|
ว่าด้วยหนังฮีโร่ ( บทความเก่า ๑ )
บทวิเคราะห์หนังสือเรื่องอิงสง ( Hero ) เขียนมานานแต่ปางก่อน
###
เรื่องฮีโร่เป็นเรื่องของมือสังหาร ซึ่งมีความประสงค์สูงสุดที่จะฆ่าจ้าว ครองรัฐฉิน ( ฉินอ๋อง ) เหตุที่จะฆ่าเป็นเพราะในเวลาดังกล่าวประเทศจีน แตกออกเป็นรัฐต่าง ๆ จำนวนมาก แต่ละรัฐมีสภาพเป็นเหมือนประเทศ เอกเทศ มีวัฒนธรรม ภาษาและตัวอักษรของตนอย่างชัดเจน แต่จ้าว ครองรัฐฉินต้องการจะรวมทุกประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งย่อมหมาย ความว่าจะทำให้รัฐเหล่านั้น "สิ้นชาติ" สูญเสียวัฒนธรรมที่มีมานั่นเอง
อันที่จริงเรื่องมือสังหารที่จะคิดจะฆ่าฉินอ๋อง ( ต่อมาคือจิ๋นซีฮ่องเต้ ) นั้น มีคนทำมามากแล้ว ที่นิยมกันคือมือสังหารชื่อจิงเคอ ซึ่งเป็นคนมีชื่อ บันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่มือสังหารในเรื่องฮีโร่ไม่ได้ชื่อจิงเคอ เป็น คนไม่มีชื่อ อีกประการหนึ่ง เรื่องที่เล่าในหนังฮีโร่ก็ไม่ใช่เรื่องของมือสัง หารฆ่าคน แต่เป็นเรื่องของมุมมอง
หนังเริ่มต้นเมื่อมือสังหารที่เรียกตนเองว่า อู๋หมิง ( ไม่มีชื่อ ) ได้เข้าพบ ฉินอ๋องเพื่อรับรางวัลที่ได้ฆ่ามือสังหารอีกสามคนซึ่งฉินอ๋องเคยตั้งค่าหัว ไว้ ฉินอ๋องถามเขาว่าฆ่ามือสังหารทั้งสามนั้นอย่างไร ครั้นแล้วเรื่อง ในหนังฮีโร่ก็วนเวียนอยู่ที่การเล่าเรื่องชะตากรรมของมือสังหารและอู๋หมิง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่อย ๆ เรียงซ้อนกันโดยเริ่มที่เรื่องโกหกสมบูรณ์แบบซึ่ง อู๋หมิงเล่าให้ฉินอ๋องฟัง ครั้นแล้วฉินอ๋องก็โต้ตอบด้วยความคิดของตน จนความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดค่อย ๆ กระจ่างขึ้นในใจคนดูทีละน้อย กระ ทั่งในที่สุด "ความจริงที่จริงแท้" ก็ปรากฏ
หนังเรื่องนี้ นอกจากเรื่องที่เล่าซ้ำกันหลายรอบด้วยมุมมองของบุคคล ต่าง ๆ แล้ว ยังใช้สีสัญลักษณ์มากเป็นพิเศษ เมื่อดูแล้วจึงเกิดความ รู้สึกว่า "ความคิดก็มีสี" ขึ้นมา
ในตอนแรก เมื่ออู๋หมิงมาพบฉินอ๋อง ใจเขามีความครุ่นแค้นเกลียดชัง เขาอยากฆ่าฉินอ๋องที่ทำลายแคว้นของเขา มีทั้งความโกรธ ความเกลียด ความหวาดกลัวอยู่ในจิตใจ ดังนั้นเรื่องที่อู๋หมิงเล่าจึงเป็นเรื่องที่เต็มไป ด้วยกิเลสตัณหาและเป็นสีแดงฉาน เป็นเรื่องที่ทุกคนในเรื่องมีอารมณ์ รุนแรง ทั้งยังเป็นอารมณ์ด้านลบอันประกอบด้วยความโกรธเกลียด โลภ หลงและความโง่เขลาเบาปัญหา เมื่ออู๋หมิงเล่าเรื่อง เขาเห็นภาพของ กองทัพฉินที่ยิงธนูสีดำสนิทเข้าสู่สำนักสอนคัดลายมือของแคว้นจ้าวว่า เป็นเสมือนแคว้นฉินที่กำลังจะทำลายวัฒนธรรมของแคว้นจ้าวให้ย่อยยับ ใจเขาคิดว่าต้องสู้ ต้องต่อต้าน ดังนั้นแม้ว่าธนูนับพันดอกจะพุ่งมา ตัวเขาในเรื่องก็ออกไปปัดป้อง และคนในสำนักคัดลายมือนั้นก็ยังคง คัดลายมือต่อไปไม่เลิกรา
ทว่าฉินอ๋องจับความผิดพลาดในเรื่องเล่าของอู๋หมิงได้ และชี้ช่องว่า แท้จริงแล้วอู๋หมิงไม่ได้ฆ่ามือสังหารทั้งสาม ทว่ากลับร่วมมือกับมือสัง หารเหล่านั้น ทำเป็นว่าฆ่า และมาขอรางวัลกับฉินอ๋อง เพื่อจะได้มีโอ กาสเข้าถึงตัวฉินอ๋องต่างหาก ครั้นแล้วฉินอ๋องก็เล่าเรื่องราวในความ คิดของตนให้อู๋หมิงฟัง
ความคิดของฉินอ๋องเป็นสีฟ้าเหมือนน้ำแข็ง ตัวละครทุกตัวในเรื่องเล่า ของอู๋หมิงซึ่งเคยปล่อยเสื้อผ้าผมเผ้ารุงรัง ทั้งยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณ หาเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีฟ้า ทำผมแน่นหนาเรียบร้อย ซึ่งอาจเทียบได้กับ ความเยือกเย็น สติอันดีเลิศ และความคิดอันเป็นระเบียบของฉินอ๋อง ฉินอ๋องวิเคราะห์ "เรื่องจริง" ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าเยือกเย็น ดังนั้นตัว ละครในตอนเรื่องเล่าของฉินอ๋องจึงเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ความ รักและความชังของตัวละครเป็นไปอย่างอุดมคติและสวยงาม เหมือนน้ำ แข็ง เหมือนน้ำนิ่งสีฟ้า
อู๋หมิงยอมรับว่าเรื่องที่ฉินอ๋องเล่ามีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง ทว่าก็มิได้ถูก ต้องหมดสิ้น เพราะฉินอ๋องไม่เข้าใจตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องเล่านั้น ที่ ชื่อว่า ฉานเจี้ยน ( กระบี่หัก ) ฉินอ๋องถามว่าตนไม่เข้าใจอย่างไร อู๋หมิง จึงได้เล่าความคิดของฉานเจี้ยนให้ฉินอ๋องฟัง
ความคิดของฉานเจี้ยนเป็นสีเขียว เป็นสีเดียวกับธรรมชาติและสรรพ สิ่งทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะฉานเจี้ยน "เข้าใจ" ถึงความจริงของโลกและละ วางแล้ว เขาบอกอู๋หมิงว่าไม่ควรสังหารฉินอ๋อง เพราะการกระทำเช่น นั้นเท่ากับสูญเสียประโยชน์บางอย่างซึ่งจำเป็นแก่แผ่นดินจีน
ครั้นแล้วความคิดทั้งหลายก็หมดไป ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว เพราะ ความจริงนั้นเป็นสีขาว ส่วนสีเกิดเพียงในความคิดของคน สีเป็นเพียง ตัวแทนมุมมอง ซึ่งอาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ เป็นสิ่งที่ถูกดัดไปตามความ ปรารถนาของแต่ละบุคคล เรื่องราวหลังจากนี้ล้วนแต่ดำเนินไปในรูปของ "สีขาว" ซึ่งเป็นการถอยห่างจากความคิดของตัวละครในเรื่อง ปล่อยให้ เราเป็นเพียงผู้ชม และให้เราใส่ความคิดลงในสีขาวนั้นด้วยตัวเราเอง
นอกจากนั้น หนังก็ยังเสนอ "สีดำ" ขึ้นในความจริงสีขาวด้วย สีดำเป็น สีชุดเครื่องแบบของแคว้นฉิน ฉินอ๋องอาจมีความคิดสีฟ้า แต่ตัวเขาใส่ เครื่องแบบดำ อู๋หมิงก็ใส่เครื่องแบบดำ และข้าราชบริพารตลอดจน ทหารและกระทั่งอาวุธของแคว้นฉินก็เป็นสีดำ ข้าราชบริพารเหล่านั้นบอก ฉินอ๋อง เขาร้องซ้ำซากว่าให้ฉินอ๋องฆ่าอู๋หมิงเสีย เสียงร้องของพวกเขา กระแทกเหมือนคลื่นราวกับไม่ใช่ความจริง ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภาย ในตัวฉินอ๋องเอง ราวกับเป็นคำร้องเรียกของกฏหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่ฉินอ๋องตั้งขึ้นเป็นเกณฑ์สำหรับปกครองแคว้นนั่นเอง
กฏระเบียบต่าง ๆ เป็นสีดำ
บางทีหนังอาจจะอยากบอกเราว่าความจริงเป็นสีขาว ทว่ากฏระเบียบ เป็นสีดำ และในที่สุดแล้ว สีดำก็จะกลืนกินทุกสีเข้าไปภายใน สีดำย่อม กลืนสีอื่น ๆ และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวมันเอง ฉินอ๋องปรารถนา จะสร้างสังคมที่ราบคาบและเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นจึงต้องใช้สีดำเป็นเครื่อง มือ
เมื่อพูดถึงสีดำนี้แล้ว ก็ให้นึกถึงเรื่องที่อ่านเจอในมติชนเมื่อหลายวันก่อน เขาพูดถึงจางอี้โหมวที่เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เขาว่าเมื่อก่อนจาวอี้โหมว มีแต่จะทำหนังต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์และเปิดโปงความชั่วร้ายของสัง คมจีนในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม แต่บางทีเมื่อทำหนังเรื่องนี้ จางอี้โหมว คงจะถูกซื้อตัวกระมัง เพราะเนื้อหนังที่ยกย่องการ "รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง" เพื่อ "กำจัดทุกข์เข็ญจากสงครามระหว่างรัฐ" นั้นดูเหมือนจะเป็นการยก ย่องพรรคคอมมิวนิสต์ที่ควบคุมประเทศจีนทั้งประเทศให้ราบคาบอยู่ในกฎ ระเบียบเดียวเหลือเกิน
แต่ในความคิดเห็นของเรา เราอยากจะตีความไปอีกอย่างหนึ่ง เราคิด สังคมทุกสังคมก็เป็นสีดำทั้งนั้นเท่า ๆ กับที่สังคมทุกสังคมต้องมีกฏระ เบียบของตนเอง ถ้าหากบุคคลไม่เคารพกฏระเบียบบางประการของ สังคม เขาก็อาจล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น และสร้างความเสียหายขึ้น เราคิดว่ากฏถูกสร้างเพื่อให้ทุกคนมีบางอย่างเหมือนกัน และเพื่อให้สัง คมสงบสุข
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าหากพิจารณาตัวฉินอ๋องเอง เขาใส่เสื้อสีดำ แต่ ความคิดของเขาเป็นสีฟ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจตีความได้ว่ากฏที่หนัง สนับสนุนนั้นไม่ได้กินเข้าไปถึงแก่นไส้ของคนแต่ละคน อิสระทางความ คิดยังคงเป็นไปได้ในสังคม และทำให้มนุษย์แต่ละคนแยกขาดจากคน อื่น ๆ เป็นของที่ควรมีอยู่ ทั้งยังยอมรับได้แม้แต่ในสังคมสีดำ
เราอยากคิดว่าจางอี้โหมวอาจจะเริ่มเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เหมือนอย่างฉานเจี้ยน แล้ว บางทีสีสันต่าง ๆ ฉูดฉาดมากมาย บางทีสีแดงที่แดงฉานอาจจะ ไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้น บางทีการที่แต่ละสังคมมีกฏระเบียบของตน ดำ เนินไปตามครรลองของตน บางทีการที่คนในสังคมมีความสุขอาจจะมี ค่ายิ่งกว่าการร้องตะโกนต่อต้านไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อร้องไปแล้ว ก็ไม่ ทราบว่าผลที่ได้รับคืออะไร ความสะใจที่ได้เปิดโปง หรือว่าการชำระ ความแค้น และเมื่อเปิดโปงชำระความแค้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก นั้นคืออะไร ...เป็นเหมือนเฟยเซี่ย ( หิมะเหิน ) ในเรื่องที่กว่าจะเข้าใจก็ เมื่อสายไปแล้วใช่หรือไม่
...หรือว่าในขณะนี้เรากำลังเขียนบทความนี้ เราเพียงแต่ใส่สีให้จางอี้ โหมวโดยที่เราเองไม่รู้ตัว เราใส่สีให้โลกอย่างที่เราชอบ เหมือนอย่าง คนเขียนมติชนใส่สีอย่างที่เขาชอบ บางทีจางอี้โหมวอาจจะแค่อยากบอก ว่า โลกนี้แท้จริงแล้วเป็นสีขาว คนเราต่างหากที่สร้างสีอื่น ๆ ขึ้นมาใน ใจของตน เราอาจใส่สีให้คนอย่างฉินอ๋อง ซึ่งรู้กันดีจากประวัติศาสตร์ แล้วว่าแท้จริงเป็นคนโหดเหี้ยม ให้กลายเป็นคนดีและเต็มไปด้วยอุดม การณ์ได้ ความจริงสีขาว แต่คนเราป้ายสีให้มันด้วยความเป็นมนุษย์ ของเรา
บางทีเรื่องต่าง ๆ ในโลกอาจจะเป็นแค่เรื่องของมุมมองเท่านั้นเอง
Create Date : 25 เมษายน 2549 |
Last Update : 25 เมษายน 2549 9:45:20 น. |
|
2 comments
|
Counter : 653 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Or[A]nGe IP: 61.47.100.122 วันที่: 9 มิถุนายน 2549 เวลา:13:03:58 น. |
|
|
|
| |
|
|