"ชีวิตนี้แสนที่จะสั้นนัก"
ถึงแม่จะกลัวความพลัดพรากและความตายมากมายเพียงใด แต่มันจะต้องเกิดขึ้นลูกรักดังนั้นเราต้องเตรียมใจและเข้าใจถึงความจริงข้อนี้
ข้อมูลความจริงทางการแพทย์ช่างโหดร้ายหมอแจ้งว่า "เส้นเลือดใหญ่ในสมองของแม่แตก" อาการของแม่รุนแรงเกินกว่าที่จะผ่าตัดได้ แม่ไม่สามารถหายใจได้เอง ถ้าหากถอดเครื่องช่วยหายใจ อาการของแม่จะทรุดลงและจากฉันไปอีกในไม่ช้า
ทุกคำพูดแห่งความจริง...นั้นมันทำให้ฉันปวดร้าว ฉันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ รับรู้แต่เพียงว่า "เเม่กำลังจะตาย" คำพูดนั้นเหมือนมีดคมๆ กรีดใจฉันออกเป็นชิ้นๆ และเสียดแทงเข้าไปในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"กองไฟในชีวิต" ที่เคยโหมกระพือ"มอดดับลง" เหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาราด ความอบอุ่นในใจของฉันมันจางหายไปหมด ความรู้สึกหนาวในใจ มันหนาวเหน็บมากกว่าอากาศข้างนอกยิ่งนัก
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต ทั้งๆ ที่แม่ก็เคยบอกไว้ว่า "สัจธรรมในชีวิต" แม่เคยประสบมาแล้ว 3 อย่างเหลือเพียงอย่างหนึ่งที่แม่ไม่เคย "คือความตาย" ที่แม่ยังไม่เคยพบ...ลูกรู้ใช่มั๊ย? สักวันมันต้องเกิดขึ้น
"เมื่อมีชีวิต ย่อมมี...วันที่ไม่มีชีวิต"
"เมื่อมีวันเกิด ก็ต้อง...มีวันที่ตาย"
"มันเป็นความจริงที่ลูกจะปฏิเสธ ไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้"
ระหว่างที่ฉันนั่งรอเวลาให้วันที่ 26 ผ่านไป สมองของฉันย้อนภาพเเละเรื่องราวต่างๆ ของแม่ออกมา...ความทรงจำล่าสุดคือตอนปีใหม่...ฉันยังได้กราบเท้าแม่ เเม่อวยพรขอให้ฉันมีความสุขและประสบความสำเร็จ...ภาพวันนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน ครอบครัวของเราอยู่กันพร้อมหน้า แม่มีความสุขมาก
นาฬิกาบอกเวลา ใกล้แปดโมงเช้าของ วันที่ 27 มกราคม 2560 ผลการตรวจของแม่อยู่ในระดับต่ำสุด คือไม่รู้สึกและไม่ตอบสนองต่อการทดสอบใดๆ พยาบาลแจ้งว่า คุณหมอกำลังจะเข้ามาตรวจแม่ เมื่อคุณหมอตรวจเสร็จฉันถามคุณหมอว่าหากฉันจะขออนุญาตพาแม่กลับบ้านจะได้หรือไม่? คุณหมอตอบว่าได้ตามความประสงค์ของญาติ...
สาเหตุที่ฉันตัดสินใจอย่างนี้ก็เพราะเเม่เคยบอกไว้ว่าถ้า "ถึงที่สุดแล้ว ขอให้ลูกพาแม่กลับบ้าน"
"แม่รู้ว่ามันยาก...แต่ลูกต้องส่งแม่ให้สุดทางลูกรัก"
คำพูดนี้ดังขึ้นในสมอง "ถึงที่สุดแล้ว" เวลาที่แม่ให้ฉันทำใจหมดลงแล้ว "ฉันหมดเวลาแล้ว"
เมื่อทำเรื่องขออนุญาตเรียบร้อย ฉันให้น้องไปซื้อพวงมาลัยดอกไม้ เพื่อมากราบเเม่ และแล้วเมื่อถึงเวลา 10.00 น. ของวันที่ 27 พวกเรา 3 คนพี่น้องช่วยกันพาแม่เดินทางออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน
"บ้าน" เป็นสถานที่ ที่แม่รักและผูกพันที่สุด การเดินทางครั้งนี้ของแม่กำลังจะสิ้นสุดลงแล้วและเมื่อเวลา 11.39 น. แม่ก็จากเราไปอย่างสงบท่ามกลางผู้คนที่รักแม่และแม่รัก ณ.บ้านของเรา
แม่เคยบอกว่า "ในชีวิตแม่นี้เดินทางมาก็มาก เดินทางใกล้-ไกลก็เยอะ ลูกอย่าห่วงแม่เลย...แม่สบายดี" แม่จ๋าแต่การเดินทางของแม่ครั้งนี้ ลูกไม่มีทางรู้เลยว่าเเม่จะสบายดีจริงหรือไม่หรือเป็นอย่างไร เเต่ด้วยอานิสงส์ของการทำบุญของแม่ ลูกเชื่อว่าคงส่งแม่ไปสู่สุคติภูมิและมีความสุขอย่างที่เเม่บอกลูกไว้
คำสอนของแม่ ความดีของแม่ ความรักของแม่จะยังอยู่เป็นเชื้อไฟในชีวิตลูกต่อไปดังที่แม่เคยบอกไว้"หากกองไฟในชีวิตลูกดับจงหาเชื้อไฟแล้วจงก่อขึ้นมาใหม่" ในชีวิตเราจะมีเรื่องและปัญหาทำให้กองไฟดับได้หลายครั้ง แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่มันดับ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะทำให้มันลุกโชนขึ้นมาได้อย่างไร แม่จะเปรียบเทียบให้ลูกเห็นง่ายๆ เมื่อลูกเริ่มหัดเดินตอนเป็นเด็ก
" หากลูกล้ม แล้วยังลุกขึ้นยืนไม่ได้ ให้ลูกนั่ง
หากลูกนั่งแล้วยังลุกเดินไม่ได้ให้ลูกคลาน
หากเมื่อลูกคลานจนเบื่อแล้วลูกจงเดิน
และเมื่อลูกพร้อมแล้ว...ลูกจงวิ่ง"
แด่แม่ของฉัน...ผู้หญิงที่ให้ชีวิตฉัน ผู้ที่ตั้งชื่อให้ฉัน ผู้ที่สอนฉันให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกและผิด ผู้ที่สอนเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ผู้หญิงที่สอนให้ฉันยิ้มได้ในวันที่ร้องไห้และอีกหลายสิ่งมากมายในชีวิตของฉันทั้ง อดีต ปัจจุบันและอนาคต
ปล. แม่บอกว่าจงคิดถึงแม่ตอนที่มีชีวิตลูกรักลูกจะได้ไม่เศร้าอย่าคิดถึงตอนแม่ตาย แต่ถ้าหากคิดถึงแม่มากให้มองที่กระจกแล้วลูกจะพบว่าแม่อยู่ในตัวลูกเพราะหน้าตาเราเหมือนกัน แม่จะอยู่ในสมอง ในชีวิตและในใจลูกตลอดไป ตราบที่ลูกยังหายใจและมีชีวิต (แม่จ๋าลูกสัญญาว่าลูกจะทำต่อไปตามคำที่แม่สั่งสอน ขอให้แม่ไปสู่สุคติ รักแม่ตลอดไป)
แต่ท่านยังอยู่ในใจของลูกๆตลอดมา
คุณแม่ของอ้อมแอ้มก็จากไป 4 ปีกว่าแล้ว..
ลูกๆยังคิดถึงพระคุณแม่อยู่เสมอมาคะ..