|
ว่าด้วยโปโหมะ ( อย่างค่อนข้างขาดความเป็นวิชาการ )
เดี๋ยวนี้เป็นยุคโพสต์โมเดิร์น ( ต่อไปจะเรียกโปโหมะเพื่อความคุ้นเคย )
เท่าที่เห็นมาจนถึงตอนนี้ คำว่าโปโหมะมันก็กว้างอยู่ แต่สามารถอธิบายลักษณะของมันได้อย่างง่าย ๆ ด้วยนิทานหนึ่งเรื่อง
กาลครั้งหนึ่งมีคุณยักษ์ชื่อหิรัณยกศิปุ คุณยักษ์ทำตัวเป็นคุณยักษ์ที่ดี กล่าวคือทำพิธีบูชาพระพรหมเพื่อจะได้ขอพร ( เพื่อจะได้เป็นใหญ่เพื่อจะได้ยึดครองโลกและเพื่อจะได้ถูกปราบ ) เมื่อพระพรหมมาให้พร คุณยักษ์ก็คิดว่าถ้าขอให้ "หนูถูกใครฆ่าก็ไม่ตาย" มันก็น่าเกลียดไป เลยใช้วิธีขอพรแบบยอกย้อนซ่อนเงื่อน ดังต่อไปนี้
"ขอให้หนูไม่ตายตอนกลางวัน ขอให้หนูไม่ตายตอนกลางคืน ขอให้หนูไม่ตายนอกบ้าน ขอให้หนูไม่ตายในบ้าน
ขอให้หนูไม่ตายด้วยอาวุธ ขอให้หนูไม่ตายด้วยมือเปล่า ขอให้หนูไม่ตายด้วยมือมนุษย์ เทวดา สัตว์ ยักษ์...( ร่ายไปจนหมดเผ่าที่มีตอนนั้น )
พระพรหมก็ทำหน้าที่เป็นพระพรหมที่ดี คือให้ตามที่ขอ จากนั้นคุณยักษ์ก็อาละวาดบาดถลุงไปทั่ว จนพระนารายณ์ต้องมาปราบ
ให้ทายว่าพระนารายณ์มาปราบอย่างไร พระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์
นรแปลว่าคน ( กินนรแปลว่าคนอะไร... )
สิงห์ก็แปลว่าสิงห์
นรสิงห์ก็แปลว่าครึ่งคนครึ่งสิงห์
พระนารายณ์ก็ไปตื้บคุณยักษ์ แล้วก็จิกยักษ์ลาก ๆๆๆ มาไว้ตรงธรณีประตู
แล้วก็ชี้ไปที่ท้องฟ้า ซึ่งตอนนั้นก็โพล้เพล้น่ะนะ
นี่กลางวันหรือนี่กลางคืน
...เอ่อ โพล้เพล้ก็ไม่ใช่ทั้งกลางวันหรือกลางคืนน่ะสิ -_-'
นรสิงห์ชี้ไปที่ธรณีประตูที่คุณยักษ์นอนอยู่ ครึ่งตัวอยู่นอกบ้าน ครึ่งตัวอยู่ในบ้าน
เอ็งอยู่นอกบ้านหรือในบ้าน
...เอ่อ...ดูเหมือนจะอย่างละครึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง -_-''
นรสิงห์ยกมือขึ้น กางเล็บ
นี่อาวุธหรือนี่มือเปล่า
...เอ่อ...-_-'''
นรสิงห์ชี้หน้าตัวเอง
กูเป็นมนุษย์ หรือเทวดา หรือสัตว์ หรือยักษ์...( ร่ายไปจนหมดเผ่าที่มีตอนนั้น )
ไม่ใจ้ซักอย่างอะ-_-''''
.....T T'' ( ช่วยหนูด้วย )
ว่าแล้วนรสิงห์ก็เอาเล็บกระซวกยักษ์ซะ
ยักษ์ก็ตาย
โพสต์โมเดิร์นก็เหมือนแนวคิดที่ทำให้เกิดนรสิงห์
โพสต์โมเดิร์นมองหาสิ่งที่ไม่ใช่กลางวันกลางคืน นอกบ้านหรือในบ้าน อาวุธหรือมือเปล่า โพสต์โมเดิร์นเป็นกระแสความคิดที่ตระหนักรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่สองอย่าง แต่มีความหลากหลายอยู่
เราคิดว่าโพสต์โมเดิร์นมันเกิดจากการที่ยุคนี้การสื่อสารหรือการติดต่อมันไร้พรมแดนมากขึ้น ทำให้มนุษย์เริ่มค้นพบว่าที่จริงมันไม่ได้มีอะไรที่เป็น "อย่างนั้นอย่างเดียว" มากขึ้นทุกที อย่างเช่นถ้าสมมุติว่าเราเห็นคนที่หน้าตาเอเชีย ๆ เราจะคิดไปทันทีว่าเขาเป็นคนเอเชียไม่ได้อีกแล้ว ก็สมมุติว่าถ้าเขาเป็นลูกคนเอเชียที่ไปเกิดที่อเมริกาล่ะ ถ้าเขาพูดได้แต่ภาษาฝรั่ง แล้วก็โตขึ้นมาในสังคมฝรั่ง จะยังยืนยันว่าเขาเป็นคนเอเชียอีกเหรอ แต่ทีนี้ถ้าจะบอกว่าเขาเป็น "ฝรั่ง" มันก็กระดากปากใช่ไหม เพราะว่าเขาผิวเหลืองเห็นชัด ๆ
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าครอบครัวของคนคนนี้ยังคงความเป็น "เอเชีย" ในบ้านมาก เช่น สมมุติว่าเป็นคนจีนแล้วกัน สมมุติว่าอาม่าที่บ้านยังไหว้เจ้า และสอนให้ไหว้ด้วย แล้วถ้าสมมุติว่าเขาเป็นผู้หญิงแล้วอาม่าที่บ้านก็สอนว่านี่ลื้อเป็นผู้หญิงต้องนุ่มนวลนะ แต่พอเค้าออกไปข้างนอกบ้าน ไปเจอสังคมอเมริกาซึ่งผู้หญิงมันไม่ต้องนุ่มก็ได้ แถมฝรั่งบางคนมันยังมองว่าไหว้บรรพบุรุษเนี่ยบาร์บาริคเหลือเกิน คนคนนี้จะทำยังไง
คนคนนี้เขาเป็นอะไร เขาเป็นฝรั่งหรือเอเชีย วัฒนธรรมที่เขาอยู่เป็นแบบไหน แล้วตัวเขาเองควรจะเป็นแบบไหน
เราจะเห็นได้จากกรณีนี้ว่าโลกนี้มันไม่ได้มีความจริงเพียงหนึ่งเดียวแล้ว อ้าวก็ถ้ามันไม่ใช่กลางวันก็ต้องเป็นกลางคืนเหรอ ไม่ใช่นี่ ตอนโพล้เพล้เป็นกลางวันหรือกลางคืนล่ะ มันก็ไม่ใช่ทั้งสองอย่างใช่ไหม ความจริงที่จริงแท้บางทีมันก็ไม่มีเหมือนกัน
โพสต์โมเดิร์นเชื่อเรื่องความจริงที่เกิดจากอะไรหลากหลาย เชื่อว่าความจริงอยู่ที่ตาคนมอง คือ...ถ้าสมมุติว่าฝรั่งสรรเสริญโคลัมบัสว่า "ค้นพบทวีปอเมริกา" แล้วคนอินเดียนแดงล่ะจะว่ายังไง ก็เค้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เหรอ
ในเมื่อมันไม่ได้มีอย่างเดียว ไม่ได้มีความจริงอะไรที่เป็นความจริงเดียว สิ่งที่โพสต์โมเดิร์นสนใจจึงไม่ใช่การค้นหาความจริงสุดยอด แต่เป็นการดูว่าทำไมจึงมี "ความจริง" อันนี้ ๆ เกิดขึ้น อย่างการที่เราบอกว่า "คนไทยมาจากเขาอัลไต" เนี่ย เป็น "ความจริง" อยู่ในช่วงหนึ่งเลยนะ เพราะทุกคนเคยเชื่อแบบนี้ ทีนี้ก็ต้องคิดแล้วว่าทำไมถึงบอกอัลไตล่ะ เป็นเพราะหลักฐานไม่พอใช่ไหม แล้วมีนัยทางการเมืองบ้างหรือเปล่า
อย่างถ้าบอกว่า "งานนี้ ๆ ผู้หญิงทำไม่ได้หรอก" ใช่ มันเป็นความจริงนะบางที แต่บางทีก็ไม่จริงใช่ไหม งานนี้ ๆ บางงานผู้หญิงก็ทำได้ แล้วทำไมครั้งหนึ่งถึงมีความจริงว่างานพวกนี้ผู้หญิงทำไม่ได้ล่ะ
โพสต์โมเดิร์นเห็นว่าการรู้เหตุผลสำคัญกว่า "การแสวงหาความจริง" เพราะบางทีความจริงมันหลากหลายมาก ๆ หรือบางทีก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงความจริงนั้นได้อย่างไร
สมมุติว่าเราอยากรู้เรื่องยุคกลาง เราก็ได้แค่รวบรวมหลักฐานที่เหลือใช่มั้ย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหลักฐานนั้นมันปลอมล่ะ แล้วถ้าตีความผิดล่ะ ลองนึกดูสิว่าจะทำยังไงถ้าเกิดนักโบราณคดีในอนาคตมาขุดกรุงเทพแล้วบอกว่าคนเมืองนี้นับถือเทพเจ้าชื่อ "โฮปเวลล์" ด้วยการสร้างเสาสูงจำนวนมากตามชานเมือง มันตลกใช่มั้ยล่ะ
ก็เหมือนกัน บางทีความจริงมันก็ไม่อยู่ที่ไหนเลย ดังนั้น "เหตุผลที่เกิดสิ่งนี้ขึ้น" จึงสำคัญกว่าความจริงที่เป็นอยู่ โพสต์โมเดิร์นจะยอมรับในความหลากหลาย และถามถึงเหตุผลของความหลากหลากนั้น มากกว่าจะบอก ว่าโลกนี้มีแค่กลางวันกับกลางคืน นอกบ้านในบ้าน หรือว่าอาวุธกับมือเปล่า
Create Date : 16 มกราคม 2549 |
Last Update : 16 มกราคม 2549 12:24:00 น. |
|
6 comments
|
Counter : 454 Pageviews. |
|
|
|
โดย: mm IP: 203.107.194.168 วันที่: 17 มกราคม 2549 เวลา:4:01:14 น. |
|
|
|
โดย: เคียว (ลวิตร์ ) วันที่: 18 มกราคม 2549 เวลา:21:24:50 น. |
|
|
|
โดย: Or[A]nGe IP: 61.47.100.122 วันที่: 9 มิถุนายน 2549 เวลา:13:59:18 น. |
|
|
|
| |
|
|
เจ๋งเชียว
เล่าสนุกด้วย
เคยดูหนังเรื่อง The Existence มั้ยคะ
เป็นหนังที่เราดูแล้วอยากให้อาจารย์ที่สอนโพสต์โมเดิร์นไปใช้สอนนักเรียนเลย