|
speak the truth
ตั้งแต่เด็ก ๆ มา พ่อของจขบ.มักอยากให้ลูกพูดเก่ง พูดเก่งนี้ไม่ได้หมายความว่าให้พูดจาเป็นต่อยหอยแต่ประการใด แต่หมายความว่าเมื่อไปอยู่ในที่ชุมนุมชน ก็ให้พูดสปีชให้ดี ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่าการพูดสปีชได้ดีจะเป็นความดีอย่างหนึ่งในโลก ซึ่งบางทีก็ทำให้จขบ.เกิดนึกถึงสมัยโรมันโบราณ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายจะต้องพูดสปีชให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่มีเกียรติไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคม ถือว่าเป็นวิชาที่กุลบุตรจะต้องเรียน (ส่วนกุลธิดาในเมืองโรมันเป็นพลเมืองชั้นสอง ดังนั้นช่างมันเถอะ)
ที่จริงแล้ว ตั้งแต่แรกมา จขบ.ก็บอกไม่ได้ว่าตัวเองพูดเก่งหรือไม่เก่ง คือว่ากันจริง ๆ จขบ.เป็นคนเสียงดัง (โดยไม่รู้ตัว เป็นความบัดซบอย่างหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน) และตัวใหญ่ ดังนั้นเวลาที่อยากจะเด่นมันก็เด่นได้พอสมควร และที่จริงแล้ว จขบ.ก็เป็นมนุษย์จริงจัง (ในบางวาระ) ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมารวมกันแล้ว เอาเป็นว่าเคยมีคนเห็นว่า "พูดได้ดี" เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้พิศวาสการพูดในที่ชุมนุมชน คือบางทีเวลาตกใจแล้ว จะไม่ได้ยิน "เสียงของตัวเอง" และคุมไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง อีกประการหนึ่งคือ จขบ.เป็นมนุษย์ฝังใจอย่างยิ่ง คือถ้าใครคอมเมนต์อะไรที่มันกระทบแล้ว ชีจะจำอยู่นั่นแล้ว แม้ผ่านไปหลายปีก็ไม่ลืม และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเขาว่าที่พูด ไม่ได้ว่าชี รวมทั้งไม่ได้ว่าที่พูดทุกครั้ง แต่ว่าเฉพาะครั้งนั้นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จขบ.เชื่อว่าคนที่ว่าด้วยใจจริง จขบ.มักจะไม่เดือดร้อน แต่คนประเภทที่ไม่ได้ว่าด้วยใจจริง แต่ว่าเพราะตัวเองนั่นแหละมีปม หรือเพราะพูดจาลักปิดลักเปิด บอกไม่หมด ชวนให้จขบ.จิ้นต่อ จขบ.จะฝังใจเอามาก ๆ คือว่า จขบ.ชอบคนที่เป็นตัวเขาเอง คิดอะไรก็พูด ด่าก็ไม่เป็นไร ส่วนคนที่เป็นบ้าอะไรของมรึงจะอมไว้ทำไมนั้น จขบ.ไม่เข้าใจ และเมื่อไม่เข้าใจก็เลยคิดไปเอง
แน่นอนว่ามีจังหวะอะไรประมาณนี้ ที่จขบ.เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง เลยขยายภูมิรู้เป็นการใหญ่ และในจังหวะอย่างนั้น บางทีก็มีคนรู้มากกว่าอยู่ในวง มีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้สองกรณีคือ ไอ้คนนั้นฉีกหน้าตูทันที (ย้าก) หรือไม่อย่างนั้น ไอ้คนนั้นก็ไม่ฉีกหน้า แต่ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้จขบ.รู้ว่าแกรู้ว่าฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่ฉีกหน้าแกหรอก ฉันสุภาพ ซึ่งแบบนี้จขบ.ก็ไม่ชอบเหมือนกัน คือมันมีอะไรความซับซ้อนหลายอย่างระหว่างการฉีกหน้า กับการพูดความจริง และการอมไว้ไม่พูดหรอกแต่กรูรู้ หรือการนิ่งไว้จนจบการสนทนาอย่างสุภาพ แล้วค่อยบอกความจริงกับไอ้คนพูดผิดทีหลัง อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่ว่า คือมันมีจังหวะที่จขบ.แยกตัวเองออกจากบทสนทนาได้ และจังหวะที่จขบ.คิดเอาเองว่า ตัวกรูคือบทสนทนานั้น อีโก้กรูคือสิ่งนั้น
พูดถึงเรื่องแยกตัวเองจากการพูด (หรือการกระทำ หรืออะไรอื่น ๆ เหล่านี้) ก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ควรพูดถึงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ สิ่งที่ตั้งใจจะเขียนก็คือ จขบ.เริ่มรู้สึกแล้วว่าวิธีการพูดให้สบายหน่อย (สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง) คือการพูดความจริง คือถึงยังไงก็ไม่มีทริคอะไรมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และยิ่งกลัวเท่าไร ก็ยิ่งหลุดปากไปมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงควรปล่อยวางไปเลยเสียดีกว่า ว่าอะไรออกจากปากข้าไปแล้ว ข้าก็ไม่มีทางไปบิดไปอธิบายให้มนุษย์โลกทุกคนที่ฟังเข้าใจตรงกันกับข้าอยู่นั่นเอง เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว เมื่อพูดอะไรออกไปก็พูด ไม่ต้องคิดว่าอีกมันจะรักฉันไหม มันจะเข้าใจฉันผิดไหม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าการปล่อยพูดความจริงไปเลย อยู่ที่อารมณ์ในตอนนั้นด้วย ดีที่สุดคือทำอารมณ์ตอนนั้นให้มันนิ่งหน่อย ให้มันรู้สึกกับคนที่ฟังอยู่
จขบ.สงสัยว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น จะถูกหลอกให้พูดไหม คือหลอกว่าให้ตอบอะไรที่อีกฝ่ายอยากตอบ จขบ.มีประสบการณ์ว่ามีคนมาสัมภาษณ์ เขาชวนคุยสนุกมาก เราก็คุยไป แต่ถึงเวลามันเอาบทสัมภาษณ์ตูไปตัดเอาเฉพาะที่ตัวเองชอบ มาประกอบร่างใหม่เป็นอีบ้าที่ไหนไม่รู้ ไม่ใช่ตูสักนิด เป็นเหตุให้ตูช็อคอย่างยิ่ง อะไรวะตอบตั้งยาว ตัดเหลือหนึ่งบรรทัด เลือกเอาเฉพาะตรงที่พูดแรงที่สุดด้วย จขบ.อดคิดไม่ได้ว่านายคนนี้คงสร้างความด๋อยในชีวิตชาวบ้านอีกไม่น้อย แต่เอาเถอะ เราคงไม่โคจรกลับมาเจอกันอีกแล้ว
ในกรณีสัมภาษณ์ที่ควบคุมไม่ได้ อันนี้จขบ.ไม่ได้เป็นคนคุม มันเป็นคนคุม เพราะมันมีหน้าที่เซนเซอร์ให้จขบ. แต่ในที่ที่ไม่มีใครเซนเซอร์จขบ. เช่นเวลาสปีชหรือตอบคำถามต่อหน้ามนุษย์โลกเล่า จขบ.ก็สงสัยเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง มีคนเคยบอกว่า เขายิงมุกมาแล้ว จขบ.ไม่รับเลย (บอกแล้วว่าข้าเป็นมนุษย์ฝังใจ) อันนี้จขบ.ฝังใจโคตร ๆ เออ มุกคืออะไร มีมุกจริง ๆ หรือ แล้วตอนนั้นการไม่รับเป็นความผิดขนาดนั้นเลยหรือ และอื่น ๆ และอื่น ๆ เพราะจขบ.กลัวว่าเมื่อตัวเองไม่ทำอย่างนั้นแล้ว จะเกิดความน่ากลัวชั่วร้ายต่าง ๆ ในชีวิต และเพราะจขบ.ยังไม่เข้าใจมาถึงตอนนี้ว่า อะไรคือมุกที่มันยิงมาโว้ย ดังนั้นบอกแล้วว่าอย่าอม ถ้าอมไว้จขบ.จะจิ้นเอาเอง ตรงไหนที่คิดก็บอกออกมา จะได้ไม่ต้องจิ้นเอาเอง และจะได้ไม่นอนไม่หลับด้วย
อืมม แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็เริ่มคิดว่า การวิจารณ์ก็ต้องวิแบบนิ่ง ๆ เหมือนกัน ไอ้แบบวิจารณ์ว่าเกลียดตัวละครนี้จัง เคี๊ยะมันออกไปที นี่จขบ.ทำอะไรให้ไม่ได้ และมีคำวิจารณ์หลายอย่างซึ่งเป็นปมของคนวิจารณ์เอง คนพูดหรือคนเขียนก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน นอกจากฟังตาปริบ ๆ (ว่าไปแล้ว จขบ.ก็เลยเอาปมตัวเองไปวิจารณ์ชาวบ้านเหมือนกัน) สรุปแล้วก็ดูเหมือนจะยากเหมือนกัน
(ขี้เกียจเขียนต่อแล้วอะ ไว้สักวันคงได้พูดถึงทอปปิคนี้อีกนะ ว่าแล้วก็เลิกดื้อ ๆ...)
Create Date : 02 กันยายน 2552 |
Last Update : 9 กันยายน 2552 7:32:15 น. |
|
6 comments
|
Counter : 402 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Job IP: 192.168.0.10, 125.213.228.27 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:13:07:28 น. |
|
|
|
โดย: romancer IP: 58.8.75.162 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:16:21:33 น. |
|
|
|
โดย: ouiya IP: 114.128.41.206 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:22:42:40 น. |
|
|
|
โดย: นักรบ IP: 74.193.252.136 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:23:23:03 น. |
|
|
|
โดย: ฑ า ม (ThaMN ) วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:21:52:17 น. |
|
|
|
| |
|
|
^^