The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
สมองสองซีกกับความเป็นจริงของนักเขียน: artist date และอนุพันธ์(1)

นี่เป็นเรื่อง Artist Date ซึ่งพูดค้างไว้ว่าเป็นวิธีการพื้นฐานของคุณคาเมรอน อาร์ติสต์เดทนี้ หลักการเบสิคมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือการให้เวลากับตัวเอง หมายความว่าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ขอให้กำหนดเวลาที่เป็นเวลาของเราจริง ๆ เอาไว้ อย่างน้อยที่สุดสักชั่วโมงก็ยังดี เพื่อจะไป "เดทกับตัวเอง"

ที่ว่าไปเดทกับตัวเองนี้ คุณคาเมรอนแกว่าจริง ๆ คือไปเดทกับ "เด็ก" ในตัวเรา ซึ่งแกเรียกว่า "your artist child" คุณคาเมรอนแกมีความเห็นตรงกับคุณเบรนเด้ว่าแหล่งกำเนิดศิลปะในตัวเราแต่ละคนนั้นเป็น "เด็ก" ที่อยู่ข้างใน (สมองซีกขวา) แกอธิบายว่า ปรกติคนเราจะไม่ใส่ใจเสียงเรียกร้องของเด็กคนนี้เท่าไรนัก เพราะตลอดวันและเกือบตลอดเวลา เราจะทำตามข้อเรียกร้องของคนอื่น ข้อเรียกร้องของสังคม (ไม่ทำตามก็ต่อต้าน) เอาตัวตน "ผู้ใหญ่" ของตัวเองออกมาอยู่ตลอดเวลา และทำตามสิ่งที่ตัวตนผู้ใหญ่นั้นบอก โดยพยายามกดตัวตนเด็กของตัวเองเข้าไปข้างใน เพราะคิดว่าเป็นการเห็นแก่ตัว หรือคิดว่าเป็นการไม่สมควร

ถามว่าทำไมคนเราจึงกดตัวตนเด็ก หรือซ่อนตัวตนเด็กไว้ข้างใน ว่าง่าย ๆ คือตัวตนเด็กของเรานี้เปราะบาง มันเจ็บปวดง่าย ไร้เดียงสา เปิดเผย เหมือนเด็กเล็ก ๆ ทั่วไป ต่อมาพอเราค่อย ๆ โตขึ้น เราก็เรียนรู้ว่าความเปิดเผยหรือความไร้เดียงสาเป็นอันตราย และรู้ว่ามีกฎของสังคมบางอย่างที่ต้องเคารพ เพื่อที่ตัวเราจะได้ปลอดภัย อยู่ในสังคมได้ตามปรกติ ดังนั้นยิ่งผ่านไปนานวันเท่าไร เราจึงยิ่งสร้างตัวตน "ผู้ใหญ่" ของเราขึ้นมา (สะสมความรู้ผ่านสมองซีกซ้าย) เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวตนดั้งเดิมคือความเป็นเด็กนั้นไม่ให้ต้องเจ็บปวดอีก แต่ไป ๆ แล้ว กลับกลายเป็นว่าตัวตนผู้ใหญ่มีอำนาจมากกว่า ตัวตนผู้ใหญ่คิดแต่ทำอย่างไรให้รอดให้ปลอดภัย ก็พยายามทำตามกฎเกณฑ์หรือพยายามต่อต้านสังคม (ทั้งสองอย่างเป็นการปฏิสัมพันธ์กับสังคม ขึ้นกับว่าตัวตนผู้ใหญ่ของเราคิดว่าแบบไหนจะดีกับตัวเองกว่ากัน - อันนี้เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งเขียนได้อีกยาว จึงต้องละไว้ก่อน) ไอ้เด็กที่อยู่ข้างในก็เวรกรรม ติดอยู่ในกรงของผู้ใหญ่ที่เราสร้างขึ้น ถูกตัวเราเองลืมไป ลืมใส่ใจ ลืมสิ่งที่เราเคยต้องการจริง ๆ

คุณคาเมรอนแกว่าอาร์ติสต์เดทนี้คือการกลับไปหาเด็กในตัวเราเอง สิ่งใดที่เด็กนั้นปรารถนา ก็ให้ทำตาม ให้เอาใจเด็กบ้าง เพราะที่จริงคนเรามักจะเอาใจคนอื่น ๆ ทั้งโลก แต่ลืมเอาใจ ลืมเติมเต็มตัวเอง

ที่ว่าให้เอาใจเด็ก ไม่ได้หมายความว่าให้ซื้อของประเคนสนองความต้องการของตัวเองมาก ๆ หรือใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย เพราะที่จริง เด็กไม่ได้ต้องการของเหล่านั้น แม้เด็กที่เรียกร้องของแพง ๆ เช่นของมียี่ห้อ ของมีราคา ก็ไม่ได้ต้องการของเหล่านั้นเพราะเป็นของมียี่ห้อ ของมีราคา แต่ต้องการความรักความนับถือจากเพื่อน ต้องการสิ่งน่ารัก สิ่งดี สิ่งน่าสนใจ (ที่จริงผู้ใหญ่ซื้อของมียี่ห้อให้ตัวเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการแบบนี้เหมือนกัน) ถ้ามองทะลุไปถึงความหมายข้างหลังสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็จะเห็นเองว่าจริง ๆ แล้วเด็กต้องการอะไร

เราไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กของคนอื่นต้องการอะไร แต่เรารู้ว่าเด็กในตัวเรานี้เป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น ออกจะช่างฝัน และชอบสัตว์น่ารักอย่างรุนแรง เด็กของเราชอบไปที่แปลก ๆ และชอบเห็นของแปลก ๆ ที่สวย ๆ เมื่อได้เห็นแล้วก็มีความดีใจ ไม่ต้องซื้อก็ได้ ดังนั้นเวลาไปเดทด้วยกัน จึงมักไปร้านที่ขายของแปลกสุมอยู่มาก ๆ หรือไปที่แปลก ๆ สวย ๆ ไม่เคยไปมาก่อน ไปเดินเฉย ๆ ดูนั่นดูนี่ อยากแวะข้างทางก็แวะ อยากดูหมาวิ่งไล่กันก็นั่งลงดู ส่วนเด็กของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องไปสำรวจตัวเองกันดู เด็กบางคนอาจจะรักสวยรักงาม ชอบให้ทาเล็บเป็นสีสวย ๆ ทุกนิ้ว หรือเด็กบางคนอาจจะอยากได้ดินสอสี สีเทียน สีน้ำ มาวาดรูปก็ได้ บางคนไม่ได้วาดมานานปีแล้ว เพราะนึกว่าตัวเองวาดไม่สวย แต่ที่จริงเด็กนั้นวาดด้วยความสุข ไม่เคยคิดถึงความถูกต้องเลย เขาเห็นว่าสวยคือที่ตัวชอบ ก็วาดไปอย่างนั้นเอง วาดแล้วก็สวยเหมือนกัน เพราะมันมีความหมายกับตัวเอง (หรืออย่างน้อยก็จนกระทั่งถูกครูยัดเยียดให้วาดอย่างที่ครูอยากให้วาด)

ถามว่าไปเดทกับเด็กของตัวเองนี้เพื่ออะไร เราว่า ถ้าลองเดทสักหนสองหนน่าจะรู้ได้ด้วยตัวเอง คือแม้ไม่ทำอะไรให้เกิดอะไรทันตา แต่ก็ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นมาได้ เพราะได้กลับไปหาตัวตนของตัวเองที่ถูกละเลยไปเป็นเวลานาน แต่ถ้าถามในแง่ศิลปะหรือแง่งานเขียน เราคิดว่าการไปเดทนี้เป็นการเติมพลังให้ตัวเอง เพราะพลังสร้างสรรค์ของเรามาจากสมองซีกขวา ไม่ได้มาจากสมองซีกซ้าย สิ่งที่เราใช้เขียนอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่มาจากสิ่งที่เด็กของเราเคยคิดฝันมาก่อนทั้งนั้น หากไม่ใส่ใจเด็ก เลิกเป็นเด็ก ไม่มีการเติมอีก สิ่งที่มี ที่จะสร้างสรรค์ได้นั้นก็จะแห้งขอดไปเรื่อย ๆ เพราะเหลือแต่สมองซีกซ้ายที่คอยเอาของเก่ากลับมาใช้ใหม่ ไปขอดมันมาก ๆ ก็ตัน เขียนไม่ออก มีความขุ่นเคือง ก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง โทษตัวเองว่าใช้การไม่ได้แล้ว ไม่เหลือพลังจินตนาการอีกต่อไปแล้ว ไม่เป็นเด็กอีกแล้ว ที่จริงคือตัวเลิกเป็นเด็กเอง จะไปโทษใครได้ ไม่มีใครเขาใช้ให้เลิกเลย

ไปเดทกับเด็กนี้ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงหนึ่งต่อสัปดาห์เท่านั้น (เป็นอย่างต่ำ) เวลาอื่น ๆ ในโลกจะเป็นผู้ใหญ่อย่างไรก็ได้ จะซีเรียสจริงจังเท่าไรก็ได้ แต่เวลาที่อยู่กับเด็ก ก็ขอให้อยู่กับตัวเองจริง ๆ อย่าไปเอาคนอื่นมาด้วย เพราะแค่นี้เราก็ใส่ใจตัวเองน้อยเกินไปแล้ว ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย เราจะยิ่งจำเป็นต้องไปใส่ใจเขา ต้องไปทำตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แสดงบทบาทต่าง ๆ เพื่อเขา (และเพื่อผู้ใหญ่ของตัวเอง)

บางทีไปเดทกับเด็ก อาจจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองหลงลืมไปแล้ว ความกลัวที่ตัวเองเคยกลัว หรือนึกสิ่งที่เราคิดว่า "น่าอาย" ซึ่งเราฝังเอาไว้ในอดีตขึ้นมาได้ (ที่จริงอาจจะไม่น่าอายเท่าที่คิด แต่พ่อแม่หรือครูทำให้เรารู้สึกอาย) ถ้าเจออะไรอย่างนั้น ก็อย่าเพิ่งไปทำร้ายเด็กของตัวเอง ให้มองให้ดี ๆ ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่ บางทีอาจจะเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นอะไรที่ดีที่สวยกว่าที่คิด หรือสามารถ "คืนดี" กับตัวเองเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งก็ได้


Create Date : 03 สิงหาคม 2551
Last Update : 3 สิงหาคม 2551 5:55:47 น. 8 comments
Counter : 501 Pageviews.

 


มาชวนวิเคราะห์ กวีและ นักวาด ที่แสนรักของดิฉัน

Khalil Gibran


โดย: Cheria (SwantiJareeCheri ) วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:11:23:33 น.  

 
น่าสนใจมากค่ะ
แต่สิ่งนึงที่เชื่อมานานแล้ว
คือ คนเรามีความเป็นเด็ก
ซ่อนอยู่ในตัวทุกคน


โดย: โสดในซอย วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:15:43:40 น.  

 
พูดเรื่องสมองสองซีกทำให้นึกถึงบทความนึงที่เคยอ่านนานมาแล้ว เกี่ยวกับศิลปะครับ ไม่รู้จะเอามาเทียบกันได้หรือเปล่า

เขาบอกว่าโลกศิลปะทุกวันนี้เป็นศิลปะ "แบบผู้ชาย" (ไม่ได้หมายถึงผู้ชาย ผู้หญิงแท้ ๆ ก็อาจทำศิลปะแบบผู้ชาย) พูดอย่างรวบรัดคือเป็นศิลปะที่เน้นแนวความคิด เน้นความสำคัญของคำว่าศิลปะ แต่โลกนี้ยังมีศิลปะ "แบบผู้หญิง" พูดอย่างรวบรัดคือ ไม่คำนึงถึงคำว่าศิลปะ (งานฉันไม่เป็นศิลปะก็ได้) แต่จะไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นงานทอผ้า สังเกตว่าลวดลายบนผ้าทอมักเป็นลวดลายธรรมชาติ หมูหมากาไก่ (สิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน) แถมผ้าทอยังใช้ประโยชน์ได้ด้วย ไม่เหมือนศิลปะ "แบบผู้ชาย" ซึ่งแลดูเป็นอุดมคติ ใช้ความคิดซับซ้อน พยายามสร้างตัวตน ฯลฯ

คือสงสัยว่า "แบบผู้ชาย" กับ "แบบผู้หญิง" นี่ มันจะเกี่ยวกับสมองซีกซ้าย-ซีกขวา หรือเปล่า ดูผิวเผินคล้ายกับว่า "แบบผู้ชาย" จะใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า และดูผิวเผิน โลกเราถูกครองด้วยแนวคิด "แบบผู้ชาย+สมองซีกซ้าย"

คุณเคียวว่าไงครับ

แถม: เพื่อนที่เคยไปเรียนออสเตรเลียบอกว่า นักศึกษาศิลปะที่นั่นส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ผิดกับที่เมืองไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ไม่ว่าที่ไหนทั่วโลก ศิลปินส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย (เพราะประเมินคุณค่าด้วยหลักคิด "แบบผู้ชาย")

พ่วง: เคยได้ยินไหมครับที่เขาบอกว่า ลึก ๆ แล้ว ผู้หญิงจะเห็นผู้ชายเป็นเด็ก ส่วนผู้ชายจะเห็นผู้หญิงเป็นแม่ อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน (เราว่าเราเริ่มจับไอ้โน่นไอ้นี่มาโยงกันมั่วแล้ว)


โดย: คุณม้าม วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:2:30:40 น.  

 
อืม...คิดไปคิดมา เราว่าไม่เกี่ยวกันแล้วล่ะ คงแค่มีอะไรนิดนึงมาแตะกันมากกว่า (เลยทำให้โยงกันมั่ว) โทษทีเราคิดเร็วพิมพ์เร็วไปหน่อย

เดี๋ยวไปนั่งคิดใหม่ก่อน...


โดย: คุณม้าม วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:2:40:30 น.  

 
ยากแฮะุ...

ไปนอนก่อนละ


โดย: คุณม้าม วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:2:57:56 น.  

 
ลึก ๆ มีสองบทบาทค่ะ ผู้หญิงเห็นผู้ชายเป็นเด็ก และผู้หญิงก็เห็นผู้ชายเป็นพ่อด้วย (เช่นเดียวกับผู้ชายก็มองผู้หญิงแบบเดียวกัน คือเป็นลูกและเป็นแม่) แต่อันนี้เขาว่าเป็นการมองที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันติดข้องในสิ่งซึ่งไม่เป็นจริง และไม่นำไปสู่การเติบโต (ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง)

อ่านเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คุณม้ามน่าจะสนใจ แต่ไม่มีหนังสือไทยเลย เดี๋ยวจะลองถามคนที่รู้จริงว่ามีบทความอะไรเป็นภาษาไทยบ้างไหม

เรื่องศิลปะ เราคิดว่าทั้งผู้ชายผู้หญิงก็มีทั้งสมองซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนกัน เพียงแต่อาจจะมียุคสมัยหนึ่ง ที่เกิดการแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นมาว่าแบบนี้สูงกว่าแบบนั้น คุณสมบัตินี้สูงกว่าคุณสมบัตินั้น ซึ่งทำให้ความสมดุลที่มีอยู่มันเสียบาลานซ์ไป อันนั้นก็คงต้องเรียนรู้จากกันและกันละมังคะ

เรื่องนี้ยาวมากเลยค่ะ ตอบเองไม่ได้หมดเหมือนกัน


โดย: เคียว IP: 128.86.158.253 วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:3:09:26 น.  

 
เด็กในตัวเป็นเด็กเลวค่ะ ปล่อยออกมาไม่ได้
เดี๋ยวโลกพัง

เด็กในตัวเราชอบอะไรพิเรนทร์ๆ
เช่น เห็นรถวิ่งมาดี ๆ ก็อาจอยากโยนอะไรใส่ให้รถล้มคว่ำ อะไรแบบนี้ ... ไม่ใช่กระหายเลือดนะ แค่อยากรู้น่ะ แล้วก็คิดว่ามันคงสนุกดี
(เอ่อ มานึกๆ แล้ว ตอนเด็กก็เคยลงมือทำตามใจนะ ปีนบันไดหนีไฟขึ้นลงเล่น วางยาคนในบ้าน จุดไฟเผาโต๊ะพี่ อะไรแบบเนี้ย)

เคยอ่านมาจากไหนไม่รู้ ว่าพวกเด็ก ๆ น่ะโหดร้าย เราเห็นด้วยนะ


โดย: ยาคูลท์ วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:8:29:07 น.  

 
cruel and innocent ตามประสาปีเตอร์แพนสินะขอรับ^^''


โดย: เคียว IP: 128.86.158.253 วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:13:35:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.