(´¨*♥*´¨):-: SimpliFy Your Life : Just Be Your Self :-:(´¨*♥*´¨)

:: The Bus Number 11 :: ( ตอนจบ )






เวลาผ่านไปหลายปี จนฉันกลับมาช่วยงานที่บ้านเกิด จู่ๆเจี๊ยบก็โทรมาบอกว่าอยากสอนพิเศษ เพื่อเป็นวิทยาทานบ้าง เพราะกลัวว่าจะลืมสิ่งที่เรียนมา ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง เมื่อคนเราพร้อมกับงานที่ทำแล้วอยากจะให้คนอื่นบ้าง เป็นความคิดที่ดีมากนอกจากมีความสุขแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก นับว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายในจิตใจมากๆ



เจี๊ยบฝากให้ฉันถามน้องๆ หรือญาติพี่ี่น้องของฉันที่เรียนอยู่ว่ามีใครอยากเรียนพิเศษพวกฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ให้ช่วยถามให้ด้วย ถ้าใครอยากเรียนก็นัดกันไปเรียน ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในเมือง นัดสถานที่กันเลือกเอาที่สะดวกทั้งคนสอน คนเรียนเข้าว่า อาจมีข้อความน่ารักจากฉันส่งไปชวนเขามาดูคอนเสริ์ตบ้าง



เมื่อปีที่ผ่านมา ไปดูเฉลียงก็ส่ง SMS ไปชวนเล่นซะงั้น ทางโน้นก็ตอบมาว่าอิจฉาจัง เพราะเค้าต้องทำงานที่ต่างจังหวัด เค้าก็ยังน่ารักใช่ย่อย ดูแล้วคงเป็นเพื่อนกันมากกว่า อย่างน้อยการที่ได้รู้จักเพื่อนมนุษย์ในโลกใบนี้เพิ่มขึ้น



จากวันแรกจนถึงปัจจุบันเรามักจะติดต่อกันทางโทรศัพท์มากกว่า การจะหาเวลาไปเจอกัน นั้นแสนยากเพราะต่างคนก็ต่างมีงาน แต่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ไม่ใช่หรือ การมีเพื่อนเพิ่มอีกคนหนึ่งดีจะตายไป







ในวันเวลาของชีวิต
และ
.
.

การเดินทางของชีวิตนั้น
คงจะมีไม่กี่ครั้ง
ที่เราอาจะได้เจอกับใครสักคน
ที่เราไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

และไม่คิดว่าจะได้มาเจอกัน
แต่เมื่อวันหนึ่ง
ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของโชคชะตา
หรือว่าจะเป็นความบังเอิญก็ตาม




ในที่สุด
เราทั้งคู่ก็โคจรมาพบกันแล้ว
ในโลกที่เราคิดว่ามันกว้างใหญ่ใบนี้
ไม่ว่าความผูกพันที่เกิดขึ้นของเราทั้งคู่
จะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม


ในความสัมพันธ์ที่มีเราต่างมีแก่กัน
ไม่ว่ามันจะอยู่ในทิศทางใด
เรายังคงรักษามันไว้
อยู่ในใจเรื่อยมา
เราจะยังคงไม่ลืมความประทับใจ
.
.
ที่ต่างมีไว้ให้แก่กัน
หลายสิ่งมีความงดงามเสมอ





ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี
มิตรภาพและไมตรี
รวมไปถึงความรู้สึกที่คนดีนั้นที่มีให้
ทุกความความคิดนึกยังจำว่ารับไว้
ไม่เคยหล่นเกลื่อนหาย
เรายังเก็บเอาไว้อยู่ข้างกาย
ไม่ลืมเลือน


ครั้งหนึ่งเคยรู้จักกัน
ไม่เวลาผ่านยาวนานเท่าไหร่
ความรู้สึกดีข้างในใจ
เสมอเหมือนเรายังเป็นเพื่อนเก่า
..
ที่คุ้นเคย
ไม่เคยเหงามิตรภาพของสองเรา
ยังเป็นเหมือนดั่งเป็นเงา
.
.
.ของวันวาน






หลายอย่างที่ผันเปลี่ยน
โลกยังหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างล่าช้า
หากเราไม่รีบเดินตามเวลา
ไม่จำเป็นต้องมองหานาฬิกา
ไม่มีเวลาที่เดินล่วงหน้าตัวเราไป



อย่าไปกังวลในสิ่งข้างหน้าว่าจะเกิดอะไร
เราต่างอาจพบใครอีกก็ได้
เวลที่เดินข้างหน้าต่อไป
อาจมีวันไหนที่โลกหมุนยังคงหมุนเรื่อยไป
เพื่อให้ใครต่อใครได้เจอกัน






สำหรับเรื่องราวของพ่อหนุ่มหน้าหยกของฉัน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ ยังเป็นชายหนุ่มที่ะเยอทะยานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทุกวันนี้เขายังคงเป็นผู้ชายที่พยายามทำงานเพื่อหาความมั่นคงให้ชีวิตตัวเอง
ทุกครั้งที่เห็นรถเมล์สาย ปอ 11 ผ่านไป ฉันยังจำความรู้สึกที่ดีๆเหล่านั้นได้
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม



ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านเรื่องน่ารักๆที่เกิดขึ้นได้ในเมืองใหญ่ อย่างนี้
มิตรภาพเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดๆในโลกใบนี้







ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง :

ตอนที่ 1 :
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=korpai&month=15-06-2009&group=16&gblog=3

ตอนที่ 2 :
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=korpai&date=03-03-2011&group=16&gblog=4

ตอนที่ 3 :

//bg2.bloggang.com/admin/manage.php?id=korpai&action=blog&group=16


ตอนที่ 4 :

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=korpai&month=03-03-2011&group=16&gblog=7

ตอนที่ 5 :

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=korpai&date=03-03-2011&group=16&gblog=8

ตอนที่ 6 :

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=korpai&month=03-03-2011&group=16&gblog=9




เขียนโดย


KorP@i




 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 10 มีนาคม 2554 14:13:00 น.
Counter : 512 Pageviews.  

:: The Bus Number 11 :: ( ตอนที่ 6 )




“เย็นนี้ไปกินแจ่วฮ้อนกันไหม แถวๆ รัชดา มีร้านที่มุงเพลิงด้วยสังกะสีหลังเล็กหลังหนึ่ง ทำอร่อยมาก คนกินเยอะสุดๆ ก่อนที่จะเข้าหมู่บ้านกฤษดานคร หลัง สถานอาบอบนวด โพไซดอน รัชดาภิเษกเสร็จงานแล้วรีบกลับเปล่า “ พี่สาวคนดีที่อยู่แผนกเดียวกันชวนไปเริงร่าวันศุกร์ “ไปซิพี่ ไม่มีอะไรอยู่แล้ว วันนี้สบายอยู่แล้ว” แล้วพี่แกก็ตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน “



“ เฮ้ย..โจ้..วันนี้ไปสุสานหอยกันไหม” ร้านที่ว่านี้เป็นร้านที่ฉันกับเพื่อนๆที่ทำงานมักใช้เวลาเย็นวันศุกร์ไปทานมื้อค่ำที่นั่นกันเป็นประจำ ร้านขายอาหารรสแซ่บแสบสันต์ของพวกเรา สุสานหอย เป็นชื่อที่เจ๊แกตั้งให้เอง เพราะร้านนี้ไม่มีชื่อ เห็นคนทิ้งเปลือกหอยแครงไว้เต็มพื้นร้าน เลยเป็นที่มาของร้านแจ๋วฮ้อนเจ้าประจำ ที่อยู่ในซอยเดียวกับร้านอาหารใหญ่ๆร้านหนึ่งแถวๆ รัชดา คือร้านบ้านบึง



ผู้คนต่างพากันมาติดใจอาหารร้านนี้ เพราะรสชาติอาหารอร่อยถูกปากก็แล้วกัน สังเกตว่าร้านนี้มีรถจอดเยอะกว่าหลายร้านแถวๆนี้ ที่สถานที่สวยหรู มีที่จอดรถให้แต่ไม่มีรถจอดซักเท่าไหร่



“เฮ้ย...นี่ไผ่ลองโทรไปชวนเพื่อนคนที่ชวนไปกินข้าวที่เจอบนรถเมล์มาเจอพวกเราหน่อยซิ วันนี้วันศุกร์”ด้วย” เสียงพี่อ้อยเริ่มส่งคำท้า มาแต่ไกล พอรวมพลเพื่อนๆ ได้แล้ว “จริงด้วย พี่ไผ่ “
คราวนี้ตุ่มเลขาสาวประจำแผนกร่วมด้วยช่วยกันท้าเรา อ๊ะ..อ๊ะ..ท้าได้ที่ไหนกันล่ะ



ไม่รอช้าเราคว้าโทรศัพท์โทรไปชวนเลยเหมือนกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่จริง “เอ้อ..เจี๊ยบ... นี่ ..ไผ่เองนะ ศุกร์นี้กลับบ้านหรือเปล่า” “อ้าว..ไผ่เหรอ..ไม่ได้กลับครับงานเยอะมากเลยที่ออฟฟิศ ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ...ว่าไงเหรอ “ ไม่มีอะไรหรอกเพื่อนๆ ที่ทำงานเราเค้าชวนไปกินข้าวเย็นด้วย แถวๆ รัชดาฯ เลยโทรมาถาม สนมั้ย”



แม้นึกอยู่ในใจอยู่แล้วว่า สงสัยคงไม่ไปแน่ ขนาดบ้านยังไม่กลับเลย แต่ก็ลุู้้นอยู่ ก็มีเพื่อนๆที่ทำงานมาท้าให้ชวนอยู่นี่นา เสียงทางปลายสายชวนพวกเราไปทางโน้นเข้านั่น “ชวนเพื่อนมากินแถวๆ ซีคอน ได้มั้ยครับ พอดีผมมีงาน”



แน้..มีการชวนพวกเราไปกินแถวถิ่นพี่แกอีกแน่.. เราต้องรีบบอกว่าทางนี้นัดกันไว้แล้วว่าแล้วเชียวไม่มา ไม่กล้าล่ะซี่ แน่จริงมาเจอเพื่อนเราดิ.. ได้แต่นึกในใจ แต่ก็บอกไปตามสายว่า “ เออน่ะ ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าละกันนะ เส้นทางมันก็ห่างกันมาก คนละฝั่งกันกทม.เลย กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้วหล่ะ ”



โห..จะให้ไปแถวที่ทำงานคุณนะเหรอ ไม่มากไปหน่อยเหรอเนี่ย..กว่าจะขับรถไปเพื่อนทานข้าวกับคุณเนี่ยก็มืดพอดี กว่าจะได้เจอกัน หมดวันก่อนจะตะลอนกลับบ้านอีก



..นี่..ฉันต้องตากหน้าไปหาคุณเองเลยเหรอ ไม่เหมาะมั้ง ยังไงก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ถามใจตัวเองดูแล้วไม่ควรไปนะ ถ้าจะเจอกันแถวปิ่นเกล้ายังใกล้บ้านเราทั้งคู่นะ หลังจากวันที่ชวนเขามาทานข้าวกับเพื่อนๆ แล้ว เราก็ไม่ได้ติดต่อกันแต่อย่างไร ความจริงแล้วถ้าเกิดเค้าต้องการสานต่อความสัมพันธ์ก็น่าจะติดต่อมาเองนะ



อ้อ.. ลืมบอกไปว่าพ่อหนุ่มหน้าตี๋รายนี้น่ะชื่อเจี๊ยบ ก็คงเพราะเป็นลูกคนสุดท้องมั้ง ไม่รู้ซิไม่ได้ถาม”





เขียนโดย


KorP@i




 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 5 มีนาคม 2554 22:03:06 น.
Counter : 1379 Pageviews.  

:: The Bus Number 11 :: ( ตอนที่ 5 )







นับจากนั้นอีกไม่นานนักมีเรื่องที่ฉันต้องตัดสินใจ เมื่อวัยเริ่มเข้าสู่เลขสาม เคยนั่งถามตัวเองว่าควรแล้วหรือยังที่ตัวเรามีธุรกิจที่บ้าน เมื่อถึงเวลาควรต้องไปช่วยธุรกิจของพ่อกับแม่จากที่บ้านเสียที ทั้งสองคนอายุมากขึ้นแล้ว น้องสองคนของเราก็เรียนวิชาชีพกันไปทั้งคู่เลย ครั้นจะกลับไปช่วยพ่อแม่ทำงานแบบที่บ้านเราก็ไม่สะดวกแล้ว



เป็นช่วงที่ลังเลมากๆ เลยในชีวิต เหมือนถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องเลือกและตัดสินใจอีกครั้ง ตอนนั้นยังทำงานอยู่กับ บ.เอกชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และการดูแลเส้นผม เพราะอยู่ฝ่ายการตลาด ยังสนุกกับงาน ได้มีโอกาสจัดงานกิจกรรมต่างๆ สำรวจตลาดตามสถานที่ต่างๆ มีเรื่องให้ทำมากมาย ติดต่อกับชาวญี่ปุ่น มีเพื่อนชาวต่างชาติให้ไดพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ทำงาน ลุกค้าที่มีทั้งขาจรและขาประจำ


ชีวิตที่เป็นอยู่แต่ละวันสนุกสนานไปเรื่อย พอเลิกงานก็เป็นอิสระอยากไปไหนก็ไป เที่ยวที่ไหนก็จะเลือกพักผ่อนด้วยการขับรถไปแถวๆชานเมืองใกล้กทม.กับเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกัน ไปเช้ากลับเย็นบ้าง เสาร์-อาทิตย์บ้าง แล้ววันหนึ่งต้องตัดสินใจกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังโหยหาวันเวลาเก่าๆอยู่บ้าง ความรู้สึกเสียดายชีวิตอิสระย่อมทะเลาะกันกลับความรู้สึกว่ามีหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบมากมายกำลังนอนอยู่ที่บ้าน



แต่ตอนที่เจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาจากหลายๆ สถาบัน เพื่อนๆทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่..หล่อน ถ้าพ่อชั้นมีกิจการให้ชั้นทำแล้วล่ะก็ ชั้นจะไม่มาเป็นลูกน้องเขาอย่างนี้หรอก“ ณ เวลานั้นมันรูสึกสับสนเหลือเกิน ถ้ากลับบ้านก็ไม่มีเพื่อนให้คุยกัน ไม่มีอิสระในการนอกดึก นัดเพื่อนๆกินข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด เติมแบตเตอรี่ในวันว่าง โห..ไม่มีอิสระแล้วจะหาอะไรมาสนุกได้ คิดๆไปก็นึกเบื่อๆขึ้นมายิ่งมีงานจัดรายการวิทยุสนุกๆ ให้ทำอยู่ด้วยช่วงหนึ่ง กำลังสนุกๆ อยู่เชียว



บังเอิญเหลือเกินว่าช่วงนั้นมีนักจัดรายการวิทยุที่มีอายุแล้ว จะมาจัดรายการต่อจากเราในทุกวันเสาร์ตอนสองทุ่มครึ่ง ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงมาจัดรายการเกี่ยวกับพยากรณ์ชีวิตให้คนฟังต่อจากเราในทุวันเสาร์-อาทิตย์ มีแฟนฟังกันเยอะมาก ใช้โฟนอินเข้ามาให้ผูกดวง เคยเจอกันตอนที่เราเตรียมตัวกลับบ้านเมื่อจัดรายการเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ให้ท่านเช็คดวงเลย เพื่อนเรามาจัดรายการด้วยเข้าไปทักทายท่าน หลังจากนั้นท่านก็เข้ามาดูดวงให้ น่ารักมาก เพราะท่านเตือนเอาไว้ว่า ถ้าจะผูกดวงไม่ให้ใครมาฟังด้วย



ตอนที่ท่านพยากรณ์เราก็จดไว้กันลืม ที่สะดุดใจที่สุดคือท่านบอกว่า “ตามดวงของเรา เกิดมาแล้วไม่ต้องไปหางานทำที่ไหนหรอก เพราะเกิดมามีงานให้ทำอยู่แล้ว แต่เราจะทำมันหรือไม่เท่านั้น ดวงผู้ให้กำเนิดหวังว่าเราจะสานต่องานที่ทำไว้” ว้าว..คำพูดของคุณลุงที่บอกเอาไว้ เหมือนช่วยในการตัดสินใจอยู่บ้างแล้วคราวนี้



พอกลับมาบ้านนึกถึงพ่อหนุ่มหน้าตี๋คนนั้น ที่เคยชวนเราทานข้าว แล้วรู้สึกอยากหาคนคุยด้วยเรื่องกลับบ้าน เลยโทรไปปรึกษาเรื่องนี้ด้วย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากคุยกับเขาอีกครั้ง พอทางโน้นรับสาย ตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับมาทำให้แอบยินดีอยู่ลึก ๆ



“อ้าว..ไผ่เองเหรอ..ว่าไงหายไปเลยนะ โห..ฟลุคมากเลย ผมเพิ่งจะกลับบ้านอาทิตย์นี้เอง ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว ที่บริษัทงานเยอะมากเลยตอนนี้ “


น้ำเสียงยินดีออกมาจากปลายสาย แสดงถึงความยินดีที่ได้คุยกันอีกครั้ง ทำให้ใจชื้นขึ้นมานิดนึงแหละ ก่อนที่จะเอ่ยปากปรึกษาเรื่องกลับไปช่วยงานที่บ้าน พอได้ฟังเรื่องที่เราบอกไป เสียงปลายสาย เริ่มเข้มทีเดียว



“ผมว่าพ่อคุณท่านมีเหตุผลนะ ที่ให้คุณไปทำงานที่ท่านทำมาตั้งหลายปีแล้ว อย่างน้อย..มันก็มั่นคงกว่างานที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่างานบริษัทหรือว่าจัดรายการเพลง “



แต่ละคำที่แนะนำมา เหลือร้ายจริงๆ เค้าเป็นเด็กว่าเรา 2 ปี แต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก แล้วอีกอย่างยังไม่ยอมเรียกฉันว่าว่าพี่ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามีเพื่อนที่อายุมากกว่ากัน ไม่เท่าไหร่ไม่ค่อยเรียกว่าพี่หรอก ตายจริงพ่อคนนี้ อยากแก่นักหรือไง แต่พอฟังเหตุผลเค้าแล้ว ฉันเองก็ยอมรับว่ามันจริงอย่างที่บอกเรามา ชนิดที่เราถียงไม่ออกเลยจริงๆ ให้ตายซิ







เขียนโดย



KorP@i








 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 5 มีนาคม 2554 21:50:19 น.
Counter : 361 Pageviews.  

:: The Bus Number 11 :: ( ตอนที่ 4)




มาเริ่มแปลกๆก็ตรงที่ “ แล้วโทรมาคุยกันบ้างนะครับ” เออ..นะ ให้แต่เบอร์ให้เราโทรไป ไม่เห็นขอเบอร์เราบ้างเลย อยากคุยด้วยจริงเปล่าก็ไม่รู้ “ถ้าโทรไปที่บ้านก็เบอร์นี้เบอร์ตรงที่ห้องผมเองนะไม่อย่างนั้น พี่สาวต้องตะโกนเรียกเรียกมารับข้างล่าง “ เขาพูดขึ้นตอนที่ใกล้จะถึงป้ายแล้ว


แหม..คุยกันมาตั้งนาน เพิ่งจะมายื่นนามบัตรให้เอาตอนที่ฉันใกล้จะลงแล้วซิ ป้ายหน้าก็จะถึงพาต้าปิ่นเกล้าแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเชียวที่นั่งคุยจ้อกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่บนรถเมล์นานขนาดนี้ แถมยังคุยกันได้ตลอดทางเสียด้วยซิ


ฉันส่งยิ้มให้ เมื่อเค้าบอกให้โทรหา แต่ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เก็บไว้ตัดสินใจวันหลังก็ได้นี่ พอลงรถไปแล้วก็อดเหลือบมองกลับขึ้นบนรถไม่ได้ว่าคนที่นั่งข้าง ๆจะมองตาตามฉันมาหรือไม่


พอรถเมล์ออกตัว บอกตัวเองให้สลัดภาพคนที่ยิ้มให้บนรถทิ้งไป เขาอาจจะชอบให้โอกาสคนทั่วๆไปแบบนี้ก็ได้ คนที่มีรูปร่าง หน้าตา การศึกษา เป็นต้นทุนแบบนี้ อาจให้ความหวังคนที่เจอกันไปเรื่อย


หลังจากวันนั้นที่เราเจอกัน ชีวิตฉันยังดำเนินตามปกติ นำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนๆที่ทำงาน เพื่อนๆบอกให้ลองโทรชวนไปทานข้าวด้วยกันกับเพื่อนๆตอนเย็นวันศุกร์ ที่มักจะกลับบ้านช้ากว่าทุกวันเพราะว่ารถติด แต่ในตอนนั้นฉันไม่เคยสนใจมากนัก


เพื่อนยุให้โทรไปชวนเขาอยู่เหมือนกัน พอโทรไปเขากลับเป็นฝ่ายชวน ชวนไปกินข้าวด้วยแถวๆที่ทำงานเขาแทนซะนี่ เออ..ใครจะอุตส่าห์ขับรถไปไกลขนาดนั้น มันอยู่คนละฝั่งกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ วันแล้ววันเล่าไม่มีโอกาสได้เจอกันซักที



หลังจากที่เรียนจบทำงานอยู่ในกทม.ประมาณหนึ่งปีได้ ในที่สุดฉันก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเพราะทางบ้านให้โอกาสมาทำงานเพื่อหาประสบการณ์ พอถึงเวลาก็ต้องไปช่วยงานที่บ้านแล้วแล้ว ไม่อยากไปเลย เพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตลำพังด้วยตัวเอง ไม่นานนี้เอง หลังจากที่น้องทั้งสองคนต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ชีวิตอิสระที่อยู่คนเดียวก็สบาย วันไหนที่เลิกงานก็ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน ที่เหลือก็ใช้วันหยุดทำงานบ้าน เก็บกวาด เช็ดถู



นานๆก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เลือกที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ จะได้กลับมาทำงานสะดวก พอถึงเวลาจริงๆคงเป็นช่วงที่อายุเข้าเลขสามพอดี วันเกิดปีนั้นเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เราควรจะใช้ทุนที่พ่อแม่ส่งเรียนได้แล้ว แต่ยังสนุกกับงานพิเศษ ตอนนั้นมีทั้งสอนพิเศษภาษาอังกฤษน้องๆฉันเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ด้วยเหมือนกัน



งานสอนพิเศษก็เป็นงานพิเศษที่บังเอิญเจอพี่คนหนึ่งที่เคยสอนพิเศษตอนที่น้องฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาเที่ยวบ้านกับนองชาย พอเจอกันเลยชวนให้ไปลองสอนดู พอได้ก็สอนร่วมกับพี่เค้ามาเรื่อย นับว่าเป็นงานอดิเรกที่มีความสุขมากๆ งานหนึ่ง แถมรายได้ไม่น้อยเลย มากกว่างานประจำด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะมาทำงานนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่เป็นคนชอบภาษาอังกฤษ และมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาจีบพอให้กระชุ่มกระชวย








เขียนโดย



KorP@i






 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2567 13:02:17 น.
Counter : 345 Pageviews.  

:: The Bus Number 11 :: ( ตอนที่ 3 )





ในขณะที่คุยกันนั้นฉันคิดเพียงว่า เมื่อเขาถามเราแล้วเลยคิดว่าควรถามกลับไปบ้างไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้ข้อมูลแลกเปลี่่ยนกัน ฟังแล้วดูเป็นคนที่เรียนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ครอบครัวเขามีพี่สาวเยอะจังเลย พอฟังเขาพุดแล้วอดคิดตามไปไม่ได้


คราวนี้เขาหยิบพูดจบแล้วหยิบนามบัตรมาให้ “นี่ครับ..ถ้ามีอะไรโทรไปนะ”พอหยิบมาดูแล้วนึกขำอยู่ในใจที่เห็นนามบัตรของเขาที่รับมาจากมือเขานั้น มีทั้งวุฒิการศึกษา ทั้งตรีและโทครบ สงสัยว่าที่คุยกันมาทั้งหมดนั้นเกรงว่าฉันจะไม่เชื่อเขาว่าพุดวามจริง เลยอดไม่ได้ที่จะนึกขำในใจ ก่อนขอบคุณเขาอีกครั้ง



เลยทำให้รู้ข้อมูลการศึกษาทั้งหมด พอเห็นข้อมูลในบัตรแผ่นเล็กๆในมือ ยังอดคิดตามไม่ได้เลย “อ้อ..จบวิศวอิเลคทรอนิกส์มาจาก มหาวิทยาลัยเกียวโตจริงๆ ด้วย เบอร์โทรที่บ้าน มือถือ มีให้เสร็จสรรพ” ในขณะที่อ่านข้อมูลของเขาอยู่นั้น ฉันถามแทรกออกไปว่า “ บ้านคุณอยู่ที่ไหนเหรอ” ที่ถามเพราะเห็นว่านั่งมานานพอๆกันเลย ไม่มีทีท่าว่าใครจะจะลงรถก่อนใครเลย เราทั้งคู่นั่งรถมานานมากแล้ว


เมื่อรถวิ่งมาเกือบสุดสายแล้ว “บ้านผมอยู่หลังเมอรี่คิงส์ปิ่นเกล้า อยู่หมู่บ้านบุษราคัม แล้วคุณล่ะบ้านอยู่ไหนเหรอ” เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“เราอยู่จรัญฯ 34 ต้องลงป้ายหน้าพาต้าปิ่นเกล้า ก่อนคุณป้ายหนึ่งพอดี ”
“ ความจริงบ้านเราใกล้กันแค่นี้เอง ” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย ใช่วิ เพราะความจริง วันว่างๆก็ไปเดินเล่นแถวนั้นออกบ่อยๆ


“เออ..ถ้าวันหลังว่างๆ วันหลังไปทานข้าวด้วยกันซักมื้อนึงนะ ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ ”
อุ๊ย..ตายชวนกินข้าวด้วยเว้ย...ฉันแอบลิงโลดในใจ แต่ตัองเก็บอาการ เพราะยังงุน ..งง อยู่เล็กน้อย ที่ให้ชวนเพื่อนมาด้วยนี่แหละ ชวนมากินข้าวด้วยกัน แล้วทำไมให้ชวนเพือ่นมาด้วยหล่ะ



เออ..แปลกดีนะ อีตาคนนี้ พอไปเล่ารื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เหมือนจะหยั่งเสียงปรึกษาเพื่อนๆ ในกลุ่ม บรรดาเพื่อนสาวของฉันได้แต่ต่อว่ากันสารพัด รุมสรุปว่าฉันไม่ได้เรื่อง เค้าชวนกินข้าวแสดงว่าสนใจเราแล้ว มีเสียงโห่..กันขรมเลยจากกลุ่มเพื่อนสาว


"โห..ใครจะไปรู้เล่า ว่าเขาจะมานึกสนใจใคร่ดี เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก" ก็ใครจะไปนึกว่า..อาโซ้ยตี๋หน้าตาเด็กเรียนขนาดนั้น จะมาสนใจอะไรกันกับฉันด้วยด้วย ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเค้าอายุน้อยกว่า 2 ปี แต่ว่าหน้าตาน่ารัก ตรงใจก็เท่านั้นเอง





เขียนโดย



KorP@i


 




 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2567 19:54:41 น.
Counter : 320 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

chabori
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




(*♥*´¨) :-: SimpliFy Your Life : Just Be Yourself :-: (*♥´¨)




Everyday is means to me:-)
..................o°o
.................O....°
............o°°O.....o
...........O..........O
............° o o o O
......................★
...................★
...............★
...........★
........★
....★
.★
*♥´¨)
¸.-´¸.-♥´¨) ¸.-♥¨)
(¸.-´ (¸.-` ♥♥´¨) ♥.-´¯`-.- ♥
«-(¯`v´¯)-» KorPai «-(¯`v´¯)-»


***************************

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Share |
Total คน
(online)
"ทรายทุกเม็ดมีค่า ทุกครั้งที่มันร่วงลงมา เปรียบเสมือน กาลเวลา ที่ล่วงเลย
(¯`v´¯)-» Welcome To KorP@I Blog«-(¯`v´¯)-
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add chabori's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.