Group Blog
 
All Blogs
 

comment หนังบางกอกฟิล์ม 2006

ผมใช้ระบบเต็มสี่ดาวนะครับ

17/02/26
Invisible Waves (สามดาวครึ่ง)
คิโยจิก่อความผิดร้ายแรงขึ้น และจึงหนีขึ้นเรือจากฮ่องกงมากบดานที่ภูเก็ต
แต่การหนีคือทางออกของทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ??
>>>หนังค่อนข้างเข้าถึงยากครับ และมีการเล่าเรื่องแบบ Surrealist และใช้สัญลักษณ์เยอะพอสมควร
ถ้าใครชอบ Last Life in the Universe ที่กลวิธีการเล่าเรื่องก็น่าจะชอบเรื่องนี้นะครับ แต่ถ้าใครชอบตรงอารมณ์เหงาๆ ชวนอบอ่นหัวใจ อาจจะเกลียดเรื่องนี้เลยก็ได้ เพราะอารมณ์ของ Invisible Waves ค่อนข้างมืดหม่นอึดอัดดีเหลือเกินครับ
สำหรับผม นี่คืองานที่แนบเนียนสนิทกว่าเรื่องไหนๆ ของคุณเป็นเอก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานที่น่าจะถูกรสคนในวงกว้างน้อยที่สุดด้วย (เรื่องก่อนๆ ก็ว่าน้อยแล้วนะ)

20/02/06
หลังจากดู Invisible Waves ในวันเปิดไป ผมก็ติดงานเสียสองวันครับ ทำให้พลาดหนังดีๆ ไปเยอะเลย เสียดายจริงๆ แต่ในที่สุดวันนี้ ก็ได้เวลาเริ่มต้นตะลุยเก็บหนังดีแล้วครับ

Stolen Life (ประเทศจีน - 3 ดาว)
เรื่องของเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยป้าและยาย จึงขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่ก็กำลังจะมีอนาคตที่สดใส ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
แต่แล้ว การได้พบกับหนุ่มคนขับรถตู้ที่เข้ามาติดพัน ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
>>>พล็อตฟังดูเป็นเมโลดราม่าซ้ำซาก แต่ก็แอบมีอะไรใหม่ที่น่าสนมากๆ อยู่เหมือนกันนะครับ (เพียงแต่ในบางจุดก็ดูขาดความน่าเชื่อถือไปบ้าง)
สำหรับคนที่ชอบหนังเศร้าๆ เรื่องนี้น่าจะโดนใจได้แบบเต็มๆ ครับ แต่ก็น่าเสียดายที่หนังหมดรอบฉายในบางกอกฟิล์มไปเรียบร้อยแล้ว

The Buried Forrest (ญี่ปุ่น - งดแสดงความคิดเห็น)
เด็กสาวไฮสกูลผลัดกันเล่าเรื่องที่จินตนาการขึ้น และเรื่องเล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อมุมมองชีวิตและการเลือกทางเดินสำหรับอนาคตของพวกเธอ
>>>คือบอกตรงๆ ว่าภาษาอังกฤษผมแข็งแรงพอจะอ่านซับอังกฤษเข้าใจได้ก็จริง แต่หนังของผู้กำกับ เคอิ โอกุระเรื่องนี้ (ก็เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ของเขา) เล่นผสมระหว่างความจริงกับความฝันกลมกลืนกันไปหมด ซึ่งในเมื่อผมต้องแบงสมาธิไปแปลซับอยู่ในใจแล้ว ก็เลยตามหนังไม่ทันเอาเสียเลยครับ คงต้องหาโอกาสดูใหม่ (ซึ่งคงไม่ใช่ในเทศกาลนี้แล้วล่ะครับ)
ใครที่ชอบหนังกึ่งจริงกึ่งฝัน แนะนำให้ลองดูครับ

An American in Paris (อเมริกา - งดแสดงความคิดเห็น)
หนังสุดคลาสสิกที่นำแสดงโดย จีน เคลลี่ สุดยอดดารา-นักร้อง-นักเต้นตลอดกาล
>>>ผมเป็นนักดูหนังรุ่นใหม่ ยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อนครับ ตอนแรกก็ลังเลใจว่าหนังมันเก่าแล้ว จะสนุกไหมหนอ แต่พอเข้าไปดู ไม่ผิดหวังเลยครับ ลีลาการร้อง เล่น เต้นรำ ของจีน เคลลี่ พลิ้วไหวสมคำร่ำลือจริงๆ
น่าเสียดายที่ฟิล์มเก่ามากแล้ว ภาพเลยดูสกปรกมาก เสียงก็มีเพี้ยนๆ บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกประสบการณ์สุดยอดในโรงภาพยนตร์ครับ
เรื่องนี้รู้สึกจะมีรอบฉายอีกด้วย แต่เข้าใจว่าเป็นโรงอัลตร้าสกรีน (โรงที่นั่งแพงๆ ที่ทั้งโรงนั่งได้ไม่กี่คนอะครับ) เพราะฉะนั้น ใครสนใจก็รีบจองเสียนะครับ

Manslaughter (เดนมาร์ก - 3 ดาว)
หนังเล่าเรื่องของชายวัยกลางคน ที่ยอมสูญเสียครอบครัวและมิตรสหาย เพื่อช่วยเหลือชู้รักสาวสวยที่ต้องคดีร้ายแรง
>>> ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย และได้ดูโดยบังเอิญครับ เพราะเรื่องที่อยากดูดันเต็ม เลยจิ้มมั่วๆ ได้เรื่องนี้มา
หนังเล่นกับความรู้สึกผิดของตัวละครอย่างเต็มที่ ดูแล้วเครียดครับ แต่ก็สนุกด้วย ใครที่ไม่ชอบ Invisible Waves เพราะเห็นว่ามันมึนตึ้บ เข้าถึงยาก เรื่องนี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดีครับ

21/01/06
ยิ่งดูยิ่งดีครับ หนังดีๆ มีให้ดูมากมายไม่มีหมดจริงๆ

Go West (บอสเนีย - 3 ดาวครึ่ง)
หนังชายรักชายภายใต้สงครามระหว่างชาวเซิร์บกับมุสลิม
>>>หนังเรื่องนี้ยังมีฉายอีกรอบ คือ 11 โมงวันอาทิตย์ วันปิดงานนั่นแหละ
บอกได้คำเดียวว่า 'ห้ามพลาด' ครับ
หนังถ่ายทอดเรื่องราวทั้งความรัก สงคราม ศาสนา และการเมืองออกมาได้อย่างครบรสชาติมากๆ ครับ ทั้งตลก สนุกสนาน เศร้า และสะเทือนใจ ถ้าใครคิดว่าหนังสงครามน่าเบื่อ เรื่องนี้จะลบความคิดนั้นได้ทันทีครับ

C.R.A.Z.Y. (แคนาดา - 3 ดาวครึ่ง)
แซค เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลกในวันคริสต์มาส แต่ตลอดทั้งชีวิตกลับรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้งเขา เขาเติบโตมากับครอบครัวที่มีพี่น้องอีกถึง 4 คน จึงต้องเผชิญกับเรื่องทะเลาะเบาะแว้งและปัญหารุมเร้ามากมาย รวมถึงการที่พ่อไม่ยอมรับเขา
>>>ดูมาตั้งหลายเรื่อง เพิ่งเจอเรื่องนี้แหละครับ ที่พอหนังจบคนดูนี่ปรบมือกันเกรียวกราวทั้งโรง ซึ่งก็คงเป็นเพราะหนังมันบันเทิงแบบสุดๆ เลยนั่นเอง
ที่สำคัญ ความบันเทิงนั้นไม่ได้ยืนอยู่บนความมักง่ายฉาบฉวยเลยนะครับ หนังใช้ลูกเล่นแพรวพราวมาสนับสนุนเนื้อหาได้ดี ทำให้นั่งดูไปยิ้มไปทั้งเรื่อง และตอนท้ายอาจถึงกับน้ำตาซึมกันเลยทีเดียว
จัดว่าเป็นอีกหนึ่งโปรแกรม 'ห้ามพลาด' จริงๆ แต่ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับคนที่ยังไม่ได้ดูด้วยครับ เพราะคุณได้พลาดไปเรียบร้อย หนังหมดรอบฉายแล้วครับ

Obaba (สเปน - 2 ดาว)
หญิงสาวนักศึกษาเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ในชนบทที่ชื่อว่า โอบาบา เพื่อถ่ายหนังส่งอาจารย์ ที่เมืองนั้นเอง เธอได้ค้นพบเรื่องราวลึกลับมากมายที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตของเธอ
>>> บางคนอ่าน comment สองเรื่องข้างบนแล้วอาจนึกไปว่าผมเป็นหน้าม้าบางกอกฟิล์มหรือเปล่า ซึ่งคงจะได้เห็นแล้วนะครับว่าไม่ใช่ เพราะก็มีหนังที่ผมด่าเหมือนกัน
ถือเป็นความผิดหวังแห่งปีเลยครับ (ก็ทั้งปีมันจัดงานกันครั้งเดียวนี่นา 555) หนังพยายามจะให้นางเอกซึ่งเป็นเด็กนักศึกษาเป็นคนเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างความประทับใจ แต่ทำได้ไม่มีแก่นเอามากๆ ครับ นั่งๆ ดูอยู่ก็นึกในใจไปด้วยว่า "จบเสียทีเถิด" ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยครับ

Pusher (เดนมาร์ก - 3 ดาว)
พระเอกซึ่งเป็นคนค้ายา ถูกเจ้าหนี้ตามล่า เขาต้องพยายามหาเงินมาคืนในเวลาจำกัด แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงทุกทีๆ
>>>ใครที่ชอบหนังของกาย ริชชี่ (Snatch, Lock Stock and Two Smoking Barrels) เรื่องนี้น่าจะเหมาะกับคุณแน่ๆ ครับ เพราะสไตล์คล้ายกันมาก แบบว่าลูกเล่นจัดๆ ลีลากวนบาทาหน่อยน่ะครับ เพียงแต่เรื่องนี้ดูเครียดกว่าหน่อย

22/2/06
นับตั้งแต่ดูมาสองสามวัน วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ เจอแต่หนังดีๆ ทั้งนั้น

Kissed by Winter (นอร์เวย์ - 2 ดาวครึ่ง)
วิคตอเรีย คือหมอหญิงประจำหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ เธอยังคงฝังใจกับการสูญเสียลูกชายคนเดียวไป จนวันหนึ่ง เกิดมีคนตายในหมู่บ้าน และวิคตอเรียก็ดันไปตกหลุมรักชายที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้
>>> เป็นหนังอีกเรื่องที่เล่นกับความรู้สึกผิดบาปของตัวละคร หนังรักษาอารมณ์อึมครึมได้ดี แต่ก็ดูจะราบเรียบและธรรมดาเกินไปสักหน่อย

Tsotsi (แอฟริกาใต้ - 3 ดาวครึ่ง)
ในชุมชนเสื่อมโทรม ซอทซี่คือเด็กหนุ่มซึ่งตั้งตัวเป็นนักเลง ดูผิวเผินเหมือนเขาเป็นคนแข็งกระด้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาไปขโมยรถยนตร์ และพบว่าบนเบาะหลังมีเด็กทารกนอนอยู่
>>> อารมณ์ของหนังช่วงแรกๆ คล้ายๆ City of God แต่พอเข้าเรื่องจริงๆ ก็ไปคนละทางเลย เรื่องนี้ทั้งอบอุ่นทั้งซาบซึ้งมากครับ ทั้งที่เนื้อหาเป็นการสะท้อนสภาพสังคมที่เลวร้ายแบบสุดๆ

Merry Christmas (ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อังกฤษ - 3 ดาว)
เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นในคืนคริสต์มาสอีฟในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อกองทหารเยอรมัน ฝรั่งเศส และสก็อตแลนด์ตกลงหยุดยิงชั่วคราวและหันมาฉลองคริสต์มาสร่วมกัน
>>> เชื่อว่าหลายคนอาจคุ้นกับชื่อ Joyeux Noel ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมของหนังเรื่องนี้มากกว่า แต่ที่จริงความหมายของทั้งสองชื่อก็เหมือนกันเป๊ะๆ นะครับ
หนังชวนอิ่มเอิบหัวใจดีเหลือเกิน แต่จุดด้อยคือมันไม่น่าเชื่อถือครับ (แม้จะอ้างว่าสร้างมาจากเรื่องจริงก็ตาม) คือระหว่างที่ดู ผมรู้สึกว่า "ช่างเป็นเรื่องราวที่สวยงามเหลือเกิน" แต่ในขณะเดียวกันก็อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า "มันจะเป็นไปได้จริงเหรอ" คือหนังทำให้ผมมีความสุขได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้ผมเชื่อได้น่ะครับ ความประทับใจก็เลยจบลงแค่ในโรง เพียงเท่านั้น

Sympathy for Lady Vengence (เกาหลี - 3ดาวครึ่ง)
ลีกึมจา (ไม่ใช่แดจังกึม) ต้องข้อหาลักพาตัวและฆาตกรรมเด็ก เธอถูกตัดสินให้ไปนอนในคุกอยู่ถึง 13 ปี จนกระทั่งถึงวันที่เธอพ้นโทษออกมา พร้อมกับแผนการแก้แค้นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
>>> เรื่องนี้เป็นหนังปิดไตรภาคแห่งการแก้แค้นของผู้กำกับ พักชานวุค (อีกสองเรื่องคือ Sympathy for Mr. Vengence และ Oldboy) รู้สึกแต่ละเรื่องจะคนละอารมณ์กันเลย โดยเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าเนื้อหาจะอ่อนที่สุด ในขณะที่เทคนิคการเล่าเรื่องกลับแพรวพราวระยิบระยับ เหนือชั้นมากที่สุด
เกือบไปแล้ว เกือบแล้วจริงๆ ครับ ผมคิดตัวเลขสี่ดาวเต็มเอาไว้ในใจเมื่อตอนที่หนังเดินทางไปได้ค่อนเรื่อง แต่รู้สึกว่าพอเข้าถึงช่วงท้าย 'พิธีการ' ปิดฉากไตรภาคมันดูเยิ่นเย้อไปสักหน่อย ซึ่งก็เป็นความจงใจของพักชานวุคที่จะเล่นกับอะไรบางอย่าง แต่มันก็ทำให้ภาพรวมของหนังดูลงตัวน้อยลงไปครับ

Pusher II (เดนมาร์ก - 3 ดาว)
พระเอกของเรื่องเป็นพวก loser อย่างแท้จริง เขาไม่เคยได้รับการยอมรับนับหน้าถือตาจากใครๆ จนกระทั่งวันที่เขาเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าของตัวเองก่อน
>>> เมื่อเทียบกับภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะลดๆ เรื่องสไตล์จัดจ้านลงไป ในขณะที่เนื้อหาดูมีน้ำหนักและเครียดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกครับ

23/02/06
หลังจากอดหลับอดนอนมาหลายวัน เพราะไปดูหนังแบบมาราธอนและยังต้องกลับบ้านมานั่งทำงานต่อ ในที่สุดวันนี้ (ซึ่งเป็นวันที่ผมเลือกดูแต่หนังเอื่อยๆ แทบทั้งนั้น) ความง่วงที่สะสมมาก็ถึงคราแผลงฤทธิ์จนได้ครับ

The Sun (รัสเซีย - งดแสดงความคิดเห็น)
หนังเล่าเรื่องการพบปะกันระหว่างจักรพรรดิของญี่ปุ่น กับนายพลแม็คอาเธอร์ของอเมริกา หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
>>> อย่างที่บอกไปแล้วว่าอดนอนมาหลายวัน ผมก็คาดการณ์อยู่ว่าเรื่องไหนจะเป็นโอกาสนอนเอาแรง (โดยไม่ได้ตั้งใจ) ของผม และก็วางเรื่องนี้ไว้เป็นเต็งหนึ่งล่ะครับ เพราะหนังของผู้กำกับ อเล็กซานเดอร์ โซกูรอฟ (Russian Ark) มักจะเนิบนาบราบเรียบตลอดทั้งเรื่อง
งานนี้โผไม่มีพลิกครับ หลังจากพยายามถ่างตาอยู่นาน ผมก็งีบไปจนได้ แต่ดันอุตริงีบไปนิดเดียว พอให้ตามหนังไม่ทัน และดูต่อไปแบบไม่มีสมาธิเลย โดยที่ยังไม่ได้หายง่วงสักเท่าไหร่อีกต่างหาก
ด้วยเหตุที่ผมไม่ใช่คนประเภทชอบอวดภูมิที่ดูหนังกี่เรื่องต้องบอกว่าเก็ตหมด จึงขอสารภาพกันตรงๆ ว่า เรื่องนี้ผมดูไม่รู้เรื่องครับพี่น้องงงงงงง

Odete (โปรตุเกส - 1 ดาวครึ่ง)
เรื่องของหญิงสาวที่อยากมีลูกจนป่วยทางจิต คิดว่าตัวเองตั้งท้องกับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะตายอนาถด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่คู่เกย์ของผู้ชายคนนั้นก็ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ
>>> ชื่อหนังว่า โอเด็ต แต่ไหงนางเอกหน้าเหมือนฟลอเรนซ์อย่างกับฝาแฝดก็ไม่อาจทราบได้ครับ แต่ที่แน่ๆ หนังห่วยเกินคาดมากๆ
การกระทำพิลึกๆ ของตัวละครในเรื่องดู fake ยังไงพิกล แถมหนังยังผูกเรื่องได้แย่สุดๆ อีกครับ
(ต่อไปนี้ผมจะสปอยล์ให้ฟัง ถ้าใครไม่อยากรู้ก็ข้ามไปอ่านเรื่องต่อไปเลยนะครับ) ตอนท้ายของหนังนี่ Uh-Bath เหลือเกินครับ คือในที่สุดนางเอกก็เกิดปิ๊งกันกับผู้ชายที่เป็นคู่เกย์ของคนตายน่ะครับ แล้วในฉากจบ ทั้งคู่ก็ป่ามป๊ามกัน โดยนางเอกเป็นคน 'ทำข้างหลัง' หนุ่มเกย์ และวิญญาณของผู้ชายที่ตายไปยืนดูอยู่ โดยมีเพลง Moon River คลอประกอบ --"

Bride of Silence (เวียดนาม - 2 ดาว)
เด็กสาวตั้งท้องขึ้นมา เธอไม่ยอมบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็ก จึงถูกลงโทษโดยคนในหมู่บ้าน เมื่อลูกของเธอเติบโตขึ้นจึงออกเดินทางเพื่อสืบเสาะเรื่องราวของแม่
>>> ประเด็นของหนังนั้นใช้ได้ครับ แต่กลับเดินเรื่องเชื่องช้าอืดอาดยืดยาดเกินเหตุแบบสุดๆ บางฉากก็ไม่รู้จะมัวขยายรายละเอียดไปทำไมให้มากความ คือบทน่าจะกระชับได้มากกว่านี้เยอะครับ
ดูๆ อยู่ได้ยินเสียงคนในโรงถอนหายใจเฮือกๆ กันไม่หยุดหย่อน กว่าหนังจะคืบหน้าไปแต่ละขั้นนี่แทบขาดใจจริงๆ ผมเองถ้าไม่ได้งีบตอนดู The Sun มาก่อนก็คงต้องเป็นเรื่องนี้ล่ะครับ
พอหนังจบปุ๊บโรงแตกทันที (คาดว่าเป็นเพราะคนรอเวลาเดินออกกันมานานแล้ว)

River Queen (นิวซีแลนด์, อังกฤษ - งดแสดงความคิดเห็น)
หญิงสาวชาวไอริชต้องพลัดพรากจากลูกซึ่งเกิดจากบิดาซึ่งเป็นชนเผ่าเมารี เนื่องจากชาวเผ่ามาชิงตัวเขาไป
เธอออกตามหาลูก แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความขัดแย้งทางวัฒนธรรมมากมาย
>>> ที่งดแสดงความคิดเห็น เพราะหนังพูดอังกฤษ และสำเนียงอังกฤษก็ฟังยากมาก ผมเลยยังตามไม่ทันในหลายๆ จุดครับ
แต่เท่าที่พอรู้เรื่อง หนังก็เข้มข้นไม่น้อยทีเดียว แถมยังถ่ายภาพได้สวยเหลือกินจริงๆ ครับ เพียงแต่ผมไม่ค่อยชอบการประโคมดนตรีประกอบ (ทั้งที่จริงมันก็เพราะ) ซึ่งทำให้อารมณ์ของหนังออกแนวฮอลลีวูดไปสักหน่อย (ที่จริงก็ไม่หน่อยหรอก) เลยทำให้ขาดความลุ่มลึกตามที่ควรจะเป็น เมื่อพิจารณาถึงฉากหลังและเนื้อหาของหนังครับ

24/02/06
ก่อนหน้านี้ Brokeback Mountain คือหนังที่ผมชอบที่สุดแห่งปีเลยล่ะครับ (จนโดนใครต่อใครแซวว่าผมเบี่ยงเบนอะไรหรือเปล่า) จนกระทั่งวันนี้เอง หนังเรื่องหนึ่งที่มาฉายในบางกอกฟิล์ม ก็ได้ขึ้นมาแทนตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Come in to the Light (อิตาลี – 3 ดาว)
สร้างจากเรื่องจริงของบาทหลวงที่ไปอยู่ในเมืองซึ่งครอบครองโดยมาเฟีย และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพาเด็กๆ ไปสู่หนทางที่ถูกต้อง
>>> หนังทำได้ดีเกินคาดครับ ชวนติดตามเอาใจช่วยไปได้อย่างเพลิดเพลินตลอดทั้งเรื่อง เพียงแต่มันออกจะเป็นสูตรสำเร็จไปสักนิดนึง จนไม่มีอะไรอยู่เหนือการคาดเดา แต่ก็จัดว่าเป็นการเดินตามสูตรสำเร็จได้อย่างมีสีสันมากครับ

Don’t Come Knocking (เยอรมัน, อเมริกา – 3 ดาวครึ่ง)
อดีตนักแสดงชื่อดังเริ่มอายุมากและตกอับ เขาใช้ชีวิตอย่างเหลวแหลก จนวันหนึ่งเกิดพบว่าตัวเองมีลูกที่โตแล้วโดยไม่รู้มาก่อน
>>> ปกติผมไม่ค่อยถูกโรคกับหนังของ วิม เวนเดอรส์ (เช่น Wings of Desire และ Far away, So Close) สักเท่าไหร่ครับ หยิบแผ่นมาดูทีไร เป็นต้องพอสไว้แล้วพักงีบไปหลายรอบกว่าจะดูจบทุกที
เรื่องนี้เป็นหนังของเขาเรื่องแรกที่มีโอกาสได้ดูในโรง กลับกลายเป็นว่าสนุกแฮะ หนังมีทั้งอารมณ์เหงาๆ แต่ลีลาของเรื่องก็ชวนตลกขบขันไม่น้อย โดยรวม ทั้งสุข ซึ้ง ตรึงใจ และยังมีอะไรให้คิดเยอะมากครับ

Sisters (สเปน – 2 ดาวครึ่ง)
นาตาเลียเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของพี่สาวซึ่งไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา ที่นั่นเอง ความลับบางอย่างที่พี่สาวปกปิดมานานหลายปีได้ถูกเปิดเผยขึ้นทีละน้อยๆ และอาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
>>> เนื้อหาของหนังน่าสนใจไม่เลวเลยครับ แต่การเล่าเรื่องกลับไม่ค่อยดึงดูด ไม่ทำให้รู้สึกน่าติดตาม ดูจบแล้วก็เลยไม่ประทับใจสักเท่าไหร่

Transamerica (ก็อเมริกาอะดิ – 2 ดาวครึ่ง)
ตัวเอกของเรื่องตัวเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง เขา (หรือเธอหว่า?) กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ก็บังเอิญได้รู้ความจริงว่าตัวเองมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ซึ่งไปไข่ทิ้งไว้นานแล้ว
>>> ดารานำ เฟลิซิตี้ ฮัฟแมน มีลุ้นออสการ์อยู่ด้วยครับ ดูแล้วผมก็ทึ่งกับการแสดงของเธอพอประมาณ แต่ในส่วนของตัวหนัง ผมว่าความสนุกสนานน่ะเต็มร้อยครับ แต่ประเด็นต่างๆ ที่พยายามจะนำเสนอมันยังดูไม่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสักเท่าไหร่

Good Night, and Good Luck. (อเมริกา – 4 ดาวเต็ม) ****
สร้างจากเรื่องจริงในยุค 50 เกี่ยวกับการปะทะกันระหว่าง เอ็ดเวิร์ด อาร์ เมอโรว์ นักข่าวโทรทัศน์ที่มุ่งมั่นนำเสนอแต่ความจริง กับ วุฒิสมาชิก โจเซฟ แมคคาร์ธี่ ซึ่งใช้ทั้งการข่มขู่และการสาดโคลนต่างๆ นานาเพื่อบิดเบือนความจริง
>>> เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของนักแสดงชื่อดัง จอร์จ คลูนีย์ ครับ ก่อนหน้านี้เขาเคยกำกับเรื่อง Confession of a Dangerous Mind มาแล้ว และได้เสียงวิจารณ์ดีมาก (แต่ผมไม่ยักกะชอบ)
มาถึง Good Night, and Good Luck. คลูนีย์ทำดีจนหนังได้เข้าชิงออสการ์ ก่อนหน้านี้ผมเชียร์ Brokeback Mountain สุดใจขาดดิ้น แต่พอได้มาดู Good Night ก็ถึงกับเปลี่ยนใจในบัดดลล่ะครับ
หนังยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ทั้งบทที่เข้มข้นเฉียบแหลม และจังหวะของเรื่องก็แม่นยำไปเสียหมด แต่ที่โดดเด่นที่สุด เห็นจะเป็นบรรยากาศของหนังที่ขับเน้นความสมจริงของเรื่องราว การเลือกใช้ภาพขาวดำทำให้ได้บรรยากาศของยุคสมัยนั้น แถมยังช่วยสบับสนุนเนื้อหาที่เกี่ยวกับวงการข่าวอีกต่างหาก หรือที่ภาษาวิชาการเรียกว่าเป็นความสมจริงในแบบของภาพยนตร์ (Cinema Verite) นั่นเอง (ฟังดูอวดภูมินิดนึง แต่มันเด่นมากจนไม่ยกย่องไม่ได้จริงๆ ครับ)
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตาคลูนีย์จะทำหนังได้ขนาดนี้ แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายก็คงไม่ได้ออสการ์อยู่ดีครับ ประมาณเดียวกับหนังอย่าง L.A. Confidential (1997) คือเป็นหนังที่คุณภาพสุดยอด แต่ไม่ค่อยถูกใจมหาชน ทั้งนี้ทั้งนั้น ใช่ว่ามันไม่สนุกนะครับ อยากให้ลองหามาดูกัน (ในบางกอกฟิล์มหมดรอบฉายแล้วครับ และเท่าที่ทราบ ยังไม่มีค่ายไหนซื้อมาฉาย)


25/02/06

The Village Album (Japan - 3 ดาว)
หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งกำลังจะกลายเป็นแค่อดีตเมื่อเขื่อนสร้างเสร็จ ช่างภาพมือเก๋าประจำหมู่บ้านจึงได้รับการขอร้องให้ถ่ายภาพทุกครอบครัวในหมู่บ้านรวบรวมเก็บไว้เป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายที่ห่างเหินกันไปนานของเขาจึงถูกตามตัวจากโตเกียวให้มาช่วยทำงานนี้
>>> ฟังพล็อตเรื่องก็น่าจะเดาได้แล้ว ว่าประเด็นหลักๆ ของหนัง ต้องเป็นเรื่องการเยียวยาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก และการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แต่หนังก็ทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ หลาย ตอนชวนให้ดูไปยิ้มไปอย่างมีความสุข และช่วงท้ายๆ ก็ซาบซึ้งพอประมาณ น่าเสียดายที่หนังออกจะฟูมฟายไปสักหน่อย เลยยังไม่ถึงกับประทับใจที่สุดครับ

Don't Tell (อิตาลี่ - 2 ดาวครึ่ง)
ซาบิน่า คือหญิงสาว (และสวย ^^) ที่ถูกความทรงจำในวัยเด็กตามมาหลอกหลอนโดยที่เธอก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นได้เพียงเลือนราง ผลกระทบจากเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนหนุ่มเริ่มระหองระแหงขึ้นทุกทีๆ เธอตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมพี่ชายในอเมริกา เพื่อค้นหาความจริง
>>> (เข้าใจว่า) หนังพูดถึงเรื่องการปลดปล่อยตัวเอง แต่ยังมันสื่อออกมาแบบอ้อมโลกไปหน่อยน่ะครับ แถมมุกตลกก็แทรกเข้ามาถี่เกิน จนอารมณ์ของหนังมันหลุดๆ ยังไงพิกล พอตอนท้ายก็เลยไม่รู้สึก ‘โล่ง’ อย่างที่ควรจะเป็น
เป็นแค่ความเห็นของผม ซึ่งอาจจะผิดก็ได้นะครับ นักวิจารณ์หลายๆ สำนักก็ชื่นชมหนังเรื่องนี้กัน อยากให้ลองหามาดู และเชื่อตัวเองกันดีกว่าครับ

Your Name is Justine (โปแลนด์ - 3 ดาว)
มาริโอล่าโกหกยายและหนีตามแฟนหนุ่มไปเยอรมัน โดยเข้าใจว่าเขาจะพาเธอไปพบพ่อของเขา นับจากวินาทีนั้น ชีวิตของเธอก็พลิกผันจนไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
>>> เครียดสุดๆ ครับหนังเรื่องนี้ ยื่งได้รู้ว่าผู้กำกับเขาทำออกมาเพื่อสะท้อนความจริงในสังคมเกี่ยวกับการค้าผู้หญิง ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่เหลือเกินครับ

Heading South (ฝรั่งเศส - งดแสดงความคิดเห็น)
หนังมีฉากหลังในเฮติช่วงยุค 80 หญิงสาวนักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลไปที่ดินแดนสรวงสวรรค์แห่งนั้น เพื่อใช้เงินแลกความสุขจากหาดทราย สายลม และ ‘สองเรา’ (ตัวพวกเธอเองกับชายหนุ่มท้องถิ่นซึ่งรับจ้างเป็น ‘คู่ควงชั่วคราว’)
>>> ประเด็นที่หนังนำเสนอนั้นกล้าหาญดีครับ แต่ผม… (แต่น แตน แต๊น) หลับยาวครับ เนื่องจากเพลียจริงๆ โด๊ปทั้งกาแฟ M150 และหมากฝรั่งเย็นซู่ซ่าก็ยังเอาไม่อยู่ ใครได้ดูช่วยมาบอกทีครับว่าหนังเป็นยังไงบ้าง

ผมยังได้เข้าไปดู Duelist รอบสองทุ่มครึ่งด้วยครับ แต่ดูไปได้ครึ่งชั่วโมงก็ตัดสินใจเดินออก เพราะเห็นว่าหนังเละเทะเกินกว่าจะแลกกับเวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยในวันสุดท้าย (แต่เสร็จแล้วก็มานั่งพิมพ์กระทู้จนดึกดื่น… แป่วววว)

26/02/06
วันสุดท้าย ผมเน้นเอาสบายๆ เก็บไปอีกแค่ 2 เรื่องครับ

Hell (ฝรั่งเศส – 4 ดาวเต็ม) ****
หนังเล่าเรื่องของสามพี่น้อง โซฟี เซลีน และอานน์ ซึ่งยึดติดอยู่กับความทรงจำในอดีต และมันก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเธอในปัจจุบัน จนกระทั่งวันที่ความจริงบางอย่างได้ปรากฏขึ้น
>>> หนังเล่าเรื่องตัวละครหลัก 3 คนที่ชีวิตขาดๆ เกินๆ เนื่องจากปมปัญหาในอดีต ซึ่งฟังดูคล้ายๆ กับเรื่อง Don’t Tell แต่ Hell ทั้งสมบูรณ์ ลงตัว และเหนือชั้นกว่ามาก การวางลำดับเรื่องราวทำได้ยอดเยี่ยมสุดๆ เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี มีที่มาที่ไป จนพาไปสู่บทสรุปสุดท้ายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังเหนือคำบรรยาย

Water (อินเดีย – 3 ดาวครึ่ง)
ในอินเดีย เมื่อสามีตาย ภรรยาจะถูกส่งตัวไปอยู่รวมกันในอาศรมแม่หม้าย และใช้ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น ด้วยประเพณีที่ให้มีการหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก บางครั้ง เด็กผู้หญิงอายุเพียง 7 – 8 ขวบก็อาจจะต้องกลายเป็นแม่หม้ายเสียแล้ว!
>>> นี่คือเจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกินรีทองคำประจำปีนี้ครับ หนังก็ยอดเยี่ยมสมกับรางวัลที่ได้ โดยสามารถสะท้อนภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง ที่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพของเพศหญิงออกมาได้อย่างทรงพลัง
โดยรวม หนังทั้งเศร้า หดหู่ แต่ก็มีแอบให้ความหวังอยู่หน่อยๆ เหมือนกันครับ

*** สรุปผลรางวัล Golden Monster (มอนสเตอร์ทองคำ) ***
>>>รางวัลนี้มีคณะกรรมการคนเดียวครับ คือ kitty_boo_end (คุ้นๆ เนอะ) โดยไม่ได้ยึดตามผู้เข้าชิงกินรีทอง แต่ยึดตามรายชื่อหนังทั้งหมดที่คณะกรรมการได้ดู
อนึ่ง รางวัลนี้ไม่ได้ตามกระแสมหาชนอย่างแน่นอนครับ (เพราะตามใจคณะกรรมการอย่างเดียว 555)

Kitty’s Choice Award (หนังที่ kitty_boo_end ชอบเป็นพิเศษ)
>>> The Monster goes to “C.R.A.Z.Y.” (directed by Jean-Marc Vallee) from Canada.

Boo Award (รางวัลหนังน่ารักหรือให้ความรู้สึกดีๆ ยอดเยี่ยม)
>>> The Monster goes to “Don’t Come Knocking” (directed by Wim Wenders) from America.

Best Asian Film Award (ภาพยนตร์เอเชียยอดเยี่ยม)
>>> The Monster goes to “Invisible Waves” (directed by Pen-ek Ratanaruang) from Thailand.

Best Actress (นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม)
>>> The Monster goes to “Lee Yeong-ae” (Sympathy for Lady Vengeance – from South Korea).
หมายเหตุ: คณะกรรมการยืนยันมาว่า ในชีวิตนี้ไม่เคยดูแดกจังมรึง เอ๊ย! แดจังกึม

Best Actor (นักแสดงชายยอดเยี่ยม)
>>> The Monster goes to “Mario Drmac” (Go West – from Bosnia).

Best Director (ผู้กำกับยอดเยี่ยม)
>>> The Monster goes to “Park Chan-Wook” (Sympathy for Lady Vengeance – from South Korea) .

Silver Monster (รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมอนสเตอร์เงิน)
>>> The Monster goes to “Good Night, and Good Luck.” (directed by George Clooney) from America.

* Golden Monster (รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมอนสเตอร์ทองคำ) *
>>> The Monster goes to…
>>> “Hell” (directed by Danis Tanovic) from France!!!

ใครไม่เห็นด้วยจะเถียงไปก็เท่านั้น เพราะคณะกรรมการคือ kitty_boo_end (555) ทางที่ดีแสดงผลรางวัลสถาบันของท่านมาให้ดูกันบ้างดีกว่า

ใครเขียน comment เขียนวิจารณ์ไว้ที่ไหน เข้ามาบอกกันบ้างนะครับ จะได้ตามไปอ่าน




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2549 14:53:34 น.
Counter : 570 Pageviews.  

A Snake of June: โลก(ย์)สีน้ำเงิน

เชิญเข้าไปอ่านบทความใน comment ได้เลยครับ




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 2:49:35 น.
Counter : 926 Pageviews.  

Kingdom of Heaven

เชิญคลิกเข้าไปอ่านบทความใน comment ได้เลยครับ




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 2:51:08 น.
Counter : 1033 Pageviews.  

Mysterious Skin: การหนีของเด็กสองคน

เชิญคลิกเข้าไปอ่านบทความใน comment ได้เลยครับ




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 2:42:56 น.
Counter : 5776 Pageviews.  

Land of the Dead: เมื่อปีศาจร้ายครอบครองโลก

เชิญคลิกที่ comment เพื่ออ่านบทความได้เลยครับ




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 2:45:29 น.
Counter : 640 Pageviews.  


kitty_boo_end
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add kitty_boo_end's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.