The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

ฉันคือใคร

หลังจากเขียนถึงสนพ.สวนเงิน ก็เลยไปขุดเจอ "มณฑลแห่งพลัง" ของวิศิษฐ์ วังวิญญูที่อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้วซุกไว้

มีเรื่องอะไรอีกมาก แต่ตอนนี้เรื่องที่คิดคือเรื่อง "ฉันเป็นใคร"

เวลาที่เราแนะนำตัว ความเป็น "ตัวเรา" ถูกแสดงออกด้วยวิธีไหน

ขั้นแรก เรามักจะแนะนำตัวเราด้วยการบอกถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่นใช่ไหม ( ฉันเป็นลูกของ ฉันจบมาจาก ฉันทำงานที่ )

มันเหมือนกับว่าก่อนอื่นอะไรทั้งหมด เราต้องทำให้คู่สนทนาของเรายอมรับเสียก่อนว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของแพทเทิร์นและเครือข่ายความสัมพันธ์บางอย่าง และคนที่มารู้จักนั้นจะตัดสินเราจากเครือข่ายเหล่านี้

ส่วนคุณสมบัติอันเป็นนามธรรม ( ฉันเป็นคนแบบ ฉันชอบ ฉันคิด ฉันเชื่อ ) เป็นคุณสมบัติที่เรียนรู้กันทีหลัง หลังจากคำแนะนำแบบแรกได้รับการพิจารณาและยอมรับแล้ว

คุณวิศิษฐ์แกเลยบอกว่าที่จริงตัวตนของมนุษย์มันขึ้นอยู่กับ "ระบบความสัมพันธ์"

มันก็ไม่ปัจเจกดี ( เดี๋ยวนี้ปัจเจกเกินไปไม่ค่อยดี )

แต่เรามาคิดอีกที เรากลับคิดว่าแม้มนุษย์จะอยู่ในเครือข่ายความสัมพันธ์ แต่ที่จริงแล้วก็มีเครือข่ายที่ "รับได้" กับ "รับไม่ได้" มีเครือข่ายที่จะ "เสวนา" กัน และ "ไม่เสวนา" กัน

ที่จริงบางทีก็เพราะเครือข่ายแบบนี้ เราก็เลยติดตังอยู่และไม่สามารถเรียนรู้ใครอย่างที่ "เขาเป็นจริง ๆ"

แต่เราจะสามารถเรียนรู้ใครอย่างที่ "เขาเป็นจริง ๆ" หรือเปล่า เพราะว่ามันมีเรื่องวุ่น ๆ อีกเยอะ มีด้านอีกมาก มีปฏิสัมพันธ์ที่ก่อเกิดผลอันคาดเดาไม่ได้อยู่

ฉันเป็นใครอย่างนั้นหรือ ที่จริงฉันเป็นส่วนหนึ่งของระบบอันใหญ่โต

แต่ที่จริงแล้วบางทีฉันก็อยากเป็นแค่ฉันเหมือนกัน

###

ป.ล. ตอนนี้กำลังคิดว่าความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพราะมันทำลายแพทเทิร์นบางอย่าง แต่ก็สร้างแพทเทิร์นบางอย่างขึ้นมา

กำลังคิดว่าจะหาเรื่องจิตวิทยาอินเตอร์เน็ตที่คืนห้องสมุดไปก่อนอ่านจบมาอ่านอีกรอบ




 

Create Date : 05 มีนาคม 2549    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 22:24:20 น.
Counter : 543 Pageviews.  

Spiral with no end

พี่สาวคนหนึ่งพูดในกระทู้นิยายของเราว่า

- จริงๆก็คิดเหมือนกันว่าปันคงอยากบอกเรื่องพวกนี้ถึงได้เอาสารเหล่านี้ใส่เข้าไว้ในเรื่องต่างๆของปันหลายๆเรื่องเลย แต่บางทีก็แปลกใจนะ เพราะคิดว่าจริงๆแล้วเรื่องพวกนี้คนทุกคนก็รับรู้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วนี่นา แต่จะรับฟังและนำไปใช้หรือเปล่านั่นก็กลายเป็นอีกประเด็นไปซะนี่ - - คนเรานี่เข้าใจยากดีนะ ว่าไหม

เรื่องที่เราเขียนมันเกี่ยวกับการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า การแบ่งแยก ความแตกต่าง การเหยียด... ( เหยียดอะไรก็ไม่รู้ คงคล้าย ๆ เหยียดผิวละมั้ง - -'' ) โดยทั่วไปมันเป็นธีมที่เราชอบเขียนถึง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ส่วนและเนื้อหาของหนังสือ

เราคิดว่าที่พี่เขาพูดมันน่าสนใจดี

ที่จริงแล้วเราคิดว่าคนเรามีระดับที่ "รู้" กับระดับที่ "รู้สึก" ระดับที่รู้นั้นแปลว่ารู้ ซึ่งเราทุกคนก็รู้ แต่ระดับที่รู้สึกมันซับซ้อนกว่านั้น

เราคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องพบประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งถึงจะเข้าใจนะ

เราเคยอ่านเรื่องของดอกไม้สด มีอยู่ฉากหนึ่งคนในบ้านนั่งรวมกันอยู่ในห้อง คนหลานชายนั่งพิงผนังอยู่ แล้วคนเขียนก็บรรยายว่าคนหลานนั้นนั่ง "เอาเท้าชี้ไปทางคุณตา"

ดอกไม้สดเป็นนักเขียนที่ฉลาดมาก ดังนั้นจึงบรรยายแค่นั้นและไม่พูดอะไรอีก ไม่บอก ไม่สอน ไม่ทำดัดจริตว่านี่มันดีหรือไม่ดี เพราะอะไร

แต่เราอ่านแล้วเรา "รู้สึก" นะ

ตั้งแต่อ่านเรื่องนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เรานั่งอยู่กับผู้ใหญ่ เราจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจเรา และถามเราว่าเรานั่งอยู่ในท่าไหน เราทำอะไรอยู่ เรามีสติในการกระทำของเราหรือเปล่า

เราคิดว่านั่นเป็นการ "ประสบความสำเร็จ" ในฐานะของคนเขียนคนหนึ่งเลยนะ

###

เราไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อเหมือนเรา แต่เราก็ต้องบอกจุดยืนของเราด้วย คือเราเชื่อว่าการเขียนเป็นพันธกิจต่อสังคม และเป็นการสื่อสารที่มีอำนาจได้ ถ้าหากคนเขียนมีความสามารถพอ

ทำไมเราถึงเชื่อแบบนั้น ก็เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ด้วยการ "รู้สึก" มนุษย์ไม่สามารถจะทำประโยชน์อะไรจากการ "รู้" เฉย ๆ ได้ เพราะการรู้เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าการท่องว่าเมืองจันทบุรีติดทะเลและเป็นจุดยุทธศาสตร์ ความทรงจำแบบนั้นเป็นสิ่งผิวเผิน มีไว้สำหรับท่องสอบ และพร้อมจะถูกลืมไปได้ทุกเมื่อ

แต่ถ้าสามารถพาเด็กคนนึงไปที่จันทบุรี พาเดินไปแล้วชี้ให้ดู เล่าเรื่องตามสภาพที่เห็นได้ เราเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะสามารถจำ และสามารถ "รู้สึก" และในที่สุดแล้ว มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกอื่น ๆ ตามมา เช่นความผูกพันกับแผ่นดิน ความรู้สึกว่าจันทบุรีเป็น "แผ่นดินของเรา" ไม่ใช่เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ปรากฏในแผนที่ รู้สึกได้ว่าพื้นแผ่นดินของเมืองนี้ปลูกอะไร มีปัญหาอะไรและดำเนินมาอย่างไร

แต่โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถพาเด็กทุกคนไปจันทบุรีได้หรอก

ดังนั้นถึงได้มีศิลปะการเล่าเรื่องขึ้นมา และไม่ใช่ "การบอก" ที่มีแต่ข้อมูลเพียว ๆ ( ซึ่งมีประโยชน์อีกแบบหนึ่ง ) แต่เป็น "การเล่า" ที่ดึงคนฟัง/อ่านให้เข้ามาร่วมได้

ก็เหมือนกัน เราคิดว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถมีประสบการณ์กับเรื่องทุกเรื่องในชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์บางอย่างก็เป็นสิ่งสำคัญ และบางเรื่องถึงแม้จะเล็กน้อยแค่ว่าการเอาเท้าชี้ไปทางผู้ใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีคน "รู้สึก"

###

ยิงธนูดอกเดียวอาจจะไม่โดนเป้า

แต่บางทีถ้ายิงไปให้มากดอกสักหน่อย ก็คงมีสักดอกที่โดนเป้าได้มั่งหรอก




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 15:49:01 น.
Counter : 507 Pageviews.  

ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม...

วรรคทอง ซึ่งเป็นที่จดจำกันมากในมหาภารตะวรรคหนึ่งก็คือ

"ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม
แต่หามีผู้ใดเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมย่อมก่อให้เกิดความสุข
แต่เหตุไฉนเล่า จึงไม่มีผู้ปฏิบัติธรรม"


ถ้าความจำไม่ทรยศเราก่อน เราออกจะแน่ใจว่าคนพูดวรรคนี้คือยุธิษฐิระ ( หรือหนังสือไทยบางฉบับเรียกว่ายุธิษเฐียร )

และเหตุที่คนพูดเป็นยุธิษฐิระ เราจึงดูถูกคำดังกล่าวอยู่เป็นเวลาหลายปี

ยุธิษฐิระมีคุณสมบัติจะมาสอนอะไรเรา...เราคิดแบบนั้น ในเรื่องมหาภารตะ ยุธิษฐิระทำตัวเป็นคนดีวิเศษ ทุก ๆ คนในเรื่องเรียกแกว่า "ธรรมราช ๆ" บอกว่าแกเป็นตัวแทนของคุณธรรมในร่างมนุษย์

แต่ที่จริงแล้วแกทำอะไรอุบาทว์ ๆ หลายอย่าง เช่นเล่นพนันจนเสียบ้านเสียเมืองไม่พอ ยังเอาน้องและเมียไปเป็นสินพนันด้วย

เช่นเพื่อจะเอาชนะในการรบให้ได้ ก็โกหกอาจารย์

เราจึงคิดว่ายุธิษฐิระไม่มีคุณสมบัติจะมาสอนเรา และยิ่งไม่มีคุณสมบัติจะพูดคำเฟค ๆ อย่าง "ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม"

แต่...หลายปีผ่านไป เราเริ่มรู้สึกว่า

มนุษย์นี่มีความหวังเยอะนะ

คาลิล ยิบราน เขียนนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีฤาษีรูปหนึ่งมักจะให้คำปรึกษากับสัตว์ต่าง ๆ บางทีก็ให้คำปรึกษาเรื่องคู่ครอง และสัตว์ทุกตัวก็เชื่อฟัง เอาคำสอนไปปฏิบัติตามก็เห็นผลดี

วันหนึ่ง มีสัตว์ตัวหนึ่งถามว่า "ข้าแต่ฤาษี ท่านเคยมีคู่หรือ"

ฤาษีบอกเราถือเพศพรหมจรรย์ มีคู่ไม่ได้

สัตว์ทุกตัวก็ร้องออกมาทันทีว่า ในเมื่อฤาษีไม่เคยมีคู่ ฤาษีเอาด๋อยที่ไหนมาสอนวิธีครองคู่ให้ชาวบ้าน ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนไปหาฤาษีอีก ฤาษีก็เศร้าร้องไห้

นี่...

พวกเรานี่คาดหวังกันเยอะจังนะ

เรารู้ว่าตัวเราเป็นคนธรรมดา ไม่มีวันจะดีพร้อม แต่เราก็อยากเชื่อเหลือเกินว่าที่ไหนสักแห่งจะมีคนดีพร้อม และคนดีพร้อมคนนั้นจะมาสั่งสอนให้เราเป็นคนดี หรือไม่อย่างนั้นก็มีตัวตนอยู่เพื่อให้เรายึดเป็นที่พึ่งทางใจได้

แต่ในขณะเดียวกัน ในช่องชั้นอันลึกของหัวใจ เราก็สงสัยในความดีพร้อม และพร้อมจะ "เลิกเชื่อ" ทันทีที่มีคนมาพูดอะไรไม่ดี ทั้งที่มันก็อาจจะเป็นเพียงคำพูดซึ่งหาข้อพิสูจน์อะไรไม่ได้

หลายปีก่อน เราเคยมีอาจารย์นับถืออยู่คนหนึ่ง เราไม่ได้รู้จักท่านดี เพียงแต่นับถืออยู่ห่าง ๆ

จู่ ๆ ก็มีคนมาบอกเราว่า "อาจารย์คนนั้นไม่ดีอย่างที่เห็นหรอก"

คำเดียวเท่านั้นเอง...หัวใจเรามันก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

ทำไมเราถึงพร้อมจะมองอะไรในแง่ร้ายนะ

ทำไม เราถึงยอมรับคนคนหนึ่งในฐานะมนุษย์ไม่ได้

ทำไมเราต้องคิดว่าคนคนหนึ่งต้องดีเองก่อน ถึงจะมีสิทธิ์มาสอนเรา

และก็...ทำไมเราถึงไม่สามารถมองคำสอนในฐานะที่เป็นคำสอนโดยปราศจากอคติได้

###

ตอนนี้เราเห็นด้วยกับยุธิษฐิระ ( แม้ว่าเราจะยังเหมือนเดิมว่าแกไม่ใช่คนที่ใครควรจะสรรเสริญขนาดนั้นหรอก )

เราคิดว่าจริง คนจำนวนมาก "ชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม" และจริง..."ธรรมก่อให้เกิดความสุข แต่ไม่มีใครปฏิบัติ"

เราคิดว่าเพราะธรรมมันยาก

การตั้งอยู่ในธรรมมันยาก การที่จะไม่อยากได้ของดี เสื้อผ้าสวย ของกินอร่อย การที่จะไม่โกรธเกลียดแค้น การที่จะไม่อยากได้ผู้หญิงสวย ๆ ผู้ชายหล่อ ๆ การที่ไม่อยากโด่งดัง ไม่อยากมีเชื่อเสียง การที่ถูกด่าแล้วจะไม่โต้ตอบคำด่า

การที่ทุกคนเชื่อเสียแล้วว่าการเก็บกดความต้องการทั้งหมดจะทำให้เป็นโรคประสาท

ทุกอย่างมันยากจริง ๆ แค่ก้าวออกไปจากบ้าน แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละนาที เรื่องที่จะเข้ามากระทบมันก็มากมายเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง

และโลกที่เราช่วยกันสร้างขึ้นทุกวันนี้ มันก็ไม่อำนวยจะให้เราตั้งอยู่ในความสงบได้ มันเป็นโลกที่หัวเราะเยาะความสงบ

โลกของเราซับซ้อนขึ้นทุกที ความรู้สึกของมนุษย์ถูกใช้มากขึ้นทุกที การ "ให้ความสนใจ" การ "เอาใจใส่" กลายเป็นสินค้า เป็นข้อดีที่สามารถมาเป็น "จุดขาย" ได้

เมื่อมันไม่ได้มาอย่างสุจริต คนก็เลิกเชื่อมันอย่างสุจริต คนทุกคนก็ต้องคิดว่าเขาดีกับเราเพราะเขาอยากได้บางอย่างจากเรา

และเมื่อคนทุกคนต่างคนต่างทึ้งกันคนละมือ พยายามเสียเปรียบให้น้อยที่สุด สุขให้มากที่สุดแล้ว

โลกก็ไม่มีความสุขหรอก

###

ยุธิษฐิระ ไม่ต้องสงสัยหรอก

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีคนปฏิบัติธรรม

ธรรมนั้นยาก มนุษย์มีธรรมชาติจะลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ทั้งที่มนุษย์ก็รักสิ่งที่อยู่สูง อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกัน การกระทำของคนคนหนึ่งจะส่งผลต่อคนอื่น ๆ ถ้าเธอแตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่แน่หรอกว่าเธอจะปลอดภัย

ไม่แน่หรอกว่าเธอจะไม่ถูกหัวเราะเยาะ เพราะความดีเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากเย้ยหยัน เรียกชื่อมันใหม่ว่า "ความโง่" เสียแล้ว

ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าถ้าตัวเองปล่อยมือไป ตัวเองจะปลอดภัย ตัวเองจะมีความสุข

เพราะอย่างนั้น ทุกคนถึงได้สร้างโลกแบบนี้ขึ้นมา เพราะอย่างนั้น ห่วงโซ่ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนจึงไม่เคยขาดตอน เพราะอย่างนั้น ทั้งที่มนุษย์สัมพันธ์กันไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ก็ยังคงฆ่ากัน

ยุธิษฐิระ เราเห็นใจท่าน เราเข้าใจว่าท่านพยายามจะทำอะไร

แต่ยุธิษฐิระ แม้กระทั่งสิ่งที่ท่านทำ ความผิดที่ท่านก่อ มันก็ไม่พิสูจน์หรือว่า

มันยากจริง ๆ ที่จะให้ทุกคนปฏิบัติธรรม

...มันยากจริง ๆ




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2549 13:19:12 น.
Counter : 579 Pageviews.  

แปรงสีฟันตลอดกาล

ขนแปรงสีฟันเราบานแล้ว

ซึ่งแปลว่าต้องเปลี่ยนแปรง

สมัยเด็ก ครูสอนเรื่อง "วิธีการแปรงฟันอย่างถูกต้อง" ไม่รู้ว่าครูจะสอนใครได้สำเร็จบ้าง แต่ยัดความรู้นี้เข้ากบาลเราไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำให้แปรงสีฟันของเรามีชีวิตนานขึ้นได้ ( แต่ฟันของเราก็ค่อนข้างโอเค )

เรานั่งดูแปรงสีฟันบาน ๆ ของเรา แล้วเราก็คิดว่า "แปรงสีฟันนี่น่าเบื่อเป็นบ้า"

แน่นอน รูปแบบแปรงสีฟันก็ปรับปรุงกันมาเรื่อย ๆ ดู ๆ แล้วก็อาจจะเฉี่ยวกว่าสมัยก่อนนิดหน่อย

แต่ยังไงแปรงสีฟัน ( อย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ในโลก ) ก็เป็นของใช้แล้วทิ้ง เพราะไม่กี่เดือนมันก็บานแฉ่งและกระจุย หรือถ้าไม่บานและกระจุย เราก็ออกจะไม่ไว้ใจในความสะอาดของมัน

และด้วยเหตุที่ใช้แล้วทิ้ง แปรงสีฟันจึงหน้าตาออกจะมหาชน อันที่แปลก ๆ เราเคยเห็นแต่ในคอลัมน์ "เจ้าความคิด" ในพลอยแกมเพชร ซึ่งหน้าตามันก็ไม่ถูกจริตเรา

เรานั่งคิดว่าอะไรสักอย่างที่ส่วนตัวถึงขนาดมีคนพูดว่า "ซี้กันมากจนแลกกันใช้ทุกอย่างได้ ยกเว้นแปรงสีฟันกะเมีย" มันน่าจะทำให้น่าสนใจขึ้นมาได้ ต้องแปรงวันละสองครั้ง ถ้าหน้าตามันน่ารักน่าชัง เวลาแปรงฟันคงแฮปปี้ แล้วก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องเป็นยัยเด็กยิ้มแฉ่งในโฆษณายาสีฟัน ( ซึ่งถูกจ้างให้ยิ้มแฉ่ง )

เรามีดินสออยู่แท่งหนึ่ง ได้มาจากเมืองอเมริกาเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ครึ่งหนึ่งเป็นปากกา อีกครึ่งเป็นหลอดพลาสติกแข็ง ๆ ใส ๆ เกือบจะเหมือนหลอดแก้ว ข้างในใส่หินสีเล็ก ๆ เยอะ ๆ สวยมากจนป่านนี้ก็ไม่เคยเหลามาใช้ ได้แต่เก็บไว้ดู

เราอยากให้แปรงสีฟันทำด้ามงาม ๆ แบบต่าง ๆ คล้าย ๆ อย่างนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นด้าม แล้วก็ให้ด้ามนั่นแหละไม่ต้องเปลี่ยน ส่วนหัวก็เปลี่ยนทุกครั้งที่ขนแปรงบาน

ถ้าเป็นแบบนั้นคงรักแปรงสีฟันแย่ แถมอาจจะเปลืองพลาสติกโลกน้อยลงนิดหน่อย

แต่คิดดูอีกที แปรงสีฟันก็เป็นของใหม่มาก สมัยก่อนเขาก็ใช้เกลือกันมั่ง ใช้กิ่งข่อยกันมั่ง ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน

แต่คนสมัยก่อนก็มีตลับหมากงาม ๆ เป็นชุดใหญ่ ๆ ใส่หมากใส่พลู บุหรี่ สีผึ้งเหมือนกัน

ถ้าเรามีด้ามแปรงสีฟันสวย ๆ มั่งคงครึ้มดี

#

หลังจากสำรวจแล้ว ก็พบว่าแปรงแปลก ๆ นั้นส่วนใหญ่เป็นแปรงเด็ก แบบอันนี้



หรือไม่งั้นก็ออกแบบเพื่ออัตถประโยชน์ เช่นยัดยาสีฟันไปด้วย แบบนี้



แหม แต่เราอาร์ตกับแปรงสีฟันโดยไม่ต้องเป็นแบบเด็ก ๆ หรือแบบเอนกประสงค์ไม่ได้เหรอ...




 

Create Date : 26 มกราคม 2549    
Last Update : 26 มกราคม 2549 21:22:00 น.
Counter : 492 Pageviews.  

เปื่อย...

เราเปื่อย

ซึ่งแปลว่าเราป่วย

แต่ทำไมถึงชอบใช้คำว่าเปื่อยแทนคำว่าป่วยก็ไม่รู้

อาจจะเพราะว่าคำบางคำพูดไปตรง ๆ แล้วมันดูไม่มีกิ๊กเลย ไม่สนุก

เอาหมาไปอาบน้ำ เราชอบพูดว่าเอาหมาไปซัก

ดีออกนะ เอาหมาไปซัก ฟังดูหนุกหนาน ( ตรงไหน )

มารับหน่อย เราชอบพูดว่ามาเก็บหน่อย

มีอีกหลายคำ แต่เปื่อยจนคิดไม่ออกแล้ว

ถึงจะพูดคำไหน ป่วยก็คือป่วยอยู่ดี...




 

Create Date : 21 มกราคม 2549    
Last Update : 21 มกราคม 2549 14:18:47 น.
Counter : 631 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.