|
ฉันคือใคร
หลังจากเขียนถึงสนพ.สวนเงิน ก็เลยไปขุดเจอ "มณฑลแห่งพลัง" ของวิศิษฐ์ วังวิญญูที่อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้วซุกไว้
มีเรื่องอะไรอีกมาก แต่ตอนนี้เรื่องที่คิดคือเรื่อง "ฉันเป็นใคร"
เวลาที่เราแนะนำตัว ความเป็น "ตัวเรา" ถูกแสดงออกด้วยวิธีไหน
ขั้นแรก เรามักจะแนะนำตัวเราด้วยการบอกถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่นใช่ไหม ( ฉันเป็นลูกของ ฉันจบมาจาก ฉันทำงานที่ )
มันเหมือนกับว่าก่อนอื่นอะไรทั้งหมด เราต้องทำให้คู่สนทนาของเรายอมรับเสียก่อนว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของแพทเทิร์นและเครือข่ายความสัมพันธ์บางอย่าง และคนที่มารู้จักนั้นจะตัดสินเราจากเครือข่ายเหล่านี้
ส่วนคุณสมบัติอันเป็นนามธรรม ( ฉันเป็นคนแบบ ฉันชอบ ฉันคิด ฉันเชื่อ ) เป็นคุณสมบัติที่เรียนรู้กันทีหลัง หลังจากคำแนะนำแบบแรกได้รับการพิจารณาและยอมรับแล้ว
คุณวิศิษฐ์แกเลยบอกว่าที่จริงตัวตนของมนุษย์มันขึ้นอยู่กับ "ระบบความสัมพันธ์"
มันก็ไม่ปัจเจกดี ( เดี๋ยวนี้ปัจเจกเกินไปไม่ค่อยดี )
แต่เรามาคิดอีกที เรากลับคิดว่าแม้มนุษย์จะอยู่ในเครือข่ายความสัมพันธ์ แต่ที่จริงแล้วก็มีเครือข่ายที่ "รับได้" กับ "รับไม่ได้" มีเครือข่ายที่จะ "เสวนา" กัน และ "ไม่เสวนา" กัน
ที่จริงบางทีก็เพราะเครือข่ายแบบนี้ เราก็เลยติดตังอยู่และไม่สามารถเรียนรู้ใครอย่างที่ "เขาเป็นจริง ๆ"
แต่เราจะสามารถเรียนรู้ใครอย่างที่ "เขาเป็นจริง ๆ" หรือเปล่า เพราะว่ามันมีเรื่องวุ่น ๆ อีกเยอะ มีด้านอีกมาก มีปฏิสัมพันธ์ที่ก่อเกิดผลอันคาดเดาไม่ได้อยู่
ฉันเป็นใครอย่างนั้นหรือ ที่จริงฉันเป็นส่วนหนึ่งของระบบอันใหญ่โต
แต่ที่จริงแล้วบางทีฉันก็อยากเป็นแค่ฉันเหมือนกัน
###
ป.ล. ตอนนี้กำลังคิดว่าความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพราะมันทำลายแพทเทิร์นบางอย่าง แต่ก็สร้างแพทเทิร์นบางอย่างขึ้นมา
กำลังคิดว่าจะหาเรื่องจิตวิทยาอินเตอร์เน็ตที่คืนห้องสมุดไปก่อนอ่านจบมาอ่านอีกรอบ
Create Date : 05 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 5 มีนาคม 2549 22:24:20 น. |
Counter : 543 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Spiral with no end
พี่สาวคนหนึ่งพูดในกระทู้นิยายของเราว่า
- จริงๆก็คิดเหมือนกันว่าปันคงอยากบอกเรื่องพวกนี้ถึงได้เอาสารเหล่านี้ใส่เข้าไว้ในเรื่องต่างๆของปันหลายๆเรื่องเลย แต่บางทีก็แปลกใจนะ เพราะคิดว่าจริงๆแล้วเรื่องพวกนี้คนทุกคนก็รับรู้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วนี่นา แต่จะรับฟังและนำไปใช้หรือเปล่านั่นก็กลายเป็นอีกประเด็นไปซะนี่ - - คนเรานี่เข้าใจยากดีนะ ว่าไหม
เรื่องที่เราเขียนมันเกี่ยวกับการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า การแบ่งแยก ความแตกต่าง การเหยียด... ( เหยียดอะไรก็ไม่รู้ คงคล้าย ๆ เหยียดผิวละมั้ง - -'' ) โดยทั่วไปมันเป็นธีมที่เราชอบเขียนถึง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ส่วนและเนื้อหาของหนังสือ
เราคิดว่าที่พี่เขาพูดมันน่าสนใจดี
ที่จริงแล้วเราคิดว่าคนเรามีระดับที่ "รู้" กับระดับที่ "รู้สึก" ระดับที่รู้นั้นแปลว่ารู้ ซึ่งเราทุกคนก็รู้ แต่ระดับที่รู้สึกมันซับซ้อนกว่านั้น
เราคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องพบประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งถึงจะเข้าใจนะ
เราเคยอ่านเรื่องของดอกไม้สด มีอยู่ฉากหนึ่งคนในบ้านนั่งรวมกันอยู่ในห้อง คนหลานชายนั่งพิงผนังอยู่ แล้วคนเขียนก็บรรยายว่าคนหลานนั้นนั่ง "เอาเท้าชี้ไปทางคุณตา"
ดอกไม้สดเป็นนักเขียนที่ฉลาดมาก ดังนั้นจึงบรรยายแค่นั้นและไม่พูดอะไรอีก ไม่บอก ไม่สอน ไม่ทำดัดจริตว่านี่มันดีหรือไม่ดี เพราะอะไร
แต่เราอ่านแล้วเรา "รู้สึก" นะ
ตั้งแต่อ่านเรื่องนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เรานั่งอยู่กับผู้ใหญ่ เราจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจเรา และถามเราว่าเรานั่งอยู่ในท่าไหน เราทำอะไรอยู่ เรามีสติในการกระทำของเราหรือเปล่า
เราคิดว่านั่นเป็นการ "ประสบความสำเร็จ" ในฐานะของคนเขียนคนหนึ่งเลยนะ
###
เราไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อเหมือนเรา แต่เราก็ต้องบอกจุดยืนของเราด้วย คือเราเชื่อว่าการเขียนเป็นพันธกิจต่อสังคม และเป็นการสื่อสารที่มีอำนาจได้ ถ้าหากคนเขียนมีความสามารถพอ
ทำไมเราถึงเชื่อแบบนั้น ก็เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ด้วยการ "รู้สึก" มนุษย์ไม่สามารถจะทำประโยชน์อะไรจากการ "รู้" เฉย ๆ ได้ เพราะการรู้เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าการท่องว่าเมืองจันทบุรีติดทะเลและเป็นจุดยุทธศาสตร์ ความทรงจำแบบนั้นเป็นสิ่งผิวเผิน มีไว้สำหรับท่องสอบ และพร้อมจะถูกลืมไปได้ทุกเมื่อ
แต่ถ้าสามารถพาเด็กคนนึงไปที่จันทบุรี พาเดินไปแล้วชี้ให้ดู เล่าเรื่องตามสภาพที่เห็นได้ เราเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะสามารถจำ และสามารถ "รู้สึก" และในที่สุดแล้ว มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกอื่น ๆ ตามมา เช่นความผูกพันกับแผ่นดิน ความรู้สึกว่าจันทบุรีเป็น "แผ่นดินของเรา" ไม่ใช่เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ปรากฏในแผนที่ รู้สึกได้ว่าพื้นแผ่นดินของเมืองนี้ปลูกอะไร มีปัญหาอะไรและดำเนินมาอย่างไร
แต่โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถพาเด็กทุกคนไปจันทบุรีได้หรอก
ดังนั้นถึงได้มีศิลปะการเล่าเรื่องขึ้นมา และไม่ใช่ "การบอก" ที่มีแต่ข้อมูลเพียว ๆ ( ซึ่งมีประโยชน์อีกแบบหนึ่ง ) แต่เป็น "การเล่า" ที่ดึงคนฟัง/อ่านให้เข้ามาร่วมได้
ก็เหมือนกัน เราคิดว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถมีประสบการณ์กับเรื่องทุกเรื่องในชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์บางอย่างก็เป็นสิ่งสำคัญ และบางเรื่องถึงแม้จะเล็กน้อยแค่ว่าการเอาเท้าชี้ไปทางผู้ใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีคน "รู้สึก"
###
ยิงธนูดอกเดียวอาจจะไม่โดนเป้า
แต่บางทีถ้ายิงไปให้มากดอกสักหน่อย ก็คงมีสักดอกที่โดนเป้าได้มั่งหรอก
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 15:49:01 น. |
Counter : 507 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม...
วรรคทอง ซึ่งเป็นที่จดจำกันมากในมหาภารตะวรรคหนึ่งก็คือ
"ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีผู้ใดเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่ ธรรมย่อมก่อให้เกิดความสุข แต่เหตุไฉนเล่า จึงไม่มีผู้ปฏิบัติธรรม"
ถ้าความจำไม่ทรยศเราก่อน เราออกจะแน่ใจว่าคนพูดวรรคนี้คือยุธิษฐิระ ( หรือหนังสือไทยบางฉบับเรียกว่ายุธิษเฐียร )
และเหตุที่คนพูดเป็นยุธิษฐิระ เราจึงดูถูกคำดังกล่าวอยู่เป็นเวลาหลายปี
ยุธิษฐิระมีคุณสมบัติจะมาสอนอะไรเรา...เราคิดแบบนั้น ในเรื่องมหาภารตะ ยุธิษฐิระทำตัวเป็นคนดีวิเศษ ทุก ๆ คนในเรื่องเรียกแกว่า "ธรรมราช ๆ" บอกว่าแกเป็นตัวแทนของคุณธรรมในร่างมนุษย์
แต่ที่จริงแล้วแกทำอะไรอุบาทว์ ๆ หลายอย่าง เช่นเล่นพนันจนเสียบ้านเสียเมืองไม่พอ ยังเอาน้องและเมียไปเป็นสินพนันด้วย
เช่นเพื่อจะเอาชนะในการรบให้ได้ ก็โกหกอาจารย์
เราจึงคิดว่ายุธิษฐิระไม่มีคุณสมบัติจะมาสอนเรา และยิ่งไม่มีคุณสมบัติจะพูดคำเฟค ๆ อย่าง "ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม"
แต่...หลายปีผ่านไป เราเริ่มรู้สึกว่า
มนุษย์นี่มีความหวังเยอะนะ
คาลิล ยิบราน เขียนนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีฤาษีรูปหนึ่งมักจะให้คำปรึกษากับสัตว์ต่าง ๆ บางทีก็ให้คำปรึกษาเรื่องคู่ครอง และสัตว์ทุกตัวก็เชื่อฟัง เอาคำสอนไปปฏิบัติตามก็เห็นผลดี
วันหนึ่ง มีสัตว์ตัวหนึ่งถามว่า "ข้าแต่ฤาษี ท่านเคยมีคู่หรือ"
ฤาษีบอกเราถือเพศพรหมจรรย์ มีคู่ไม่ได้
สัตว์ทุกตัวก็ร้องออกมาทันทีว่า ในเมื่อฤาษีไม่เคยมีคู่ ฤาษีเอาด๋อยที่ไหนมาสอนวิธีครองคู่ให้ชาวบ้าน ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนไปหาฤาษีอีก ฤาษีก็เศร้าร้องไห้
นี่...
พวกเรานี่คาดหวังกันเยอะจังนะ
เรารู้ว่าตัวเราเป็นคนธรรมดา ไม่มีวันจะดีพร้อม แต่เราก็อยากเชื่อเหลือเกินว่าที่ไหนสักแห่งจะมีคนดีพร้อม และคนดีพร้อมคนนั้นจะมาสั่งสอนให้เราเป็นคนดี หรือไม่อย่างนั้นก็มีตัวตนอยู่เพื่อให้เรายึดเป็นที่พึ่งทางใจได้
แต่ในขณะเดียวกัน ในช่องชั้นอันลึกของหัวใจ เราก็สงสัยในความดีพร้อม และพร้อมจะ "เลิกเชื่อ" ทันทีที่มีคนมาพูดอะไรไม่ดี ทั้งที่มันก็อาจจะเป็นเพียงคำพูดซึ่งหาข้อพิสูจน์อะไรไม่ได้
หลายปีก่อน เราเคยมีอาจารย์นับถืออยู่คนหนึ่ง เราไม่ได้รู้จักท่านดี เพียงแต่นับถืออยู่ห่าง ๆ
จู่ ๆ ก็มีคนมาบอกเราว่า "อาจารย์คนนั้นไม่ดีอย่างที่เห็นหรอก"
คำเดียวเท่านั้นเอง...หัวใจเรามันก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย
ทำไมเราถึงพร้อมจะมองอะไรในแง่ร้ายนะ
ทำไม เราถึงยอมรับคนคนหนึ่งในฐานะมนุษย์ไม่ได้
ทำไมเราต้องคิดว่าคนคนหนึ่งต้องดีเองก่อน ถึงจะมีสิทธิ์มาสอนเรา
และก็...ทำไมเราถึงไม่สามารถมองคำสอนในฐานะที่เป็นคำสอนโดยปราศจากอคติได้
###
ตอนนี้เราเห็นด้วยกับยุธิษฐิระ ( แม้ว่าเราจะยังเหมือนเดิมว่าแกไม่ใช่คนที่ใครควรจะสรรเสริญขนาดนั้นหรอก )
เราคิดว่าจริง คนจำนวนมาก "ชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม" และจริง..."ธรรมก่อให้เกิดความสุข แต่ไม่มีใครปฏิบัติ"
เราคิดว่าเพราะธรรมมันยาก
การตั้งอยู่ในธรรมมันยาก การที่จะไม่อยากได้ของดี เสื้อผ้าสวย ของกินอร่อย การที่จะไม่โกรธเกลียดแค้น การที่จะไม่อยากได้ผู้หญิงสวย ๆ ผู้ชายหล่อ ๆ การที่ไม่อยากโด่งดัง ไม่อยากมีเชื่อเสียง การที่ถูกด่าแล้วจะไม่โต้ตอบคำด่า
การที่ทุกคนเชื่อเสียแล้วว่าการเก็บกดความต้องการทั้งหมดจะทำให้เป็นโรคประสาท
ทุกอย่างมันยากจริง ๆ แค่ก้าวออกไปจากบ้าน แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละนาที เรื่องที่จะเข้ามากระทบมันก็มากมายเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง
และโลกที่เราช่วยกันสร้างขึ้นทุกวันนี้ มันก็ไม่อำนวยจะให้เราตั้งอยู่ในความสงบได้ มันเป็นโลกที่หัวเราะเยาะความสงบ
โลกของเราซับซ้อนขึ้นทุกที ความรู้สึกของมนุษย์ถูกใช้มากขึ้นทุกที การ "ให้ความสนใจ" การ "เอาใจใส่" กลายเป็นสินค้า เป็นข้อดีที่สามารถมาเป็น "จุดขาย" ได้
เมื่อมันไม่ได้มาอย่างสุจริต คนก็เลิกเชื่อมันอย่างสุจริต คนทุกคนก็ต้องคิดว่าเขาดีกับเราเพราะเขาอยากได้บางอย่างจากเรา
และเมื่อคนทุกคนต่างคนต่างทึ้งกันคนละมือ พยายามเสียเปรียบให้น้อยที่สุด สุขให้มากที่สุดแล้ว
โลกก็ไม่มีความสุขหรอก
###
ยุธิษฐิระ ไม่ต้องสงสัยหรอก
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีคนปฏิบัติธรรม
ธรรมนั้นยาก มนุษย์มีธรรมชาติจะลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ทั้งที่มนุษย์ก็รักสิ่งที่อยู่สูง อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกัน การกระทำของคนคนหนึ่งจะส่งผลต่อคนอื่น ๆ ถ้าเธอแตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่แน่หรอกว่าเธอจะปลอดภัย
ไม่แน่หรอกว่าเธอจะไม่ถูกหัวเราะเยาะ เพราะความดีเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากเย้ยหยัน เรียกชื่อมันใหม่ว่า "ความโง่" เสียแล้ว
ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าถ้าตัวเองปล่อยมือไป ตัวเองจะปลอดภัย ตัวเองจะมีความสุข
เพราะอย่างนั้น ทุกคนถึงได้สร้างโลกแบบนี้ขึ้นมา เพราะอย่างนั้น ห่วงโซ่ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนจึงไม่เคยขาดตอน เพราะอย่างนั้น ทั้งที่มนุษย์สัมพันธ์กันไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ก็ยังคงฆ่ากัน
ยุธิษฐิระ เราเห็นใจท่าน เราเข้าใจว่าท่านพยายามจะทำอะไร
แต่ยุธิษฐิระ แม้กระทั่งสิ่งที่ท่านทำ ความผิดที่ท่านก่อ มันก็ไม่พิสูจน์หรือว่า
มันยากจริง ๆ ที่จะให้ทุกคนปฏิบัติธรรม
...มันยากจริง ๆ
Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2549 13:19:12 น. |
Counter : 579 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แปรงสีฟันตลอดกาล
ขนแปรงสีฟันเราบานแล้ว
ซึ่งแปลว่าต้องเปลี่ยนแปรง
สมัยเด็ก ครูสอนเรื่อง "วิธีการแปรงฟันอย่างถูกต้อง" ไม่รู้ว่าครูจะสอนใครได้สำเร็จบ้าง แต่ยัดความรู้นี้เข้ากบาลเราไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำให้แปรงสีฟันของเรามีชีวิตนานขึ้นได้ ( แต่ฟันของเราก็ค่อนข้างโอเค )
เรานั่งดูแปรงสีฟันบาน ๆ ของเรา แล้วเราก็คิดว่า "แปรงสีฟันนี่น่าเบื่อเป็นบ้า"
แน่นอน รูปแบบแปรงสีฟันก็ปรับปรุงกันมาเรื่อย ๆ ดู ๆ แล้วก็อาจจะเฉี่ยวกว่าสมัยก่อนนิดหน่อย
แต่ยังไงแปรงสีฟัน ( อย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ในโลก ) ก็เป็นของใช้แล้วทิ้ง เพราะไม่กี่เดือนมันก็บานแฉ่งและกระจุย หรือถ้าไม่บานและกระจุย เราก็ออกจะไม่ไว้ใจในความสะอาดของมัน
และด้วยเหตุที่ใช้แล้วทิ้ง แปรงสีฟันจึงหน้าตาออกจะมหาชน อันที่แปลก ๆ เราเคยเห็นแต่ในคอลัมน์ "เจ้าความคิด" ในพลอยแกมเพชร ซึ่งหน้าตามันก็ไม่ถูกจริตเรา
เรานั่งคิดว่าอะไรสักอย่างที่ส่วนตัวถึงขนาดมีคนพูดว่า "ซี้กันมากจนแลกกันใช้ทุกอย่างได้ ยกเว้นแปรงสีฟันกะเมีย" มันน่าจะทำให้น่าสนใจขึ้นมาได้ ต้องแปรงวันละสองครั้ง ถ้าหน้าตามันน่ารักน่าชัง เวลาแปรงฟันคงแฮปปี้ แล้วก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องเป็นยัยเด็กยิ้มแฉ่งในโฆษณายาสีฟัน ( ซึ่งถูกจ้างให้ยิ้มแฉ่ง )
เรามีดินสออยู่แท่งหนึ่ง ได้มาจากเมืองอเมริกาเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ครึ่งหนึ่งเป็นปากกา อีกครึ่งเป็นหลอดพลาสติกแข็ง ๆ ใส ๆ เกือบจะเหมือนหลอดแก้ว ข้างในใส่หินสีเล็ก ๆ เยอะ ๆ สวยมากจนป่านนี้ก็ไม่เคยเหลามาใช้ ได้แต่เก็บไว้ดู
เราอยากให้แปรงสีฟันทำด้ามงาม ๆ แบบต่าง ๆ คล้าย ๆ อย่างนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นด้าม แล้วก็ให้ด้ามนั่นแหละไม่ต้องเปลี่ยน ส่วนหัวก็เปลี่ยนทุกครั้งที่ขนแปรงบาน
ถ้าเป็นแบบนั้นคงรักแปรงสีฟันแย่ แถมอาจจะเปลืองพลาสติกโลกน้อยลงนิดหน่อย
แต่คิดดูอีกที แปรงสีฟันก็เป็นของใหม่มาก สมัยก่อนเขาก็ใช้เกลือกันมั่ง ใช้กิ่งข่อยกันมั่ง ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน
แต่คนสมัยก่อนก็มีตลับหมากงาม ๆ เป็นชุดใหญ่ ๆ ใส่หมากใส่พลู บุหรี่ สีผึ้งเหมือนกัน
ถ้าเรามีด้ามแปรงสีฟันสวย ๆ มั่งคงครึ้มดี
#
หลังจากสำรวจแล้ว ก็พบว่าแปรงแปลก ๆ นั้นส่วนใหญ่เป็นแปรงเด็ก แบบอันนี้
หรือไม่งั้นก็ออกแบบเพื่ออัตถประโยชน์ เช่นยัดยาสีฟันไปด้วย แบบนี้
แหม แต่เราอาร์ตกับแปรงสีฟันโดยไม่ต้องเป็นแบบเด็ก ๆ หรือแบบเอนกประสงค์ไม่ได้เหรอ...
Create Date : 26 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 26 มกราคม 2549 21:22:00 น. |
Counter : 492 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เปื่อย...
เราเปื่อย
ซึ่งแปลว่าเราป่วย
แต่ทำไมถึงชอบใช้คำว่าเปื่อยแทนคำว่าป่วยก็ไม่รู้
อาจจะเพราะว่าคำบางคำพูดไปตรง ๆ แล้วมันดูไม่มีกิ๊กเลย ไม่สนุก
เอาหมาไปอาบน้ำ เราชอบพูดว่าเอาหมาไปซัก
ดีออกนะ เอาหมาไปซัก ฟังดูหนุกหนาน ( ตรงไหน )
มารับหน่อย เราชอบพูดว่ามาเก็บหน่อย
มีอีกหลายคำ แต่เปื่อยจนคิดไม่ออกแล้ว
ถึงจะพูดคำไหน ป่วยก็คือป่วยอยู่ดี...
Create Date : 21 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 21 มกราคม 2549 14:18:47 น. |
Counter : 631 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|