradox มาก ๆ เหมือนกับการที่เด็กวัยรุ่นทุบห้องน้ำพังเพราะ "กูสะใจ" นั้น ในใจมีความเชื่อลึก ๆ ว่ากูจะสะใจถาวร นี่แลจะนำความพอใจมาให้กูได้ กูจะมีความสุข แต่กูไม่ได้คิดว่าต่อไปกูอยากเข้าห้องน้ำแล้วจะหาที่ไหนเข้า คนเราทำอะไรเฉพาะหน้าเพราะความปรารถนาถาวรอย่างนี้เยอะมาก ว่าอีกที ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมี "ความหวัง" อย่างนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เลยทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ ด้วยกระมัง

ส่วนปมเสือดาวนั้น เขาเล่าเป็นเรื่องว่าสมมุติมีคนคนหนึ่งกลัวเสือดาวมาก ธรรมดาแล้ว สัตว์อื่น ๆ กลัวเสือดาว ไม่ได้กลัวตลอดเวลา คือตอนยังไม่เจอเสือก็ไม่ได้กลัว เจอแล้วจึงกลัว พอเสือไปแล้วก็หายกลัว แต่มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มนุษย์กลัวแล้วกลัวตลอดเวลา มีจินตนาการสูงมาก กลัวทั้งกลางวันกลางคืนจนสามารถเก็บไปฝันได้ จนกระทั่งเสือดาวกลายเป็น "ภัยคุกคาม" ซึ่งถ้าหากไม่กำจัดออกไปแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยต้องทำศึกฆ่ามันจนกว่าจะขุดรากถอนโคนเสือดาวให้หมดไปจากโลกได้ ตูจะได้หายกลัว ตัวเองทำคนเดียวไม่พอก็สอนลูกหลานให้ทำด้วย และทำไปมาก ๆ มีใครสักคนถูกเสือดาวกัดตายจริง ๆ ก็กลายเป็นเครื่องยืนยันว่าเสือดาวน่ากลัวขึ้นมาจริง ๆ อีก ไม่มีจบมีสิ้นกัน

เอามาเล่าอย่างนี้ ก็เพราะว่าเป็นมนุษย์ เรื่องบางเรื่องเหมือนอยู่ไกลตัวมาก แต่บางทีก็กลายเป็นใกล้ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองก็ใช้ชีวิตเหมือนว่านปีศาจ คือว่าไม่ได้ระมัดระวังอะไรหลายอย่าง แต่บางทีพอรู้สึกว่าต้องระมัดระวังมาก ก็รู้สึกว่าหนักมาก เหนื่อยมาก ก็ทำเป็นลืม ๆ เสีย หลั่นล้ากันเถอะ คิดมากไปทำไมมี ชีวิตก็วุ่นวายพออยู่แล้ว

ตอนนี้ก็คิดว่าว่านปีศาจนั่นมันเหมือนมนุษย์มาก มันเลยดำรงเผ่าพันธุ์ต่อมาได้เพราะมีมนุษย์ละมัง (เป็นระบบนิเวศของกันและกัน) พอคิดถึงตรงนี้แล้วก็สงสัยว่าแวมไพร์มีระบบนิเวศหรือเปล่า และสงสัยต่อไปว่าจอมมารในนิยายแฟนตาซีนั้นเข้าใจระบบนิเวศหรือเปล่า อันนี้คงขึ้นกับว่าเป็นจอมมารเรื่องไหน แต่เรื่องไหน ๆ ก็สะท้อนมนุษย์คนเขียนมันขึ้นมาอยู่ดี

###

มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งเขียนบทความไว้ บทความพูดถึงนิยายนิดหน่อย บอกว่าบางทีก็น่าจะเขียนเรื่องที่รู้เป็นนิยาย แต่คิดอีกทีหนึ่ง นิยายไม่มีทางมันส์เท่าเรื่องจริงไปได้ ดังนั้นเลยไม่ได้เขียน ในฐานะเป็นคนเขียนนิยาย อ่านแล้วก็นิ่งไปนิดหนึ่ง แต่ว่าอีกทีคือน้องกับตัวเองนั้นไม่เหมือนกัน และคอนดิชั่นของการทำเขียนนิยาย (รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ในโลก) นั้นอาจอย่างก็เป็นเรื่องต้องรู้ด้วยตัวเอง บางทีทำฉาบฉวยไม่ได้ ต้องทำนาน ๆ จึงจะรู้ได้ด้วยตัวเอง

ก่อนนี้เคยมีคนเรียกไปพูด และหลุดปากบอกคนทั้งห้องประชุมไปว่า ในโลกนี้ คนที่เชื่อว่าการเขียนนิยายเป็นบาป เพราะโกหกเขาเพื่อหากินยังมีเลย คนทั้งห้องประชุมก็อึ้งไป ตูมาคิดทีหลังก็อายมากและรู้สึกผิดอยู่เป็นหลายเดือน เพราะคนในห้องนั้นส่วนใหญ่ย่อมหวังว่าจะเขียนหนังสือ เป็นความสวยงามอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ว่าตอนนี้ไ่ม่ค่อยอายแล้ว กลับคิดว่าก็จริงนี่ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่เก่งจนโพล่งอะไรแปลก ๆ ไป ก็เป็นเพราะพูดไม่เก่ง แต่ที่พูดนั้นเป็นความจริง คนจะทำอะไรต้องรู้ทุก ๆ ด้านของความจริง (ความจริงไม่ได้มีด้านเดียว)

ตั้งแต่แรกมา จขบ.ไม่ได้เห็นว่านิยายเป็น "เรื่องโกหก" ดังนั้นมุมมองจึงต่างจากสองตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นอย่างยิ่ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ปะทะสังสรรค์กับทัศนคติแบบนิยายคือเรื่องโกหกบ่อยครั้ง ยิ่งเป็นคนเขียนแฟนตาซีแล้วยิ่งพบบ่อย เพราะมันเป็นแฟนตาซี คนที่คุยด้วยไม่ได้พูดตรง ๆ ใส่หน้าจขบ.ว่า "โกหก" แต่พูดว่า "มีจินตนาการมาก" และมักจะถามว่าคิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือรู้สึกอย่างไรเวลามีคนพูดว่าแฟนตาซีไม่ใช่ความจริง จขบ.ฟังแล้วก็รู้หรอกว่าในใจคิดอะไร (หรืออาจจะไม่ได้คิดก็ได้ เป็นแค่สคริปต์ที่ต้องถาม)

ความเชื่อว่าเรื่องเล่าเป็นเรื่องโกหกนั้น ทำให้ต้องย้อนกลับไปคิดว่าอะไรคือ "เรื่องจริง" เพราะที่จริงแล้ว ทุกอย่างในโลกก็เป็นเรื่องเล่า เช่น จขบ.เล่าว่าฟังอย่างนี้มา ได้ยินอย่างนี้มา แต่คนอื่น ๆ เล่าเรื่องเดียวกัน อาจจะเห็นอีกอย่างหนึ่ง

ธรรมดา ปราชญ์แต่โบราณชอบพยายามจะหาความจริงที่จริงแท้โดยไม่แปดเปื้อน "ภววิสัย" คือคิดว่าคงมีความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเล่าไปเล่ามาอย่างนี้ เช่น เพลโตก็คิดว่าคงมี "โลกของแบบ" อยู่เป็นแม่นมั่น และอริสโตเติลก็คิดว่าถ้าเก็บตัวอย่างไปมาก ๆ ก็คงจะเห็น "ัลักษณะร่วม" ของของนั้น ๆ (ลักษณะร่วมของหมาคือมีสี่ขา เป็นความจริง) ซึ่งหมายความว่าถ้าฟังจขบ.เล่า ฟังคุณคนนั้นเล่า ฟังคุณคนนี้เล่า ฟังแล้วมารวมกันหมด ก็จะเห็นความจริงส่วนกลางอยู่หนึ่งความจริง เป็นความจริงที่น่าจะเชื่อถือได้

เรื่องเอาความจริงมารวมกัน จนเกิด "ความจริงใหญ่" ขึ้นมานั้น เป็นทางออกที่จขบ.เพิ่งนึกได้สำเร็จ (สำหรับตัวเอง) สำหรับโพสต์โมเิดิร์น หมายความว่าถึงแม้ความจริงทั้งหมดจะเป็นอัตวิสัยก็ตามทีเถิด แต่ถ้าทุกคนช่วยกันเอาตะเกียงของตัวเองมาหมกไว้ด้วยกันในห้อง สุดท้ายมันคงส่องแสงกระจ่างให้เห็นอะไรขึ้นมาได้บ้าง ดีกว่าเหน็ดเหนื่อยทุ่มเถียงว่าตูจริงเอ็งไม่จริง หรือต่างคนต่างจริง ความจริงของแกกับของข้าไม่เหมือนกัน ไม่ต้องมาเสวนากัน บางทีทางออกนี้คงเรียบง่ายไปหน่อย แต่จริง ๆ คิดว่ายาก เพราะความจริงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างก็ยึดติดกับตัวตนของตัวเอง การยอมรับความจริงของคนอื่นเป็นเรื่องกระทบกระเทือนตัวตนมาก เลยไม่อยากจะได้ตะเกียงของชาวบ้านหรอก

ถามว่านิยายเป็นเรื่องโกหกหรือ ก็เป็นความจริงสำหรับคนที่คิดอย่างนั้น และที่จริงก็เป็นหนึ่งใน "ความจริงใหญ่" ด้วย เพราะนิยายก็เป็นเรื่องแต่งขึ้นมา แต่ถ้าุถามจขบ. จขบ.ว่านิยายเป็น "ความจริง" คือถ้าไม่นับส่วนแต่งแล้ว ก็คือความจริงในสายตาของคนเขียน ว่าคนเขียนมองโลกอย่างนี้ และอยากจะแสดงให้โลกเห็นว่าตัวตนของตนเป็นแบบนี้ เขียนนิยายไปนาน ๆ เวลาที่ไม่ติดบล็อค ไม่ทุกข์มาก ไม่กังวลมาก บางทีก็เห็นโลกในตัวของตัวเอง เวลาที่อ่านนิยายของคนอื่น นอกจากเห็นโลกของเขาแล้ว บางทียังเกิด revelation เพราะว่าเรื่องของคนคนเดียวก็คือเรื่องของคนทั้งโลก (และเรื่องของคนคนเดียวก็คือเรื่องคนคนเดียวด้วย) นี่ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะตูจะอ่านนิยายเพื่อซาโตริบรรลุสัจธรรม แต่ความสนุกของคนคนเดียวก็เป็นความสนุกของมนุษยชาติด้วย ความรัก ความทุกข์ สันดานดิบ ก็มีร่วมกัน ดังนั้นถ้าอ่านนิยายของตูสนุกแล้วแกจะมาว่าตูโกหกได้ไง ก็มันรู้สึกเหมือนกัน รู้สึกเหมือนกันก็แสดงว่ามีอะไรร่วมกัน มีอะไรร่วมกันก็แสดงว่ามีความจริงบางอย่างร่วมกัน

เอาเป็นว่าจขบ.ไม่ได้มองว่านิยายมันมากหรือน้อยกว่าชีวิตจริง แต่มองว่ามันก็มันดีถ้าลองก็จะรู้เอง แบบนี้ละมัง




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 0:17:50 น.
Counter : 433 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.