หนีงานไปฮันนีมูน อิตาลีทอสคาน่า ริเวียร่า และฝรั่งเศสโปรวองซ์

ไม่ได้เที่ยวเองเท่าไหร่ ปีนี้ขอรีวิวเป็นทริปหนีเที่ยวกะโรเช ที่อิตาลีละกัน ใครที่หาข้อมูลในรูทนี้อยู่ หวังว่าคงจะได้ประโยชน์กะท่านๆ ทั้งหลายนะคะ

ออกเดินทาง 9 กรกฎาคม และกลับมาถึง 26 กรกฎาคม ใช้เวลารวม 18 วัน 17 คืน

กระเป๋าก็จัดไปดังนี้

ใช้เป้สีดำไร้ทรง ที่เห็นในรูปด้านบนสุด น้ำหนักรวมแล้ว รวมเน็ตบุ๊คและสาย รวมกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ กล้อง มือถือ ก็รวมกันประมาณ 7 กิโลกรัมนิดๆค่ะ

สายการบิน Transavia บริการบินจาก Schiphol Amsterdam ไปลงที่ Treviso Venezia เป็นสนามบินที่สอง ที่โลว์คอสส่วนมากไปลงกัน ค่าตั๋วเครื่องบิน 70 ยูโร ไม่รวมกระเป๋าโหลด (ซึ่งเราไม่มีในขาไป ขากลับหากมันงอกออกมาค่อยซื้อเพิ่มได้ ในราคาใบละสิบยูโร น้ำหนักไม่เกินสิบห้ากิโลกรัม) www.transavia.com

มีบริการรถบัสของ Atvo วิ่งเข้าสู่เกาะใหญ่ไปจอดที่ท่ารถบัส Piazza Le Roma ค่ารถคนละ 7 ยูโร www.atvo.it ซื้อได้กับเครื่องขายตั๋วที่อยู่ภายในสนามบิน ออกไปปั๊บจะเจอรถบัสคันใหญ่สีขาวจอดรออยู่เลย ใช้เวลาอยู่บนรถประมาณ 70 นาที ระหว่างทางผ่านเมืองที่ผลิต Chicory สีแดง(ม่วง) พันธุ์พิเศษของ Treviso โดยเฉพาะเลย ตาชาวไร่คนนี้เป็นคนเบลเยี่ยมที่มาทดลองเพาะพันธุ์จนได้ชื่อมาพิเศษ หาพบได้ง่ายตามตลาดทั่วไปในย่านนี้

ที่พักในเมืองแต่ละที่จองจาก www.booking.com เพราะเป็นบริษัทของเนเธอร์แลนด์ ก็เลยไว้ใจได้มากขึ้น มีอะไรขึ้นมา โทรจิก หรือเมล์แจ้งกับทางเวบบุ๊คกิ้งเขา ก็ตอบเร็วมากค่ะ ไม่ถึงห้านาทีเลยก็มี ได้ใจจริง

เวบข้อมูลเมืองเวนิสค่ะ  //wikitravel.org/en/Venice


ที่พักคืนนี้ที่เวนิส คือ Guesthouse Piccolo Vecellio เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Hotel Vecellio ตั้งอยู่ไกลสถานีรถไฟ Santa Lucia ไปนิดนึง แต่สะดวกที่จะไปเที่ยวเกาะ ถ้าใครเลือกได้ แนะนำให้จองโรงแรมเวเซลลิโอ้โดยตรง เพราะตั้งอยู่ตรงหน้าท่าน้ำที่จะลงเรือไป Burano/Murano ท่า Fondamenta Nuove เลยค่ะ  www.piccolo-vecellio.com

ส่วนเกสท์เฮาส์นัันเข้าซอยไปหน่อยนึง มีแค่สี่ห้อง น่ารักๆ ห้องเล็กแต่มีแอร์ และตู้เย็นให้ มื้อเช้าลงไปทานอาหารเช้าแบบอิตาเลี่ยนที่ห้องอาหารข้างล่าง

สำหรับการเดินทางภายในระหว่างเกาะ เราใช้ตั๋ววัน 24 ชั่วโมง ราคา 20 ยูโร ค่ะ ซื้อได้ที่ท่าเรือใหญ่หน้าสถานีรถไฟ โป๊ะ Ferrovia ถ้ายื่นเงินให้พอดี เจ้าหน้าที่จะรู้เองว่าเราต้องการตั๋วอะไร ตั๋วนี้เมื่อซื้อมายังไม่ Validate แต่เราจะเริ่มใช้ก็ต่อเมื่อจะลงเรือ พอเห็นเรือลำที่จะขึ้น ก็ค่อยเอาตั๋วกระดาษมีชิปนี้ แตะที่เครื่องอ่านตั๋ว ที่อยู่บนฝั่งท่าน้ำ ก่อนขึ้นโป๊ะค่ะ ตั๋วก็จะเริ่มใช้งาน หากใครสะดวกกับตั๋ว 36 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นก็คำนวณเวลาและราคากันได้ตามอัธยาศัย เช็คราคาตั๋วได้ที่ www.hellovenezia.it ค่ะ

ราคาสำหรับค่านั่งเรือกอนโดล่า ถ้าไม่เกินสองคน ประมาณครึ่งชั่วโมง ราคา 80 ยูโร ถ้าหลังหกโมงเย็นไปแล้วราคาจะสูงขึ้นเป็นหนึ่งร้อยยูโร เช่นเดียวกันกับถ้าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยตามลำดับ ถ้าเหมาลำนั่งกันหลังหกโมงเย็น ราคาต่อลำจะสูงถึง 120 ยูโรค่ะ การต่อราคา แม้ว่าจะได้ แต่จะทำให้ระยะเวลาที่นั่งสั้นลงค่ะ หากไม่ได้เตรียมงบจะมานั่งเรือหรู ก็สามารถนั่งเรือกอนโดล่า ข้ามฟากระหว่างสองฝั่งแม่น้ำได้ ตามท่่าที่เรียกว่า Traghetto ค่ะ ค่าบริการจะถูกกว่ามาก แต่เรือก็จะเป็นเรือแจวธรรมดา ไม่มีเครื่องประดับตกแต่ง และจะต้องจอยกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ไปในขาเดียวกันค่ะ

ที่เที่ยวแรกในตอนเช้ารุ่งขึ้นที่เราไปคือเกาะซิมิเทโร่ Cimitero หรือเกาะสุสานค่ะ ป้ายเดียวจากสถานีฟุนดาเมนต้า นูโว หลุมฝังศพไม่ได้มีอะไรสวยงามอลังการเหมือนสุสานที่ลิสบอน แต่ตัวรั้ว โบสถ์และการจัดแบ่งพื้นที่ในสุสาน สวยงามมากค่ะ ภายในรั้วนี้ไปแล้ว ห้ามถ่ายภาพค่ะ ก่อนประตูทางออกมีห้องน้ำให้แวะเข้าและล้างหน้าล้างตา ส่วนตัวทั้งเราและโรเช ชอบเที่ยวชมสุสานมากค่ะ มันทำให้รู้สึกปลงสังขารและลดความอยากได้ อยากมีในชีวิตไปเยอะเลย


จุดเที่ยวต่อไปคือเกาะมุราโน่ เกาะที่เต็มไปด้วยโรงงานเป่าแก้ว และร้านค้าผลิตภัณท์จากแก้ว ที่อาร์ตติสแต่ละคนจะมีสไตล์ออกแบบเป็นของตัวเอง การเข้าชมการสาธิตในร้านย่อยๆเหล่านี้ จึงไม่ฟรี แต่ไม่ได้มีการบังคับเก็บเงิน เพียงแต่จะเขียนไว้ว่า กรุณาอย่าถ่ายรูป หรือถ้าจะถ่าย ขอค่ากาแฟให้อาร์ตติส ก็ช่วยกันได้ตามแรงศรัทธาค่ะ กลางเกาะ มีโบสถ์อยู่ตรงสะพาน ตรงกันข้ามกะหอสูง ถ้าใครไม่มีเวลาเยอะ เดินชมร้านค้าระหว่างคลองนี้ก็จะได้เห็นงานเป่าแก้วมากมาย ละลานตาแล้วค่ะ สุดทางจะมีสะพานเพื่อให้ข้ามมาเดินเก็บอีกฝั่งได้สะดวก ก็วนกลับมาที่เดิมได้ค่ะ

เมื่อจะไปต่อบุราโน่ จะต้องกลับมาขึ้นเรือที่ท่าหน้าหอประภาคารสีขาว ชื่อป้าย Murano Faro ป้ายนี้จะมีเรือใหญ่ผ่านเพื่อไปต่อบุราโน่ อีกเกาะที่ใครมาเวนิสไม่ควรพลาดเลยทีเดียว จากมุราโน่ไปบุราโน่ ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีค่ะ ถ้าไม่มีที่นั่งก็เมื่อยพอใช้เลยทีเดียว การมาขึ้นเรือที่มุราโน่ ซึ่งไม่ใช่ต้นทาง ทำให้เราสองคนต้องยืนไปตลอด เฮ้อ เศร้าแท้

เกาะบุราโน่ เป็นเกาะที่มีบ้านสีสวยๆ มีงานลูกไม้สวยๆ ขายเยอะ ส่วนมุราโน่ มีชื่อเสียงอยู่แล้วในด้านการเป่าแก้ว มีโรงงานและร้านค้าน่ารักๆ เพียบ ทั้งสองเกาะใช้เวลาเที่ยวรวมกันประมาณสามชั่วโมง ไม่รวมเวลานั่งเรือ (เผื่อเวลาซื้อของ เข้าโบสถ์และกินอาหารเที่ยงด้วย) ร้านอาหารที่เราทานเป็นประจำเมื่อมาบุราโน่ เป็นร้านของสามีพี่คนไทย ชื่อร้าน Galuppi ตั้งอยู่บนถนนสายหลักประจำเกาะ ตรงนี้มีร้านซุปเปอร์ และร้านอาหารให้เลือกมากเลยค่ะ ร้านพวก pizzeria จะขายอาหารราคาถูกกว่า เน้นพิซซ่าเป็นหลัก และมีเมนูเป็นเซ็ตมาให้ สั่งง่ายกว่า  ร้านอาหารในอิตาลีทุกร้านจะมีค่านั่ง Coperto ซึ่งบ้างก็ยูโรกว่าๆ ไปจนถึงสองยูโร และเผลอๆ ก็จะมีค่าขนมปัง ซึ่งสั่งหรือไม่ก็จะโดนยกมา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็ควรจะกินเสียให้หมดค่ะ

เมื่อกลับมาจากเกาะทั้งสอง เราก็อาบน้ำที่โรงแรมอีกรอบเพราะมันร้อนมาก แต่งตัวใหม่ ออกไปนั่งเรือวนรอบเกาะใหญ่ เพื่อไปลงที่ S.Marco/S.Saccaria ป้ายนี้จะพาวนรอบเมือง ผ่านแนวกำแพงเมือง มองเห็นเกาะลิโด้ (เกาะซึ่งมีรถยนต์ขึ้นมาวิ่งได้ เป็นเกาะตากอากาศ มีชายหาดสวยงาม โรงแรมหรู และคาสิโน) และ Biannale สถานที่จัดงานโชว์ศิลปะ เราเคยมางานนี้แล้วเมื่อหลายปีก่อน ไว้จะเขียนรีวิวเล่าให้ฟังค่ะ

ผ่านเรือครู๊ซลำเบ้อเริ่มที่เข้ามาจอดเทียบท่า แล้วก็มาถึงซานซักคาเรีย ขึ้นไปปั๊บ ก็เจอลานริมน้ำ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และร้านขายของรถเข็น โรงแรม Danieli ที่ตั้งอยู่ตรงนี้ คือสถานที่่ถ่ายหนังเรื่อง The Tourist ถ้าใครอยากเห็นข้างใน ต้องแต่งตัวหรูนิดแล้วพยายามทำมึนๆ เดินเข้าไปประหนึ่งว่าพักที่นั่น คุณอาจจะมีโอกาสแว้บเข้าไปได้

บนสะพานที่จะข้ามไปสู่วัง Ducale จะมีช่องคลอง ซึ่งมีสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเวนิสมาก สะพานเชื่อมตึกข้ามคลองค่ะ สำหรับการเข้าชมวังดูกาเล่นี้ แนะนำให้รีบมาจองทัวร์รอบห้าโมงเย็น จะพาชมห้องพิเศษๆ ด้วย ด้านนอกคนพลุกพล่านตลอด ระวังโดนล้วงกระเป๋าละกันค่ะ

โบสถ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังเก่านั้นให้เข้าชมได้ฟรีค่ะ ภายในห้ามถ่ายภาพ (ถึงจะพยายามถ่ายก็ไม่สำเร็จค่ะ มันมืดมาก ต้องใช้ขาตั้งกล้องและเปิดหน้ากล้อง รอเวลาถ่ายนานทีเดียว) เพดานและผนังใช้เซรามิคสีทองสร้างเป็นภาพของเซนต์ต่างๆ และเรื่องราวจากไบเบิ้ล สวยงามไม่ซ้ำที่ไหนเลยทีเดียว สำหรับการเข้าไปชม ควรแต่งกายให้สุภาพ ไม่ใส่เสื้อแขนกุด กางเกงและกระโปรงสั้น หากเช่นนั้นก็หาผ้าคลุมได้ โดยเขามีบริการตรงประตูเข้า รับเป็นเงินบริจาคแทนค่าเช่าหรือจำหน่ายผ้าคลุมพวกนี้ค่ะ เรากะโรเชเตรียมกันไปเรียบร้อยล่วงหน้า เพราะแต่ละวันเข้าหลายโบสถ์มากๆ ใช้ผ้าพันคอผืนใหญ่นี่แหละสะดวกดี

หลังจากเดินเที่ยวรอบๆ จตุรัสซานมาร์โก้แล้ว เราก็ลัดเลาะตามถนนในตัวเกาะ ไปยังสะพานไม้ Academia เพื่อถ่ายรูปวิวของโบสถ์ Santa Maria del Salute แล้วก็เดินต่อไปจนเจอสะพาน Rialto ที่เจอคุณอภิสิทธิ์เมื่อวันก่อน 

เดินเล่นดูของบนสะพาน ตรงนี้ของถูกมากกว่าบนเกาะเล็กๆเยอะค่ะ แล้วก็เดินกลับลงไปทางตลาด Rialto Mercato แวะซื้อผลไม้ ก่อนจะนั่งเรือกลับไปที่สถานีรถไฟ แล้วทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารตรงหัวมุมท่าขึ้นเรือ

อาหารในเวนิสแพงทุกร้านเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในอิตาลีคะ แต่แนะนำให้เลือกร้านที่บรรยากาศนะคะ จะได้ไม่ผิดหวังค่ะ ไหนๆ มันก็แพงทุกที่ เพราะมีค่านั่ง Coperto กะ Service charge รวมอยู่ ลืมบอกว่าค่าโรงแรมก็มี City Tax ด้วยเหมือนกัน ราคาต่างกันไป ตามโซนที่ตั้งของโรงแรมค่ะ

พวกเราพักกันสองคืนที่เวนิส คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้าย พรุ่งนี้แล้วเดินทางต่อไปปาโดว่าด้วยรถไฟ

เช้าวันที่ 11 เราก็ขนของจากที่พักมาขึ้นเรือที่ท่าเดิม Fundamenta Nuovo แต่คราวนี้อ้อมอีกด้านจากที่ไปซานมาร์โก้เมื่อวาน มาขึ้นท่าที่สถานีรถไฟ ตาร้ายมากๆ เพราะเจ้าหน้าที่จากวันดีคืนดีไม่เคยตรวจ พอบัตรเราหมดอายุไปได้แค่หนึ่งนาที ดันมาตรวจตั๋วซะได้นี่ เราก็เลยถูกลงที่ท่าก่อนหน้าจะถึงสถานีไปท่าเดียว ต้องเดินต่อเอง ซึ่งก็โชคดีที่มันไม่ไกล จากการสอบถามคนท้องถิ่น เขาบอกว่าเจ้าหน้าที่ตรวจ จะตรวจในเส้นทางที่จะไปสถานีรถไฟ และจะตรวจช่วงเช้า และช่วงเย็นเลิกงานเป็นส่วนใหญ่ (มิน่าเล่าเที่ยวมาตั้งวันก่อนหน้า ไม่เห็นโดน)

รถไฟคันที่เราเลือกขึ้นเป็นรถ Regionale ราคาจึงถูกมาก จาก Venezia S.L ไปแวะที่ Padova ก่อนเพื่อหากาแฟกินแล้วเที่ยวในเมือง ค่าตั๋วรถ คนละ 3.5 ยูโร

Padova เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในด้านสถาปัตยกรรม (ชื่อเมืองอีกชื่อที่คุณอาจจะเคยเห็นคือ Padua) //wikitravel.org/en/Padova

กระเป๋าก็เอาฝากไว้ที่สถานีรถไฟก่อนค่ะ ค่าฝากกระเป๋าใบละ 3.87 ยูโร ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำไว้เป็นเศษประหลาดๆแบบนี้ด้วย ส่วนเงินสดจ่ายเมื่อมารับกระเป๋าคืน ตอนฝากใช้พาสปอร์ตยื่นให้เจ้าหน้าที่ก็อปปี้และรับทิกเก็ตไว้มารับกระเป๋า

เมืองนี้อาจจะเดินเข้าเมืองนานหน่อย แต่จตุรัสกลางเมืองสวย ร้านค้าน่ารักๆเยอะมาก ตั๋ววันราคา 2.7 ยูโรค่ะ หยอดตู้เอาได้เลย หรือซื้อขาเดียวสำหรับเดินทางภายใน 75 นาที ราคาแค่ 1.2 ยูโร เราซื้อแบบนี้ เพราะขาไปกะจะเดินไป วิธีการเดินก็คือตามรถแทรมไปก่อนค่ะ พอเจอถนนสายคนเดิน ก็ละจากเส้นทางรถแทรมเข้าไปในนั้น แล้วเดี๋ยวก็เจอจตุรัสที่มีตลาดนัด

เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเจอกับวงเวียนใหญ่ และไม่กันกัน ถ้าตามรถแทรมเลี้ยวเข้าไปในถนนใกล้ๆ ก็จะเห็น โบสถ์เซนต์อันโตนิโอ้ หรือ Santo ภายในสวยมากๆ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ และแต่งกายเรียบร้อยเวลาเข้าชมนะคะ

พอเที่ยวโบสถ์เสร็จเดินย้อนกลับมาทางถนนเดิม เลี้ยวขวาตามรถแทรมไป ป้ายจะอยู่ที่หัวมุมถนน ไม่ต้องคิดมากว่าจะขึ้นคันไหน รถมาก็ขึ้นไปได้เลยทุกคัน กลับไปถึงสถานีรถไฟแน่นอนค่ะ รับกระเป๋าแล้ว

จากปาดัว เราก็ไปต่อด้วยรถไฟ Regional ไปยัง Bologna  ถ้ากินอาหารอิตาเลี่ยนบ่อยๆ จะต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาจากซอส Bolognese เป็นแน่แท้ ค่าตั๋วรถจากปาโดว่าไปโบโลนย่า ราคา 9 ยูโรต่อคนค่ะ  //wikitravel.org/en/Bologna

คืนนี้เราพักกันที่ Nuovo Hotel del Porto ค่ะ //www.nuovohoteldelporto.com โรงแรมดูดีทีเดียว แต่ละโรงแรมที่เลือก มี wifi ฟรีด้วย จะได้อัพรูปไปพลางๆด้วยไงจ๊ะ อิอิ โรงแรมเลือกห้องให้เราที่ชั้นบนสุด มุมสุด จึงได้วิวนี้มา ถ้าใครจองที่พัก ลองรีเควสห้อง 608 นะ

เมืองนี้มีจุดที่เที่ยวไม่มากนัก แต่มีพิพิธภัณท์เยอะมาก อันนี้ไม่ใช่พิพิธภัณท์แต่เป็นห้องสมุด ที่ไม่มีรายละเอียดอยู่ในแผนผังการชมเมืองของแผนที่ที่ได้มาจากสำนักงานนักท่องเที่ยวแฮะ ภายในชมและถ่ายรูปได้ฟรีค่ะ

เราใช้เวลาบ่ายและเช้าอีกวันที่นี่ ก็เดินดูได้ครบทุกอย่างที่ควรจะดู ถนนหนทางในเมือง เดินไม่โดนแดดฝนเลย เพราะมีอาเขตใต้อาคารติดกันยาวเป็นพืด

 

สุดท้ายเราก็กลับมาถ่ายรูปที่จตุรัสน้ำพุเนปจูนที่กลางเมือง ข้างที่ทำการข้อมูลนักท่องเที่ยวอีกที (ไร้ที่ไป) สำหรับที่ทานอาหาร เราเลือกร้านโลคอล ชื่อ Il Rosso ที่คนท้องถิ่นแนะนำมา พ่อครัวที่ร้านบอกว่าเมืองนี้ไม่มีสปาเกตตี้ขาย ถ้าจะสั่งมีแต่เส้นแบน Tagliatella a la Bolognese (เขาเรียก Ragu) เท่านั้น เอ้า จัดไป เขาบอกว่าเส้นสปาเกตตี้เล็กเกินไปที่จะดูดซับซอสอร่อยๆขึ้นมาใส่ปาก ต้องเส้นแบนนี้ถึงจะได้ใช้ได้ สนนราคาการกินอาหาร คนละสิบสามยูโร สองคอร์ส รวมน้ำดึ่ม โอเคดีมาก

รุุ่งเช้า วันที่ 12 นี้ก่อนออกเดินทางต่อ เราแวะซื้อน้ำและขนมที่ซุปเปอร์ข้างโรงแรม แล้วก็เดินทางต่อ ออกจาก Bologna เพื่อนั่งรถไฟยาวไปที่ Rimini เมืองชายทะเล ฝั่งอาเดรียติก (ตรงกันข้ามกะโครเอเชีย) //wikitravel.org/en/Rimini  เส้นทางนี้มีแต่รถความเร็วสูงวิ่ง เราเลยจองออนไลน์ ได้ราคาแค่ 9 ยูโรมา ใช้เวลานั่งรถประมาณสองชั่วโมง

ไหนๆ ก็มาฮันนีมูน ก็ต้องมีเวลามาเล่นน้ำทะเล อาบแดดบ้าง แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำเย็นๆ ใจตากแอร์ เล่นเน็ทในโรงแรม  

ที่พักคืนนี้อยู่ติดสถานีรถไฟ ตอนแรกคิดว่าจะหาไม่เจอ ชื่อ Hotel Moderna //www.hotelmodernorimini.com ห้องพักนึกถึงม่านรูดเมืองไทย (พูดเหมือนกะเคยเข้าไป) มีแอร์และทีวี แต่ไม่มีตู้เย้น เราไม่ชอบชาวเวอร์ เพราะไม่มีเคบิน เวลาอาบน้ำ โถชักโครกและพื้นเลอะเทอะหมด แต่อาหารเช้าเยอะดี ใช้ได้เลย เปิดจนถึงสิบเอ็ดโมงเช้า จัดห้องอาหารเช้าซะสีชมพูหวานแหวว เหมาะกะคนมาฮันนีมูน เอิ๊กๆ

สำหรับวันศุกร์ที่ 13 เลขเด็ด เป็นวันที่เราจะนั่งรถบัสสาย 72 จากหน้าโรงแรม (ป้ายขึ้นรถไปซานมาริโน จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกะสถานีรถไฟ ตรงหน้าโรงแรมเราเลยไปนิดหนึ่งพอดี) จะมีคุณป้านั่งขายตั๋วไป-กลับอยู่ ตอนนี้ตั๋วราคา 9 ยูโรต่อคน ก็จะได้ตั๋วกระดาษสีฟ้าๆขาวๆ มาสองใบ (ไปและกลับ) รถจะออกตามเวลา ชั่วโมงละคันเท่านั้น ถ้ารถยังไม่เต็ม คนขับอาจจะมีเลทให้อีกห้าถึงสิบนาทีเป็นการแถม เราก็ไปขึ้นรถได้รอบ 10:40 ทั้งที่เลยมาห้านาทีแล้ว โดนไล่ใหญ่เลย

มามะ เราไปเที่ยวประเทศที่เล็กเป็นอันดับสามของยุโรป San Marino กัน ประเทศนี้ก่อตั้งโดยนักบวช Marinus เป็นเขตที่สูง ภูเขาล้วนๆ แม่เอย เดินกันสนุกแน่ๆ  แล้วโทษฐานที่เป็นวันศุกร์ที่ 13 เราก็มีเรื่องให้กรี๊ดดดดังๆ เมื่อเราทิ้งกระเป๋าไว้กับแฟน (แล้วไม่ได้บอก เพราะปกติจะบอกทุกครั้ง) เดินไปที่น้ำพุที่หน้าจตุรัสเพื่อแอบดึ่มน้ำเย็นๆ ใสๆ พอเดินกลับมากระเป๋าหายไปจากข้างแฟน ตัวแสบนั่งเล่นกล้องตัวเองอยู่อย่างเมามัน เอาละสิค้า โดนหิ้วแบบนี้ จะไปตามหาคืนที่ไหน

คำแนะนำสำหรับคนที่อาจจะโดนแบบนี้ ให้ตั้งสติแล้วแยกกันหา โดยเดินตามหาไปในถนนใกล้ๆค่ะ แฟนเราสติแตกไปก่อนแล้ว แต่เราเป็นคนที่เอาเงินสำรองของเราใส่ไว้ในกระเป๋า รวมทั้งบัตรประชาชนยุโรปด้วย ถ้าหายเนี่ย ตายแน่ๆ เราเดินกันไปตามทางเดิน ซึ่งตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว ไปหาตำรวจก่อน ถึงจะต้องปิดประตูเมืองค้นหากันก็ต้องทำละวะ ระหว่างที่เดินไป ยังไม่ถึงสถานีตำรวจ ก็เจอกระเป๋าเจ้ากรรม ตั้งอยู่ริมระเบียงชมวิวเมือง ของทุกอย่างครบ แต่เงินสดหายเกลี้ยง

ที่น่าแปลกใจมากคือ หายเฉพาะเงินสดในกระเป๋าตังค์ แต่เงินสำรองประมาณพันยูโรที่เราพับสอดไว้ในกระเป๋าส่วนอื่น ไม่หายไปด้วย รวมทั้งเหรียญสองยูโรของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเหรียญพิเศษที่เราเก็บไว้สะสม ก็ยังอยู่ ส่วนเหรียญอื่นๆ พี่แกกวาดไปเกลี้ยง เรียกได้ว่าเทกระเป๋า บิลเก่าๆและตั๋วรถอยู่ครบ นับว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้าย หลังจากวันนั้นมา เราเลยงดพกเงิน และผลัดกันเอากระเป๋าสตาางค์ออกนอกโรงแรมกัน คนละวัน เผื่อหายจะได้ช่วยกันได้ ฟาดเคราะห์์ไป

เช้าวันที่ 14 เตรียมตัวออกเดินทางต่อด้วยรถไฟ จาก Rimini ไปเปลี่ยนที่ Bologna centrale หาอะไรกินเล่นแล้วต่อรถเข้าสู่ Firenze เลย

ที่พักคืนนี้เป็นบ้านเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย www.eng.franzhouse.it มีอาหารเช้าแสนถูก บริการดีๆ จากนิโคแลตต้า และเมาริตซิโอ้ สองสามีภรรยา รอบนี้เราเลยพาโรเชไปให้รู้จักกันไว้

เส้นทางการเที่ยว วันที่ 15 สองเราจะพากันเที่ยวใน Florence ก่อน //wikitravel.org/en/Florence  แล้ววันที่ 16 จะเดินทางไปเช้าเย็นกลับ ไปเที่ยว Siena เมืองที่แอบหลงรัก เพราะว่าดู Twilight (ง่ะ) และถ้ามีเวลาก็ไปอีกเมือง San Gimignano

เที่ยวเมือง Siena ดูรายละเอียดจากนี่ค่ะ //wikitravel.org/en/Siena  เมืองนี้คล้ายๆกับ Toledo ของสเปน เหมาะกับการเที่ยวแบบวันเดียว

วันที่ 17 เราต้องเดินทางออกจากฟลอเรนซ์แล้ว เพื่อไปทิ้งกระเป๋าที่ Pisa ที่พักคืนนี้เป็น B&B ชื่อ Caterina //www.bbcaterina.it ตอนเลือกทำให้นึกถึงที่พักตอนที่ไปเที่ยวลิสบอน ปีที่แล้วมากๆ

เมื่อทิ้งกระเป๋าแล้ว ก็จะจับรถไฟเดินทางไป Lucca ต่อเลย //wikitravel.org/en/Lucca เมืองนี้ก็เป็นเมืองแบบเที่ยวเช้าเย็นกลับได้ อีกเมือง กลับมาแล้วตอนบ่ายๆ เราก็จะเดินเล่นข้ามแม่น้ำ Arno ไปดูหอเอนปิซ่า และเดินเที่ยวใน Pisa //wikitravel.org/en/Pisa

รุ่งขึ้น 18 เป็นวันแห่งการย้ายเมืองออกจากแคว้น Tuscany เข้าไปสู่ Liguria แวะเปลี่ยนรถไฟที่เมือง La Spezia เมืองท่า ทานอาหารเที่ยงแล้วเข้าสู่หมู่บ้านที่เราว่าสวยที่สุดใน Cinque Terre คือ Riomaggiore //wikitravel.org/en/Riomaggiore

เข้าที่พักที่  Alla Marina เจ้าของชื่อ Sandro น่ารักมาก รีบเมล์มาแจ้งว่าห้องพักที่เราได้นั้น ไม่มีหน้าต่าง เพราะอยู่ติดเขา แต่มีพัดลม อาจจะมืดและเย็นหน่อย อ้ะดีสิ ร้อนๆ แบบนี้ ไม่เรื่องมาก ขอให้เย็นละได้หมด //www.allamarina.com/camera1-eng.php

หลังจากแวะเล่นน้ำอุ่นๆ ตอนเย็นๆ แล้ว

รุ่งเช้า 19 ก็เป็นเวลาแห่งการเดินเที่ยว (เล็กน้อย) ฉันไม่ได้บ้าการเดินขึ้นเขานี่ยะ แล้วก็จะต่อรถไฟไปยัง Genova เป็นที่เชื่อได้ว่ารถไฟหวานเย็นขบวนนี้คนล้นหลามแน่ๆ ดีที่เราขึ้นต้นทาง คงพอได้นั่ง

มาลงรถไฟที่สถานี Genova Brignole เนื่องจาก Genova หรือ Genua มีสถานีรถไฟหลายแห่ง ที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ ใกล้สถานี Albergo Astro //www.albergoastro.com เห็นกระไดก็มึนแล้ว ดีใจที่ไม่ได้เอากระเป๋าใบใหญ่มา

เมืองนี้มีที่น่าเที่ยวดังนี้ //wikitravel.org/en/Genova

ส่วนพวกเราอยากไปพิพิธภัณท์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เพราะเคยไปที่โปรตุเกสมาแล้ว ชอบมากๆ คราวนี้พลาดไม่ได้แน่นอน การเดินทางที่นี่ลำบากนิดเพราะรถบัสมันวิ่งเป็นวงกลม ค่ารถ 1.5 ยูโร สำหรับ ชั่วโมงกว่าเลย ก็คุ้มทีเดียว ขึ้นลงเปลี่ยนรถได้หลายคันด้วย ส่วนตั๋ววัน 4.5 ยูโร ไม่รู้ว่าใช้ได้ 24 ชั่วโมงหรือตามวันปฏิทิน จะไปเช็คมาให้ค่ะ

จากเจนัว วันที่ 20 ก็จะเดินทางออกเพื่อข้ามประเทศระยะไกล เปลี่ยนรถไฟที่เมือง Ventimiglia เข้าสู่ฝรั่งเศส โดยแวะที่ Monaco Monte Carlo ลงรถไฟเพื่อเปลี่ยนเป็นรถบัส (จริงๆ อยากจะนั่งรถไฟต่อมาลงที่ Cap D'ail เพื่อเข้าที่พักเลย แต่กลัวว่าจะต้องเดินไกลว่ารอต่อรถบัส อย่ากระนั้นเลยก็ลงมาเปลี่ยนรถบัส ค่ารถบัส 1 ยูโร ขึ้นรถได้จากหน้าสถานีรถไฟเลยค่ะ

โรงแรมที่ Cap D'ail (ในเขตของฝรั่งเศส) ได้ห้อง seaview ด้วย //www.monte-carlo.mc/hotel-miramar-capdail โรงแรมมิราม่าร์ ตั้งอยู่บนถนนใหญ่พอดี มีป้ายรถเมล์หน้าโรงแรมหายห่วงเลย

วันที่ 21 ไปเที่ยวโมนาโคก่อน ด้วยรถบัส เพราะว่าตอนห้านาทีก่อนเที่ยง ต้องไปดูทหารเปลี่ยนเวรที่วังบนเขาให้ทัน แล้วพอมาถึงโรงแรม อาจจะนั่งรถไฟไปนีซ เพราะจะได้วิวสวยๆ และเข้าที่พักสะดวกๆ เพราะที่พักที่นีซ อยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก เป็น Guesthouse ชื่อ Chez Brigitte //hotel.nice.pagesperso-orange.fr อยู่บนตึกชั้น 4 ต้องถ่อสังขารขึ้นไปเอง แต่บ้านสวยน่ารักดี ให้บรรยากาศบ้านฝรั่งเศสที่อยู่ในตึกชั้นสูงๆ

วันที่ 22 ออกเที่ยวนีซ แวะไปว่ายน้ำ แล้วออกเดินทางด้วยรถไฟรอบบ่าย ไป Marseille ที่พักที่นี่ก็อยู่ใกล้สถานีรถไฟ ชื่อโรงแรม Terminus คืนนี้ออกไปชมเมืองมาร์แซย์ //www.hotel-beaulieu-marseille.com

วันที่ 23 เที่ยวมาร์แซย์หน่อยแล้วกลับไปสถานีรถไฟ รับรถเช่า แล้วขับรถขึ้นเหนือ ผ่าน Aix-en-provence เที่ยวหมู่บ้านน่ารักๆ ก่อนไปนอนที่ Sault โรงแรม Le signoret //www.lesignoret.com

วันที่ 24 ค่อยๆ เที่ยวต่อไปทาง Avignon แล้วเข้าสู่ Nimes พักที่ Nimes Ouest Fasthotel //www.fasthotelnimesouest.com โรงแรมนี้แนวโมเต็ลๆ นิดหนึ่ง

วันที่ 25 ขับรถต่อเข้าสู่ Montpellier ส่งรถ แล้วเข้าโรงแรม //www.hotelcolisee.com/fr/accueil Colisee Verdun  เที่ยวมองต์เปลิเย่ เมืองนี้ไม่ค่อยได้ยินใครพูดถึง

วันที่ 26 ขึ้นรถแทรมไปลงที่จตุรัส Europa แล้วนั่งรถบัสไปสนามบิน

Transavia พาบินกลับ แต่รอบนี้มาลงที่สนามบิน Rotterdam/Den haag จ๊ะ

จบทริปแล้ว




Create Date : 09 กรกฎาคม 2555
Last Update : 1 สิงหาคม 2555 17:44:58 น.
Counter : 2544 Pageviews.

2 comment
วิธีการดูรีวิว
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคนที่มุ่งหวังเข้ามาหาข้อมูลก่อนเที่ยว จากการดูรีวิว

เนื่องจากเราทำงานเป็นไกด์นะคะ จึงมีโอกาสได้ไปหลายๆประเทศค่อนข้างบ่อย แต่ว่าบล็อกเราหายไปครั้งนึงตอนที่ต้องเปลี่ยนล็อกอินใหม่ เลยต้องรื้อมาทำใหม่หมด ตอนนี้เราไล่แปะรูปก่อน แล้วจึงจะมาลงในส่วนของรายละเอียดสถานที่เที่ยว และวิธีการเดินทาง

ถามว่าทำไมบางที่ไม่บอกให้ละเอียด

เพราะว่ามันเป็นงานของเราค่ะ คนที่มาหาเจอ และอยากจะรู้เพิ่ม ก็มาคุยกะเราได้ แต่เราไม่อยากให้บริษัททัวร์ หรือเสือนอนกิน มาได้ประโยชน์จากเรา เอาไปคิดเงินกับคนอื่น ซึ่งอาจจะไม่มีโอกาสมาเจอบล็อก

ดังนั้น หากต้องการให้ช่วยเหลืออะไร แนะนำ

เรายินดีเลย หากมันจะไม่เสียเวลามาก

เพราะฉะนั้นก่อนเพื่อนๆ จะถามอะไรมา ขอความกรุณา ช่วยตัวเองก่อนสักนิด ก่อนจะเอาทุกอย่างมาโยนที่เรานะคะ

สำหรับคนที่เป็นลูกค้า ปกติเราบริการจัดให้ทุกอย่าง ตามคำสั่งเขาอยู่แล้ว (ก็เขามีหนี้สินต้องชำระเรานี่นะ) แต่สำหรับเพื่อนๆ เที่ยว ในบลูพลาเน็ต เพื่อนๆทุกคน เก่งและมีประสบการณ์เที่ยวอยู่บ้างแล้ว

สอบถามเป็นบางอย่างไป เราไม่รังเกียจเลยค่ะ

ภาพในรีวิว จะมาจากหลายๆทริปของเรา เพราะบางทริปก็ได้ถ่ายรูปมุมหนึ่ง ไม่ได้ถ่ายอีกมุม หรือไปคนละช่วงเดือน ก็จะมีสภาพภูมิทัศน์แปลกออกไป ทั้งที่เป็นที่เดิม เราก็พยายามเอาที่หลากหลายมาแปะ เพื่อนๆจะได้พอนึกออกว่าถ้าไปช่วงฤดูนั้นๆ จะเจอกับสภาพอย่างไรนะคะ

หากมีอะไร ติดต่อที่ smileyinbelgium แอดฮอทเมล์ จะเร็วกว่าทิ้งคอมเมนท์ไว้ในบล็อกค่ะ



Create Date : 30 ตุลาคม 2554
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2554 15:20:11 น.
Counter : 454 Pageviews.

0 comment
ที่พักในเนเธอร์แลนด์ กับคนไทย ใน Hoek van Holland ค่ะ
เราเองก็ไม่เคยคิดว่า จับพลัดจับพลูวันหนึ่งจะต้องมาอยู่ที่เมืองนี้ค่ะ Hoek van Holland (ฮุคฟันฮอลลันด์) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ในหน้าร้อนมีนักท่องเที่ยวมากกว่าประชากรหลายเท่า เป็นอำเภอหนึ่งในการปกครองของ Rotterdam ซึ่งก็ทำให้เราได้สิทธิพิเศษหลายอย่างของจังหวัดนี้ ไม่เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆ ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของ Westland แม้ว่าจะอยู่ใกล้กัน

สำหรับที่พัก เนื่องจากบ้านใหม่ เล็กลง และเรามีน้องนกอีกสองตัว จึงไม่สะดวกกับการให้บริการคนที่เดินทางกันเป็นคู่ หากคุณมาฮันนีมูน พักโรงแรมดีกว่าค่ะ เดี๋ยวลี่จัดให้

ที่พักที่บ้านจะมีห้องนอนส่วนตัวเตียงเดี่ยว เบาะสบายมากๆ ในห้องเล็กๆ มิ ดชิด แต่ก็ใช้ส่วนอื่นๆของบ้านได้เหมือนเป็นญาติเราค่ะ ตอนเช้าเราจะทำอาหารทาน ก็มาทานด้วยกัน สำหรับมื้อเย็น เราทำอาหารไทยทุกวัน ก็บอกไว้ แล้วเดี๋ยวจะได้ลองทานอาหารใต้ ฝีมือแม่ครัวเก่ากันบ้าง

สำหรับที่พัก เนื่องจากเราไม่ได้คิดราคาเอง เลยต้องขอคิด 15 ยูโร ตามที่อื่นเขา แต่เราจะแถมอาหารเช้า อาหารเย็นให้ละกันค่ะ :)

แล้วเรากล้าดียังไง ถึงเปิดโฮมสเตย์ อ้ะแน่นอนค่ะ สำหรับ Hotelier อดีตผู้จัดการโรงแรมอย่างลี่ ลี่เข้าใจลักษณะการให้บริการห้องพัก แต่ละชนิดดี แต่ที่เราเลือก คือเป็นโฮมสเตย์ เพราะเป็น ชนิดหนึ่งของการให้ที่พักอาศัยหมายถึง ระยะเวลาหนึ่งที่คุณอาศัยอยู่ในบ้านเราเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน โฮมสเตย์เป็นความสัมพันธ์ ไม่ใช่จ่ายเงินเพื่อให้มีที่นอน ถ้าแบบนั้นต้องไปใช้บริการ Hotel ถ้าคุณชอบความเป็นส่วนตัว หรือ Hostel ถ้าคุณอยากประหยัด นะคะ




Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 24 ตุลาคม 2554 14:17:43 น.
Counter : 1092 Pageviews.

5 comment
บริการจัดหาที่พักในยุโรป
จัดหา ไม่ได้แปลว่าจองให้ และจ่ายเงินให้นะคะ จัดหาเป็นการให้ข้อมูลจากรประสบการณ์กันโดยไม่คิดมูลค่า หากคุณจะเดินทางไปในประเทศใด เมืองใด ที่อยากได้คำแนะนำสำหรับที่พัก ว่าที่ไหนดี อยู่ใกล้สถานีรถไฟ (เพราะคุณมาถึงดึก) หรือที่ไหนดี สวย อยู่ใจกลางเมืองเก่า หรืออยู่ข้างร้านอาหาร หรือที่พักถูกๆ ในราคาที่เทียบแล้วคุ้มค่า

สอบถามมาได้ค่ะ ไม่หวงค่ะ

สำหรับภายในเนเธอร์แลนด์เอง ลี่กำลังจัดทำเน็ตเวิร์คโฮมสเตย์และ Bed & Breakfast ที่บริหาร หรือมีเจ้าของเป็นคนไทย จัดบริการราคาไทยๆ ใครเป็นเจ้าของ ติดต่อมาได้ ส่วนคุณนักเดินทาง เตรียมพบกับลิสต์เต็มรูปแบบได้เร็วๆนี้ค่ะ

อนึ่ง ลี่ยังไม่ได้ทำเวบจองนะคะ ขอเชิญติดต่อเจ้าของที่พักโดยตรงก่อนค่ะ



Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 23 มกราคม 2553 22:57:36 น.
Counter : 513 Pageviews.

1 comment
จัดเป้ travel light
แบกไปเรื่อยค่ะ แต่เราต้องทำงาน มิใช่แบกเป้เที่ยวเหมือนชาวบ้านเขา ดังนั้นบางครั้งเป้ใบเดียว อาจจะต้องอยู่นอกบ้านถึงสองเดือน แล้วก็จะต้องอยู่กับหลังเราไปตลอด

วันนี้จึงมาแนะนำวิธีการแพ็คกระเป๋า สำหรับขาเที่ยว ที่อาจจะเคยกลับเมืองไทยแล้วพบว่า "เฮ้ย เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย อุตส่าห์แบกไปสองอาทิตย์ หรือ อุ้ย เราเอาอะแดบเตอร์มาด้วยแล้วหรือนี่ ดันไปซื้อใหม่มาอีกอัน" ซะอย่างนั้น

มาดูที่ชนิดของกระเป๋ากันก่อนค่ะ

ไม่จำเป็นต้องซื้อกระเป๋ายี่ห้อแพงๆ Samsonite หรือเป้ The North Face คุณก็เที่ยวยุโรปได้

กระเป๋าที่เหมาะ คือกระเป๋าที่คุณรู้จักช่อง และซอกซอยของมันดี ว่ามีช่องอะไรอยู่ตรงไหน และคุณจะเอาอะไรยัดเข้าไปได้บ้าง

กระเป๋าที่ดีคือกระเป๋าที่ตัวกระเป๋าเองมีน้ำหนักเบา รูปร่างหน้าตายี่ห้อไม่ล่อโจร และตามประสบการณ์เรา คือเป็นกระเป๋าที่นิ่ม (มันดีอย่างไรเดี๋ยวจะมาเล่าต่อค่ะ)

กระเป๋าควรจะมีสีไม่เข้มมากนัก ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเป้หรือลาก เพราะอะไรน่ะหรือค่ะ เพราะมันจะดูดความร้อน และทำอันตรายให้กับสิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั่นเอง งานนี้ช็อกกะแลตของฝากที่ซื้อไว้ตั้งแต่วันแรก จะเละเป็นปลาร้าตั้งแต่ยังไม่ทันถึงวันสุดท้าย และเบียร์กระป๋อง ยี่ห้อแปลกที่จะซื้อไปฝากคุณลุงคอเบียร์ เผลอๆจะระเบิดออกมาได้

แต่ควรจะสีสด ให้แจ๋นไปเลยได้ยิ่งดี เพราะจะเป็นจุดสายตาคน ขโมยขโจรจะไม่กล้าเข้าใกล้ค่ะ

อย่ากระนั้นเลยซื้อผ้าร่มติดขอบยางยืดเคลือบสารป้องกันยูวีเอาไว้คลุมกระเป๋าและเป้สักใบ นอกจากจะกันแดดได้แล้วก็ยังกันฝนได้ด้วย เวลาไม่ใช้ก็พับๆ ยัดไว้ในกระเป๋านั่นแล

หากคุณใช้บริการสายการบินโลว์คอสในยุโรป ให้มาเช็คขนาดกระเป๋ากัน โดยมีวิธีวัดดังนี้
- เอาสายวัด(ที่ไว้วัดตัวตัดเสื้อ) มาวัด โดยวางกระเป๋า เอาด้านที่เป็นฝาไว้ข้างบน จับมันนอนลงไป
- วัดความหนา โดยวัดจากพื้นขึ้นมา (อย่าไปวัดที่ตัวกระเป๋าโดยตรง) วัดความหนาขึ้นมา มันจะเป็นตัวเลขชุดที่เลขต่ำสุด (ถ้าบินไรอันแอร์ ไม่ควรเกิน 20 ซม.)
- วัดความกว้าง ด้านข้างของกระเป๋า
- วัดความยาว ก็คือด้านที่ยาวสุด อย่าลืมลากสายวัดไปจนจรดปลายลูกล้อ เพราะเวลาคุณยัดกระเป๋าลงในช่องวัดกระเป๋าของสายการบิน คุณไม่ได้ถอดล้อออกนี่

ขนาดกระเป๋าของสายการบินโลว์คอส(ชื่อดังๆ) ในยุโรปเป็นมาตรฐานดังนี้
Ryan Air / Wizzair 20 x 40 x 55 และไม่เกิน 10 กิโลกรัม
Easy Jet 25 x 45 x 56 หนักเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าคุณทูนหัวไหว
แต่เพื่อความปลอดภัย เราเองแพ็คกระเป๋าไว้ที่เล็กกว่า 20 x 40 x 55 ก่อนเสมอ เพราะมันจะบวมได้อีก

มีคนบอกไว้ว่า กระเป๋าสำหรับ สามวัน สองอาทิตย์หรือสี่เดือน ขนาดไม่ได้ต่างกัน ซึ่งเราก็ทดลองดูแล้ว ปรากฏว่าจริง

ในการเที่ยวปกติ คุณจะไม่ใส่ชุดชั้นในซ้อนกันสามชุด ดังนั้นชุดชั้นใน และถุงเท้าอย่างละ สามชุด ก็เพียงพอแล้ว
หากตัวหนึ่งใส่อยู่ อีกตัวซักรอแห้ง คุณก็จะมีไว้ฉุกเฉินอีกหนึ่งเสมอ

--------------------------------

สำหรับชุดสำหรับใส่ด้านนอก ขึ้นอยู่กับฤดูกาล

แต่ก็ไม่ใช่ว่าฤดูหนาวจะทำให้กระเป๋าคุณหนาผิดปกติ เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา มีเพียง ผ้าพันคอหนึ่งผืน หมวกหนึ่งใบ ถุงเท้าหนาหนึ่งคู่ ถุงมือ เสื้อสเวตเตอร์ และเสื้อโค้ตกันหนาว (ซึ่งคุณใส่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว)

ในขณะที่หน้าร้อน คุณก็จะมีหมวกแก๊บกันแดด ครีมกันแดด แว่นกันแดด เข้ามาแทนที่

การแพ็คแบบ Travel Light มีส่วนผกผันโดยตรงกับคนที่แบกกระเป๋าไปเดินแฟชั่นโชว์ (กรณีนี้ให้ดูสาวๆชาวจีน ที่จะแต่งตัวสวยราวกับนางแบบทุกวัน แต่มีกระเป๋าใบใหญ่เท่าเครื่องซักผ้าไปเที่ยวด้วย)

ถ้าคุณอยากจะทำอย่างนั้น เราไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่าเสียเวลามาอ่านวิธีแพ็คกระเป๋าแบบเบาเลย เสียเวลาเปล่าๆ

------------------------------

แพ็คกระเป๋าแบบไลท์ มีข้อดีตรงที่คุณไม่ต้องโหลดกระเป๋า ไม่เสียเวลารอรับกระเป๋าที่สายพาน (ซึ่งแม้คุณจะโหลดกระเป๋า เรามีคำแนะนำให้ คือ ถ้าบินโลว์คอส พยายามไปเช็คอินให้เลทเข้าไว้ เมื่อโหลดกระเป๋าขึ้นไปเป็นใบสุดท้าย กระเป๋าคุณจะออกมาเป็นใบแรก ทำให้รอไม่นาน)

เมื่อไม่โหลดกระเป๋า สารเหลวต่างๆในกระเป๋าคุณจะต้องเป็นไปตามกฏความปลอดภัยของสนามบิน คือมีภาชนะใส่ไม่เกิน 100 มล. และไม่เกินสิบชิ้น (ตายละวา แล้วจะเอาของไปได้ครบหรือนี่) ลองเช็คดูจากของใช้สำคัญดังต่อไปนี้

-------------------------

แม้ว่าภาชนะจะไม่เกิน 100 มล. ตามหลัก แต่ในความเป็นจริง ไม่มีภาชนะใดที่เขียนว่าร้อยมิลลิลิตร จะใส่ของเหลวได้แค่ร้อยมิล ตามนั้นจริงๆ คุณยัดมันไปให้เต็มเถอะค่ะ ที่เมืองไทยมีขวดแชมพู และครีมอาบน้ำขนาดตามนี้อยู่แล้ว หาซื้อได้ง่าย สะดวกสบายมากๆ ก็นับไปเลยดังนี้
- แชมพู
- ครีมนวดผม (เราเข้าใจสาวๆดี ไม่มีใครอยากไปเที่ยวแล้วหัวฟู)
- ครีมอาบน้ำ (จะสะดวกกว่าสบู่มากๆ)
- ยาสีฟัน
แค่นี้เองจริงๆที่สำคัญ
ทีนี้เผื่อสำหรับคนที่รักสวยรักงาม
- ครีมรองพื้น
- ครีมทากลางคืน
- ครีมทากลางวัน
- มาสคาร่า
- น้ำหอม
- ดีโอดอแรนซ์ (น้ำยาระงับกลิ่น)
สำหรับคนที่ใส่คอนแท็ค
- น้ำตาล้างเลนส์
- ครีมกันแดด (สำหรับหน้าร้อน)
ยังมีที่เหลือให้ใส่ของเหลวได้อีก ถ้าคุณไม่ได้เอาเครื่องสำอางไปครบดังลิสต์

ส่วนคำถามที่ว่า แป้งแต่งหน้า อายแชร์โด ลิปสติกนั้น รวมไปในของเหลวหรือเปล่า คุณก็ดูสภาพของมันนะคะ แต่ตั้งแต่เราบินมาสามสิบกว่าไฟลท์ในยุโรป เจ้าหน้าที่จะไม่นับเครื่องแต่งหน้าพวกนี้รวมไปกับของเหลวค่ะ คุณทำการแยกถุงเครื่องสำอางออกได้เป็นอีกถุงใสได้ สำหรับลิปกลอสที่เป็นหลอดๆ หรืออายไลเนอร์แบบน้ำนั้น กรณีนี้ให้นับเหมือนมาสคาร่าค่ะ
เมื่อนับน้ำหนัก ของในถุงใส ของคุณจะมีน้ำหนักแค่ประมาณ 1 กิโลกรัม

ทีนี้มาดูของที่ขาดไม่ได้บ้าง นั่นก็คือยารักษาโรค

------------------------

สำหรับคนที่เมารถ เมาเรือ แพ้อากาศ ปวดท้องเมนส์ และสาวๆที่รู้ว่าจะมีประจำเดือนช่วงเดินทางแน่ๆ ในกระเป๋ายาคุณจะมีของเหล่านี้เพิ่มไปด้วย ยาสำคัญที่ควรจะมีไปก็คือ ยาพาราเซตามอล ยาแก้อักเสบหนึ่งชุด(อันนี้ช่วยได้ดี และหาซื้อไม่ได้ในยุโรป) พลาสเตอร์ปิดแผล และเบตาดีน แต่เราไม่พก พกแต่ผงพิเศษตราร่มชูชีพ (อย่าถือว่าโฆษณาเลยค่ะ แต่มันคุ้มค่าการแบกจริงๆ เพราะเป็นผง ใช้ทาแผลสดแผลเปื่อย รวมทั้งทาหน้ากันสิวได้อีก)

สาวๆ อย่าลืมพกผ้าอนามัยไปอย่างน้อยห้าชุด หากวันมามากจริงๆ คุณก็ยังมีเวลาพอหาซื้อได้ ในยุโรปก็มีผ้าอนามัยแบบแผ่นขายค่ะ
หากคุณมีประวัติไม่ถ่ายเวลาไปเที่ยว หรือชอบอั้นปัสสาวะ พกยาสำหรับกระเพาะปัสสาวะอักเสบและยาระบายมาด้วย ก็ไม่ได้ทำให้หนักเพิ่มขึ้น อัตราส่วนตามจำนวนวันที่เดินทาง

คนที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ก็พกยามาเพิ่มตามความจำเป็นของคุณ น้ำหนักยาที่เอามา อย่างไรก็ไม่ถึงสามขีดค่ะ

------------------------------------

ทีนี้ก็เป็นเรื่องของ Gadget
เช็คลิสต์ดังต่อไปนี้
- โทรศัพท์มือถือ
- ที่ชาร์จโทรศัพท์
- อะแดบเตอร์ ในกรณีที่ปลั๊กเครื่องเล่นต่างๆ ยังไม่เป็นขากลมสองขา
สำหรับสมาชิกแบกเป้ที่มากันหลายๆ คน เราอยากจะแนะนำให้มีคนหนึ่ง เอาสายพ่วงต่อมาด้วย เพราะในบางโฮสเทล มีรูเสียบอันเดียว คุณจะชาร์จแบตกล้องถ่ายรูปกันไม่ทัน ทำให้วันรุ่งขึ้นเสียโอกาสในการถ่ายรูปไปโดยไช่เหตุ
- คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ถ้าจะแบกไปเล่นเน็ท แล้วอย่าลืมสายชาร์จ
- กล้องถ่ายรูป
- เมมโมรี่การ์ด (เผื่อเต็ม หรือหาย)
- ที่ชาร์จแบตกล้องถ่ายรูป

Gadget เปล่านี้ เพียงพอสำหรับกิจกรรมอื่นๆแล้ว เช่นนาฬิกาปลุก ก็ใช้โทรศัพท์มือถือไป ไม่ต้องพกมาอีก นาฬิกา ก็ไม่ต้องเอามา มือถืออันเดียวเอาอยู่ เผลอๆ คุณสามารถโหลดแผนที่แต่ละเมืองใส่ในมือถือ เพื่อใช้ระหว่างเที่ยวได้ด้วย สำหรับกล้องถ่ายรูปนั้น ก็ใช้ถ่ายภาพแผนที่เมือง เพื่อใช้ช่วยในการเดินหาที่พักให้สะดวกขึ้นได้ด้วย

สำหรับสาวๆที่อยากสวย การที่คุณจะลงทุนแบกไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม เครื่องม้วนผมมานั้น เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างมาก กรุณาสอบถามกับทางที่พักก่อน เพราะหลายๆที่มีให้ใช้อยู่แล้ว อีกอย่างคืออากาศในยุโรปนั้นความชื้นน้อยกว่าไทย ผมคุณจะแห้งได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แค่หวีให้เข้ารูปทรง คุณก็จะสอยแบบแบ็คแพ็คเกอร์เลยทีเดียว การจะสวยที่ผมเพิ่มเติมเป็นปัจจัยที่คุณต้องคิดเอง ว่าแต่ละวันจะมีเวลาทำสวยนานแค่ไหน จะได้โชว์ใครอีกกี่มากน้อย หากจะนำไดร์ หรืออุปกรณ์ทำผมมา พยายามใช้แบบที่คอมแพ็ค คืออันเล็กๆ อเนกประสงค์เข้าไว้ แล้วใช้ร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่ม

ของเล่นทั้งหลาย รวมน้ำหนักกันไปแล้วเกือบสามกิโลกรัม (งานนี้คุณๆที่ใช้กล้องโปร แบบว่ากล้องอย่างเดียวหนักหนึ่งกิโลกรัมเข้าไปแล้ว แถมต้องแยกกระเป๋ากล้องอีกตังหาก) ก็อาจจะต้องเดินทางหนักกว่าคนอื่นอีกสักหน่อย

สำหรับขาตั้งกล้อง ขอแยกออกมาเป็นอุปกรณ์ฟุ่มเฟือย เพราะเราเห็นว่าไปที่ไหนก็มักจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นอยู่แล้ว เอ่ยปากสักคำ เพื่อให้มีรูปถ่ายตัวเองสักรูป ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่ถ้าคุณพอใจจะถ่ายรูปตัวเอง ดังนั้นก็ต้องแบกขาตั้งกล้องไปเองอีกหนึ่งอย่าง งานนี้คนที่ตั้งใจจะไปถ่ายรูป pre-wedding รูปยามค่ำคืน หรือเน้นไปเที่ยวเพื่อจะได้มีรูปตัวเองเยอะๆอย่างเดียว โอกาสจะ Travel light ก็จะน้อยลง แต่จะไม่มีผล หากคุณเดินทางกันเป็นหมู่คณะ เอาไปคนเดียว ใช้กันทั้งกลุ่ม

-----------------------------

ต่อมาก็เสื้อผ้าที่ใส่
- ชุดนอนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนทุกวัน หากคุณไปเที่ยวเกินอาทิตย์ เอาชุดนอนไป 2 ชุดก็เพียงพอแล้ว
- กางเกงยีนส์ เป็นสิ่งที่ practical ที่สุดสำหรับการเที่ยวแบบลุยๆ โดยเฉพาะในยุโรป กางเกงยีนส์ตัวเดียวอยู่ได้เป็นเดือน แต่เพื่อสุขอนามัย คุณควรจะมีสักสองตัว (รวมตัวที่ใส่อยู่) หากเป็นฤดูร้อนก็ใส่เป็นกางเกงขาสั้นก็ได้ ไม่ผิดกติกา
- เสื้อ จุดนี้เป็นความสามารถของคุณในการเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีอยู่น้อยตัวให้เกิดความหลากหลาย หากเป็นฤดูหนาว เสื้อผ้าเหล่านี้จะไม่มีโอกาสออกมาโชว์ สีจึงไม่ค่อยมีความสำคัญ หากคุณไม่อยากกลืนเข้าไปในหมู่คนยุโรปที่ใส่แต่สีตุ่นๆ ก็พยายามหาสีสดใสเข้าไว้มาใส่ เทรนด์ของแฟชั่นปีนี้ เป็นสีม่วง และเขียวเทอร์คอยซ์ค่ะ การพกพาเสื้อไปด้วย ให้คุณเอาพวกมันมาลอง combination ต่างๆ แบบไหนก็ได้ โดยให้มีเสื้อผ้าสำหรับใส่ได้ 3 วันโดยไม่ต้องซัก เป็นอันว่าเพียงพอ

----------------------------------

ที่พัก เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ต่อการเที่ยวแบบตัวเบาๆ

บางที่พัก จะมีอุปกรณ์ซักล้างให้บริการ ที่ตากผ้า เครื่องอบผ้าหรืออุปกรณ์อื่นใด ดังนั้น การจองที่พัก และเลือกที่พักก่อนเดินทาง สำคัญทีเดียวสำหรับการ Travel light

หากคุณรู้ว่าโฮสเทลที่จะไปพักทั้งทริป มีบริการผ้าเช็ดตัวนุ่ม สะอาดบริการ คุณก็ไม่ต้องพกผืนยักษ์ที่บ้านไป เตรียมไปเป็นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้เช็ดหน้า ก็พอแล้ว

หากคุณเที่ยวสักสี่เดือนแต่ทุกๆ สามวัน สามารถซักผ้า และตากได้ เสื้อผ้าของคุณไม่จำเป็นต้องมีเจ็ดชุด แต่มีเพียง combination เผื่อให้ใส่ได้ห้าวันก็พอแล้ว เสื้อผ้าบางชุดเลือกเอาที่เก่าหน่อยแล้วไปบ้างก็ได้ คุณมีโอกาสในการจะเจอเสื้อผ้าสวยๆ ถูกใจ ราคาไม่แพงระหว่างทางได้ จะได้มีพื้นที่ในกระเป๋า เพื่อจะเอาของใหม่กลับบ้านได้

-------------------------

มาถึงเอกสาร สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทาง
- พาสปอร์ต สแกนพาสปอร์ตส่งหาอีเมล์ตัวเองเก็บไว้ใช้ได้นานทีเดียว เพราะมันปลอดภัยไม่หาย และปรินท์ก็อปปี้ไว้ สำหรับการออกไปเที่ยว โอกาสที่ตำรวจท้องถิ่นจะจับคุณตรวจพาสปอร์ตนั้น มีเปอร์เซ็นต์น้อยยยยยมาก น้อยกว่าการที่คุณจะไปทำพาสปอร์ตหาย หรือโดนขโมยระหว่างทางเสียอีก
- บัตรธนาคาร ไม่จำเป็นต้องเอาบัตรเครดิตมาทุกธนาคาร บัตรที่ยุโรปยอมรับคือบัตรประเภท Visa/ Mastercard โดยมาสเตอร์การ์ดจะเป็นที่ยอมรับมากที่สุด และการซื้อของในยุโรป ไม่มีชาร์จลูกค้า 3% เหมือนในเมืองไทย คุณจ่ายเท่าราคาที่คุณเห็นเท่านั้น ค่าที่เพิ่มมา เป็นส่วนต่างของอัตราแลกเงินของบัตรเครดิต ซึ่งอาจจะไม่เท่ากับอัตราเงินสดที่คุณเห็น
- หากคุณมี Atm แบบที่กดเงินในต่างประเทศมาด้วย อย่าลืมจดเบอร์โทร เพื่อการอายัดมาด้วย ทำเช่นเดียวกับบัตรเครดิต บัตร ATM บางชนิดสามารถรูดจ่ายค่าสินค้าในยุโรปได้เลย เช่น Maestro
- เงินสด อันนี้ขึ้นอยู่กับที่พักที่คุณได้เลือกด้วย หากที่พักมีการให้บริการเซฟ ให้แบ่งเงินใส่เซฟไว้ เซฟโรงแรมตามสถิติแล้ว มีความปลอดภัยสูงกว่าการแบ่งเงินใส่ตามเสื้อชั้นใน ถุงเท้า ซอกต่างๆตามเสื้อผ้า และกระเป๋าสตางค์อยู่แล้ว เอาเงินติดตัวออกเที่ยวเฉพาะแค่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของวันนั้นๆ ถ้าไม่รู้ว่าสักเท่าไหร่ดี เอาไปวันละ 40-50 ยูโรก็พอค่ะ เอาเครดิตการ์ดไปด้วย แค่นั้นก็พอแล้ว
- อย่าลืมจดเบอร์ของบริษัทประกัน อาจจะเป็นเบอร์โทร อีเมล์หรือวิธีการติดต่ออื่นๆ ในกรณีที่คุณเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล หรือโดนขโมยของสำคัญ ตกไฟลท์หรืออุบัติเหตุ อุบัติภัยอื่นๆ จะได้มีคนช่วยประสานงาน
- พกนามบัตรตัวเอง หรือการ์ดเขียนชื่อตัวเอง ที่พักเอาไว้ด้วย คุณไม่รู้ว่าจะไปปิ๊งๆ หนุ่มน่ารักในร้านกาแฟไหน หรือจะไปโดนรถเฉี่ยวตอนไหน เก็บเอกสารที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าคุณเป็นใครไว้บ้างก็ได้
- ปากกาเล็กๆสักอันกับสมุดโน้ต สำหรับคนที่ชอบจดระหว่างการท่องเที่ยว เอาไว้เขียนโปสการ์ด และแจกเบอร์โทร ;)

ก่อนออกจากบ้านมา อย่าลืมทิ้งแผนการเที่ยวไว้กับคนที่บ้าน เพื่อนสนิท มิตรสหายด้วย เขาจะได้รู้ว่าคุณไปเที่ยวยุโรป ลดปริมาณการรับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในเวลาสองยามที่เมืองนอกได้ดี นอกจากจะหงุดหงิดเสียอารมณ์แล้ว ยังเสียเงินค่ารับโทรศัพท์บานเลย

พกแผนการเที่ยวไว้กับตัวคุณอีกชุด นอกจากจะไว้ใช้ที่ต.ม.แล้ว มันก็จะเป็นไกด์ไลน์สำหรับทริป และแนวทางสำหรับการกลับมารีวิวทริปตัวเองของคุณให้เพื่อนๆในพันทิปด้วย ข้อมูลที่น่าสนใจมิใช่เพียงรูปถ่าย แต่เป็นคำตอบสำหรับคำถาม How ต่างหาก

สำหรับชุดชั้นใน จริงๆอยากบอกว่าไม่ต้องอายเลยนะคะ คนยุโรป (หรือง่ายๆก็คนต่างชาตินั่นแหละ) ไม่มีนิสัยหัวว่างมาก มานั่งคิดพิจารณาและแอบวิจารณ์เครื่องในชาวบ้านค่ะ แต่ของเราจะเน้นเที่ยวแบบผ้าขี้ริ้วห่อทอง นั่นก็คือแม้ข้างนอกจะเก่าๆ ดูจนหน่อย แต่ชุดชั้นในที่พกไป เอาตัวที่สวยสุด เพิ่งซื้อใหม่ไปเลยทีเดียว เวลาตากแอบภูมิใจ อายนิดเดียวตรงที่มีน้อยเกิน ฮ่าๆๆ

สำหรับผงซักฟอก จริงๆเราเคยพกไป แต่ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะแต่ละที่ ที่มีเครื่องซักผ้า มักจะได้อานิสงส์ทานผงซักฟอก จากนักท่องเที่ยวคนอื่น ที่เขาซื้อมากล่องๆ แล้วซักครั้งเดียว ที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้ฟรี (หวานหมูเรา) แต่จริงๆชุดชั้นในเราใช้ครีมอาบน้ำซักเลยค่ะ ยิ่งหน้าหนาวจะแห้งไวมาก ถ้าได้ตากที่ไม้แขวนเสื้อใกล้ๆฮีทเตอร์

มาต่อกันค่ะ อุปกรณ์อื่นที่ควรพกไปด้วย

- ชุดเย็บผ้า ปัจจุบันมีขายเยอะพอสมควร มีเข็มแข็งแรงหนึ่งอัน ตะขอเกี่ยวหนึ่งชุด ด้ายหลากสี ดำ ขาว แดง เขียว เหลือง อย่างละนิด และกระดุมหนึ่งเม็ด อยู่ในกล่องแบนๆ เท่ากระจก เอาไว้ใช้เย็บโน่นนิดนี่หน่อยที่เสียหายระหว่างเดินทาง ใครจะรู้ว่ากระโปรงตัวโปรดจะตะขอหลุด หรือส้อมในกระเป๋าคุณจะทำพิษแทงซะจนเป็นรู ร่มลายปิซ่าที่ต่อมาจากห้ายูโรเหลือสาม พอกางแล้วมันจะพัง ก็ได้ตัวนี้ช่วยไป
- ไม้แขวนเสื้อแบบลวดบางๆ สักสองอัน ช่วยได้เยอะ เมื่อผ้าได้ขึงให้โดนลมโกรกง่าย มันก็ยิ่งแห้งไว เทคนิคตากผ้าแห้งเร็ว หากที่พักไม่มีหน้าต่างหรือระเบียง ก็ให้หามุมแขวนในห้องน้ำ แล้วเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้คะ เราก็ไม่รู้ว่ามันแห้งได้ด้วยอะไร แต่ช่วยให้แห้งเร็วได้จริงๆ
- ถุงพลาสติก ใหญ่เล็กอย่างละใบ ใบใหญ่จะบอกว่าเอาไว้ช้อปปิ้ง เพราะถุงในยุโรปปัจจุบันนี้หาฟรียากมากค่ะ อย่างน้อยที่สุด ถุงพลาสติกธรรมดาก็ห้าเซนต์เข้าไปแล้ว แม้ว่าถุงใสที่ใส่ผักจะแจกฟรี แต่มันขาดไวมาก ใส่ของหนักก็ไม่ได้ เอาถุงไปเองดีกว่า ถุงเล็กก็เอาไว้แยกเสื้อผ้าตัวที่ใส่แล้ว ออกจากที่ไม่ใส่ จะได้ไม่ปนกันไปหมด
- หนังสติ๊ก นอกจากไว้รัดพวกถุงต่างๆแล้ว ก็อาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาในระหว่างเดินทาง เอามานิ๊ดนึงไม่ได้หนักอะไรเลย
- แม่กุญแจไซส์กลาง และลูก(ขาดได้ไง) อันนี้มีประโยชน์นอกจากที่หลายๆคนจะทำ ด้วยการเอาตัวรูดซิปกระเป๋ามาผูกติดกันล็อกแล้ว จริงๆแล้ว ตามโฮสเทลหลายแห่ง มีตู้ล็อกเกอร์ให้ฟรี เช่นที่ยูธโฮสเทลลักเซมเบิร์ก โฮสเทล Meiringen, Vienna คุณเอากุญแจของตัวเองล็อกไปเลย ไม่เสียเวลาไปเช่ากุญแจ เพราะบางแห่งเขาให้ยืมฟรี แค่วางมัดจำ บางแห่งคิดค่าเช่ากุญแจด้วย เอาของตัวเองสบายใจกว่า หากไม่ได้ใช้จริงๆ เห็นว่าหนัก อยากจะทิ้ง ไปล็อกทิ้งไว้ที่สะพานที่โคโลญจน์ เยอรมันนี ได้ค่ะ :)

-----------------------------

สำหรับบางที่ ที่เขาไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ เรามีวิธีแนะนำดังนี้ค่ะ หากคุณพักที่ละคืน เวลาอาบน้ำตอนเช้าให้รื้อผ้าปูที่นอนลากเข้าไปในห้องน้ำเลย ใช้เช็ดตัวไปเลย เพราะยังไง เดี๋ยววันนั้นมันก็จะโดนรื้อออกจากเตียงคุณ ส่งไปโรงซักผ้าอยู่แล้ว ดีซะอีก ทางโฮสเทลขี้เหนียวๆ จะได้หมดโอกาสในการนำผ้าปูผืนนั้นไปรียูส

ผ้าปูที่นอน ยังใช้ได้ดีอีกอย่างคือช่วยทำให้ผ้าแห้งไว หลังจากบิดน้ำแล้วให้เอาผ้าชิ้นนั้นห่อไปกะผ้าปูที่นอนม้วนไปคู่กัน แล้วบิดอีกครั้ง ช่วยซับน้ำที่ยังเหลืออยู่เพิ่มได้อีก ผ้าแห้งไวถูกใจแน่นอน

ด้านความปลอดภัย หากคุณแพ็คกระเป๋ามาด้วยกระเป๋าผ้าเนื้อนิ่ม มันดีตรงนี้เองคือ แม้ว่าล็อกเกอร์จะมีขนาดที่ไม่พอดีกะกระเป๋าคุณซะเป๊ะๆ อย่าเพิ่งรีบไปใช้ไซส์ใหญ่ขึ้น ให้ลองยัดกระเป๋าเข้าไปก่อน ตามปกติแล้ว หากของในกระเป๋าเองไม่ได้ใหญ่กว่าตู้ เมื่อพยายามทำกระเป๋าให้หลวมๆ หย่อนๆ มันจะกระดืบคืบคลาน เข้าตู้จนพอดีจนได้ ประหยัดเงินไป เช่นเดียวกับตู้ล็อกเกอร์ในโฮสเทล พอของสำคัญเข้าไปปลอดภัยหมดแล้ว รับรองคุณจะหลับสบาย ไร้กังวล

- ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ อันนี้มีประโยชน์นอกจากจะไว้ใช้แทนผ้าเช็ดตัวในบากรณีแล้ว ก็พกไประหว่างเที่ยว บางทริปที่มันร้อนมาก คุณอาจจะไม่อยากใส่กางเกงขายาว แต่ดันอยากเข้าไปชมโบสถ์สวยๆ ก็เอามันลงมานุ่งเป็นผ้าถุงเลย จะได้ไม่เสียมารยาท

อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือกระเป๋าเล็กอีกใบ ยัดเข้าไปในใบใหญ่นั่นแหละค่ะ กระเป๋าใบนี้คือกระเป๋าที่คุณจะใช้ในการออกเที่ยวชมเมือง ไม่ต้องใหญ่มาก ไม่ต้องใช้ยี่ห้อ ควรจะเป็นกระเป๋าที่ดูแล้วไม่น่าจะมีของมีค่า เอาให้มันร้ายๆ เก่าๆเข้าไว้ แล้วทีนี้คุณก็รวมลงไปเลยค่ะ ของต่างๆที่จะพกติดตัวไป ระหว่างวัน เวลาเที่ยวที่ไหน ก็ระวังแค่กระเป๋าเดินเบียดฝูงชนก็เอามันมากอดซะ ทำให้เป็นนิสัย ถือให้ติดมือ รับรองไปเที่ยวไหน อันตรายแค่ไหน ไม่มีอะไรหายแน่นอน

----------------------------------

อันสุดท้าย เป็นเช็คลิสต์ลาสมินิต
- หนึ่งอาทิตย์ก่อนเดินทาง เช็คดูกับสายการบิน ว่าตั๋วของคุณนี่ไม่โดนเอเย่นต์ตัวแสบแคนเซิลทิ้ง เพราะเคยมีคดีเกิดขึ้นแล้ว เราก็หวังว่าคุณจะไม่โดน นอกจากจะมั่นใจว่าได้บินแล้ว หากสายการบินมีการรีไทม์ มีแผนจะแคนเซิลไฟลท์ หรือสนามบิดจะโดนปิดเนื่องจากการสไตรค์(ในต่างประเทศนะคะ) คุณจะได้รู้ทางหนีทีไล่ต่อไป
- หนึ่งอาทิตย์ก่อนเดินทาง ทิ้งโน้ตไว้ที่ทำงาน ว่าที่คุณหายไปน่ะไปต่างประเทศน่ะ ใครอย่าโทรหา ทิ้งอีเมล์ไว้ให้เขาติดต่อแทน และเตรียมบอกญาติสนิทมิตรสหาย หากมีเรื่องฉุกเฉินติดต่อที่ไหน ถ้าคุณเตรียมจองที่พักเรียบร้อย ให้เบอร์โทรของทางที่พัก คู่ไปกับแผนการเดินทางของคุณก็ได้ หากมีอะไรฉุกเฉินจริงๆ ตอนคุณเที่ยวกันอยู่ เขาก็โทรบอกรีเซฟชั่นโรงแรมคุณได้ เราละเบื่อมากเวลาไปทำงานแล้วมีคนโทรมา เวลาไม่ไปไหน ทำไมไม่โทรมาฟะ ตรูละเซ็ง รับทีเสียเงินบาน
- สามวันก่อนเดินทาง ตามไล่ส่งเมล์ไปยังที่พักทุกที่ ถ้าให้ดี คำนวณเวลาที่จะเข้าเช็คอิน แล้วแจ้งเขาไปอีกครั้ง นอกจากจะเช็คว่าบุ๊คกิ้งคุณยังอยู่ดีไหม ก็จะได้เตือนรีเซฟชั่นให้ทราบ หากคุณจะเช็คอินค่อนข้างค่ำ เพราะบางที่พัก เขาอาจจะไม่มีคนอยู่รอ หลังหกโมงเย็น เมื่อคุณส่งเมล์ไปบอกเช่นนี้ เขาจะได้แจ้งคนให้รอ (หลายๆโรงแรมเล็กๆ มักเป็นเช่นนี้) เช่นเดียวกับเช็คอิน หากคุณกะไปถึงเสียเวลาทานอาหารเที่ยงพอดี เขาจะได้ไม่ยกโขยงกันไปกินข้าวหมด
- วันสุดท้ายก่อนเดินทาง ทำการแพ็คกระเป๋าและเช็คซ้ำ อะไรที่ไม่สำคัญรื้อออกบ้าง ตามสภาพอากาศ (ถ้าให้ดีเช็คมันอย่างน้อยสิบวันเลยค่ะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยแล้ว) อะไรที่อาจจะต้องใช้เพิ่ม ไปหามาเติมซะ ถ้าไปเที่ยวกันหมดบ้าน ให้เตรียมเบอร์ติดต่อของเพื่อนบ้านที่ซี้ๆกัน หรือญาติที่ฝากให้มาดูแลบ้าน (ดูแลหมา) ด้วย คุณอาจจะมีปัญหาติดแหง็กอยู่ต่างประเทศเพิ่มอีกวันสองวัน หรือมากกว่านั้น (ดูกรณีภูเขาไฟระเบิดเป็นตัวอย่าง) หากมีเหตุฉุกเฉิน อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ไว้ใจได้ ไว้ให้โทรสั่งงาน
- สุดท้าย ท้ายสุด ที่อยู่ และเบอร์โทรของคนที่คุณมีจิตใจห่วงใย พกมันไปด้วย เผื่ออยากจะส่งโปสการ์ด แต่จำไม่ได้ว่าพี่สาวแต่งงานไปอยู่กะพี่เขยแล้วบ้านเลขที่ที่ลำปางของแกเท่าไหร่ จะอดส่ง หรือเกิดโทรศัพท์คุณมีปัญหาโทรออกไม่ได้ แล้วดันจำเบอร์โทรของอาจารย์ที่เคารพไม่ได้ จะโทรไปอวยพรวัเนกิดซะหน่อย ก็จะพลาดกัน ลิสต์ฝากซื้อของของเจ้านายที่ฝากมา เตรียมไว้ให้ใกล้มือ แล้วก็อย่าลืมหาใครปักตะไคร้เสียด้วย จะได้ประสบพบพานแต่อากาศดีตลอดทริปค่า

อ่อ ลืมรองเท้าไปเหรอคะ

ปกติเราจะมีคู่เดียวที่ใส่อยู่อะค่ะ เพิ่งมาทริปหลังๆ ไปได้รองเท้ายาง แบบใส่อาบน้ำด้วยก็ได้ ใส่เที่ยวด้วยได้ ซื้อมาจากร้านขายของจีน 1.5 ยูโรเอง ก็เลยเพิ่งมีสองคู่เองค่ะ

รองเท้าขึ้นอยู่กับฤดูกาลนะคะ ถ้าเป็นฤดูหนาว มันจะต้องมีถุงเท้าไปเป็นเพื่อนด้วยเสมอ ถ้าเป็นหน้าร้อน ผ้าใบเบาๆ หรือจะเอาแตะคู่ซี้ก็ไม่ว่ากัน จริงๆแล้ว สำหรับการเดิน(ลงเขา ลงเนิน) แตะที่เปิดนิ้วเท้า จะเดินสบายกว่ารองเท้าผ้าใบอีกค่ะ เพราะนิ้วเท้าเราไม่โดนกระแทกลงไป

รองเท้าไม่จำเป็นว่าต้องเป็นรองเท้าเดินป่า รองเท้าหุ้ม หรือยี่ห้ออะไรแสนแพงเว่อร์ ที่เพื่อนคุณมาบอกว่าสบาย ใส่ดี เพราะเท้าคนมันไม่เหมือนกัน เพื่อนอาจจะใส่แล้วดี แต่คุณใส่แล้วมันไม่ดีก็ได้ ตีงใครก็ตีงมัง

รองเท้าที่ดี ควรจะเป็นคู่ที่เราใส่ประจำอยู่แล้ว ยามไปเดินช้อปปิ้ง
อ่ะถูกต้องนะคะ การเดินช้อปปิ้งของคุณสาวๆ ถ้าคุณใช้เครื่องนับก้าว คุณจะรู้ว่าวันๆนึงที่ไปเดินเล่นอยู่ในสยาม แพลตินัม พาราก้อนเนี่ย คุณเดินไปกี่สิบกิโลเมตรแล้ว หากรองเท้าคู่นั้นไม่ทรยศคุณ พาไปช้อปปิ้งหนไหน เดินสบาย กลับถึงบ้านไม่มีเมื่อย ให้ตอบแทนมันด้วยการพามันมาเดินต่อที่เมืองนอกเลย ให้คู่อื่นอิจฉามันไปเลย

สำหรับคนที่พักโรงแรม ไม่ต้องเอารองเท้ายางสำหรับเข้าห้องน้ำไปก็ได้ค่ะ แต่ถ้าพักโฮสเทล หรือที่เป็นห้องน้ำรวม เอาแตะคีบร้ายๆ คู่ที่จะทิ้งมาด้วย (ใส่ถุงพลาสติกแยกไว้) แล้ววันจะกลับเมืองไทย ถ้าเห็นว่ามันหมดความสำคัญก็โยนทิ้งไปหรือทิ้งไว้ที่โฮสเทลสุดท้ายก็ได้ค่ะ จะได้เป็นประโยชน์คนอื่นต่อไป

เราเพิ่งทิ้งไปคู่นึง หลังจากใส่มันจนขาดคาเท้าไปเลย ไม่อยากทิ้งมันเลย เพราะสบายมาก แต่มันซ่อมไมได้แล้วจริงๆ รองเท้าใส่เที่ยวนี่ คู่ไหนก็คู่นั้น หากคุณใส่คู่ไหนสบาย แม้มันจะแปลกประหลาด อย่าได้เอาไปเทียบกะคนอื่นค่ะ ไม่มีใครรู้จักเท้าของคุณ ได้ดีเท่าคุณ

หากซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ก่อนจะพามันมาเมืองนอก ควรพาไปเดินช้อปปิ้งเสียก่อนอย่างน้อยสามหนขึ้นไป (เอาแบบตั้งแต่สายยันดึก) ถ้าเห็นว่าใช้ได้จึงค่อยใส่มาเที่ยวยุโรปนะคะ

หวังว่าคงจะได้แนวคิดดีๆ สำหรับการ Travel Light กันแล้วนะคะ ลองเอามาประยุกต์ให้เหมาะกับตัวคุณเอง อาจจะช่วยให้ทริปหน้าได้แบกของที่ไม่จำเป็นน้อยลงค่ะ



Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2554 15:21:39 น.
Counter : 561 Pageviews.

0 comment
1  2  

เที่ยวไปสองไพเบี้ย
Location :
สงขลา  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



รบกวนอย่าส่งข้อความหลังไมค์ค่ะ ติดต่อที่อีเมล์ตรง smileyinbelgium@hotmail.com นะคะ