The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

มนตรา: ฮันซูหยิน



นิยายแปลกเรื่องนี้ได้มาจากร้านหนังสือทูโล (www.toulo.com) กำลังเหมาะกับเวลาที่อยากอ่านแนวนี้พอดี

ไอ้ที่เรียกว่า "แนวนี้" นี่เป็นแนวที่ไม่รู้ว่ามีคนตั้งชื่อให้หรือยัง แต่ตามการนิยามส่วนตัว หมายถึงหนังสือซึ่งมีเซ็ตติ้งอยู่ในยุโรปช่วงระหว่าง ศ.17-18 เรียกว่าอยู่ในสมัยกึ่งเก่ากึ่งใหม่ เริ่มเกิดวิทยาศาสตร์ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังอบอวลด้วยบรรยากาศของความลึกลับมนตราที่เหลือเศษตกค้างมาจากยุคกลาง สมัยที่ทุกคนยังคงลองผิดลองถูก ทฤษฏีวิทยาศาสตร์ยังไม่มีอะไรลงตัว และอะไร ๆ ในโลกก็ดูท้าทายไปหมด

เล่มนี้อ่านแค่คำโปรยปกหน้าปกหลังก็ได้ใจ

'..ในกองทัพของพระยาตาก มีหญิงชาวโลซานน์คนหนึ่ง และบนเชิงเทินของกรุงศรีอยุธยามีทหารหุ่นยนต์'

(คำโปรยปกหลังที่อ่านแล้วชวนให้ผิวปาก "วี้ว" ออกมา)

ฮันซูหยิน คนเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นลูกครึ่งจีน-เบลเยี่ยม จัดว่าเป็นนักเขียนผิวสีที่มีชื่อเสียง เรื่อง "มนตรา" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า The Enchantress เป็นนิยายขนาดยาว เล่าเรื่องราวของตัวละครเอกฝาแฝดชายหญิง ผู้เกิดในสวิสเซอร์แลนด์ ใช้ชีวิตระเหเร่ร่อนจากถิ่นเกิดมาอาศัยอยู่ในประเทศจีน (ตรงกับสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง) และต่อไปยังประเทศไทย (ระหว่างช่วงเสียกรุงถึงหมดสมัยพระเจ้าตากสิน) ก่อนจะกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน

สิ่งที่จขบ.ชอบเป็นพิเศษเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้คือความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างตะวันตกกับตะวันออก และอารมณ์ลึกลับตามสไตล์ของนิยาย ตัวเอกของเรื่องทั้งสองคนเป็นตัวแทนของ "ความเก่า" และ "ความใหม่" โดยคนพี่สาวนั้นสืบทอดพลังเวทมนตร์ธรรมชาติสไตล์ยุโรป (หรือเรียกอีกอย่างว่าพลังแม่มด) มาจากแม่ ส่วนแฝดคนน้องชายได้วิชาทำหุ่นกล มาจากพ่อ ดังนั้น "หุ่นยนต์" ในเรื่องนี้จึงไม่ใช่โรบอทหรือแอนดรอยด์ แต่เป็นหุ่นกลทำจากไม้ กระดาษ และเหล็ก ซึ่งยังมีกลไกข้างในเป็นแบบ clockwork อยู่ หรือที่บางทีเรียกกันว่า ออโตมาตอน (automaton พหูพจน์ automata)ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เป็นหุ่นจักรกล จึงยังคงได้อารมณ์ "แบบนั้น" อยู่

บรรยากาศของเรื่อง ตลอดจนรายละเอียดโดยเฉพาะช่วงต้นที่ยังอยู่ในยุโรป และระหว่างเดินทางทางทะเลเพื่อไปจีนนั้น "ได้ใจ" มาก เรียกว่าตอนอ่านเกือบรู้สึกถูก enchanted เอาจริง ๆ (บางทีจขบ.อาจจะหลงใหลมู้ดแบบนี้ง่ายไปหน่อย - -') แต่พอมาถึงเมืองไทย เนื่องจากจขบ.เป็นคนไทยเอง อ่านแล้วเลยไม่ค่อยอิน เพราะถึงแม้คนเขียนจะมีข้อมูลดีมาก แต่ก็ยังมองไทยแบบฝรั่งมอง คือเห็นเป็นชาติ exotic ประหลาด ๆ ที่กึ่งเถื่อนกึ่งเจริญ ตัวละครคนไทยก็แปลก ๆ โดยเฉพาะตัวพระเจ้าตากสินนั้นแปลกที่สุด (แม้ว่าคนเขียนจะกล่าวถึงพระองค์ในแง่ว่าเป็นคนมีสง่าน่าเกรงขาม เป็นผู้นำ และดูมีบารมีก็ตาม)

ด้วยเหตุนี้ ช่วงเมืองไทยไปจนกระทั่งไปถึงจบเรื่อง (ซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกว่าจบไม่ถูกใจเท่าที่ควร แต่ก็แปลกดี) จึงเป็นช่วงที่ไม่ค่อยชอบ ถ้าจะให้คะแนนหนังสือ คงให้ช่วงต้นถึงกลางเรื่องประมาณเก้า ช่วงกลางเรื่องที่อยู่เมืองจีนประมาณแปด ส่วนช่วงท้ายจนจบนั้นให้หก

ถ้ามีใครอยากชิม จะเอาลง LIF นะขอรับ ไม่ได้เพิ่มหนังสือใหม่มานานแล้ว




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:57:37 น.
Counter : 2199 Pageviews.  

คนปลูกต้นไม้ : ฌ็อง ฌิโอโน

เล่มนี้ของสนพ.โกมลคีมทอง มีให้อ่านทั้งเล่มที่นี่

//olddreamz.com/bookshelf/trees/trees.html

(ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงลงทั้งเล่มได้ คิดว่าคงหมดลิขสิทธิ์แล้วหรือสนพ.อนุญาตละมั้ง)

มันเป็นเรื่องของแอลเซอารค บุฟฟิเยร์ คนเลี้ยงแกะ

ผู้ซึ่งอาศัยตัวคนเดียวในทุ่งทุรกันดารในเขตโปรวองซ์ และปลูกต้นโอ๊ควันละร้อยต้น ปลูกอยู่สิบปียี่สิบปี จนทุ่งร้างกันดารไม่มีใครนั้นกลายเป็นป่า กลับเป็นต้นน้ำลำธาร ผู้คนและสัตว์มาอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง

บุฟฟิเยร์ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ มีคนไม่เกินสองคนที่รู้ว่าเขาเป็นคนปลูกป่าทั้งผืน บุฟฟิเยร์ตายอย่างยากจนที่บ้านพักคนชรา เหลือแต่ป่า ที่ทุกคนนึกเอาเองว่าเป็นป่าซึ่งเกิดตามธรรมชาติ

###

มีประเด็นมากมายอยู่ในหนังสือเล่มบาง ๆ เล่มนี้ แต่ประเด็นที่น่าสนใจประเด็นหนึ่งคือ ทั้งหมดที่เล่าในหนังสือนั้น "ไม่ใช่เรื่องจริง" แม้ว่าคนเขียนจะทำเหมือนมันเป็นเรื่องจริงก็ตาม

ฌิโอโนเขียนหนังสือเล่มนี้ตามคำขอร้องของสนพ.อเมริกาแห่งหนึ่ง ในหัวข้อ "เรื่องที่ประทับใจจนลืมไม่ลง" แต่เมื่อเขาเขียนเรื่องนี้ส่งไป ทางบรรณาธิการปฏิเสธจะลงตีพิมพ์ ด้วยเหตุผลว่าไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีผู้ชายชื่อบุฟฟิเยร์ ผู้ปลูกต้นไม้วันละร้อยต้นในทุ่งแห่งบานง หลังจากนั้นไม่นานนัก เรื่องนี้จึงไปลงตีพิมพ์ในนิตยสารโวคแทน

ตอนที่มีคนถามฌิโอโนถึง "ข้อเสีย" ของเขา ฌิโอโนบอกว่า ผมชอบพูดปดเพื่อให้คนสบายใจ ฟังน้ำเสียงทีเล่นทีจริงนั้นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า ฌิโอโนคงพบคนอ่านที่ถอนหายใจว่า "เฮ่อ ไม่ใช่เรื่องจริงนี่หว่า" มามากเหมือนกัน

###

ทินาส่งหนังสือเล่มหนึ่งในชุด Discworld มาให้ ชื่อเรื่อง Hogfather ประเด็นของหนังสือเล่มนั้น ก็คล้ายกับสิ่งที่คิดตอนนี้ คนเขียนพูดว่าบางทีเราต้องยอมเชื่อ "เรื่องโกหกเล็ก ๆ" เช่น เรื่องซานตาคลอส เพื่อที่จะได้สามารถเชื่อเรื่องโกหกที่ใหญ่กว่า เช่น ความยุติธรรม ความดีงาม

ถ้าถามเรา โดยส่วนตัวตอนที่รู้ว่าเรื่องคนปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องจริง เราก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน(ที่จริงน่าจะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วถ้าได้อ่านคำนำ แต่หลัง ๆ นี้เรากลายเป็นอ่านคำนำหลังสุด เพราะบางครั้งเรารู้สึกว่าคำนำมันทำให้รสชาติบางอย่างเสียไป) เหมือนกับมีบางอย่างที่หายไป เหมือนกับเสียดายพลังในหนังสือ ต้องใช้เวลาแป็บหนึ่งถึงจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่า จะว่าไป มันก็ไม่ได้สำคัญที่ "จริง" หรือ "ไม่จริง" เสมอไปหรอก

บางทีมันอาจจะสำคัญแค่ว่าเรื่องนี้มันสะเทือนซางเรา (ว่าแต่ซางมันคือตรงไหน) เขย่าลึกลงไปถึงความหมายบางอย่างในชีวิต

ซึ่งมันทำให้เรานึกถึง Hogfather อีกนั่นละ

นี่นะ ถ้าทุกอย่างมันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ไม่ว่าความยุติธรรม ความดี หรืออะไรก็ตาม ทำไมมันถึงสะเทือนล่ะ

หรือว่าเราถูกเลี้ยงดูมาให้สะเทือน

แล้วทำไมเราถึงถูกเลี้ยงดูให้สะเทือนล่ะ

มีคำถามคำตอบเยอะแยะที่ถ้าคิดต่อไปก็จะต่อไปได้เรื่อย ๆ

แต่เราหวังว่าตัวเองจะไม่ได้คิดเพียงเพราะสักแต่คิด หรือเพราะเอาชนะคะคานใคร (เป็นต้นว่าเอาชนะคุณแพรตเชตต์ที่บอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก) เราหวังว่าเราจะคิดเพื่อที่เราจะได้คำตอบ ซึ่งมีความหมายกับตัวเรา และตอบคำถามเราว่าทำไมเราถึงสะเทือน แม้มันจะเป็นเพียงแค่ "เรื่องไม่จริง"

###

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสวยเล่มหนึ่ง ควรค่าแก่การอ่าน (และควรค่าแก่การดูรูปประกอบ ซึ่งวางได้เหมาะสมเข้าทีดีไม่น้อย)

และถ้าไม่คิดถึงมันในฐานะความจริง ก็อยากให้คิดถึงมันในฐานะ "นิทาน" บางทีมันก็ "สอนให้รู้ว่า" บางทีสิ่งที่ "สอนให้รู้ว่า" ก็ชี้นำและตายตัวเกินไป แต่บางที ถึงมันจะตายตัวและชี้นำ แต่สิ่งที่สอนให้รู้ว่า มันก็ดันเป็นความจริงขึ้นมาเหมือนกัน

ป.ล. ถ้าอ่านเล่มนี้แล้ว น่าจะลองอ่าน "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" ด้วย เล่มนั้นก็สนุกเหมือนกัน




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:58:26 น.
Counter : 1339 Pageviews.  

ปรัชญาชีวิต (The Prophet) - คาลิล ยิบราน

มันออกจะเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน

หรือควรจะบอกให้ถูกคือเราจำไม่ได้

เราจำไม่ได้ว่าเราเริ่มรู้จักคาลิล ยิบราน ตอนไหน มันน่าจะเป็นจากปกหลังของชุดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ (ของใครหว่า ออบิท?) ชื่อ "เด็กอนาคต" ซึ่งเป็นชุดเรื่องสั้นไซไฟชุดรักเล่มหนึ่ง หลังปกของหนังสือเล่มนั้นมีบทชื่อ "บุตร" จากหนังสือ "ปรัชญาชีวิต" ของคาลิล ยิบราน อยู่ ซึ่งขึ้นต้นว่าอย่างนี้

บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้นอยู่ในบ้านของพรุ่งนี้
ซึ่งเธอไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้แม้ในความฝัน


จดจำได้แน่แท้มั่นคงว่าทันทีที่ได้สัมผัส โลหิตก็ออกเจ็ดทวารตายสนิทไปทันที (ฉูดดดด...อ้าก)

แต่ที่จริงตอนนั้น เราก็นึกไม่ออกว่าหลังปกมันมีเขียนบอกหรือเปล่าว่าไอ้ที่คัดมานี่มาจากไหน แล้วใครเป็นคนเขียน

###

เราคิดว่าไอ้ข้างบนนั่นน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน

และเหตุการณ์ต่อไปนี้น่าจะเกิดขึ้นทีหลัง (ซึ่งแปลว่าเรารู้จักคาลิล ยิบราน มาสิบปีแล้วสินะ)

สิบปีก่อน (สิบปีพอดี ตอน ม.3) ที่โรงเรียนเก่าให้สนพ.ผีเสื้อเข้ามาขายหนังสือในโรงเรียน

ตอนนั้นอยู่ในอารมณ์อะไรสักอย่างของวัยรุ่นที่อธิบายไม่ได้ แต่ทำให้เกิดจิตปฏิพัทธ์เรื่อง "ปรัชญาชีวิต" ฉบับปกแข็งขึ้นมาดื้อ ๆ แน่นอนว่าเป็นความรักแบบไม่มีเหตุผล และในความทรงจำอันเลือนลาง เราไม่รู้ว่าในเล่มนั้นจะมี "บุตร" (ที่เคยทำให้เลือดออกเจ็ดทวาร) อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นที่อัศจรรย์ว่าสมัยก่อนหนังสือปกแข็งอย่างดี ไซส์ขนาดนั้น มีราคาถูกพอที่เด็ก ม.3 จะใช้เงินค่าขนมซื้อมาครอบครองด้วยตัวเองได้

หนังสือเล่มนั้นเป็นแสนรักอยู่นานพอสมควร แม้จะอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง (และรู้เรื่องเท่าที่สติปัญญาขณะนั้นจะรู้บ้าง) จนกระทั่งวันหนึ่งก็ถูกเพื่อนยืมไป และหายสาบสูญไปอย่างปริศนา

หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ซื้อเล่มใหม่มาแทน บางทีคงเพราะฝังใจว่า "ปรัชญาชีวิต" จะต้องเป็นปกแข็ง (พอถึงตอนนั้นก็ไม่มีปกแข็งขายแล้ว เหลือแต่เวอร์ชั่นปกอ่อน) บางทีอาจจะเพราะเสียตังค์ซื้อเล่มอื่น ๆ ของคาลิล ยิบรานไปแล้ว (หมดตัว และอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอย่างเดิม)

จะว่าไป รู้สึกว่าที่บ้านจะมีภาษาอังกฤษด้วย แต่อ่านภาษาต้นฉบับก็ไม่อินเท่าของ อ.ระวี ภาวิไล แปล จะว่าไป ได้เคยพบ อ.ระวี ตัวจริงตอนที่ท่านมาพูดให้ฟังทั้งที่โรงเรียนเก่าและที่มหาวิทยาลัย ยังจำได้ว่าท่านพูดถึงการแปลปรัชญาชีวิตว่าใช้มือลอกภาษาอังกฤษลงสมุด แล้วเว้นหน้าด้านข้างให้ขาวไว้เพื่อเขียนภาษาไทยเป็นคำแปล ค่อย ๆ แปลไปเรื่อย ๆ จนครบทุกบท

...โรแมนติกจัง

###

วันนี้มีน้องมาถามถึงหนังสือของรพินทรนาถ ฐากูร บอกว่าหายากมาก ๆ เลยเพิ่งรู้ตัวว่าหายากจริง ๆ ช่วงก่อนสมัยที่เราอ่านเอง รู้สึกเหมือนเป็นช่วงที่มีสนพ.เอาเรื่องของรพินทรนาถมาพิมพ์ซ้ำเยอะมาก เรียกว่าเข้าร้านก็หาซื้อคีตาญชลีได้เลย

พยายามช่วยหาให้ แต่ไม่เจอเลย เว้นแต่กลอนเปล่าสามเล่มที่สวนเงินมีมาเพิ่งเอามาพิมพ์ใหม่ (จันทร์เสี้ยว, โศลกแห่งความรัก, นกเถื่อน)

เลยบอกให้อ่านของคาลิล ยิบรานไปพลาง ๆ ก่อน น่าจะหาง่ายกว่า

รู้สึกครบไซเคิลดี เพราะน้องคนนั้นกำลังจะขึ้น ม.ปลาย (ใช่ไหมนะ) อยู่ในวัยเดียวกับเราตอนที่เริ่มอ่านคาลิล ยิบรานเหมือนกัน

ลองค้นเว็บไซต์ให้น้องลองชิมดู เลยเจอเว็บที่อัพปรัชญาชีวิตไว้ทั้งเล่ม (ฉบับแปลของ อ.ระวี) อยู่ที่นี่

//olddreamz.com/bookshelf/prophet/prophet.html

ช่วงนี้รู้สึกว่าวัยเปลี่ยนไปนะ จากที่ชอบ "บุตร" ก็ชักชอบ "การงาน" ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

แล้วชาวนาคนหนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดถึงเรื่อง การงาน
และท่านตอบว่า

เธอทำงานก็เพื่อจะก้าวไปพร้อมกับพื้นพิภพ
และวิญญาณแห่งพื้นพิภพ
เพราะการที่จะเกียจคร้านอยู่นั้น
ก็คือการทำตนเป็นผู้แปลกหน้าต่อฤดูกาลทั้งหลาย
แลคือการก้าวออกไปจากขบวนแถวของชีวิต
ซึ่งกำลังดำเนินอย่างสง่าผ่าเผยและภาคภูมิไปสู่อนันตภาวะ

เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอคือขลุ่ยซึ่งเสียงกระซิบแห่งโมงยาม
ผ่านดวงใจของเธอแปรเป็นดนตรี
เธอคนใดบ้างอยากเป็นไม้อ้อ ใบ้และเงียบ
ในขณะเมื่อสรรพสิ่งร่วมร้องเริงกันเป็นเสียงเดียว

เธอมักจะได้รับบอกเล่าบ่อยๆ ว่า
การทำงานคือคำสาปแช่ง
และการงานคือโชคร้าย
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอได้ยังความฝันอันไกลยิ่งของโลก
ให้สมบูรณ์ในส่วนที่ได้จัดไว้เฉพาะเธอ
ในเมื่อความฝันนั้นอุบัติขึ้น
และในการประกอบการงานนั้น
ก็คือการที่เธอรักชีวิตอย่างแท้จริง
และการรักชีวิตโดยทางการงานนั้น
ก็คือการเข้าถึงความลับอันล้ำลึกที่สุดของชีวิต

แต่ถ้าในความเจ็บปวดทรมาน
เธอกล่าวว่า การเกิดคือความทุกข์
และการดำรงเลี้ยงกายคือคำสาปอันจารึกบนคิ้ว
เราก็ขอตอบว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด
นอกจากหยาดเหงื่อบนคิ้วนี้เท่านั้น
ที่จะลบรอยจารึกให้สิ้นไปได้

เธอได้รับคำบอกมาด้วยว่า
ชีวิตคือความมืด
และในความเหนื่อยอ่อนของเธอนั้น
เธอได้กล่าวสะท้อนคำกล่าวของผู้เหนื่อยอ่อนทั้งหลาย

และเราก็ขอบอกว่า
ชีวิตคือความมืดแน่แท้
เว้นเสียแต่เมื่อมีความมุ่งมาด
และความมุ่งมาดนั้นก็จะยังมืดบอด
ถ้าหากไร้ปัญญา
และปัญญาทั้งหลายก็คงจะเปล่าประโยชน์
ถ้าหากไม่มีการงาน
และการงานก็จะว่างเปล่า
เมื่อไม่มีความรัก
และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น
เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเองเข้ากับผู้อื่น
และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ก็การที่จะทำงานด้วยความรักนี้คืออย่างไรเล่า

คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ
ราวกับว่าผืนผ้านั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ
คือการสร้างบ้านขึ้นด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก
ประหนึ่งว่าเธอสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่
เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ก็ด้วยความละมุนละไม
และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์
ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้นๆ
คือการอาบรด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำ
ด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ
และด้วยรู้อยู่ว่าท่านผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายผู้จากไปแล้ว
ยังยืนเคียงข้างและเฝ้าดูการงานของเธออยู่

บ่อยครั้งที่เราได้ยินเธอพูดดังเพ้อฝันว่า
นายช่างผู้แกะสลักหินอ่อน
และประจักษ์รูปร่างวิญญาณของตนเองในหินผานั้น
สูงศักดิ์กว่าชาวนาผู้คราดไถแผ่นดิน
และผู้ที่คว้าจับเอาสีสันแห่งสายรุ้ง
วางวางระบายบนผืนผ้าใบเป็นรูปร่างแบบมนุษย์นั้น
วิเศษกว่าช่างรองเท้า

แต่เราขอกล่าวว่า
มิใช่ในความหลับหลง
แต่ในความตื่นเต็มที่แห่งกลางเที่ยงนี้ว่า
สายลมนั้นมิได้กระซิบแก่ต้นกร่างใหญ่
ไพเราะไปกว่าแก่ใบหญ้าเล็กที่สุดเลย
และผู้ใดก็ตามที่แปรเสียงแห่งกระแสลม
เป็นทำนองเพลงอันหวานล้ำด้วยความรักของตนเอง
ผู้นั้นนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้

การงานคือความรักปรากฏตนเป็นรูปร่าง
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย
เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์
ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า

เพราะถ้าเธอปิ้งขนมอย่างไม่แยแส
เธอก็จะได้ขนมอันมีรสขม
และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว
และถ้าเธอบ่นขณะบีบองุ่น
การบ่นของเธอคือยาพิษซึ่งซาบซึมลงในน้ำองุ่นนั้น
และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา
แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้นแล้ว
เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสำเนียงของวันและคืน




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:59:17 น.
Counter : 3227 Pageviews.  

ลุงเอโกที่รัก

ขโมยมาจากคนรีวิวเรื่อง The Mysterious Flame of Queen Loana ในอเมซอน

Umberto Eco is one of the few writers whose incredible intelligence blazes on every page of his books. Fortunately, despite the fact that his intelligence cannot be ignored, he generally doesn't make his reader feel small and stupid. In fact, when Eco is at his best, the fascinations of the story draw you in and make you forget the challenges of what you are reading. When he is at his worst, the going gets tougher, like listening to a professor who is interesting but not really entertaining.

อ่านแล้ว...โอ โคตรเห็นด้วยเลยค่ะ

ที่จริงหลังจากอ่านสมัญญาดอกกุหลาบมาแล้ว ก็คลุ้มคลั่งลุงแกอยู่พักใหญ่ แต่มีผลข้างเคียงคือไม่กล้าอ่านเรื่องอะไรที่แกเขียนอีกเลย (มันต้องอ่านไม่เข้าใจแน่ ๆ!)

จะว่าไม่กล้าอ่านก็ไม่เชิง เพราะยังอุตส่าห์ซื้อ Baudolino มาเก็บไว้กับเขาเหมือนกัน แต่อ่านไม่ไหว อ่านมาสามสี่ปีแล้วก็ยังไม่จบ จริง ๆ ส่วนนึงที่ไม่จบอาจจะเพราะมันเป็นนิยายปลอมประวัติศาสตร์ที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนปลอม เว้นแต่เราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ยุคกลางอย่างลึกซึ้ง (นิยายเรื่องนี้แกล้งเขียนโดยจงใจอ้างอิงหลักฐานผิด ๆ ทางประวัติศาสตร์ และเอกสารปลอม) เพราะอย่างนั้นเราจึงไม่อาจเก็ตมุกอันลึกที่ลุงเอโกฝังเอาไว้ได้

อีกอย่างหนึ่งอาจจะเพราะจังหวะของเรื่องมันช้า ๆ เร็ว ๆ แบบแปลก ๆ จนทำให้งง ๆ

แต่เนื่องจากได้อ่านเรื่อง ปริศนาสมบัติอัศวิน (The Last Templar - ขอบคุณผู้มีอุปการคุณนะคับ ) ทำให้เกิดอยากอ่านเรื่อง Foucault's Pendulum ของลุงแกขึ้นมา

ฟูโกต์เพนดูลั่มเป็นเรื่องเสียดสีทฤษฎีสมคบคิดสไตล์เทมปลาร์ เกี่ยวกับบ.ก.สามคนที่อ่านต้นฉบับพล็อตสมคบคิดสไตล์นี้จนเบื่อ เลยหาเรื่องเล่นโดยแต่งนิยายเสียดสีทฤษฎีเทมปลาร์กันเอง แต่ไป ๆ มา ๆ กลับ obsess กับสิ่งที่ตัวเองเขียนจนมีอาการไปต่าง ๆ นานา (ไม่เหมือนทเวนตี้เซนจูรี่บอยนะ เพราะเทวนตี้มันเกิดจริง ๆ)

อย่างไรก็ตาม ฟูโกต์ในที่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตามิแชลล์ ฟูโกต์ซึ่งทำให้คนแถวนี้รากโลหิตจากทฤษฎีอำนาจของแกแต่ประการใด แต่หมายถึงลูกตุ้มฟูโกต์ ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดการหมุนของโลก รายละเอียดนอกจากนี้เนื่องจากจขบ.ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จึงขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ

ยังแหยงอยู่เล็ก ๆ ว่าจะอ่านรู้เรื่องหรือเปล่า คงต้องไปลองเปิดของจริงดู

แอบหวังเลือนลางว่าทางร้านจะเอาโละเหลือสักเล่มละร้อยบ้าง...สักวันหนึ่งน่ะนะ




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 1:00:07 น.
Counter : 801 Pageviews.  

300 กับ...เอ้อ 300 (สปอยล์ อะเลิร์ท)

คุณน้องชายพูดถึงหนังสามร้อยตั้งแต่ก่อนพระนเรศวรภาคสองจะเข้าโรง บอกว่ามาแล้วต้องไปดูให้ได้ ตอนแรกคุณเคียวก็อือ ๆ งั้นเหรอ ไม่ค่อยรู้อะไรนอกจากมีนักรบสามร้อยหน่อตบตีกับคนมหาศาลแล้วชนะ (หรืออะไรทำนองนั้น) ให้อารมณ์หนังหนุ่มบ้าพลัง จริง ๆ ตอนแรกคิดด้วยซ้ำว่าน่าจะใช้กลยุทธประมาณขงเบ้งละมั้ง เพราะสามร้อยบ้าพลังนี่มันน่าจะตายตั้งกะนกกระจอกไม่ทันกินน้ำแล้วนะ

ต่อมา ก่อนจะไปดูหนัง คุณน้องชายเอาไฟล์การ์ตูนมาให้อ่านประกอบการชมภาพยนตร์ เป็น limited edition ของ Frank Miller คือว่าเรื่องนี้ก่อนจะเป็นหนังมันเป็นการ์ตูนห้าตอนจบมาก่อน ตั้งชื่อบทตามคติพจน์ของชาวสปาร์ตาว่า Honor, Duty, Glory, Combat และ Victory

การ์ตูนเส้นแบบอเมริกา ค่อนข้างดาร์คและ macho ตัวละครมันออกแนวคติพจน์สปาร์ตาผสมบ้าพลัง (บ้าพลังจริง ๆ) แต่เราค่อนข้างชอบนะ เพราะมันแบบบ้าพลังมันก็บ้าพลังเลย ไม่ได้กั๊กเอาไว้ ไม่คิดว่าต้องอธิบายตัวเอง ไม่คิดว่าต้องอ้างถึงศีลธรรมเพื่อให้ตัวเองดูดี หรือ justify การกระทำของตัวเอง แง่นึงเราคิดว่ามันบริสุทธิ์แบบดิบ ๆ ดี อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าขัดเขินอะไร

คาดว่าสไตล์ของแฟรงค์ มิลเลอร์คงเป็นอย่างนี้ เพราะไม่เคยอ่านงานของเขามาก่อน น้องชายบอกว่าเขาเขียนเรื่องแบทแมนด้วย แต่นอกจากเอกซ์เมนที่เคย (เกือบ) สะสมตอนเด็ก ๆ แล้ว เราไม่ได้อ่านการ์ตูนฝรั่งสไตล์ฮีโร่ ...จริง ๆ มีอีกคนที่คิดว่าหามาได้อาจจะลองอ่านดู คืองานของคนที่เขียนเรื่อง V for Vendetta เพราะตอนที่รีเสิร์ชก่อนดูหนังเห็นว่าเป็นคนพิเศษมากคนนึงเหมือนกัน เป็นพวกสร้างกรอบของการ์ตูนฮีโร่ไหมอะไรทำนองนั้น

การ์ตูนเรื่อง 300 นี่ เราถือว่าเป็นการ์ตูนดี แบบใครที่สะสมแนวนี้หามาสะสมได้เลย เนื้อเรื่องก็ดี (ในกรอบของความเป็นสปาร์ตา มาโช และบ้าพลัง - อย่าซีเรียสเรื่องศีลธรรมปัจจุบันมาก - -' ) ลายเส้นสวย โพซิชั่นตัวละครระหว่างกรอบต่อกรอบน่าสนใจมาก วิธีการเล่าเรื่องดีมาก (เราชอบตรงที่ระหว่างเรื่องมีการเล่านิทานของสปาร์ตา แล้วพอถึงตอนจบ เรื่องทั้งเรื่องนี้ก็กลายเป็นนิทานอีกเรื่อง มันเหมือนกับเป็นการ add up เข้าไปใน Spartan lore แล้ว ให้ความรู้สึกว่าเรื่องราวของทหารทั้งสามร้อยคนนี่ ในที่สุดก็กลายเป็นตำนาน) จะว่าไปแล้วก็ดีไปหมด ถ้าไม่ถือเรื่องศีลธรรมจรรยาและทุกคนเปลือย (เปลือยจริง ๆ ตอนสงครามนุ่งเตี่ยว ตอนสงบไม่ใส่อะไรเลย ) ก็น่าจะลองดู

ทีนี้ พออ่านการ์ตูนแล้วไปดูหนัง ปรากฏว่ามันไม่เหมือนการ์ตูน คือ...ไม่ใช่ว่าเราหวังจะให้มันเหมือนหรอกนะ แต่เราคิดไม่ถึงว่ามันคีปการ์ตูนแบบนี้ และตีความเพิ่มเติมแบบนี้ สิ่งที่หายไปอย่างชัดเจนคือความบริสุทธิ์แบบดิบ ๆ ของการเป็นสปาร์ตา มีการตีความเพิ่มเติม ใส่ศีลธรรมปัจจุบันอะไร ๆ ลงไป ซึ่งบางอันเราก็เห็นว่าสมควรดี เพราะถ้าไม่ใส่คงไม่ได้ออกมาเป็นหนังโรงใหญ่แบบนี้หรอก แต่บางอันเรารู้สึกว่า...เฮ้ย ทำแบบนี้นี่มันไม่ใช่สปาร์ตาแล้วนะ มันกลายเป็นมนุษย์...อยากเรียกว่าอเมริกา คนอเมริกาธรรมดา ศีลธรรมอเมริกา คตินิยมอเมริกา ดูแล้วมันแปลก ๆ มันดูไม่สปาร์ตาเลย

ก็ไม่ใช่ของมิลเลอร์จะสปาร์ตามากขนาดนั้นหรอก แต่อย่างน้อยมิลเลอร์ก็ตีความ "สปาร์ตา" เอาไว้ในรูปแบบของตัวเอง แต่หนังมันดูลักลั่นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ระหว่างความคลั่งบ้าเลือดในซีนนึง กับความซอฟต์ในอีกซีน เรียกว่าพยายามเอาแบบมิลเลอร์ แต่ก็ไปหมดทั้งตัวแบบมิลเลอร์ไม่ได้

ในหนังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือรู้สึกว่าตัวเอกไม่ "เก๋า" เลย แกดูเป็นพวกตะโกน ๆ ...จริง ๆ เราว่าสปาร์ตาเรื่องนี้ออกจะพูดมากเกินไปผิดสปาร์ตาชอบกล สปาร์ตามันไม่น่าจะพูดพล่ามมาก น่าจะตื้บเลย

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของหนังที่ชอบคือฉากรบสวยมาก ๆ ฉากสู้ไม่ว่าสู้เดี่ยวสู้คู่ สวยหมดทุกฉาก ดูแล้วรู้สึกว่า...เออ เพราะแบบนี้สินะพวกกรีกถึงได้บูชากล้ามเนื้อ ร่างกายมนุษย์มันสวยแบบนี้นี่เอง

ในที่สุดแล้ว ก็ชอบฉากจบของเรื่อง

Should any free soul come across this place,
In all the countless centuries yet to be,
May our voice whisper to you from the ageless stone:
Go tell the Spartans, passerby,
That here, by Spartan law, we lie.

ขนลุกทั้งตอนอ่านการ์ตูนและตอนดูหนัง เท่สุด ๆ

สรุปแล้วก็คือ ถ้าดูหนังแล้วหาการ์ตูนมาอ่านคู่ด้วยก็น่าจะดี




 

Create Date : 26 มีนาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 1:14:25 น.
Counter : 701 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.