The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
สติปัญญากับหัวใจ

เคยเขียนในบล็อครีวิวบาคุมัง (ถ้าเป็นมังงะควรอ่านว่าบาคุมังสินะ) เกี่ยวกับ plot-based และ character-based เอาไว้ ก็ยังคิดมาถึงตอนนี้ แต่ว่าที่แบ่งไว้ก็ยังหยาบมาก ๆ หยาบไปหน่อย แต่ยังนึกการแบ่งที่ดีกว่านี้ไม่ได้

ที่จริงเคยแบ่งไว้อีกแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้บันทึกไว้ คือ เขียนออกจากตัว กับเขียนมาจากข้างนอก เขียนออกจากตัวหมายถึงคนเขียนรู้สึกด้วยอย่างยิ่ง ตัวละครรู้สึกอะไรคนเขียนก็รู้สึกด้วย เป็นหนังสือแบบที่มีอารมณ์ร่วม ส่วนแบบที่เขียนออกมาจากข้างนอกคือคนเขียนทำตัวคล้าย ๆ ผู้สังเกตการณ์ ไม่ได้ร่วมด้วยในแง่อารมณ์ ไม่ได้ทำให้คนอ่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละคร แบบเห็นยังไงก็รีพอร์ตอย่างนั้น

ที่จริงแล้วมันหยาบมาก เพราะในจังหวะการเขียนเรื่อง มีทั้งสองแบบอยู่ด้วยกัน ที่เห็นชัด ๆ ว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้นแน่ ๆ ไม่ค่อยมี

ก่อนนี้เคยมีคนบอกว่า มหายาน (หรือเปล่า) จำไม่ได้ จะมี "ฐานคิด" กับ "ฐานใจ" ซึ่งหมายความว่าใช้เหตุกับผล หรือว่าใช้ใจ คิดไปคิดมาแล้วก็ลงในล็อคเดียวกันอีก คือการใช้เหตุใช้ผลจะนำไปสู่การเขียนเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่การใช้ใจจะนำไปสู่การเขียนเรื่องที่สัมผัสอารมณ์ได้ ทั้งสองอย่างก็ดีคนละอย่าง (ถ้าพัฒนาไปถึงที่สุด)

ดังนั้นจึงเรียกว่า "พล็อต" กับ "คาแรคเตอร์" ก็ไม่ถูก ควรเรียกว่า "ฐานคิด" กับ "ฐานใจ"

แต่ถ้าถามว่าพัฒนายังไงถึงจะดี ก็ไม่รู้เหมือนกัน

จขบ.นั่งอ่านบาคุมังมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคนเขียนนี่มันหนักหัวมาก กลับไปอ่านเรื่องเดธโน้ตก็รู้สึกเหมือนกัน (แต่ไม่ได้อ่านฮิคารุ) เหมือนกับว่าคนเขียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับอารมณ์ค่อนข้างจำกัด และมีหลายอารมณ์ที่พรีเซนต์ออกมาให้ฟีลไม่ได้ เรียกได้เลยว่า "หลอก" แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่ตัวคนเขียนเข้าใจเอง เช่นเวลาทำงาน หรืออารมณ์ตื่นเต้น จะเข้าใจและพรีเซนต์ออกมาได้ดี

และก็มีเรื่องหลายเรื่องเหมือนกัน (ที่ตอนนี้ยังนึกตัวอย่างไม่ออก) ซึ่งฟุ้งอย่างยิ่ง รู้เลยว่าคนเขียนเขียนด้วยความฟุ้ง เขียนโดยใช้อารมณ์ ไม่ได้กดไว้แต่ประการใด แต่ปัญหาของการฟุ้งก็คือมันจะถึง "เฟื่อง" ได้ง่าย คืออารมณ์มันก็คืออารมณ์ แต่ว่าถ้าไม่มีเบสบางอย่างรองรับ มันจะไม่สมจริงได้ง่ายมาก ๆ เรื่องหลายเรื่องที่เคยเรียกน้ำหูน้ำตา จขบ.เมื่อเด็ก พอแก่แล้วอ่านอีกรอบกลับพบว่ามันเฟื่องเอามาก ๆ จนถ้าลองได้นึกถึงตรรกะแล้ว ก็จะเสียไปเลย และเมื่อเสียไปแล้ว อารมณ์ก็จะพลอยลอยหายไปด้วยเหมือนกัน

ดังนั้นมันก็เลยอยู่ด้วยกัน

จขบ.เป็นมนุษย์ฐานใจ เป็นคนใช้อารมณ์ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจขบ.เป็นฮิสทีเรีย แต่หมายความว่าเป็นคนค่อนข้างเซนซิทีฟ สักสองสามเดือนก่อนนี้ นั่งรถไปกับเพื่อนและแฟนของเพื่อน ซึ่งเป็นช่างปั้น เขาชี้ให้ดูตึกหลังหนึ่งที่วางจานดาวเทียมไว้ในตำแหน่งเดียวกันหมด และบอกว่า "สวย" จขบ.ยังไม่สามารถเห็นสวยอย่างเขาได้ในกรณีนี้ แต่บอกได้ว่าความเซนซิทีฟของจขบ.เป็นประมาณนี้ คือมันเห็น "สวย" เห็น "เศร้า" โดยที่บางครั้งไม่ตั้งคำถามและไม่ต้องการเหตุผลรองรับ สวยก็คือสวย

แต่แน่นอนว่าถ้าหากใช้อารมณ์มากเกินไป เหตุผลที่สูญหายก็จะทำให้ถูกชาวบ้านเหยียบ ตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงป่านนี้ จขบ.ถูกชาวบ้านเหยียบมาหลายร้อยหนแล้ว ด้วยเหตุว่ามีอารมณ์ต่อสิ่งตรงหน้า แล้วไม่ได้สาวหางมันต่อไป คืออารมณ์ ณ จุดนั้น คืออารมณ์ ณ จุดนั้น ชาวบ้านที่พร้อมจะหักหน้าประมาณว่า แกไม่คิดต่อเลยเรอะ แบบนี้เจอเสียจนกระทั่งมีช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตที่ จขบ.กลายเป็นโรคระแวงขนาดหนัก ไม่กล้าชมตรง ๆ ว่าสวย ไม่สามารถพูดชัด ๆ ได้ว่าชอบหรือดี เพราะกลัวว่าจะกลายเป็น "โง่"

คิดว่าคนที่เป็นฐานคิดก็คงมีช่วงที่ถูกหาว่าไม่รู้จักใช้ใจ และมีบางช่วงที่อึดอัดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน (เว้นแต่ปิดขนาดหนัก คนฐานใจก็คงมีพวกปิดขนาดหนักเหมือนกัน)

ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจาก จขบ.เป็นคนให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดอารมณ์ จขบ.จึงมีระบบเซนเซอร์ในตัวเองที่เรียกว่า "จริง" กับ "หลอก" เวลาที่พูดว่า "จริง" ไม่ได้หมายความว่าจริงในแง่โลกของความเป็นจริง แต่คือจริง ณ ขณะนั้น เวลาที่จขบ.อ่านงานเขียน จริงหมายความว่า คนเขียนรู้สึกอย่างนั้นจึงเขียนอย่างนั้น หรือตัวละครรู้สึกอย่างนั้นจึงพูดอย่างนั้น ส่วนเวลาที่พูดว่า "หลอก" หมายความว่า คำพูดนี้ ความคิดนี้ เป็นการยัดปากหรือยัดเยียดกัน เมื่อไรก็ตามที่ จขบ. เจอการ "หลอก" จขบ.จะเริ่มเบื่อ และอ่านข้าม เพราะการ "หลอก" เป็นบันไดขั้นแรกไปสู่คลีเช่

มีคนหลายคนพูดเกี่ยวกับคลีเช่ ถึงขั้นเหยียดหยามดูถูก และเสนอให้นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ มากกว่า แต่จขบ.คิดว่าสิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่เป็นคลีเช่หรือเปล่า แต่อยู่ที่คนเขียนสัมผัสอารมณ์ที่แท้ของตัวละครได้ขนาดไหน ถ้าหากว่าสัมผัสได้ แม้เรื่องน้ำเน่าที่สุดก็จะเปิดเผยความจริงบางอย่างออกมา ที่จริงแล้ว จขบ.เห็นว่าความน้ำเน่านั้นน่าจะมีบางอย่างที่สำคัญอยู่ด้วย เพราะถ้าหากมันไม่สำคัญ คนก็คงไม่เอามาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนถูกเรียกว่า "น้ำเน่า" มันย่อมตอบสนองอะไรบางอย่างในตัวเรา ไม่อย่างนั้นจะปรากฏซ้ำบ่อย ๆ ไปด้วยเหตุอันใด

แต่แน่นอนว่าบางครั้งความน้ำเน่าก็เป็นเพียงการผลิตซ้ำการตอบสนองทางอารมณ์บางอย่าง เหมือนการเสพยาเพื่อให้เกิดความสบายใจ ถ้าหากมันเป็นเพียงการผลิตซ้ำจริง ๆ ก็เป็นอาหารกินชั่วครั้งชั่วคราวซึ่งไม่ทำให้อิ่มได้นาน

ส่วนงานที่พยายามไม่คลีเช่ แต่ว่าเขียนอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอารมณ์ร่วม และไม่สะท้อนความจริงบางอย่าง หรือไม่แม้กระทั่งสร้างความอัศจรรย์ตื่นตา จขบ.มักรู้สึกว่าเป็นสิ่งแห้งแล้งอย่างยิ่ง มีหลายครั้งหลายหนที่จขบ.รู้สึกว่า หากเราใช้สติปัญญามาก ๆ แต่ถ่ายเดียว เพื่อสร้างความประทับใจ สิ่งนั้นจะยิ่งออกมาแห้งแล้ง (แม้จะทำให้คนผลิตงานดูฉลาด) ในเรื่อง Pilgrim's Regress ของ ป๋าลิวอิส มีอยู่ตรงหนึ่งที่เล่าเรื่องปราชญ์สามคนที่ฝันจะสร้างทุ่งดอกไม้บนที่แล้งโพด ๆ จขบ.เห็นด้วยกับลุงแกมากว่า ที่แล้งตรงนั้น (แนวความคิดที่ปฏิเสธความชุ่มฉ่ำของอารมณ์ไปหมดเรียบแล้ว) ไม่มีทางปลูกดอกไม้ได้

มันก็เป็นเรื่องของสติปัญญากับหัวใจ


Create Date : 18 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 14:59:50 น. 6 comments
Counter : 421 Pageviews.

 
อ่านแล้วเหมือนจะเข้าใจ
แต่ก็ไม่แน่ใจ
มีความคิดคล้ายๆ กัน
โดยเฉพาะ ระบบเซนเซอร์
แต่ของเราน่าจะเป็นระบบเบรกมากกว่า

^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:10:28 น.  

 
อื้มมม ไม่รู้ที่เข้าใจนี่เข้าใจถูกหรือเปล่า

แต่เมื่อก่อนเราจะใช้ชีวิตแบบคนที่มีฐานคิดเป็นแกนกลางของชีวิตเลยแหละ เวลาเขียนงาน ต้องพยายามปรับตัวเองเข้าโหมดฐานใจ

แต่พอห่างจากงานเขียนมา ก็ไม่ค่อยได้ใช้ฐานใจเท่าไหร่ จนเกิดเรื่องเฮิร์ทกับชีวิต ตั้งแต่นั้นมา ระบบฐานคิดในตัวก็พังทลาย ตอนนี้คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบฐานใจเป็นหลักเลยค่ะ ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:21:45 น.  

 
กลับมาคิดถึงฐานใจ ก็นึกถึง genre แนวหนึ่งที่คนมักเหยียดหยาม คือ เมโลดราม่า ข้อติหลักคืออารมณ์เอ่อท้นเกินไป เอะอะอะไรก็เร้าอารมณ์ พล็อตเรื่องไม่สมจริง

แต่เคยดูหนังเมโล หรืออ่านนิยายที่คนอ่านกับนักวิจารณ์บางคน (หรืออาจจะหลายๆ คน) ตราหน้าว่าเมโล แล้วอินไปกับมันมากมาย เหมือนจะเห็น "ความจริง" บางอย่างในนั้น ในการถ่ายทอดที่จริงใจ ทำให้เชื่อได้ว่าจริง

แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามีเมโลอีกเยอะที่รู้สึกว่ามันคลีเช่จริงๆ พอคลีเช่แล้วอารมณ์ท่วมเกินธรรมชาติ ใจเลยไม่รับเข้ามาดื้อๆ

ขณะเดียวกัน ก็เคยเจอเรื่องฐานคิด หักเหลี่ยมหักมุมแพรวพราว ลุ้นกันจนหยดสุดท้าย แต่พอมานั่งนึกว่าตัวละครมีพื้นฐานความรู้สึกนึกคิดยังไง ทำไมถึงทำอย่างนั้น ก็หาคำตอบไม่ค่อยได้ เป็นความสนุกคนละแบบ แต่ส่วนตัวก็ยังตรึงกับฐานใจมากกว่าอยู่ดี คงจะเป็นคนที่ฐานใจแรงกว่าฐานคิด

หลายครั้งเลยคิดว่า พล็อตน่ะ ไม่ต้องล้ำเลิศแบบหักถึงที่สุดของที่สุดของที่สุดหรอก สื่อตัวละครให้ "ถึงใจ" ก็จับใจคนอ่าน (อย่างน้อยคนนี้ คนอื่นไม่รับประกัน) ไปเกินครึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากพัฒนาฐานคิดในตัวให้มากขึ้นเหมือนกัน

สับสน = =a


โดย: Anithin IP: 124.121.23.51 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:08:12 น.  

 
แต่ก่อนเราเคยแบ่งตัวเองออกเป็นสองภาค ภาคเหตุผลกับภาคอารมณ์
เคยคิดว่าภาคเหตุผลไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย แค่ไม่อ่านหนังสือก่อนสอบแล้วไม่ตกแค่นั้นเอง (แม่ไม่แคร์เกรด เราเลยสบาย) เคยเชื่อว่าภาคอารมณ์เป็นตัวตนที่แท้จริง แม้เราจะไม่แสดงออกมาเพราะเป็นโรคขาดความมั่นใจก็เถอะ (คนรอบข้างเป็นฝั่งเหตุผลหมดเลย..)
วันนี้อ่านเรื่องของพี่ปันแล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจัง (อยากจะแบ่งให้สักครึ่งนึง) ถ้าไม่มีภาคเหตุผลที่ได้มาจากแม่ ป่านนี้คงโดนคนอื่นเหยียบจนปิดตัวเองออกจากโลก กลายเป็นฮิคคิฯไปแล้วแน่ๆ

พูดถึงเวลาที่อึดอัดของคนฐานคิด เราเพิ่งได้ตัวอย่างมาจากอาจารย์สอนภาษาจีน คืออาจารย์เราไปเรียนโท เขาให้งานมาวิเคราะห์กลอน อาจารย์เราก็วิเคราะห์โครงสร้างและกลวิธีว่าเขาเขียนยังไง แต่อาจารย์คนสอนฟังทีเดียวคอมเมนต์ยับเลยว่าอาจารย์เราทำอารมณ์กลอนเสียหมด (...)

ไหนๆพูดถึงกลอนแล้ว เอากลอนบทที่ว่ามาแปะหน่อยดีกว่า เผื่อพี่ปันจะอยากอ่าน
เป็นกลอนที่คนจีนในไทยเขียนแล้วไปได้รางวัลวรรณกรรมแห่งชาติที่แผ่นดินใหญ่ เป็นรางวัลที่ไม่ใช่ได้กันง่ายๆ แต่คุ้ยกูเกิลแล้วเหมือนจะไม่มีใครรู้เรื่องเลย

"野生植物"

有叶
却没有茎
有茎
却没有根
有根
却没有泥土

那是一种野生植物

名字叫

华侨

แปล (บทนี้ง่าย เราเลยแปลเองได้)

"พืชป่า"

มีใบ
แต่ไม่มีกิ่ง
มีกิ่ง
แต่ไม่มีราก
มีราก
แต่ไม่มีดิน

นี่คือพืชป่าอย่างหนึ่ง

เรียกกันว่า

จีนโพ้นทะเล


โดย: rachan IP: 202.57.176.53 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:50:22 น.  

 
คิดว่าการจะมีชีวิตอยู่ในโลกมันก็ต้องแบ่งส่วนคิดส่วนใจให้พอดีกัน (ไม่ได้หมายความว่าเท่ากัน) หรือเปล่าครับ

ส่วนจะใช้ฐานคิดหรือฐานใจในสัดส่วนแค่ไหนมันก็คงมีหลายองค์ประกอบ เป็นต้นว่า บุคลิกของคนคนนั้นเอง หรือว่าอาชีพ ฯลฯ

นึกถึงตอนอ่านข้างหลังภาพแล้วคุณหญิงกีรติเดินชมตั้งแต่ต้นกะหล่ำยันแก้มเด็กว่าสวยน่ะครับ


โดย: เจรามี วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:56:43 น.  

 
ชอบตอนที่บรรยายเกี่ยวกับ cliche มากเลยค่ะ อ่านแล้วโดนใจ เพราะเวลาเราอ่านงานเขียนไหนที่รู้สึกว่าคาแรคเตอร์หรือพล็อตมันซ้ำกับงานอื่นอีกร้อยพันเรื่องที่เคยอ่านมาแล้วจะเกิดอาการเบื่อ คือถ้ามันมาแบบยัดเยียดจริงๆ เหมือนที่จริงคนเขียนน่าจะพลิกแพลงได้แต่ไม่ทำ ดันเอาสูตรสำเร็จมาใช้แล้วไม่ใส่รายละเอียดที่ทำให้งานของเขามีเอกลักษณ์ขึ้นมา บางครั้งถึงกับอ่านข้ามไปอ่านตอนจบเลยก็มี คือก็เข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นออริจินอลจริงๆได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ แต่อย่างน้อยความพยายามที่จะสื่ออะไรที่เป็นตัวของตัวเองก็ทำให้เราซาบซึ้งและชื่นชมกับงานนั้นๆมากขึ้นนะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 10 ธันวาคม 2552 เวลา:19:13:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.