Group Blog
 
All blogs
 

loVe-loVe ตอนที่ 21

หลังจากได้รับอาหาร ยา และการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้ลิลลี่รู้สึกดีขึ้นมาก ทั้งสองต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยการออกไปนั่งชมทะเลหมอกด้วยกันที่ระเบียงบ้าน พร้อมกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่น

ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวในอ้อมแขน ตระหนักดีว่าเธอคืออีกครึ่งของชีวิตที่เขาตามหาจนพบ แม้นี่จะไม่ใช่ความรักครั้งแรกแต่เขาแน่ใจว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย พลางนึกดีใจที่ได้ทะเลาะกับเวรุตในวันนั้น มิฉะนั้นลิลลี่คงเป็นได้เพียงสิ่งต้องห้ามสำหรับเขาไปชั่วชีวิต

"แต่งงานกับผมนะลี่" วินระวีเอ่ยขอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาอีกฝ่ายเกือบสำลักกาแฟ หันมองเจ้าของอกกว้างที่ตนกำลังนั่งอิงแอบแนบชิด

"ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย" ชายหนุ่มยิ้มสบตา วางถ้วยกาแฟลงแล้วกอดกระชับรอบเอวหญิงสาวไว้แทน

"แล้ว..คุณไม่อยากได้ที่ดินแปลงนี้แล้วเหรอคะ" ลิลลี่หลบตา ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่ายกกาแฟขึ้นจิบ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ และหัวใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยคิดว่าการถูกขอแต่งงานจากชายสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกัน จะให้ความรู้สึกแตกต่างกันเช่นนี้

"ผมคงพบอะไรที่มีค่ามากกว่าที่ดินแล้วล่ะ" คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาเขาอีกครั้ง

"คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะวิน" ลิลลี่ยิ้มด้วยดวงตาสดใส

"อืม แต่ถ้าไม่มีที่นี่แล้ว ผมก็คงเหมือนคนไม่มีอาชีพ ลี่ยังอยากจะอยู่กับผมไหม" วินระวีถามกลับ

"เราหาที่แปลงใหม่ก็ได้นี่คะ" หญิงสาวออกความเห็น

"พูดแบบนี้ แสดงว่าตกลงใช่ไหม" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

"ยังค่ะ"

"ทำไมล่ะ"

"คุณจะบอกกับทุกคนยังไงคะ"

"ก็คงต้องพูดความจริง ถึงจะถูกตำหนิบ้างคงไม่เป็นไรมั้ง"

"แล้วเวจะยอมเหรอคะ"

"ผมคิดว่าเวน่าจะอยากได้ที่ดินมากกว่าเมียนะ"

"คุณตั้งใจจะบอกว่าลี่ไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหม" ลิลลี่เริ่มทำหน้างอ

"ผมตั้งใจจะบอกว่าลี่มีค่าสำหรับผมคนเดียวก็พอแล้วต่างหาก" วินระวีอ้อนตอบทันที ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้

"แล้วเรื่องแฟนคลับของคุณล่ะคะ"

"ผมจะไปประกาศลาวงการดีไหม พวกแฟนคลับจะได้สลายตัว" ชายหนุ่มว่าล้อ

"บ้า ลี่ซีเรียสนะคะ ถ้าให้แม่พวกนั้นมารังควานลี่อีกล่ะก็ ลี่จะกลับกรุงเทพคนเดียวจริงๆ ด้วย" ลิลลี่ทุบอกเขาเบาๆ

"ถ้าเราแต่งงานกัน สามสาวนั่นคงเข้าใจ แล้วก็คงตัดใจได้เองแหละ" วินระวีดึงถ้วยกาแฟออกจากมือหญิงสาววางลงข้างตัว เพราะไม่อยากเสี่ยงโดนน้ำร้อนลวก

"แล้วคุณล่ะคะ จะตัดใจได้เหรอ" ลิลลี่แกล้งถามประชด

"คงต้องใช้ระยะทำใจซักพักอ่ะ จู่ๆ แฟนคลับก็หายไปหมด ทำใจลำบากเหมือนกันนะ ลี่ว่าไหม" วินระวีแกล้งยั่วกลับ

"ถ้าลำบากนัก ก็ปล่อยลี่ไปคนเดียวดีกว่าไหมคะ หนึ่งแลกสาม คุ้มจะตายไป" หญิงสาวเริ่มงอนขึ้นมาอีก

"ล้อเล่นน่า ผมไม่มีวันแลกลี่กับใครหรืออะไรทั้งนั้น" วินระวีกอดหญิงสาวเข้ามาแนบอก คำพูดของเขาสร้างความอบอุ่นใจจนทำให้อีกฝ่ายต้องสารภาพความในใจออกมา

"ลี่รักคุณค่ะ" ลิลลี่เอ่ยเขินๆ

"เป็นอันว่าลี่ตกลงใช่ไหม" วินระวีขยับหญิงสาวออกยิ้มสบตา

"ค่ะ" เป็นคำตอบสุดท้าย แล้วริมฝีปากชายหนุ่มก็เลื่อนลงประทับสัญญาที่ทั้งสองเพิ่งตกลงร่วมกัน





"งานยุ่งอยู่หรือเปล่าคะเว" โรสเข้ามาในห้องทำงานแล้วเอ่ยทัก

"ผมยุ่งตลอดอยู่แล้ว มีอะไรหรือเปล่าที่รัก" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มถาม

"อืม แค่จะมาบอกว่าโรสจะออกไปข้างนอกค่ะ เย็นนี้เจอกันที่บ้านนะคะ" หญิงสาวมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน

"ช่วงนี้โรสออกข้างนอกทุกวัน มีความลับอะไรกับผม บอกมาซะดีๆ" ชายหนุ่มผละจากงานตรงหน้า ลุกเดินมาหา

"เปล่าซะหน่อย โรสแค่รู้สึกตัวว่าว่างเกินไป ก็เลยอยากหาอะไรทำแก้เซ็งน่ะค่ะ" หญิงสาวยิ้มอมพะนำ

"งั้นดีเลย ผมมีโปรเจ็คจะรีโนเวทบ้านริมทะเลหัวหินอยู่ห้าหลัง ถ้าโรสสนใจ ผมจะให้รับผิดชอบโครงการนี้" เวรุตยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเหมาะกับความสามารถของหญิงสาว

"ได้ค่ะ แต่ขอเริ่มงานอาทิตย์หน้านะคะ อาทิตย์นี้ยังไม่ว่างค่ะ"

"ถ้าไม่ติดว่าวันนี้ต้องไปดูเขาถ่ายโฆษณา ผมคงจะขอตามไปทำธุระด้วย"

"เริ่มถ่ายวันนี้เหรอคะ" โรสเร่ิมมีสีหน้าลังเล

"อยากไปด้วยกันไหม" เวรุตโอบรอบเอวเล็ก

"อยากไปค่ะ แต่ไม่ว่างจริงๆ" โรสตัดสินใจได้ในที่สุด แม้จะอยากตามไป แต่ภาระกิจระดับชาติที่เธอกำลังทำอยู่ก็สำคัญสำหรับเธอมิใช่น้อย

"ว้า! ชักอยากรู้ซะแล้วสิ ว่าอะไรสำคัญสำหรับโรสขนาดนั้น" ชายหนุ่มมองด้วยแววตาสงสัย

"ทานมื้อเย็นด้วยกันที่บ้านนะคะเว" โรสเขย่งขึ้นจุ๊บริมฝีปากชายหนุ่ม หากแต่เขากลับรวบเอวเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

"ปล่อยได้แล้วค่ะ โรสต้องไปแล้ว"

"รับปากก่อนนะว่าจะไม่จัดดินเนอร์เหมือนคืนนั้นอีก"

"เจ้าค่ะ" โรสยิ้มขำ เวรุตกดริมฝีปากลงบนเรียวปากบางใสหนักหน่วงอีกครั้งถึงจะยอมปล่อยคนในอ้อมแขนให้โบยบินออกจากออฟฟิส เพื่อไปทำธุระที่เขาอยากรู้ไม่น้อยว่าคืออะไร และคิดว่าต้องรู้ให้ได้





"แกรู้ใช่ไหมว่าดูได้แต่ตา" เทวินทร์ขยับนั่งลงข้างๆ ขณะที่เวรุตกำลังดูทีมงานถ่ายทำสปอตโฆษณาในสถานที่จริง ซึ่งเป็นฉากที่พัดชาต้องพรีเซ้นท์ห้องอาบน้ำหรู โดยการแช่ตัวในอ่างเต็มไปด้วยฟองครีมนุ่มโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด

"แกไม่ประกาศบอกทีมงานทุกคนเลยล่ะ" เวรุตว่าประชด

"ไม่จำเป็น ก็แค่อยากจะเตือนคนที่สมควรจะรับรู้เท่านั้น" เทวินทร์พูดสายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวในอ่างอาบน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอหันมาเห็นเขาเข้าพอดี จึงมองเมินยิ้มส่งสายตาให้ชายอีกคนแทน

"ถ้าแกย้ำมากฉันจะถือว่าเป็นการยุ" เวรุตส่งยิ้มตอบพัดชาเพื่อแกล้งยั่วคนข้างๆ ไปในตัว

"ถ้าแกอยากให้งานวันนี้พังก็ลองดู" เทวินทร์เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

แล้วจู่ๆ ทั้งสองก็เริ่มได้ยินเสียงพัดชาเอะอะโวยวายใส่ทีมงาน จนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

"คุณเวรุตครับ..คือนักแสดงชายที่เราจะให้เข้าฉากกับคุณพัดชาวันนี้เกิดอุบัติเหตุมาไม่ได้จริงๆ ผมคงต้องขอเลื่อนการถ่ายทำออกไปก่อน" ผู้กำกับเข้ามาบอกกล่าวด้วยท่าทีหนักใจ

"คุณหาคนแทนได้ไหม งานก็เตรียมกันมาถึงขั้นนี้แล้ว" เวรุตว่าเพราะโฆษณาชิ้นนี้เลื่อนการเปิดตัวมาพอสมควรแล้ว และเขาไม่อยากให้มีผลต่อแผนการตลาดในส่วนอื่นๆ ด้วย

"ในกองนี้ ที่พอจะแทนได้ ก็มีแค่คุณสองคน" ผู้กำกับพูดออกไปตรงๆ

"ผมจะจ้างพวกคุณมาทำไม ถ้าผมต้องแสดงเอง" เวรุตว่าเสียงเรียบ เริ่มไม่พอใจกับความไร้ประสิทธิภาพ และทางแก้ปัญหาที่ฟังไม่ขึ้น

"ใจเย็นๆ น่า" เทวินทร์ดึงแขนเพื่อนหนุ่มออกมาซุบซิบกันสองคน

"แกน่ะมีครอบครัวแล้ว แถมยังเป็นข่าวกับยัยพีชอีก ขืนแกแสดงเอง รับรองว่าคอนโดหรูแกเสียภาพพจน์ขายไม่ออกแน่ ถ้าให้ฉันแสดงแทน งานนี้ไม่คิดค่าตัว แถมจะเลี้ยงข้าวแกอีกมื้อด้วย" ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ

"นับว่าแกยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถ้าแสดงห่วยทำฉันเสียเวลาล่ะก็..." เวรุตมองด้วยสายตาคาดโทษ

"คอนเซ็ปผัวเมียนี่ ไม่มีใครเล่นดีไปกว่าฉันอีกแล้ว แกก็รู้" เทวินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์



"ฉันแช่น้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้วนะ ตกลงจะเอายังไงกัน" พัดชาเริ่มวีน เพราะนางเอกดังอย่างเธอไม่เคยต้องคอยใคร

"อีกสองนาทีนะคะน้องพีช ใจเย็นๆ ค่ะ" ผู้จัดการส่วนตัวว่า และแอบเห็นดีเห็นงามที่จะให้เทวินทร์สวมบทแทน เพราะเป็นโอกาสจะทำให้พัดชาอยู่ในความสนใจของมหาชน

ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยผ้าขนหนูสีขาวห่อเบื้องล่างไว้เพียงผืนเดียว

"นี่มันอะไรกัน! พี่เอช" พัดชาหันมองชายหนุ่มแล้วหันกลับมามองผู้จัดการร่างใหญ่

"เอาเถอะน่าน้องพีชก็แค่การแสดง ถ้าคุณเวรุตต้องเสียงานวันนี้ เขาคงไม่พอใจแน่ ครั้งก่อนเราก็เป็นฝ่ายเลื่อนเขาไปทีแล้ว" เอชพยายามหว่านล้อม ขณะที่เทวินทร์ยิ้มยักคิ้วให้หญิงสาวอย่างมีชัย ก่อนจะก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ แล้วโยนผ้าขนหนูเปียกโชกออกมาข้างนอก

"เริ่มกันเลยไหมครับ" เทวินทร์หันไปถามผู้กำกับ เวรุตยิ้มส่ายหน้ากลับไปนั่งดูอยู่ห่างๆ

"พีชเล่นไม่ได้ค่ะ" หญิงสาวทำหน้าบึ้ง ตั้งท่าจะลุกออกจากน้ำ

"ขอเวลานอกเดี๋ยวนะครับ" เทวินทร์หันไปบอกทีมงาน แล้วฉุดหญิงสาวให้นั่งลงที่เดิม

"ทำบ้าอะไรของคุณ!!" พัดชาหันมองตาเขียว

"มีข้อเสนอ เผื่อพีชจะรับไว้พิจารณา" ชายหนุ่มกระซิบบอก

"ข้อเสนออะไร??" พัดชากระชากเสียงต่ำ

"ถ้างานวันนี้พัง เวต้องไม่พอใจแน่ แต่ถ้าผ่านไปได้ด้วยดี คืนนี้ฉันจะพาเธอไปทานข้าว แล้วก็ไปเต้นรำ"

"ใครอยากไปกับคุณ??"

"เวรุตจะไปกับเราด้วย"

"ถ้าคุณหลอกฉันล่ะก็น่าดู"





"ตกลงกันได้แล้วใช่ไหมครับ งั้นก็เริ่มกันเลยนะครับ" ผู้กำกับสีหน้าดีขึ้น

"ผมต้องทำไงบ้างครับ" เทวินทร์ถาม

แล้วก็มีปัญหาตามมาอีก เมื่อผู้กำกับให้หญิงสาวนั่งตรงกลาง เอนกายลงกลางอกชายหนุ่ม และนั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้สวมอะไรเลยภายใต้น้ำฟองสบู่นั้น

"ลามกที่สุด!!" พัดชามองชายหนุ่มด้วยหางตาแล้วว่าเสียงต่ำได้ยินกันเพียงสองคน

"ไม่ได้เตรียมตัวมาลงน้ำนี่ครับ ไม่ถอดหมดแล้วจะใส่อะไรกลับ" เทวินทร์ยิ้มกวน

"ถ้ารู้ว่าเป็นคุณ จ้างให้ฉันก็ไม่รับงานนี้"

"เพราะเราแสดงจริงกันจนเบื่อแล้วใช่ไหม?"

พัดชาหันมอง ราวกับจะกินเลือดอีกฝ่าย หากแต่พอผู้กำกับสั่งเริ่ม เธอก็สวมวิญญาณนักแสดงได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ทำเอาชายหนุ่มคล้อยตามสายตาและอารมณ์ของเธอไปด้วย ราวกับทั้งสองเป็นคู่รักที่เพิ่งร่วมชีวิตกันจริงๆ แล้วอีกสามสี่ฉากในมุมต่างๆ ภายในอาคารชุดนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามลงตัว


"เป็นไงบ้างว่ะ" เทวินทร์ทิ้งตัวลงนั่งข้างเวรุตอีกครั้งเมื่อภาระกิจเสร็จสิ้นลง

"ดีกว่าที่คิดไว้" เวรุตยอมรับตรงๆ

"ถึงตาแกต้องตอบแทนฉันบ้างล่ะ"

"แกเปลี่ยนใจจะเรียกค่าตัวหรือไง"

"ฉันบอกพีชว่าเราจะไปกินข้าว แล้วก็ไปเต้นรำกัน"

"แล้วแกมาบอกฉันทำไม?"

"เพราะงานนี้แกต้องเป็นเจ้ามือไงล่ะ"

"แต่ฉัน..."

"ห้ามปฏิเสธ ถ้าพอจะสำนึกบุญคุณเพื่อนอยู่บ้าง"

"ไอ้บ้าเอ๊ย!"

"พีชพร้อมแล้วค่ะ จะไปกันหรือยังคะ" พัดชาแต่งตัวเสร็จ จึงรีบตรงมาหาสองหนุ่ม

"งั้นก็ไปกันเลยที่รัก" เทวินทร์ส่งมือให้ แต่หญิงสาวเมินแล้วเข้าคล้องแขนชายหนุ่มอีกคน เวรุตหันมองเพื่อนยิ้มยักไหล่ให้พลางเดินนำออกไป




ทั้งสามมาถึงสวนอาหารช่วงหัวค่ำ และเป็นที่จับตามองของใครหลายๆ คน เพราะพัดชานั้นเป็นดาราดัง แถมควงสองหนุ่มที่กำลังอยู่ในกระแสข่าวมาพร้อมกันอีกต่างหาก

"คุณสองคนรู้จักกันได้ยังไงคะ" พัดชาถามสงสัย เพราะดูเทวินทร์กับเวรุตจะเป็นคนคุ้นเคยกันมาก่อน

"พีชอาจจะไม่รู้ว่าเราเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย" เทวินทร์ว่าพลางช่วยตักข้าวให้หญิงสาว

"แค่อดีตน่ะครับ คุณพีชก็รู้ว่าเทวินทร์นิสัยแย่ขนาดไหน ใครจะอยากคบ" เวรุตว่าล้อ

"พูดยังกับฉันอยากคบแกนักนี่ แกก็แย่พอกันนั่นแหละ" เทวินทร์โต้กลับ

"ตกลงคุณสองคนเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรูกันแน่คะ" พัดชามองอาการสนิทสนมหากแต่ไม่ลงรอยกันแล้วถามประหลาดใจ

"เขาเรียกว่าศัตรูหัวใจน่ะ" เทวินทร์ว่า

"อย่าบอกนะคะ ว่าคุณสองคนแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน" พัดชาเดาเรื่อง

"ใครว่าสองล่ะครับ สามต่างหาก" เวรุตว่าแล้วยิ้มขำ ขณะที่หญิงสาวเลิกคิ้วเป็นคำถาม

"น้องชายเวอีกคนไง เราสามคนชอบผู้หญิงคนเดียวกันจนได้เรื่อง" เทวินทร์อธิบาย

"แล้วผู้หญิงคนนั้นชอบใครคะ" พัดชาสงสัยใคร่รู้

"ก็ขึ้นอยู่กับว่าพีชถามใคร" เทวินทร์ว่าขำๆ

"คุณน่ะหลงตัวเอง ฉันไม่ถามให้เมื่อยหรอก" หญิงสาวเชิดหน้าใส่ แล้วหันไปหาหนุ่มอีกคน

"ว่าไงคะเว?"

"อืม.. เมื่อก่อนผมอาจจะอยากรู้นะ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าไม่แคร์ เพราะผมพบคนที่ใช่แล้ว และไม่มีวันจะเปลี่ยนใจด้วย" คำตอบนั้นชัดเจนจนทำให้คนฟังหน้าเจื่อนไปเหมือนกัน เทวินทร์เห็นแล้วแอบกลั้นยิ้ม

"แกน่ะโชคดี ส่วนฉันสิ ไม่รู้ชาตินี้จะเจอคนอย่างนั้นหรือเปล่า" เทวินทร์เปรยขึ้น

"ลองทานนี่ดูนะคะเว" พัดชาตักอาหารใส่จานชายหนุ่ม เพื่อเบี่ยงความสนใจจากคำพูดไร้เยื่อใยของชายอีกคน ไม่อยากคิดว่าเขาเห็นเธอเป็นอะไรตลอดเวลาที่ใช่เวลาอยู่ร่วมกันมา

"ขอบคุณครับ" เวรุตว่า แล้วหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจชายอีกคนอีกเลย ทำราวกับเขาไม่ได้มีตัวตนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารนั่นด้วย



"ผมขอตัวซักครู่นะครับ" เวรุตบอกกล่าวก่อนจะลุกไปห้องน้ำ

"เป็นไง มีความสุขสมใจไหม" เทวินทร์ถามประชดหญิงสาวทันที

"จะสุขกว่านี้ถ้าไม่มีก้างขวางคอ" พัดชาลอยหน้าว่า

เสียงโทรศัพท์จากเครื่องของเวรุตดังขึ้นพอดีก่อนที่เทวินทร์จะโต้ตอบอะไรไป ทั้งคู่มองไปยังจุดเดียวกัน แล้วพัดชาก็เอื้อมไปหยิบมาดูว่าเป็นสายของใคร

"นึกว่าใครซะอีก" หญิงสาวยิ้มเยาะใส่โทรศัพท์

"อย่านะพีช" เทวินทร์ว่าเตือน หากแต่พัดชากดรับโดยไม่รีรอ



"สวัสดีค่ะคุณโรส สามีไม่กลับบ้านเหรอคะ" หญิงสาวกรอกเสียงลงไปทันที

"เธอเป็นใคร" โรสยังตั้งตัวไม่ติด เพราะไม่คาดว่าจะมีใครอื่นใช่โทรศัพท์เครื่องนี้

"จำฉันไม่ได้เหรอคะ พัดชาค่ะ" หญิงสาวว่าเสียงระรื่น

"ฉันจะคุยกับเว" โรสเริ่มเสียงตึงขึ้น

"ลุกไปเข้าห้องน้ำค่ะ เมื่อกี้เราเพิ่งทานกันซะอิ่มแป้เลยค่ะ" พัดชาทำเสียงให้อีกฝ่ายคิดเตลิดไปไกลกว่าเรื่องอาหาร

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" เทวินทร์กระซิบ ตั้งท่าจะแย่งโทรศัพท์ออกจากมือ แต่พัดชากลับเบี่ยงตัวหลบหัวเราะคิกคัก

"แค่นี้ก่อนนะ เวคงพร้อมสำหรับกิจกรรมใหม่แล้ว คืนนี้ถ้าเขากลับดึก หรือไม่กลับเลยคงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันจะดูแลให้เป็นอย่างดี" พัดชาว่าแล้ววางสายทันที

"เธอมันนางมารร้ายชัดๆ เมื่อไหร่เขาจะเลิกให้เธอเล่นเป็นนางเอกเสียที" เทวินทร์ว่าประชด

"มันเรื่องของฉัน!" พัดชามองค้อนแล้วนั่งหน้าบึ้ง



โรสยังคงนั่งอึ้งอยู่บนโต๊ะที่จัดไว้รอคนที่รับปากว่าจะกลับมาทานอาหารเย็นด้วยกันแต่ป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นหน้า เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไม่โทรหาเธอ และคิดเลยเถิดไปถึงขนาดที่ว่าเป็นเพราะเธอไม่ตอบสนองความต้องการของเขา เขาก็เลย...



"เวค่ะ เมื่อกี้ภรรยาคุณโทรมาค่ะ พีชบอกไปแล้วนะคะว่าเราออกมาทานอาหารกันสามคน" หญิงสาวเล่นบทนางเอกว่าเสียงซื่อ

"เหรอครับ" เวรุตนึกขึ้นมาได้ทันทีว่ารับปากอะไรโรสไว้ จึงรีบโทรกลับ หากแต่หญิงสาวไม่รับสาย

"คงเข้านอนแล้วมั้งค่ะ เห็นเธอบ่นว่าเพลียน่ะค่ะ" พัดชาว่า เวรุตฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

"จะไปต่อกันหรือยังคะ พีชอยากไปเต้นรำต่อค่ะ"

"เออ ผมว่ามันดึก.." เวรุตตั้งท่าจะปฏิเสธ

"เพิ่งจะสามทุ่มเองค่ะ เต้นแค่สองสามเพลงก็พอ นะคะเว" พัดชาอ้อน พลางหันไปส่งสายตาให้ชายอีกคนทำตามสัญญา

"แกรับปากแล้วนี่" เทวินทร์ว่าแล้วถอนหายใจ









ท่ามกลางเสียงเพลงร้อนแรงดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา พัดชาและเทวินทร์ลุกขึ้นเต้นราวองค์ลงหลังจากที่ดื่มเข้าไปค่อนข้างมาก เวรุตมองทั้งสองแล้วคิดว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เพราะชอบอะไรเหมือนๆ กัน ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดไม่น้อย จากเสียงดังอึกทึกที่เขาไม่คุ้นเคย และไม่เคยนึกชอบบรรยากาศเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

"ฉันจะไปห้องน้ำ" เวรุตตะโกนแข่งกันเสียงเพลงบอกเพื่อน

"อะไรนะ??" เทวินทร์ตะโกนถามกลับ

"จะไปห้องน้ำ" เวรุตตะโกนกรอกหูเพื่อนอีกรอบ

"เออๆ " เทวินทร์ว่าแล้วเต้นวาดลวดลายกับหญิงสาวต่อ รู้สึกจะเมาได้ที่กันทั้งคู่


เวรุตเดินออกมานอกคลับแห่งนั้น แล้วต่อโทรศัพท์หาโรสอีกครั้ง แม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว หากแต่ยังหวังว่าหญิงสาวจะรับสาย

โรสนอนมองโทรศัพท์ที่ดังอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจกดรับ

"โรส ยังไม่นอนอีกเหรอ" เสียงชายหนุ่มดังมาตามสาย

"ยัง" หญิงสาวตอบสั้นๆ

"พัดชาบอกแล้วใช่ไหมว่าผม..." เวรุตกำลังจะอธิบาย หากแต่หญิงสาวพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

"บอกแล้วค่ะ"

"ต้องขอโทษทีนะ ที่ผมลืมโทรไปบอก"

"แล้วเมื่อไหร่คุณจะกลับ"

"ยังไม่รู้เลย ผมต้องรอไปส่งพัดชา..."

"งั้นไม่ต้องกลับก็ได้ อย่าคิดนะว่าฉันจะแคร์" โรสวางสายไปทันที เวรุตพยายามติดต่อกลับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปิดเครื่องไปแล้ว



"ฉันจะกลับแล้ว ถ้ายังไม่อยากกลับก็นั่งแท็กซี่ไปเองละกัน" เวรุตกลับเข้ามาบอกเพื่อน

"ยังสนุกอยู่เลยค่ะเว อยู่ต่ออีกหน่อยนะคะ" พัดชาอ้อนเสียงอ้อแอ้

"นี่ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องทำงานอีก" เวรุตยืนยัน

"กลับก็กลับ ไปกันเถอะพีช" เทวินทร์จูงมือหญิงสาว ที่ยังงอแงอยากจะอยู่ต่อ กว่าจะฉุดกันออกมาได้ ก็ทุลักทุเลเต็มทน

ทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง และเวรุตก็ต้องกลายเป็นโชเฟอร์ไปโดยปริยาย เพราะเป็นคนเดียวที่ดื่มเข้าไปน้อยที่สุด

"จะให้ไปส่งที่ไหนครับคุณผู้หญิง ผู้ชาย" ชายหนุ่มว่าประชด

"ที่บ้านฉันไง...แกจำได้ใช่ไหม?" เทวินทร์ว่าเสียงเมา

"ไปส่งพีชที่คอนโดก่อนค่ะ!" หญิงสาวแทรกขึ้นด้วยเสียงไม่ต่างกัน

"งั้นฉันจะไปคอนโดด้วย จะได้ไปเต้นต่อ ดีไหม" เทวินทร์ถามพลางดึงจมูกหญิงสาวส่ายไปมา

"ดี เต้น ออนเดอะฟอร์ล ออนเดอะฟอร์ล" พัดชาตอบไปหัวเราะไป แล้วทั้งคู่ก็พูดคุยกันสนุกสนานเหมือนคนบ้าไปตลอดทาง แถมบอกทางผิดๆ ถูกๆ ทำเอาคนขับแทบหมดความอดทน



พอเปิดประตูเข้าห้องพักได้ หญิงสาวก็ขึ้นไปยืนบนโซฟา โยกตัวไปมาร้องออกมาเป็นเพลง don't stop keep it moving, put your drinks up! ทำท่าชูแก้วขึ้น แล้วกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง

"ลา ล้าลาลา ลาลาล้าลาลา ล้าลาลา"

"คืนนี้พีชจะนอนที่ไหน" เทวินทร์จับตัวหญิงสาวได้แล้วกอดไว้แน่นหนา

"ออนเดอะฟอร์ล" พัดชาตอบเสียงอ้อแอ้

"แล้วให้ผมนอนไหน" ชายหนุ่มถามซ้ำ

"ก็ออนเดอะฟอร์ล" หญิงสาวหัวเราะ

"หึๆ ผมไม่เอาด้วยล่ะ ไม่ชิน" เทวินทร์ปล่อยมือแล้วเดินโซเซเข้าไปล้างหน้า ส่วนพัดชาลงไปนอนกลิ้งที่พื้น

"สบายจะตาย ออนเดอะฟอร์ล" หญิงสาวว่าแล้วไม่ยอมขยับไปไหนอีก



"ไปนอนที่เตียงกันดีกว่า" เทวินทร์ย้อนกลับมาด้วยท่าทีสดชื่นขึ้น

"ไม่เอา จะนอนนี่" พัดชาป่ายปัดแขนชายหนุ่ม

"อย่าดื้อน่า" เทวินทร์ช้อนอุ้มร่างบางขึ้น

"ไม่เอา บอกว่าออนเดอะฟอร์ล พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!" หญิงสาวดิ้นรนในอ้อมแขน จนชายหนุ่มสู้แรงไม่ไหวต้องปล่อยลงบนโซฟายาวแทน พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆ

"ทำไมอ่ะ ฉันไม่ดีตรงไหน?" จู่ๆ หญิงสาวก็ถามขึ้นมา คล้ายเสียงละเมอ

"ฉันไม่คู่ควรตรงไหน?" คำถามที่ไร้คำตอบ ยังคงหลุดออกมาเรื่อยๆ

"ตรงที่เขามีเมียแล้วน่ะสิ ถามได้" เทวินทร์หันมองหญิงสาวแล้วตอบ

"คบกันมาตั้งนาน บ้าที่สุดเลย... คนเลว..."

"เธอหมายถึงใครอ่ะ??" เทวินทร์ขยับลุกขึ้นนั่งที่ขอบโซฟา

"คนชั่ว... คนเลว..." แล้วพัดชาก็เปลี่ยนมาร้องไห้สะอึกสะอื้นแทน

"เลวที่สุด!!"

ชายหนุ่มโน้มลงปิดริมฝีปากที่กำลังพร่ำด่าไม่หยุด แล้วขยับตัวขึ้นนอนคร่อมบนร่างบางที่เริ่มเบียดตัวเข้าหาเขา เมื่อจุมพิตทวีความอ่อนหวานล้ำลึกและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าถูกขจัดออกทีละชิ้น เพื่อลดอุณหภูมิภายในที่ระอุขึ้นด้วยไฟปราถนาซึ่งกำลังแผดเผาร่างกายและจิตใจคนทั้งสองให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว...

























 

Create Date : 24 ตุลาคม 2554    
Last Update : 31 มกราคม 2555 20:41:10 น.
Counter : 493 Pageviews.  

lOve-lOve ตอนที่ 20

ชบา ราตรี และบุษบา ตามติดวินระวีทั้งวันจนชายหนุ่มไม่มีโอกาสไปดูอาการลิลลี่ เพราะเกรงว่าทั้งสามจะตามไปก่อกวนให้คนไข้อารมณ์ขุ่นอีก

"เธอสามคนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง ถึงได้มาตามพี่ทั้งวันแบบนี้" วินระวีชักหงุดหงิดหันกลับมาถามคนที่เดินตามมาติดๆ ขณะที่กำลังจะขึ้นบันไดเรือน

"มีค่ะ แต่ไม่อยากทำ พวกเราไม่ถือป้ายไฟมาด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว" ราตรีลอยหน้าว่า

"เอาป้ายไฟมาทำอะไร" ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย

"ก็พวกเราเป็นแฟนคลับพี่วิน อีกหน่อยก็ขยับเป็น..." สาวๆ ไม่พูดเปล่าหากแต่ร้องออกมาเป็นเพลง พร้อมเต้นเข้าจังหวะอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำเอาวินระวีอึ้ง ตะลึง และกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่กับเพลงลูกทุ่งบอกความในใจของทั้งสาม







"ร้องเพราะดีนะ ไม่คิดจะตั้งวงเอาดีทางนี้กันบ้างเหรอ" วินระวีเอ่ยชม คิดว่าทั้งสามน่าจะได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้าง

"กรี๊ดดดด พี่วินคิดยังนั้นจริงๆ เหรอคะ" บุษบาตาวาวขึ้นมาทันที

"พวกเราไปสมัครประกวดในงานกาชาดไว้แล้วค่ะ" ชบาว่า

"พี่วินต้องไปเชียร์พวกเรานะคะ" ราตรีรีบเสริม

"พี่ต้องไปแน่ ว่าแต่ทำไมพวกเราไม่เอาเวลาไปซ้อมให้หนักๆ ล่ะ ไปประกวดทั้งทีก็ต้องให้ได้รางวัลสิจริงไหม" วินระวีออกความเห็นแบบยิงทีเดียวได้นกสองตัว

"งั้นพวกเรากลับไปเก็บเสื้อผ้า แล้วคืนนี้มาซ้อมกันที่นี่ดีไหม พี่วินจะได้ช่วยดู" ชบาออกความเห็น

"แต่พี่ไม่ค่อยถนัดเพลงแนวนี้" ชายหนุ่มรีบหาข้ออ้าง

"แค่นั่งดูพวกเราก็มีกำลังใจแล้วค่ะ นะคะพี่วิน ถือว่าเห็นแก่ความตั้งใจของน้องๆ" ราตรีอ้อน ทำเอาอีกฝ่ายพูดไม่ออก ไม่คิดว่าข้อเสนอจะเข้าตัวเสียแล้ว

"พี่วินตกลงแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ" บุษบาพูดเองเออเองแล้วทั้งสามก็ไม่รอช้า

"นี่ เดี๋ยวสิ!" วินระวีตั้งใจจะปฏิเสธแต่ก็ไร้ผล




"แรม จะเอาเสื้อผ้าคุณลี่ไปไหน" วินระวีเดินสวนกับจันทร์แรมที่ระเบียงบ้าน เห็นกำลังลากกระเป๋าใบใหญ่

"คุณลี่บอกว่าจะไปนอนห้องเล็กที่อยู่ฝั่งโน้นค่ะ" จันทร์แรมว่า

"เอาไปไว้ที่รถคันสีดำ" ชายหนุ่มบอกกล่าวด้วยเสียงต่ำ

"แต่ว่า..."

"ทำตามที่สั่ง"

"ค่ะ"



"ลี่ เป็นไงบ้าง" วินระวีเดินเข้ามาในห้องนอน ลิลลี่แกล้งหลับทันทีเพราะไม่อยากมองหน้าและพูดคุยกับเขาในตอนนี้

ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียง ใช้ฝ่ามืออังที่หน้าผาก สัมผัสได้ถึงไออุ่นคิดว่าลิลลี่คงยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มลุกเดินไปเก็บเสื้อผ้าของตนเอง และข้าวของจำเป็นบางอย่าง คิดว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป คงไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันเป็นแน่ หญิงสาวลืมตาขึ้นแอบมองเขาเป็นระยะๆ สงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่

"เห็นแรมบอกว่าลี่จะไปนอนห้องโน้นเหรอ" ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้ใส่หลัง แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าเตียงนอน รู้ว่าหญิงสาวไม่ได้หลับ หากแต่ไร้การโต้ตอบเขาจึงพูดคนเดียวต่อไป

"งั้นเดี๋ยวผมช่วยอุ้มไปนะ" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อคม ก่อนจะรวบอุ้มร่างบางทั้งผ้าห่มขึ้นในอ้อมแขน

ลิลลี่ยังนิ่งเฉย พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลซึมออกจากเปลือกตา ไม่คิดว่าเขาจะอยากผลักไสเธอให้พ้นไปถึงขนาดนี้

"ฉันเดินเองได้" ลิลลี่ลืมตาขึ้นในที่สุด พูดด้วยเสียงเย็นชาห่างเหิน

"อ้าว ตื่นแล้วเหรอ" วินระวีนั่งลงที่ขอบเตียง แต่ยังไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมแขน

"คุณไม่ต้องไล่ฉันก็ได้ ฉันจะกลับกรุงเทพอยู่แล้ว" หญิงสาวเมินไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

"งั้นดีเลย ผมให้แรมเอาเสื้อผ้าไปใส่ไว้ในรถแล้ว ไปกันเดี๋ยวนี้เลยนะ" วินระวีว่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากแต่รอยยิ้มกลับฉายชัดในแววตา

"ปล่อยสิ! ฉันเดินเองได้" ลิลลี่หันมองหน้าเขา น้ำตาลื่นขึ้นมาจนเต็มดวงตากลมโตคู่สวย

"ลี่ไม่สบายนี่ ให้ผมอุ้มไปดีกว่านะ"

"ไม่!"

"หรือว่าลี่ไม่อยากกลับกรุงเทพ??"

แล้วก็ได้ผล คำขู่นั้นทำให้หญิงสาวต้องยอมจำนน ให้เขาอุ้มไปขึ้นรถแต่โดยดี

"ผมจะไม่อยู่ซักสองสามวันนะ" วินระวีหันบอกป้าแต้วและจันทร์แรมที่มาช่วยเปิดประตูให้

"ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ" ป้าแต้วรับคำ

"เที่ยวให้สนุกนะคะคุณลี่" จันทร์แรมว่า ลิลลี่จึงจำต้องฝืนยิ้มรับ








หญิงสาวกระชับผ้าห่มผืนบางเบาเข้าหาตัว นั่งชันเข่าหันมองสายฝนที่กำลังโปรยปรายหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ขับออกจากเรือนมา ลิลลี่ไม่พูดไม่จา รู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ไม่รู้จะทำเช่นไรกับชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ หากกลับบ้านไปทุกคนคงวุ่นวายกันน่าดู เธอไม่รู้ว่าควรจะบอกความจริงพ่อแม่ดีไหม ตอนนี้ทุกคนคงคิดว่าเธอเป็นฝ่ายผิด ทั้งที่จริงแล้วพี่น้องคู่นี้ต่างหากที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

"ส่งฉันที่สถานีรถไฟก็พอ ฉันจะไปต่อเอง" ลิลลี่เปรยขึ้นราวพูดกับตัวเอง

"ได้ไงล่ะ ผมเป็นคนพาลี่มา ก็ต้องไปส่งให้ถึงบ้านสิ" วินระวีว่า ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดจะปล่อยหญิงสาวไปไหน

"คุณอยากให้ทุกคนรู้ใช่ไหม ว่าเรื่องวุ่นวายทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะแผนการชั่วร้ายของคุณ"

"ผมกล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว ห่วงแต่ลี่เถอะ ว่าจะตอบคำถามทุกคนยังไง"

"ก็แค่พูดความจริง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย" ลิลลี่ว่าแล้วเมินมองทางข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าเส้นทางที่กำลังมุ่งไปเป็นทางกลับบ้าน

"รวมทั้งเรื่องกอดจูบกับชายอื่น ที่ไม่ใช่ว่าที่สามีด้วยใช่ไหม" วินระวีว่าประชดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หากแต่ผลที่ได้รับนั้นเกินคาด

"นี่คุณ!" ลิลลี่มองหน้าเขาน้ำตาร่วงด้วยความรู้สึกราวถูกตบหน้าอย่างแรง ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่ล่อลวงทำให้เธอหลงรักและคิดว่าเขามีใจ

"จอดรถเดี๋ยวนี้!! ฉันไม่ไปไหนกับคุณแล้วทั้งนั้น" ลิลลี่ตะโกน เมื่ออารมณ์โกรธทะยานถึงขีดสุดในเสี้ยววินาที

"ลี่ ผมไม่ตั้งใจ" วินระวีเพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป

"รวมทั้งเรื่องที่คุณทำให้ฉันคิดว่าคุณรัก ก็ไม่ตั้งใจด้วยใช่ไหม?? ฉันบอกให้จอดรถ!" หญิงสาวกระชากพวงมาลัยจนรถเกือบเสียหลัก ชายหนุ่มจึงต้องเบรคกะทันหัน

ลิลลี่เปิดประตูรถ วิ่งฝ่าสายฝนออกไปด้วยเท้าเปล่าไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากเม็ดกรวดที่กำลังทิ่มตำผิวเนื้อเลยซักนิด เพราะคำพูดร้ายกาจของชายหนุ่มเสียดแทงใจให้เจ็บลึกได้มากกว่าหลายเท่า

"เดี๋ยวก่อนสิลี่!" วินระวีนึกด่าตัวเองในใจ ที่ทำให้เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นนี้ และไม่รู้ลิลลี่เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน วิ่งเร็วจนเขาแทบจับตัวไว้ไม่ทัน

"ปล่อยนะ!" ลิลลี่ต่อสู้เต็มกำลังที่เหลืออยู่ไม่มาก ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

"ลี่จะไปไหน ฝนตกหนักออกอย่างนี้" ชายหนุ่มตะโกนแข่งกับเสียงฝน พลางดึงร่างบางเข้ามากอด

"คุณทำแบบนี้ เพื่อจะได้เยาะเย้ยฉันทีหลังใช่ไหม?? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!" ลิลลี่ดิ้นรนรุนแรงจนชายหนุ่มยอมปล่อยมือ หากแต่ร่างเล็กนั้นกลับล้มหงายก้นกระแทกพื้น

"โอ้ย!!" หญิงสาวอุทาน เพราะค้ำยันร่างบนก้อนกรวดแหลมคมจนเกิดแผลที่ฝ่ามือ ตามมาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม เมื่อคิดว่าชายหนุ่มแกล้งปล่อยให้เธอล้ม

"ลี่!" วินระวีนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ตั้งใจจะช่วยดูบาดแผล

"ไปให้พ้น!! เพี้ยะ!!" ลิลลี่ตบหน้าเขาอย่างแรง

"เจ็บอย่างนี้ ยังแรงดีอีกนะ" ชายหนุ่มสติขาดทันที กระชากข้อมือเล็กจนร่างถลาเข้ามาประชิดอกแล้วก้มลงจูบริมฝีปากซีดหนักหน่วง ลิลลี่ต่อสู้จนหมดแรง สติหลุดลอยไปในอ้อมแขนเพราะพิษไข้และอาการขาดอากาศหายใจ ขณะที่มือและเท้าเริ่มมีเลือดซึมออกมา

"ลี่! ลี่! บ้าชะมัด" วินระวีรีบอุ้มร่างหมดสติกลับไปที่รถ แล้วบึ่งไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ทันที








เสียงฟืนในเตาผิงดังเป็นจังหวะขณะที่เปลวไฟลามเลียเผาไหม้ให้ความอบอุ่นภายในเรือนไม้ซึ่งปลูกไว้เป็นเรือนหอบนเนินผา ร่างหนุ่มสาวไร้อาภรณ์กางกั้นนอนแนบชิดภายใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่ม หลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลียบนที่นอนซึ่งถูกย้ายมาไว้หน้าเตาไฟ

ความอบอุ่นจากผิวกายส่งถึงกัน ปลุกให้ร่างบอบบางซีดเซียวแทบหนาวตายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และทำให้เจ้าของร่างเริ่มรู้สึกตัว หลังจากที่หมดสติไปหลายชั่วโมง

หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น รับรู้ได้ถึงสภาพร่างกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม และพยายามคิดทบทวนว่าตนมาอยู่ในสภาพนี้กับคนตรงหน้าได้อย่างไร

"ตื่นแล้วเหรอลี่" ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขน ไม่มีทีท่าว่าจะขยับลุกไปไหน

"นี่คุณทำอะไรฉัน?" ลิลลี่เริ่มเรียกสติกลับมาได้เต็มที่ ทั้งที่ยังรู้สึกมึนหัวและเจ็บระบมไปทั้งตัว

"ผมเปล่าซะหน่อย" วินระวียิ้มสบตาแล้วจูบที่หน้าผาก

"เปล่าแล้วฉันจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง" หญิงสาวพยายามจะผลักร่างเขาออก แต่เขากลับกอดเธอแนบชิดกว่าเดิม

"ก็ลี่เปียกฝนจนจะหนาวตายอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ"

"ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! คนฉวยโอกาส" ลิลลี่น้ำตาร่วงเพราะหมดทางจะต่อสู้กับอ้อมแขนแข็งแรงคู่นั้น

"พอซะทีเถอะลี่ เราเลิกทะเลาะกันซักทีได้ไหม?" วินระวีกระซิบถาม ลูบไล้แผ่นหลังปลอบโยน

"คุณทำไมต้องทำร้ายฉันแบบนี้ ทำให้ฉันคิดว่าคุณรัก แล้วก็มาดูถูกเหยียดหยามฉันทีหลัง พวกคุณร้ายกาจเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง" ลิลลี่สะอื้นจนร่างสั่นสะท้าน เมื่อระบายความรู้สึกภายในออกมา

"ผมรักลี่" วินระวี่กระซิบที่ข้างหู ก่อนเสียงสะอื้นจะแผ่วลงไปทันทีด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่เข้ามาแทนที่

"ผมรักลี่ ได้ยินไหม" ชายหนุ่มขยับขึ้นสบดวงตากลมโตเป็นประกายเต็มไปด้วยแววประหลาดใจ เพื่อสื่อความจริงใจในคำพูดของตน

"ผมรักลี่" คำพูดตอกย้ำครั้งสุดท้ายจรดลงบนริมฝีปากบางใส นำไปสู่จุมพิตอ่อนโยนที่ทำให้หญิงสาวลืมหมดสิ้นทั้งอารมณ์โกรธและอาการเจ็บป่วย







ชายหนุ่มเลื่อนไล้ริมฝีปากอบอุ่นไปที่ซอกคอ จูบหยอกล้อแผ่วเบาด้วยอารมณ์รักละมุนละไมไปตามจังหวะสายฝนโปรยปรายละเรื่อยเอื่อยช้าอยู่ภายนอก ฝ่ามือเคลื่อนไหวลูบไล้ไปบนผิวเนียนนุ่มใต้ผืนผ้า สร้างความหวั่นไหวปั่นป่วนให้เจ้าของเรือนร่างจนต้องเบียดกายเข้าหา โอบกอดแผ่นหลังแข็งแรง อยากสัมผัสกายเขาเช่นเดียวกับที่เขาสัมผัสเธอ ด้วยอารมณ์รักกระเจิดกระเจิงจนเกินควบคุม

"วิน.." ลิลลี่เอ่ยด้วยอารมณ์เคลิ้มในบทรักที่ทั้งสองแสดงต่อกัน

วินระวีขยับขึ้นมองสบดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยแววเสน่หา ดูยั่วยวนจนชายหนุ่มยิ้มกว้าง แนบริมฝีปากควานหาสัมผัสอบอุ่นนุ่มลึกอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนลงขบเข้าที่ปลายคางเล็กแผ่วเบา แล้วลากไล้จุมพิตต่ำลงไปที่ลำคอขาวนวล ลิลลี่แทรกฝ่ามือเล็กเข้าในกลุ่มผมขณะที่ชายหนุ่มพรมจูบต่ำลงไปเรื่อยๆ จากลำคอไปถึงเนินอก ส่งให้ไฟรักภายในกายทั้งสองเร่ิมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และโหยหาการปลดปล่อย

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น ประดุจน้ำเย็นราดรดลงบนกองเพลิง ลิลลี่พลิกตัวนอนคว่ำทันที ขณะที่ชายหนุ่มลุกไปจัดการกับโทรศัพท์เจ้ากรรมที่โทรกระหน่ำแบบไม่ยอมวางสาย ราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตายจะบอกกล่าว ชายหนุ่มถอนหายใจทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นสายของใคร

"พี่วิน หายไปไหนคะ?? ทำไมไม่อยู่คอยพวกเราก่อน" เสียงชบาดังแจ่วๆ มาตามสาย

"พอดีพี่ติดธุระน่ะ อีกสองสามวันถึงจะกลับ" ชายหนุ่มว่าพลางแต่งตัวไปด้วย

"แล้วทำไมต้องกระเตงแม่ดอกไม้ไฮโซนั่นไปด้วยคะ" หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ

"ตอนกลางคืนไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่พาลี่มาด้วยแล้วใครจะดูแล" วินระวีอธิบาย

"พูดไปพูดมาพี่วินก็อยากพาแม่นั่นไปด้วยใช่ไหมล่ะ"

"ใช่"

"พี่วิน! แล้วพวกเราล่ะ"

"ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ถึงวันประกวดพี่จะพาลี่ไปเชียร์ด้วย"

"พี่วิน!"

"เท่านี้ก่อนนะชบา พี่ไม่ว่าง" วินระวีกดวางสายทันที แล้วก็ตัดสินใจปิดเครื่องไปเลย



"คุณจะกลับไปหาแฟนคลับก็ได้นะคะ ลี่อยู่ที่นี่คนเดียวได้" หญิงสาวยังคงนอนคว่ำมองดูเปลวไฟในเตา

"ผมไม่ได้บอกซักหน่อยว่าอยากกลับ" ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ แล้วโน้มลงจูบที่ต้นคอ

"คุณอาจเป็นพวกคิดแต่ไม่พูดก็ได้" ลิลลี่ว่าประชด

"นั่นน่ะสิ ถ้าผมบอกรักลี่เร็วกว่านี้ เราคงไม่ต้องทะเลาะกันจริงไหม" วินระวีนอนตะแคงใช้ศอกค้ำยันร่างไว้ แล้วเริ่มไล้ปลายนิ้วไปบนแผ่นหลังนุ่มมือ

"ลี่ไม่เชื่อ" หญิงสาวหดหลังอัตโนมัติ พลางพลิกหน้ามามองอีกฝ่าย

"ไม่เชื่อใช่ไหม?" วินระวียิ้มด้วยแววตาซุกซน แล้วไล้สัมผัสแผ่นหลังให้จักจี้มากขึ้น

"นี่" ลิลลี่กลั้นหัวเราะขยับตะแคงหลบแล้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดถึงคอ

"คิดว่าจะหนีรอดเหรอ" ชายหนุ่มขยับเข้าหา สอดแขนเข้าใต้ลำคอโอบไหล่หญิงสาวเข้ามาแนบชิด พลางดึงผ้าห่มด้านหลังลงจนถึงเอว แล้วเริ่มลากไล้ปลายนิ้วไปทั่วแผ่นหลัง ลิลลี่หัวเราะดิ้นขลุกขลักซุกอยู่กับอกกว้าง ยิ่งขยับหลบปลายนิ้วเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเบียดร่างเข้าหาคนตรงหน้ามากขึ้นเท่านั้น

"ปล่อยลี่นะ" เสียงสั่งปนเสียงหัวเราะไร้เรี่ยวแรงจะดันร่างใหญ่นั้นออกไป

"เชื่อหรือยัง?" วินระวียิ้มขำโน้มลงถามแนบใบหู ยิ่งทำให้อีกฝ่ายขนลุกหัวเราะหนักกว่าเดิม

"ไม่เชื่อ" หญิงสาวยังไม่ยอมจำนน

"งั้นคงเหลือวิธีสุดท้ายแล้วล่ะ" ชายหนุ่มขยับขึ้นยิ้มสบตา ในขณะที่ลิลลี่หัวเราะจนหอบ

"จะทำอะไร" หญิงสาวยิ้มถามแววตาสดใส

วินระวีกวาดตาไปทั่วดวงหน้างดงาม แล้วโน้มจูบริมฝีปากดื้อรั้นให้ยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งที่เขาอยากได้ยิน จุมพิตอ้อยอิ่งดำเนินไปราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด ในบรรยากาศอบอุ่นอบอวลด้วยความรัก

"คราวนี้จะเชื่อหรือยัง" ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกเสมือนเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาอยากจะทำ เพื่อค้นหาคำตอบ

"ไม่" ลิลลี่ยิ้มซุกซนขึ้นมาบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับชอบคำตอบนั่นเสียนี่กระไร เขาโน้มใบหน้าลงอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"เชื่อก็ได้" ลิลลี่รีบกลับคำพูด พลอยทำให้วินระวีต้องยับยั้งสิ่งที่ตั้งใจ แต่แล้วหญิงสาวกลับประคองใบหน้าชายหนุ่มลงมาหา จูบเขาดูดดื่มด้วยความรู้สึกเดียวกับที่เขามีต่อเธอ



























 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 20 ตุลาคม 2554 20:37:08 น.
Counter : 598 Pageviews.  

Love-Love ตอนที่ 19

เวรุตกลับมาถึงบ้านช่วงหัวค่ำ โดยมีโรสมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู หญิงสาวแต่งตัวสวยในชุดเปิดอกสีน้ำทะเล

"มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าวันนี้" เวรุตยิ้มประหลาดใจ คิดว่าตนคงหลงลืมอะไรไป

"ก็แค่อยากสร้างบรรยากาศดีๆ สำหรับดินเนอร์เท่านั้นเอง โรสเตรียมอาหารไว้หมดแล้วค่ะ" หญิงสาวเดินนำไปที่โต๊ะ ตกแต่งด้วยดอกไม้และเชิงเทียน พร้อมแก้วไวน์และสเต็กเนื้อจานโตสำหรับสองที่

"พรีเซ็นเทชั่นเต็มร้อยเลยอ่ะโรส แต่รสชาตินี่ ผมยังหวั่นใจ" เวรุตว่าล้อก่อนจะวางพาดเสื้อนอกไว้บนพนักเก้าอี้

"อย่าดูถูกค่ะ บอกซะก่อนว่าอาหารมื้อนี้ไม่ธรรมดา" โรสว่าอย่างมั่นใจ

"งั้นขอรับอาหารว่างก่อนได้ไหม" เวรุตรั้งรอบเอวเล็กเข้าหาแล้วประทับริมฝีปากและจมูกลงบนไหล่สูดกลิ่นหอมเย็นสดชื่น

"รีบไปอาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ" หญิงสาวดันอกเขาออกห่าง

"โอเค ขอเวลาห้านาที" เวรุตว่าแล้วผละไปทันที

โรสจัดเรียงถ้วยเทียนหอมไว้ที่ริมสระว่ายน้ำเป็นทางยาว ติดไฟเทียนแต่ละดวงจนเสร็จเรียบร้อย จุดเชิงเทียนบนโต๊ะให้แสงสว่างนวลตา แล้วจึงจัดการปิดไฟในห้องรับแขกทั้งหมด หญิงสาวมองไปรอบๆ ชื่นชมบรรยากาศโรแมนติกสุดๆ นึกวาดภาพว่าชายหนุ่มจะลงมาในชุดหล่อเลิศเพียงใด จากบันไดที่ทอดตัวลงมากลางห้องรับแขก

และแล้วหญิงสาวก็ถึงกับตะลึงเมื่อเวรุตก้าวลงมาจากบันไดในเงามืดสลัวด้วยท่วงท่าสบายๆ ในชุดเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่นอนประจำกับกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นบางเบา โรสมองค้างอยู่อย่างนั้นจนเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะอาหาร

"คุณทำเสียบรรยากาศหมดเลยนะคะเว" โรสเริ่มหน้างอเล็กน้อย เพราะดูเขาจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย

"ไม่เอาน่า แค่นี้ก็ดูดีแล้วใช่ไหม" เวรุตคว้าเสื้อสูทที่วางพาดไว้มาสวมทับ แล้วนั่งลงตรงข้ามหญิงสาว โรสหันมองแล้วอดยิ้มขำไม่ได้

"พอทนค่ะ"

"สเต็กนี่หน้าตาดีมากเลยอ่ะโรส อย่าบอกนะว่าทำเอง"

"แค่สเต็กสำหรับโรสน่ะจิ๊บๆ ค่ะ"

เวรุตมองหน้าหญิงสาวยิ้มๆ แล้วลงมือหั่นเนื้อในจาน ก่อนจะเปรยขึ้นว่า

"เนื้อนี่สดมากจริงๆ"

"ถ้าไม่สดก็ไม่อร่อยสิคะ"

"อืม.. แต่ถ้าสดขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นปอบหรือพวกแวมไพร์คงกินไม่ได้หรอก"

"หือ? สุกน้อยไปเหรอคะ" โรสเริ่มหั่นเนื้อในจานตัวเองบ้าง

"อย่าเรียกว่าสุกน้อยเลยนะ เรียกว่าดิบจะเหมาะกว่า" เวรุตหัวเราะ มองเลือดสดๆ เยิ้มออกมาจากชิ้นเนื้อ

"เป็นไปได้ไงอ่ะ ก็ทำตามสูตรแล้วนี่นา" โรสรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะถามเสียงอ่อย

"ให้โรสเอาไปทำใหม่ดีไหมคะ"

"ผมจัดการเองดีกว่า"

แล้วสเต็กในค่ำคืนนี้ก็กลายมาเป็นเนื้อย่างเกาหลีบนเตาไฟฟ้า เคล้าไวน์แดง ทุกสิ่งรอบตัวดูจะไม่เข้ากันเลยซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น แต่ก็มิได้ทำให้ความสุขของคนทั้งสองลดน้อยลงซักนิด





หลังมื้ออาหารแห่งความสุขกับการพูดคุยหยอกล้อกัน ไวน์แดงรสเลิศสร้างความรู้สึกผ่อนคลายภายใต้แสงไฟสลัวยั่วยวนให้อยากใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ร่างแนบชิดทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวแผ่วพลิ้วเคล้าเสียงเพลงเนิบๆ บรรเลงขับกล่อมให้หัวใจสองดวงเต้นในจังหวะเดียวกัน สายตาสบประสานราวกับจะมองทะลุไปถึงหัวใจของอีกฝ่าย

โรสแนบใบหน้าลงบนอกกว้างฟังเสียงหัวใจชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะกระซิบคำรักอยู่ตลอดเวลา รับรู้ได้ถึงความสุข ความอบอุ่นปลอดภัย ในอ้อมแขนอ่อนโยน และอยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป หากนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนที่มีความรัก คงเป็นความรู้สึกที่เธออยากจดจำไปตลอดกาล

เวรุตขยับออกไล้สายตาไปที่ดวงตาคู่สวย สันจมูก แล้วเรียวปากบางใส ราวกับต้องการจะเก็บทุกรายละเอียดประทับไว้ในความทรงจำ เขาโน้มริมฝีปากลงเชื่องช้าสะกดคนตรงหน้าให้หยุดนิ่งรอรับสัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบาเคลื่อนไหวไปตามความรู้สึกจากภายใน ฝ่ามือและนิ้วเรียวยาวลูบไล้แผ่นหลังและไหล่เปลือยเปล่าไปตามจังหวะเพลง ปลุกเร้าความปราถนาในสัมผัสอบอุ่นให้ทวีขึ้นทุกขณะ

และเมื่อดวงตาทั้งสองสบประสานกันอีกครั้ง ต่างรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยปราศจากคำพูดใดๆ เวรุตอุ้มหญิงสาวขึ้นในอ้อมแขน ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ดื่มด่ำไปกับทุกช่วงเวลาที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน และหากค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดลงในแบบที่คิดไว้ ก็คงเป็นคืนที่สวยงามและน่าประทับใจที่สุด

ร่างบางถูกวางลงอย่างแผ่วเบาบนที่นอนนุ่ม ในอิริยาบทที่ทั้งสองยังมิอาจถอนสายตาจากกันและกันได้ เวรุตโน้มลงค้นหาความอบอุ่นนุ่มละไม แล้วเลื่อนจุมพิตแผ่วเบาไปตามลำคอขาวนวล ซุกไซ้สูดกลิ่นหอมราวกุหลาบต้องน้ำค้างยามราตรี ยั่วยวนแมลงหนุ่มอย่างเขาจนแทบฉุดรั้งสติไว้ไม่อยู่...

"เวคะ..." โรสประคองศีรษะชายหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้าง

เวรุตเงยหน้าขึ้น แววตาเขาเต็มไปด้วยไฟเสน่หาลุกโชนอยู่ภายใน แต่แล้วกลับมอดไหม้ลงทีละน้อย เมื่อมองสบสายตาหวาดหวั่นของอีกฝ่าย นี่คงเป็นคืนที่วิเศษสุดหากเขาได้มีโอกาสร่วมรักกับหญิงสาวในอ้อมแขน หากแต่ความรู้สึกผูกพันทางใจจะเป็นเท่าทวีถ้าเขายับยั้งทุกอย่างลงในวินาทีนี้ และในที่สุดชายหนุ่มก็เลือกซบหน้าลงกับหมอนแนบแก้มนวลใส

"ขอบคุณค่ะเว.." โรสโอบแขนขึ้นกอดคนที่นอนทาบทับอยู่บนร่าง รู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่ตัดสินใจทำเช่นนี้

"คราวหน้า ห้ามโรสจัดดินเนอร์แบบนี้อีก เข้าใจไหม" ชายหนุ่มถอนหายใจแรง

"ทำไมคะ?"

"อยากรู้จริงๆ เหรอ?"

"ไม่รู้ดีกว่าค่ะ"

"..........."

"..........."






"คุณจะจัดการกับแฟนคลับคุณยังไงคะ?" ลิลลี่ถาม ขณะที่วินระวีกำลังทายาที่ข้อมือและข้อเท้าให้บนที่นอน หลังจากทั้งคู่อาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว

"อืม.. จับมัดห้อยไว้กับต้นปีบซักสามชั่วโมงดีไหม?" ชายหนุ่มออกความเห็น

"คุณไม่กล้าหรอก" ลิลลี่ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำจริง

"ทำไมจะไม่กล้า ผมโหดน้อยกว่าคุณหลวงอบรมบรรดาเมียๆ ในทีวีนั่นตั้งเยอะ" วินระวีว่าล้อ พลางพยักพเยิดให้ดูฉากละคร ตอนที่พระเอกสั่งโบยเมียทาสที่กลั่นแกล้งเมียหลวงอยู่พอดี

"นี่! ลี่ไม่ใช่เมียคุณซักหน่อย" หญิงสาวฟาดแขนเขากลบเกลื่อนอาการเขิน

"นั่นน่ะสิ ว้า! งั้นผมคงทำอะไรสามคนนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ลี่ไม่ได้เป็นอะไรกับผมซักหน่อย เนื้อก็ไม่ได้กิน เรื่องอะไรจะหากระดูกมาแขวนคอ ลี่ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปละกันนะ" ชายหนุ่มว่าหน้าตาเฉย

"แต่คุณสัญญาแล้วนี่ ว่าจะจัดการให้ ชั่งเถอะ! พรุ่งนี้ลี่จะกลับกรุงเทพ" ลิลลี่ทำหน้างอ ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้ทันทีด้วยอาการเคือง

"ผมไม่ให้กลับ" วินระวีกระซิบที่ข้างหู

"คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามลี่ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย เชิญคุณอยู่อบรมบรรดาเมียของคุณต่อไปเถอะ!" หญิงสาวหันมองแล้วย้อนคืนทันควัน

"งั้นคงต้องเริ่มจากคนใกล้มือก่อนเป็นไง" วินระวียิ้มทั้งใบหน้าและแววตา ขยับคร่อมร่างบางด้วยข้อศอกทั้งสองข้างที่ค้ำยันน้ำหนักตัวไว้

"ลี่บอกแล้วว่าลี่..." คำพูดตอบโต้ถูกกลืนหายไปในริมฝีปากที่ประกบลงมาแนบสนิท รสสัมผัสหวานละมุนแผ่ซ่านรวดเร็วเกินกว่าอารมณ์ขุ่นเคืองจะยับยั้งไว้ได้ทัน กระแสอบอุ่นอ่อนโยนชักนำจิตใจให้พร่าเลือนไปชั่วขณะ หลงลืมไปว่ากำลังถกเถียงเรื่องใดกันอยู่

"ไม่กลับก็ได้.." ลิลลี่กระซิบแนบริมฝีปาก ไม่แน่ใจว่าตนเองพูดอะไรออกไป ชายหนุ่มยิ้มพอใจในคำตอบ แล้วจุมพิตหอมหวานก็ดำเนินต่อไปตามแรงปราถนาในใจของคนทั้งสองจะนำทางไป...




วันรุ่งขึ้นวินระวีเรียกทั้งสามสาวมาตักเตือน และขู่ว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกเขาจะไม่อนุญาติให้ทั้งสามมาเหยียบบ้านหลังนี้ ชายหนุ่มพูดเสียงดังฟังชัด จนคนที่ไม่ค่อยสบายและยังพักผ่อนอยู่ในห้องต้องลุกมายืนใกล้ประตู เพราะอยากรู้ว่าเขาจะจัดการกับพวกวายร้ายสายสมรนั่นยังไง

"พี่วินทำกับพวกเราอย่างนี้ได้ยังไงคะ แม่นั่นมาทีหลัง ทำไมพี่ต้องห่วงจนออกนอกหน้าขนาดนี้" ชบาแสดงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผย

"แล้วที่พวกเธอทั้งสามคนรุมทำร้ายลี่แบบนั้น มันถูกต้องแล้วเหรอ" ชายหนุ่มถามกลับด้วยเหตุผล

"เราก็แค่แกล้งแหย่เล่นเท่านั้น" ราตรีข่วยแก้

"ถ้าเห็นเป็นเรื่องสนุก จะลองดูบ้างไหมล่ะ พี่จะมัดพวกเราตากฝนซักคนละสามชั่วโมง"

"สรุปว่าแม่นั่นอ้อนพี่วินให้มาต่อว่าพวกเราใช่ไหมคะ" ชบาถามกลับพาลๆ

"ที่พี่เตือนก็เพราะเห็นพวกเธอเป็นน้องสาว ถ้าไม่งั้นเรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่"

"น้องสาว!! แล้วกับแม่นั่นล่ะคะ พี่วินเห็นเป็นอะไร??" ราตรีถามเข้าประเด็นที่ไม่เพียงคนในวงสนทนาเท่านั้นที่อยากรู้ คนที่ยืนอยู่อีกด้านของประตูห้องก็พลอยใจจดจ่อกับคำตอบไปด้วย

"พี่วินรักลิลลี่ ใช่ไหมคะ" บุษบาถามนำทันที

วินระวีนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปฏิเสธ หากแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เขาจะมาบอกรักหญิงสาวลับหลังในเวลาเช่นนี้

"นั่นไม่ใช่ประเด็น ลิลลี่เป็นคนในบ้านหลังนี้ จู่ๆ พวกเธอเดินเข้ามาทำร้ายเขา แล้วจะให้พี่รู้สึกยังไง"

ลิลลี่คอตกเดินกลับไปที่เตียงทันที คิดว่าเขาคงไม่ได้รู้สึกกับเธอเช่นเดียวกับที่เธอรู้สึกกับเขา ที่ทำไปทั้งหมด ก็เพื่อปกป้องเธอไปตามหน้าที่เท่านั้นกระมัง สำนึกนั้นทำให้ความรู้สึกอยากกลับบ้าน ย้อนกลับมาปริ่มอยู่ที่ปลายสมองอีกครั้ง

"ถ้าพี่วินไม่ได้รักแม่นั่นก็แล้วไปค่ะ" ชบาว่าด้วยสีหน้าดีขึ้น เพราะคิดว่าตนยังมีหวัง

"แล้วไปไม่ได้! พวกเธอต้องไปขอโทษลิลลี่" วินระวีว่าเสียงเข้ม

"เรื่องอะไรล่ะ!" ราตรีว่าหน้างอ

"งั้นก็เหลืออีกสองทางคือ พวกเธอจะยอมยืนตากฝน หรือจะไม่กลับมาที่นี่อีก" ชายหนุ่มพูดเสียงจริงจัง

"บุษยอมขอโทษดีกว่าค่ะ ง่ายกว่ากันตั้งเยอะ" บุษบาว่า ชบากับราตรีมองหน้ากัน ต่างทำหน้าไม่พอใจแต่สุดท้ายก็ต้องฝืนใจยอม



วินระวีนำทั้งสามเข้าไปในห้องพักเพื่อทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่นั่นกลับทำให้สาวๆ รู้สึกตาร้อนขึ้นมาเพราะรู้ว่านี่เป็นห้องนอนของใคร

"นี่พี่วินนอนห้องเดียวกับยัยนี่เหรอคะ!?" ราตรีไม่รั้งรอที่จะไขข้อข้องใจ แล้วทั้งสามก็หันมองชายหนุ่มเป็นตาเดียวกัน แม้กระทั่งคนที่อยู่บนที่นอนก็ยังรอฟังคำตอบไปด้วย

"ลี่แค่มาพักชั่วคราวเท่านั้น อย่านอกเรื่องกันได้ไหม พี่ให้พวกเธอมาขอโทษ ไม่ได้ให้มาจับผิด" วินระวีว่าเข้าให้ ห่วงว่าลิลลี่จะเสียหายมากกว่าเจตนาจะปิดบัง

ลิลลี่เมินหน้าไปทางอื่นกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้นมาเต็มกำลัง เพราะคิดไปเองว่าชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับ ทั้งที่เขานอนกอดเธอทุกคืน เวรุตเคยทำให้เธอรู้สึกไร้ค่ามาแล้ว หากแต่การกระทำของวินระวีครั้งนี้กลับทำให้เจ็บยิ่งกว่า

"พวกฉันมาขอโทษที่หยอกเธอแรงไปหน่อย รีบหายนะ จะได้ไปให้พ้นห้องพี่วินซะที" ชบายืนกอดอกลอยหน้าว่า

"ฉันก็ขอโทษ! ถ้ารู้ว่าเธอจะสำออยมานอนที่นี่ ฉันคงไม่เล่นแรงขนาดนั้นหรอก" ราตรีช่วยเสริม

"ฉัน..ขอโทษนะ" บุษบาว่าปิดท้าย

"ไปให้พ้น! ไปให้หมดทุกคนเลย" ลิลลี่ตะโกนแล้วซุกหน้าลงกับหมอน เพราะอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป กับคำพูดไม่รับผิดชอบของชายหนุ่ม และคำขอโทษเหน็บแนมไร้ความจริงใจเหล่านั้น

"ดูสิคะพี่วิน แม่นี่ร้ายกาจจริงๆ พวกเราอุตส่าห์มาขอโทษขอโพย ยังมาตวาดกันอีก" ชบาทำเป็นตกใจเข้าเกาะแขนวินระวีแล้วแอบยิ้มสะใจ

"เอาล่ะ พวกเธอออกไปได้แล้ว ลี่ไม่สบาย คงอารมณ์ไม่ดี" ชายหนุ่มตัดบทเพราะเกรงสถานการณ์จะบานปลาย

"พี่วินออกไปด้วยกันนะคะ แม่นี่จะได้พักผ่อน" ราตรีเข้าเกาะแขนอีกข้าง

"ถ้าพี่วินไม่ไป พวกเราก็ไม่ไป" บุษบาต่อรอง

"พักผ่อนก่อนนะลี่ เดี๋ยวผมให้ป้าแต้วเอาอาหารกับยามาให้" วินระวีลูบศีรษะบอกหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพาตัวป่วนทั้งสามออกไป หาไม่อาการลิลลี่คงทรุดหนักกว่าเดิม






























 

Create Date : 09 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 11:32:16 น.
Counter : 433 Pageviews.  

lOve-lOve ตอนที่ 18

"ต๊าย! น้องพีช พายุพัดถล่มห้องหรือไงยะ" เสียงผู้จัดการส่วนตัวดูตกอกตกใจ เมื่อมองไปรอบตัว

"พี่เอช ช่วยพีชด้วย" หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้าสวมกอดผู้จัดการผิวคล้ำร่างยักษ์

"ต๊าย! ตาย ตาย ตาย ดูซิเนี่ยะ ปากไปโดนอะไรมา ทำไมเจ่อซะขนาดนี้ แล้ววันนี้มีถ่ายโฆษณาของWay2Win ด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วจะทำยังไงเนี่ยะ" ผู้จัดการสาวประเภทสองร่ายเป็นชุด พลางเชยคางหญิงสาวขึ้นดูริมฝีปากบวมแดง และขอบตาช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก

"ก็คือ..."

พัดชาเอาแต่ร้องไห้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอต่อยเบ้าตาเทวินทร์เข้าเต็มแรง เป็นสาเหตุให้เขาจูบเธออย่างบ้าคลั่ง แถมยังกัดริมฝีปากเธอจนเลือดออก แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่าที่เขามองเธอด้วยสายตาสำนึกผิด แล้วทำให้เธออ่อนไหวไปกับสัมผัสอ่อนโยนของเขาอีกจนได้

"คืออะไร ก็รีบๆ เล่ามาสิ ... โอ้ย! ฉันจะบ้าตาย"

"พีชแค่เครียดๆ น่ะ"

"ทีหลังเครียดก็หาอะไรคาบไว้นะยะ จะได้ไม่เสียงานเสียการ"

"พี่เอช!! ไม่รู้ล่ะ พี่ต้องโทรไปแคนเซิ่ลงานให้พีชด้วย พีชจะไปทำงานได้ยังไง สภาพแบบนี้"

"ย่ะ! แล้วนี่ฉันจะบอกเขายังไงดีล่ะเนี่ยะ??"




"เป็นไงบ้างคะเว" โรสอวดห้องทำงานและห้องนอนแสนสวยที่เธอออกแบบ

"ฝีมือไม่เลวเลยโรส" เวรุตเดินชมห้องทำงานที่อยู่ติดกัน ซึ่งมีประตูเชื่อมไปที่ห้องนอน ออกแบบเรียบหรูดูสบายตา

"ไม่เลวนี่แปลว่าดีป่ะคะ?" หญิงสาวถามขณะที่เดินตามเข้าไปในส่วนของห้องนอน

"ก็ต้องลองทดสอบดูก่อน" เวรุตทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม แล้วออกปาก

"ไม่ดีเลยอ่ะโรส" ชายหนุ่มทำท่าขยับตัวไปมา

"เป็นไปได้ไงคะ โรสเลือกที่คุณภาพดีที่สุดแล้วนะ" หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนข้างๆ

"ไม่ดีที่นอนแล้วไม่อยากลุกไงล่ะ" เวรุตขยับนอนตะแคงใช้ฝ่ามือค้ำยันศีรษะไว้

"อันนี้คงเป็นปัญหาของคุณแล้วล่ะค่ะ" โรสตั้งท่าจะลุก หากแต่ถูกร่างใหญ่คร่อมไว้เสียก่อน

"เป็นปัญหาของเราต่างหาก" ชายหนุ่มโน้มลงจุ๊บที่ริมฝีปากเร็วๆ

"วันนี้ไม่ไปดูเขาถ่ายโฆษณาแล้วเหรอคะ"

"เลื่อนไปอีกสองสามวันน่ะ เห็นเขาบอกว่าพัดชาโดนมดกัดปาก"

"ดีสม" โรสหัวเราะขำ ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้

"อย่าออกนอกหน้านักสิที่รัก"

"ช่วยไม่ได้ บทนางเอกต้องยกให้ยัยนั่นค่ะ โรสเล่นได้แต่บทนางร้ายเท่านั้นแหละ"

"ถึงร้ายก็รักน่ะเคยได้ยินไหม"

"จริงอ่ะ?"

เวรุตยิ้มสบตาแล้วเลื่อนไล้ไปที่ริมฝีปากบางสวย โน้มลงใกล้จนแทบจะสัมผัมกลีบปากบางใสอยู่แล้ว

"คัท!"

เสียงดังราวผู้กำกับทำทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์ แล้วต้องหันมองแขกไม่รับเชิญทันที

"ยอดเยี่ยมจริงๆ" เสียงชายในแว่นดำ ปรบมือให้

"ที่บ้านแกไม่เคยสอนเรื่องมารยาทบ้างหรือไงนะ" เวรุตลุกขึ้นพร้อมช่วยฉุดหญิงสาว ก่อนจะหันไปว่าเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่ดูเหมือนนิสัยจะไม่เคยเปลี่ยน

"แกมันก็เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนอยู่วันยังค่ำ" เทวินทร์ว่าแดกดัน

"เหรอ? นั่นแกว่าตัวเองด้วยหรือเปล่า" เวรุตโต้กลับ ทำเอาโรสมองทั้งสองว่าจะเถียงกันอีกนานไหม

"สวัสดีครับ ผมเทวินทร์เป็นเพื่อนเว" ชายหนุ่มหันไปแนะนำตัว

"สวัสดีค่ะ" โรสยิ้มตอบคิดว่าทั้งสองต้องคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ท่าทีและคำพูดแหน็บแนมกันไปมานั้นดูแปลกๆ

"คุณคงเป็นภรรยาเวสินะ... ชื่ออะไรน๊า โทษทีผมไปงานแต่งนะ แต่จำไม่ได้"

"โรส" / "ลิลลี่"

โรสและเวรุตตอบพร้อมกัน รอยยิ้มจับผิดจึงฉายชัดบนใบหน้าของคนฟัง

"อืม.. จะเป็นกุหลาบหรือลิลลี่ดีล่ะครับ"

"ฉันขอตัวก่อนนะคะ" โรสเลือกจะไม่ตอบแล้วเดินเลี่ยงออกไปเลย

"สงสัยเรื่องนี้ต้องขยายซะแล้ว" เทวินทร์ยิ้มกวน

"แกมีธุระอะไรก็ว่ามา อย่ายุ่งเรื่องของฉันจะดีกว่า" เวรุตเดินนำออกไปในส่วนของห้องทำงาน

"ก็แค่จะมาเตือนแกว่าอย่ายุ่งกับพัดชา" เทวินทร์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน มองชายที่นั่งตรงข้ามด้วยสายตาจริงจัง

"ทำไม?" เวรุตถามกลับเมื่ออีกฝ่ายจุดประเด็นขึ้นมาก่อน

"เพราะพัดชาเป็นเมียฉัน" เทวินทร์ไม่อ้อมค้อม

"เหรอ? ฉันไม่เห็นได้การ์ดเชิญงานแต่งแกซักใบ" เวรุตยิ้มได้ทีขึ้นมาบ้าง

"เอาเป็นว่าแกอย่ายุ่งกับคนของฉัน ฉันก็จะไม่ยุ่งเรื่องของแก ตกลงไหม" เทวินทร์รีบเข้าประเด็น

"ฉันกับพัดชาก็แค่ทำงานร่วมกัน แกก็เห็นว่าฉันมีเมียอยู่แล้ว" เวรุตว่าเปิดอก

"งั้นแกคงไม่ขัดข้องใช่ไหม ถ้าฉันจะบุกไปที่ทำงานแกบ้าง" เทวินทร์ลุกขึ้นยืน

"ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกกัดปากพัดชา ให้ฉันเสียงาน" เวรุตว่าอย่างรู้ทัน

"แกดูนี่เสียก่อน" เทวินทร์ขยับแว่นออกให้ดูเบ้าตาช้ำเป็นวง

"คนอย่างแกก็สมควรแล้ว ต้องโดนอย่างนี้" เวรุตยิ้มขำ

"ว่างไปทานข้าวกันซักมื้อไหม" เทวินทร์ออกปากชวน

"ไว้ว่างแล้วฉันจะโทรไป"

"อืม แล้วน้องชายแกเป็นไงบ้าง"

"ก็คงสบายดี"

"ก็คงสบายงั้นเหรอ...เฮ้อ..." เทวินทร์ว่าแล้วล้วงกระเป๋าเดินออกจากห้องไปแบบสบายๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนตอนมาไม่มีผิด




"โรสคงไม่ถือสาใช่ไหม เพื่อนผมมันนิสัยแย่แบบนี้แหละ" เวรุตสวมกอดหญิงสาว ขณะกำลังยืนมองวิวเบื้องล่างภายในห้องทำงานของเขา

"เพื่อนกลับแล้วเหรอคะ"

"อืม แค่แวะมาพูดเรื่องไร้สาระสองสามคำน่ะ"

"อะไรคะ ที่ว่าไร้สาระ"

"ก็แค่มาห้ามไม่ให้ผมไปยุ่งกับเมียมัน" เวรุตยิ้มขำ หากแต่คนฟังถึงกับต้องหันมองหน้าเขาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

"คงเกี่ยวกับข่าวที่ออกไปน่ะ เทวินทร์ก็เลยคิดว่าผมสนใจพัดชา" เวรุตอธิบาย

"แสดงว่าเพื่อนคุณกับยัยนางเอกนั่น..."

"ใช่"

"แล้วคุณตอบเขาไปว่าไงคะ"

"ก็ตอบไปว่า ผมมีคนที่สนใจมากกว่าพัดชาอยู่แล้ว"

"ใครคะ" โรสยิ้มถามสบตา

เวรุตกระชับอ้อมแขนรอบเอวแล้วโน้มริมฝีปากลงประทับอ่อนโยนหยอกล้อแทนคำตอบ

"เย็นนี้ไปหาที่บรรยากาศดีๆ ดินเนอร์กันไหม" ชายหนุ่มเอ่ยชวน

"นี่กี่โมงแล้วคะ" โรสรีบขยับตัวออกจากอกกว้าง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"เกือบบ่ายโมงแล้ว มีอะไรเหรอ" เวรุตมองท่าทีรนๆ ถามสงสัย

"โรสต้องไปแล้ว คืนนี้ดินเนอร์กันที่บ้านนะคะ" หญิงสาวเขย่งขึ้นหอมแก้มเขาแล้วรีบผลุนผลันออกไป ราวซินเดอร์เรลล่ายามเที่ยงคืน

"กลัวรถม้าจะกลายเป็นฟักทองหรือไงนะ" เวรุตรำพึงกับตัวเองยิ้มๆ ก่อนจะกลับไปสนใจงานที่ยังค้างอยู่บนโต๊ะ






"วันนี้เงียบๆ ผิดปกตินะคะ" ป้าแต้วช่วยเก็บล้างภาชนะหลังอาหารกลางวัน ส่วนลิลลี่กำลังสาละวนกับการทำชีสเค้กลูกหม่อนซึ่งทำเป็นแยมซอสไว้เมื่อหลายวันก่อน

"คงเพราะจันทร์แรมกับแฟนคลับคุณวินไม่มามั้งคะ ป้าก็เลยเหงา" ลิลลี่ว่าล้อ

"แฟนคลับไม่มาน่ะดีแล้วค่ะ ป้าเห็นแล้วปวดหัวแทน" ป้าแต้วว่าแล้วหัวเราะขัน

"อ้อ วันนี้ป้าขอกลับเร็วหน่อยนะคะคุณลี่ พอดีหลานชายป้าไม่ค่อยสบายค่ะ"

"แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะ"

"เห็นหมอว่าเป็นปอดบวม ช่วงนี้ฝนมันลงชุกน่ะค่ะ"

"งั้นเดี๋ยวเสร็จแล้ว ป้ารีบไปเลยก็ได้ ลี่อยู่คนเดียวได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงคุณวินก็คงกลับ ฝากเค้กนี่ไปให้หลานๆ ด้วยนะจ๊ะ"

"ขอบคุณค่ะคุณลี่ น่ากินจังเลยนะคะ"



ลิลลี่ออกมานั่งรับลมที่ระเบียงกลางเรือน ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือฆ่าเวลาเพื่อรอวินระวีกลับจากไร่ ซึ่งคงจะอีกซักสองสามชั่วโมง หญิงสาวมองไปรอบๆ บรรยากาศเย็นสงบเคล้ากลิ่นหอมละมุนของดอกปีบอบอวลไปทั่วบริเวณ เริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นี่ พลางนึกถามตัวเองว่าความคิดอยากจะกลับกรุงเทพนั้นหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่แล้วช่วงเวลาอันเงียบสงบก็มีอันต้องสะดุด เมื่อมีแขกมาเยือนถึงเรือนชาน แม้จะไม่อยากต้อนรับ

"พวกเธอคงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ วินยังไม่กลับ" ลิลลี่บอกกล่าวเพื่อไม่ให้เสียเวลา

"ฉันรู้" ชบาเดินนำอีกสองสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

"อย่าบอกนะว่ามีธุระกับฉัน" ลิลลี่ถามประหลาดใจ

"ถูกเผง!" ราตรีค้ำสะเอวยื่นหน้าเข้ามาใกล้

"ธุระอะไร?" ลิลลี่ลุกยืนเห็นท่าไม่ค่อยดี สังหรณ์ใจว่างานนี้คงโดนรุมเป็นแน่ เธอไม่ถนัดตบตีกับใครซะด้วย

"มาแก้แค้นที่แกฉกพี่วินไปต่อหน้าต่อตาเมื่อวันนั้นไงล่ะ ปล่อยให้พวกฉันรอแห้วเป็นชั่วโมงๆ" ชบาบอกจุดประสงค์โดยไม่อ้อมค้อม

"พวกเธอคิดว่าทำร้ายฉันได้ แล้ววินจะพอใจงั้นเหรอ?"

"นั่นสิ" บุษบาคล้อยตาม เพราะไม่เห็นด้วยแต่แรก แต่ก็ขัดเพื่อนไม่ได้

"อย่าไปฟังมัน! ลงมือเลยดีกว่า" ราตรีหันไปบอกเพื่อน แล้วดึงเชือกป่านเส้นใหญ่ออกมาจากถุงผ้า

"มะบุษ ช่วยกันจับมันไว้" ชบาหันไปบอกเพื่อนแล้วตรงเข้าจับแขนลิลลี่ไว้คนละข้าง

"นี่จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ!!" ลิลลี่เอะอะด้วยอาการตกใจ

ทั้งสามช่วยกันจับมัดข้อมือหญิงสาวแล้วโยงเชือกผูกติดกับคานริมหลังคาศาลา พร้อมกับมัดข้อเท้าไว้ด้วย

"ให้แกยืนคอยพี่วินอยู่นี่ซักสองสามชั่วโมง คงไม่เป็นไรมั้ง" ชบาว่าสะใจ

"พวกเธอทำบ้าอะไร ปล่อยฉันนะ!" ลิลลี่ว่าอย่างเหลืออด

"แค่นี้ยังน้อยไป ต้องแต่งหน้าแกสวยๆ หน่อย พี่วินจะได้ประทับใจ" ราตรีควานหากระเป๋าเครื่องสำอาง แล้วทั้งสามก็รุมกันละเลงหน้าใสๆ จนดูเละสยองได้ดังใจ ในขณะที่เหยื่อไม่มีทางต่อสู้ได้เลย

"รีบไปกันเถอะ พี่วินคงรอพวกเราอยู่" ชบาว่า

"เดี๋ยวก่อน" ราตรีดึงโบว์ผูกผมของลิลลี่ออกมัดปากไว้แน่น เพื่อไม่ให้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือ

"อย่างนี้ต้องทดสอบ" ชบาหยิกเข้าที่ท้อง แล้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเปล่งเสียงร้องออกมาไม่ได้ แล้วอีกสองคนก็ช่วยกันหยิกแขน หยิกแก้มพลางหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ก่อนจะพากันจากไปด้วยอารมณ์ดี



ชบา ราตรี และบุษบา บุกไปหาวินระวีที่ไร่ ตั้งใจว่าต้องถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด

"พี่วิน" ทั้งสามประสานเสียงเรียกชายหนุ่มด้วยใบหน้าเบิกบาน

"อ้าว มีอะไรหรือเปล่าสามสาว มาถึงนี่เลย" วินระวีเอ่ยทัก

"พวกเราจะมาชวนพี่วินไปทานข้าวข้างนอกค่ะ" ชบาว่านำ

"ใช่ เป็นการไถ่โทษที่พี่หลอกให้พวกเรารอเก้อวันนั้น" ราตรีรีบเสริมไม่ให้ชายหนุ่มปฏิเสธ

"ไปนะคะพี่วิน" บุษบาอ้อนตาม

"ไปทานที่บ้านพี่ดีกว่านะ ลี่กับป้าแต้วคงเตรียมอาหารไว้แล้ว นี่ฝนก็ตั้งท่าจะตกหนักซะด้วย" วินระวีเสนอ

"ไม่อ่ะ แม่นั่นทำอาหารไม่ได้เรื่อง" ชบารีบหาข้ออ้าง

"งั้นเป็นวันหลังดีกว่านะ วันนี้พี่เหนื่อยมากแล้ว" วินระวีว่า

"ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ทานข้าว ก็ต้องไปส่งพวกเราสามคนที่บ้าน ตกลงไหมคะ" ราตรีต่อรอง

"ใช่ ไม่งั้นพวกเราจะโกรธพี่วินจริงๆ ด้วย" บุษบาว่าเสริม

"เอาๆ ไปรอที่รถละกัน เดี๋ยวพี่สั่งงานเสร็จแล้วจะตามไป" วินระวียอมแพ้ในที่สุด ส่วนสาวๆ ก็กรูกันไปที่รถเพื่อแย่งกันนั่งหน้าเช่นเคย




ลิลลี่ยืนจนแทบหมดแรงในสภาพที่คิดว่าตนเองคงดูไม่ได้เลย เพราะเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกแย่หากจะมีใครมาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้

ข้อมือทั้งสองข้างถลอกเจ็บแสบไปหมดจากการที่เธอพยายามจะดึงให้หลุดจากเชือกเส้นใหญ่ที่มัดไว้แน่นหนา เนื้อตัวเปียกปอนจากฝนที่เริ่มตกตั้งแต่พลบค่ำจนมืดสนิทในขณะนี้ ลมฝนกระหน่ำท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำรามส่งความกลัวเข้าเกาะกุมจนเต็มหัวใจ โดยไม่มีโอกาสจะกรีดร้องระบายออกมาได้เลย

ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามา พาลนึกโกรธวินระวีไปด้วยว่าป่านนี้เขาไปอยู่ที่ไหน ทั้งที่ควรจะกลับมาถึงตั้งนานแล้ว พลางคิดไปเองว่าเขาคงกำลังมีความสุขอยู่กับสามสาววายร้ายนั่น ปล่อยให้เธอเผชิญชะตากรรมโหดร้ายเพียงลำพัง



ขณะที่วินระวีพยายามโทรติดต่อหลายครั้ง แต่ลิลลี่ก็ไม่รับสาย และยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรนมากขึ้นเมื่อรู้จากป้าแต้วว่าหญิงสาวอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง หากแต่ฝนกระหน่ำและเส้นทางเป็นหลุมบ่อมืดสนิทเป็นอุปสรรคอย่างมากในการเดินทางกลับ หลังจากส่งทั้งสามสาวถึงบ้านแล้ว

ชายหนุ่มกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติถึงสามชั่วโมง เขาวิ่งฝ่าสายฝนขึ้นไปบนเรือนมืดสลัว ตรงไปที่ห้องนอนคิดว่าลิลลี่คงอยู่ที่นั่น แต่ก็ไร้ร่องรอย จึงหันกลับตั้งใจจะไปเปิดไฟที่ศาลาให้ดูสว่างขึ้นซักนิด คร้้นเดินเข้าไปใกล้จุดหมาย เกิดมีสายฟ้าแลบขึ้นมาปรากฏเป็นร่างหญิงสาวยืนห้อยตัวในชุดกระโปรงสีขาว ผมยาวเปียกโชกปกปิดใบหน้าเละเทะไว้ครึ่งหนึ่ง

"เฮ้ย!.." วินระวีผงะเกือบหงายหลัง ไม่แน่ใจสายตาตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยกลัวผี แต่ครั้งนี้เขากลับอดตกใจไม่ได้

พอฟ้าแลบอีกทีภาพที่เห็นก็ยังเหมือนเดิม ต่างที่หญิงนั้นมองตรงมายังตน ทำท่าห้อยโหนตัวเข้ามาหา ยิ่งทำชายหนุ่มตกใจ

"ทำไมต้องมาหลอกกันตอนนี้ด้วยน้า พรุ่งนี้จะใส่บาตรไปให้นะครับ" ชายหนุ่มว่าเสียงดัง จะได้ยินชัดๆ ก่อนจะเห็นผีนางนั้นทำตาโตน่ากลัวกว่าเดิม ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งไปกดสวิตช์ไฟที่เสาทันที เผื่อว่าภาพหลอนนั้นจะหายไป

เมื่อแสงไฟสว่าง ภาพหญิงสาวกลับชัดเจนยิ่งขึ้น วินระวีผงะถอยไปก้าวหนึ่งเมื่อเธอหันหลังกลับมาหาเขา ทำเสียงอู้อี้ในลำคอ ชายหนุ่มรวบรวมสติอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้รู้ว่าที่อยู่ตรงหน้าคือคนไม่ใช่ผี

"นั่นลี่เหรอ?" วินระวีถามให้แน่ใจ หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ

"เล่นอะไรเนี่ย ผมตกใจหมดเลย" ชายหนุ่มถอนหายใจ เดินเข้าไปแก้มัดที่ปากออกให้

"เล่นเหรอ?? คุณนึกว่าลี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไง คนใจร้าย ใจดำ คุณไปทำอะไรมา เพิ่งกลับเอาป่านนี้ ไม่รอให้ลี่ตายไปก่อนเลยล่ะ นี่ขนาดยังไม่ตาย คุณยังนึกว่าลี่เป็นผีอีก" หญิงสาวเหวี่ยงชุดใหญ่ทั้งน้ำตาเพราะอัดอั่นมาหลายชั่วโมง

"แล้วลี่จะให้ผมนึกเป็นอย่างอื่นได้ไง" วินระวีประคองใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มจนเละไปหมด

"นี่ ห้ามมองนะ คนบ้า!" ลิลลี่ส่ายหน้าหลบ

"ลี่สวยสำหรับผมเสมอแหละ ไม่ว่าหน้าจะเละ เอ๊ย..จะเลอะแค่ไหน" วินระวีว่าล้อพลางแก้มัดที่ข้อมือให้

"คนโกหก!" ลิลลี่ยังออกฤทธิ์ได้อีก ทั้งที่แทบล้มทั้งยืน แขนทั้งสองข้างชาไปหมดหลังหลุดจากพันธนาการ

วินระวีกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน มือข้างหนึ่งประคองแนบอยู่ข้างแก้ม มองดวงหน้าเลอะๆ ด้วยรอยยิ้มในแววตา แล้วโน้มลงจูบริมฝีปากเปื้อนลิปสติกแดงแจ๋เป็นวงกว้างอย่างอ่อนโยนเพื่อยืนยันคำพูดของตน

"ว่าแต่ลี่มาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง" วินระวีขยับออก จับข้อมือบวมแดงทั้งสองข้างขึ้นดู

"ก็แม่พวกแฟนคลับของคุณน่ะสิ มาถึงก็รุมลี่กันใหญ่"

"แสบจริงๆ! พรุ่งนี้ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง"

"ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้ลี่ถูกรังแกขนาดนี้" วินระวีโน้มลงกระซิบที่ข้างหู โอบกอดหญิงสาวไว้แนบชิดอีกครั้ง รู้แน่แก่ใจว่าตนเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้

ลิลลี่ซบหน้าลงร้องไห้กับอกแข็งแรงด้วยความรู้สึกปลดปล่อยจากความกลัวและความทรมานที่ยังคงทิ้งร่องรอยไวัชัดเจน




















 

Create Date : 03 ตุลาคม 2554    
Last Update : 8 ตุลาคม 2554 14:33:08 น.
Counter : 497 Pageviews.  

loVe-loVe ตอนที่ 17

ในงานเลี้ยงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประทินผิวแบรนด์เนมระดับโลก จัดขึ้นอย่างอลังการงานสร้างในเอาท์เล็ทเปิดใหม่กลางห้างดัง โดยมีพัดชาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะดาราที่มาแรงในชั่วโมงนี้คงไม่มีใครแซงเธอได้ นอกจากจะมีเรื่องงานแล้ว ข่าวความรักของเธอก็กำลังเป็นที่จับตามองไม่แพ้กัน

"น้องพีชคะ มีข่าวว่าเลิกกับคุณเทวินทร์แล้ว จริงเท็จแค่ไหนคะ" ผู้สื่อข่าวบันเทิงที่หุ้มล้อมหญิงสาว ยิงคำถามตรงๆ เมื่อมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์

"จริงค่ะ" พัดชายอมรับเป็นครั้งแรกหลังจากบ่ายเบี่ยงมานาน

"สาเหตุเกิดจากอะไรคะ"

"คือพอไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ก็เลิกกันดีกว่าค่ะ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ มีคุยโทรศัพท์ติตต่อกันบ้าง" หญิงสาวตอบหน้าระรื่น

"แล้วอย่างนี้มีโอกาสจะรีเทิร์นไหมคะ"

"อันนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่าค่ะ"

"เรื่องนี้เกี่ยวกับมือที่สามไหมคะ ได้ข่าวว่าแอบไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันมา" นักข่าวยื่นหนังสือซุบซิบดาราให้ดูรูปที่เธอถ่ายกับเวรุตที่พระธาตุดอยสุเทพ ในอิริยาบทที่ดูสนิทสนมกันเกินเพื่อน

"พีชไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ค่ะ แล้วเผอิญไปเจอคุณเวรุตที่นั่น แล้วเราก็ถ่ายรูปเล่นกัน ไม่ได้ไปกันสองคนอย่างที่เห็นในรูปนะคะ"

"แล้วรู้จักกันได้ยังไง รู้สึกฝ่ายชายจะมีครอบครัวแล้วนี่คะ"

"พีชรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ Way2Win คอนโดทาวน์ ของคุณเวรุตน่ะค่ะ ก็เลยรู้จักสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง" .....

"..........."




"วินดูนี่สิคะ" ลิลลี่สะกิดแขนชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ บนที่นอน แล้วรีบเพิ่มเสียงทีวี


"เอาล่ะค่ะ คราวนี้ก็มาต่อกันที่เรื่องรักร้าวของดาราคู่ต่อไป พีชพัดชา นั่นเองค่ะ วันนี้เธอออกมายอมรับแล้วนะคะ ว่าได้เลิกร้างกับไฮโซหนุ่มเทวินทร์ นฤมาศ ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับข่าวคราวของหนุ่มคนใหม่ จะใช่รักใหม่หรือไม่นั้น ไปฟังกันเลยค่ะ"


ทั้งคู่ดูภาพคนในข่าว และบทสัมภาษณ์ที่ทางรายการตัดมาให้ชมด้วยความสนใจ

"หึ! อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะเวถึงไม่สนใจลี่" ลิลลี่นั่งกอดอก ทำหน้างอ

"ก็น่าอยู่หรอกนะ" วินระวีแสดงสีหน้าเห็นด้วย

"พูดงี้หมายความว่าไงคะ" ลิลลี่หันไปทำตาเขียวใส่คนข้างๆ

"ผมก็เห็นด้วยกับลี่ไง จะเอายังไงอีก" ชายหนุ่มหัวเราะ

"ทีหลังเห็นแย้งบ้างก็ได้นะคะ" ลิลลี่เชิดหน้าไปทางอื่น

"นี่ถ้าเวรู้ว่ากำลังแย่งผู้หญิงกับมหาเทล่ะก็" วินระวีหัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าของคนทั้งสอง ทำให้ระลึกถึงภาพในวันเก่าๆ

"คุณรู้จักแฟนเก่าพัดชาด้วยเหรอคะ" ลิลลี่หันมาถามด้วยความสนใจ

"ยิ่งกว่ารู้จักอีก สมัยเรียนเราสามคนเป็นเพื่อนซี้กันเลยล่ะ จนกระทั่ง..."

"จนกระทั่งอะไรคะ?"

"พอเรียนจบ ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ต่างคนต่างทำงาน" วินระวีสรุปง่ายๆ เพราะไม่อยากขุดคุ้ยอดีตที่มีส่วนทำให้ทั้งสามต้องหันหลังแยกกันไปคนละทาง

"ลี่ก็มีแหล่งข่าววงในเหมือนกันนี่นา โทรหาพี่โรสดีกว่า" ลิลลี่ว่าแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา

"ไว้พรุ่งนี้ดีกว่านะ ค่ำแล้วอย่าโทรไปกวนโรสเลย"

"ค่ำที่ไหนคะ เพิ่งสองทุ่มเอง"

"ผมง่วงแล้วนี่" วินระวีวางหนังสือลง ปิดทีวีปิดไฟ แล้วดึงหญิงสาวเข้ามากอด ส่วนลิลลี่ยังไม่ละความตั้งใจ ต่อโทรศัพท์หาพี่สาวจนได้ มิฉะนั้นเธอคงนอนไม่หลับหากไม่ได้อัพเดทเรื่องนี้

"เด็กดื้อ" วินระวีกระชับอ้อมแขน

"ก็นอนไปสิคะ ห้ามส่งเสียงนะ เดี๋ยวพี่โรสได้ยิน" ลิลลี่กำชับ

"ครับผม" วินระวีรับคำแล้วซุกไซ้ไปที่ซอกคอเงียบๆ ลิลลี่หดคอกลั้นหัวเราะ แล้วหยิกแขนเขา




"ใครนะ โทรมาตอนนี้" เวรุตบ่นเสียงเซ็ง เพราะเพิ่งจะเริ่มล่อลวงคนในอ้อมแขนให้คล้อยตามได้ เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียงั้น

"ยัยลี่ค่ะ" โรสมองโทรศัพท์ในมือ ตั้งท่าจะลุกออกจากที่นอน หากแต่วงแขนแข็งแรงกลับกอดกระชับไม่ให้ขยับ

"ห้ามแอบฟังนะคะ" โรสหันบอกคนข้างหลัง

"ไม่มีทาง" เวรุตว่าทีเล่นทีจริงกดปลายคางไว้บนศีรษะหญิงสาว



"ว่าไงลี่ มีอะไรด่วนหรือเปล่า"

"แค่จะโทรมาเช็คข่าวที่พัดชาไปเที่ยวเชียงใหม่กับเวน่ะค่ะ พี่โรสเห็นข่าวหรือยัง"

"พัดชากับเวเหรอ อ้อ.."

"อ้อ นี่จริงหรือไม่จริงคะ"

"จริงที่ไปเจอกันที่เชียงใหม่ แต่ไม่จริงที่ไปด้วยกัน"

"พี่โรสรู้ได้ไงคะ"

"ก็ทริปนั้นพี่ไปกับเขาด้วย เวเขาไปเรื่อง..งานน่ะ" เวรุตนอนยิ้มฟังการสนทนาที่พอจะจับประเด็นได้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน มือพลางลูบไล้ต้นแขนหญิงสาว

"แล้วพี่รู้ไหมว่าแฟนเก่าพัดชาน่ะ เป็นเพื่อนสนิทกับเวกับ.." วินระวีรู้ว่าหญิงสาวกำลังคุยเพลิน และกำลังจะเผยความลับให้พี่สาวรู้ว่าตนอยู่ที่ใดและกับใคร เขาจึงตัดสินใจปิดการสนทนานั้นทันที

"พี่ไม่ได้ใส่ใจหรอก ลี่เกิดหวงเวขึ้นมาล่ะสิ"

"อืม.." ลิลลี่พยายามจะตอบ หากได้แต่เปล่งเสียงออกมาจากลำคอ เพราะริมฝีปากถูกผนึกเสียแล้ว

"เวเขายังรอลี่อยู่นะ ถ้าหากลี่เปลี่ยนใจจะกลับมา.."

"อืม.."

โรสฟังว่าเสียงนั้นคือการตอบรับจากลิลลี่ ส่วนเวรุตชักรู้สึกว่าบทสนทนานั้นไม่เข้าท่าเสียแล้ว

"พูดอะไรบ้างสิลี่" โรสรู้สึกอึดอัดที่น้องสาวปล่อยให้ตนพูดเพียงฝ่ายเดียว

"ให้ผมพูดเองดีกว่า" เวรุตฟังจากน้ำเสียงโรสแล้ว รู้สึกว่าตนคงต้องพูดอะไรบ้าง

"ลี่...ลี่ นี่เวนะ"

"วิน! ลี่คุยอยู่นะ" เสียงที่ได้ยินเบาคล้ายเสียงกระซิบดังเข้ามาในโทรศัพท์ปนเสียงขลุกขลัก

"หมดเวลาแล้วลี่" เสียงของวินระวีดังแทรกเข้ามาอีกก่อนโทรศัพท์จะตัดสายไป

เวรุตยิ้มขำจากเสียงที่ได้ยิน คิดว่าปัญหาระหว่างตนและลิลลี่คงพบทางออกแล้ว 'ไอ้น้องบ้า' เขาคิดในใจก่อนวางโทรศัพท์กลับที่

"ลี่ไม่ยอมคุยด้วยใช่ไหมคะ หรือว่าลี่จะรู้" โรสเกิดวิตกจริตเข้าไปใหญ่

"ไม่ได้เป็นอย่างที่โรสคิดหรอกน่า" เวรุตยิ้มกว้าง

"คุณไม่เห็นเหรอ ว่าลี่ไม่ยอมพูดอะไรเลย" โรสว่าด้วยน้ำเสียงกังวล

"สัญญาณอาจไม่ดีก็ได้" เวรุตหัวเราะในลำคอ

"จะเป็นไปได้ยังไงคะ" โรสยังคงวิตก

"อยากรู้จริงๆ เหรอ" เวรุตเคลื่อนริมฝีปากเข้าใกล้ แล้วสัมผัสจูบอ่อนโยนเพื่อให้หญิงสาวลืมทุกสิ่ง แต่แล้วเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีก หากแต่คราวนี้มาจากเครื่องของเขา

"ใครอีกล่ะ ..เฮ้อ.." ชายหนุ่มเอื้อมหยิบโทรศัพท์

"ใครคะ?" โรสคิดว่าลิลลี่อาจโทรกลับมาอีก

"ไม่รู้สิ เบอร์ไม่คุ้นเลย"

"ครับ"

"จำพีชได้ไหมคะเว" เสียงพัดชาดังขึ้นฟังสนิทสนมราว 'พี่น้อง' ทั้งที่เพิ่งพบกันแค่ครั้งเดียว

"ครับ คุณพัดชา" เวรุตใช้ศอกยันตัวขึ้น มองสีหน้าขุ่นๆ ของคนที่อยู่ใต้ร่าง

"คือพีชจะโทรมาขอโทษเรื่องข่าวที่หลุดออกไปว่าเราไปเที่ยวเชียงใหม่กันเสองคนน่ะค่ะ"

"ช่างมันเถอะครับเรื่องนั้น เราต่างก็รู้ว่ามันไม่จริง" เวรุตยิ้มให้คนตรงหน้าที่ยังทำหน้าบึ้งอยู่

"พีชกลัวว่าจะทำให้ภรรยาคุณเข้าใจผิดด้วยค่ะ"

"ภรรยาผมเป็นคนใจกว้างครับ เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้เธอไม่ใส่ใจหรอกครับ" เวรุตตั้งใจพูดชมต่อหน้า แต่โรสกลับมองค้อน

"ยังไงพีชก็อยากจะขอโทษภรรยาคุณด้วยค่ะ" พัดชาว่าอ้อน

"ได้ครับ คุยกันเองนะครับ" เวรุตยื่นโทรศัพท์ให้โรส ทั้งที่เธอไม่อยากจะรับ

"สวัสดีค่ะ" โรสว่าเสียงเย็นชา

"พัดชานะคะคุณราดา คือดิฉันอยากจะขอโทษเรื่องข่าวน่ะค่ะ" พัดชาพูดด้วยเสียงไม่เป็นมิตรพอกัน

"ไม่เป็นไรค่ะ..." โรสกำลังจะชะต่อให้เจ็บแสบ หากแต่เวรุตปิดริมฝีปากบางสวยไว้เสียก่อน

"ข่าวมันก็เป็นข่าว แต่ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้" พัดชาตั้งใจจะยั่วโมโห

"อืม.." โรสตอบรับสิ่งที่ได้ยินแต่มิได้ฟัง

"ผู้ชายอ่ะน่ะ รักง่ายหน่ายเร็ว อย่าคิดว่าเธอจะเก็บเขาไว้ได้ตลอดไป"

"อืม.." โรสปล่อยโทรศัพท์ออกจากหู เพราะเริ่มรำคาญเสียงบั่นทอนบรรยากาศ

"นี่ หล่อนจะไม่พูดอะไรบ้างหรือไงยะ!"

แล้วสัญญาณก็ตัดไปพร้อมเสียงขลุกขลักๆ ... เวรุตเอื้อมปิดอุปกรณ์สื่อสารทั้งสอง เพื่อให้ค่ำคืนนี้เป็นราตรีแห่งการพักผ่อนปราศจากการรบกวนใดๆ อีกต่อไป




พัดชาขับรถเข้ามาจอดในอาคารคอนโดหรูกลางเมืองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อนึกวาดภาพต่อว่าเวรุตและภรรยากำลังทำอะไรกันอยู่หลังจากวางสายแล้ว

"อย่านึกนะว่าฉันจะยอมแพ้" หญิงสาวคว้ากระเป๋าถือ ลงจากรถ แล้วก้าวยาวๆ ไปที่ลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก

พอเปิดประตูเข้าห้องได้ ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งรออยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสบายจนน่าหมั่นไส้ เขาพาดเท้าไว้บนโต๊ะ แขนกางออกตามความยาวของพนักหลัง

"คุณมาที่นี่ทำไมอีก" หญิงสาวกระชากเสียงถาม

"ก็มาหาเมีย เอ๊ยเพื่อนที่ดีต่อกันน่ะสิ" เทวินทร์ หนุ่มไฮโซเจ้าสำราญว่าด้วยสีหน้าทะเล้น

"เพื่อนเหรอ ชิส์! หน้าคุณฉันยังไม่อยากจะมอง" พัดชาโยนกระเป๋าถือไว้บนโซฟาอีกตัว แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หาเครื่องดื่มมาดับไฟในทรวง

"ปกติเวลาเราอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ค่อยจะใช้เวลามองหน้ากันอยู่แล้วนี่" ชายหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงสื่อความหมาย

"นั่นมันเป็นอดีต คุณจะมาฟื้นฝอยหาอะไร ตอนนี้เราต่างคนต่างอยู่แล้ว เข้าใจไหม" พัดชากระแทกกระป๋องเบียร์ลงบนเคาเตอร์หลังจากดื่มเข้าไปอึกใหญ่

"พีชพูดเองต่างหาก ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักคำว่าเราเลิกกัน"

"แล้วที่คุณไปอี๋อ๋อกับแม่ดาราน้องใหม่นั่นล่ะ ฉันไม่อยู่รอให้คุณเขี่ยฉันทิ้งหรอกนะ ฉันเปิดทางให้คุณด้วยซ้ำ"

"ผมก็แค่พาเขาไปทานข้าว เราก็แค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง" เทวินทร์ว่ากระเซ้าแล้วโอบกอดหญิงสาวจากด้านหลัง

"พี่น้องท้องชนกันล่ะสิไม่ว่า" พัดชากระทุ้งศอกเข้าให้

"บ้า พี่น้องที่ไหนเขาทำกันแบบนั้น ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันล่ะก็ไม่แน่" ชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหู ยังไม่ยอมคลายวงแขนออก

"นี่! ปล่อยฉันนะ!!" พัดชาหันไปผลักชายหนุ่มออกห่าง รู้ว่าถ้าอยู่ในอ้อมแขนเขานานกว่านี้ เธอต้องใจอ่อนอีกเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน ครั้งนี้เธอตั้งใจจะตัดเขาให้ได้ หลังจากความสัมพันธ์อันยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะเดินหน้าไปไหน เพราะเขาเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่คิดจริงจังกับเธอ

"ที่พีชตีตัวออกห่าง เพราะมีเป้าหมายใหม่แล้วใช่ไหม" เทวินทร์เริ่มอารมณ์ขุ่นขึ้นมาบ้าง เพราะเขาติดตามข่าวเธออยู่เช่นกัน

"ใช่" หญิงสาวตอบชัดถ้อยชัดคำ

"งั้นผมจะบอกอะไรให้ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงจะดีใจกับคุณด้วย แต่ถ้าเป็นเวรุต ฝันไปเถอะ" เทวินทร์ดึงข้อมือหญิงสาวเข้ามาใกล้ บอกกล่าวด้วยคำพูดและสายตาจริงจัง ก่อนจะผลักร่างบางนั้นออกไป

"ฉันจะเอาเขามาเป็นของฉันให้ได้ คุณจะทำไม!" พัดชาว่าท้าทายไม่ยอมแพ้

"ผมจะถ่ายคลิปคุณไว้แบล็คเมลดีไหม" ชายหนุ่มทำเป็นถามความเห็นแล้วมองร่างระหงด้วยสายตาหื่น

"นี่อย่ามาบ้ากับฉันนะ ไปให้พ้น" พัดชาเริ่มกลัวว่าเขาจะทำจริง ตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ถูกรวบเอวไว้เสียก่อน เขายกเธอจนตัวลอยด้วยแขนเพียงข้างเดียว เดินตรงไปที่ห้องนอน ท่ามกลางความโกลาหลภายในหลังจากประตูปิดตัวลง



เทวินทร์จากไปในตอนเช้า พร้อมทิ้งโน้ตไว้บนหัวนอน ซึ่งทำให้พัดชาแทบคลั่ง ตลอดระยะเวลาที่มีความสัมพันธ์กันมา เธอไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากเขา แต่ผลตอบแทนกลับทำให้เจ็บไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เขาไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยซักนิด ที่คิดจะทำร้ายเธอด้วยวิธีนี้ หญิงสาวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาเขาทันที

"ไอ้คนบ้า! ไอ้คนเลว! ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง" พัดชากระแทกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยอารมณ์โกรธปนเสียงสะอื้น

"ใจเย็นๆ สิที่รัก ผมก็แค่อยากจะเก็บช่วงเวลาดีๆ ระหว่างเราไว้เป็นที่ระทึก ยามที่ต้องห่างกัน" เทวินทร์ว่าล้อ ไม่คิดว่าหญิงสาวจะเชื่อสนิท เพราะเขาก็หมดแรงไปพร้อมๆ กับเธอ จะเอาเวลาที่ไหนขึ้นมาถ่ายคลิปได้อีก

"ฉันไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรเหลือให้คุณแล้ว ไม่มีแล้ว! ได้ยินไหม??"

"ใช่สิ! เพราะพีชกำลังจะมีคนใหม่ใช่ไหมล่ะ?"

"คุณจะมาสนทำไมว่าฉันจะมีใคร เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว!"

"แล้วเมื่อคืนเขาเรียกว่าอะไร?" เทวินทร์โต้กลับ

"ฉันก็แค่ทำทานสัตว์หิวโหย ที่ไม่มีที่ไปก็เท่านั้น!!"

"แรงเกินไปแล้วนะพีช!" ชายหนุ่มเค้นเสียงด้วยอารมณ์เดือด

"แค่นี้แรงเหรอ!? ที่คุณทำกับฉันมันเรียกว่าชั่วช้าสามารด้วยซ้ำไป"

"หยุดได้แล้ว! ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย"

"คุณจะทำไม?? อย่างคุณน่ะเก่งแต่รังแกผู้หญิงเท่านั้นแหละ!!" พัดชาท้าทายก่อนขว้างโทรศัพท์ลงบนที่นอน

"เดี๋ยวก็รู้!!" เทวินทร์กระแทกโทรศัพท์ลงบนเบาะด้านข้าง ก่อนจะเหยียบเบรคสนั่นลั่นถนนเพื่อกลับรถ หลังจากเพิ่งขับออกมาจากคอนโดหญิงสาวได้เพียงกิโลเมตรเดียว






"กรี๊ดดดดดดดด.... จะกลับมาทำไมอีก!!"

พัดชาฉวยสิ่งของใกล้มือขว้างใส่ชายหนุ่มไม่ยั้ง ด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งตกใจ

"กลับมาทำไมน่ะเหรอ...หึ!"

เทวินทร์หลบข้าวของที่ปลิวว่อนจากพายุอารมณ์โหมแรงของอีกฝ่าย ในขณะที่ภายในกำลังเดือดพล่านอยู่ใช่น้อย และกว่าจะเข้าถึงต้นตอมรสุมได้ก็ทำเอาห้องเละกระจุยกระจายแทบไม่เหลือสภาพเดิม

"ปล่อยฉันนะ!!" ผลัวะ!!

"โอ้ย!!...พีช!!!"

"กรี๊ดดดดด......"

".........."

".........."
















 

Create Date : 20 กันยายน 2554    
Last Update : 3 ตุลาคม 2554 8:13:03 น.
Counter : 449 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.