I'll Keep You Satisfied
ภาพจาก //www.tosit.comแก้วตาดวงใจทุกข์แก้วตาดวงใจบนไหล่พ่อทุกข์ใดหนอหนักหนาเกินกว่าแก้อยากปลอบโยนรับรู้และดูแลด้วยรักแท้กำลังใจมีให้กันยกเจ้าสูงเท่าที่มีแรงส่งอนาคตสำเร็จคงไม่เกินฝันอ่านสายตาถ้อยคำสื่อสัมพันธ์อ่านหัวใจพ่อนั้นเถิดแก้วตา หวังเห็นลูกสุขสันต์รับวันใหม่ ยิ้มแต่งแต้มแก้มใสบนใบหน้าเหนื่อยก็พักหนักก็วางอย่างเคยมาพาดบนบ่าพ่อไว้แบกให้แทนร่มคันเล็กถือร่มเล็กแต่ในหัวใจกว้างเพื่อนร่วมทางพึ่งพาฝ่าสายฝนอากาศหนาวอุ่นในน้ำใจคนแต้มรอยยิ้มเติมบนหนทางยาวร่มคันเล็กไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ถึงตัวเปียกหัวใจยังใฝ่ก้าวร่มเดียวกันสองเราเล่าเรื่องราวในวันหนาววันนั้นฉันและเธอโซ่ ...แววตาแม้อ่อนล้ายังคงคิดสงสัยโซ่ตรวนผูกทั้งตัวทั้งหัวใจแต่เหมือนไร้คุณค่าพันธนาการปล่อยวางเว้นช่องว่างไว้ให้ใครเดินผ่านเคยจับปลายหนึ่งเพลินมาเนิ่นนานสายใจร้าวใจรานเพราะเธอเมินช่องว่าง ต่างความคิดต่างวัยใจไม่ห่างแต่ช่องว่างเว้นไว้ให้เสมอคอยปกป้องมองดูอยู่ข้างเธอและตักเตือนเมื่อเผลอเดินผิดทางต่างคนต่างอิสระจะเรียนรู้ใช้ชีวิตต่อสู้บนโลกกว้างรอฝนซาฟ้าใสไปพลางพลางให้ช่องว่างความผูกพันนั้นเติมเต็ม"คิดถึงนะ"บันไดชีวิตก้าว............อีกไกลท้อนักพักทำใจ...........นิ่งบ้างยิ่งสูงยิ่งหนาวใน.........ทรวงเหนื่อย ความรักรายรอบข้าง....อยากให้เธอเห็นเป็นแรงใจเปี่ยมล้น......สม่ำเสมอไร้ค่าหรือเลิศเลอ........รับรู้ "คิดถึงนะ"บอกเธอ......ยิ้มนะหายเหนื่อยให้ฮึดสู้-.....ศึกท้าอย่าถอยstandby="Loading Microsoft Windows Media Player components..." VIEWASTEXT> I'll Keep You Satisfied (Lennon/McCartney)Billy J Kramer & The Dakotas/1963
สาเหตุอันนำมาสู่การมีศาสนา และปรัชญา ฯลฯ
มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมลักษณะทางกายภาพคล้ายลิง แต่สมองและจิตใจห่างกันมหาศาล ชิมแปนซีอาจใช้เครื่องมือบางอย่างได้ สื่อสารกันเองได้บ้าง ความฉลาดพอ ๆ กับเด็กสามสี่ขวบ แต่ไม่มีสัตว์ชนิดไหนเลยที่มีการจัดพิธีศพ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับถือผี นับถือบรรพบุรุษ เชื่อโชคลาง ประดิษฐ์(วัตถุมงคล)และใช้เครื่องราง ฯลฯ ลองพลิกดูประวัติศาสตร์ของมนุษย์ดูเถอะครับ ทุกชาติพันธุ์มีเรื่องพวกนี้เหมือนกันหมด ทั้งคนป่าคนเมืองนี่คือความพิเศษของความเป็นคนนะครับ (บางความเห็นอาจว่า คนมีวิญญาณ สัตว์ไม่มี บางความเห็นเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือจินตนาการที่มนุษย์คิดไปเอง)ทั้งคนและสัตว์กลัวอันตรายที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ แต่การกลัวสิ่งที่เหนือกว่าเรา สิ่งที่เราไม่รู้ คาดเดาไม่ได้ และพยายามหาคำตอบเนี่ยมีเฉพาะในคนเท่านั้น มันติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่มีมนุษย์คนแรก และมันอยู่ในยีนส์ที่ถ่ายทอดให้ลูกหลานไปเรื่อย ๆเช่นเดียว กับสัญชาตญาณอย่างอื่น เช่น การปกป้องลูก รีเฟล็กซ์เมื่อมีอันตราย เด็กแรกเกิดดูดนมเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องมีใครมาสอน ทำไมมนุษย์คนแรกถึงได้มียีนส์อันเกี่ยวข้องกับการกลัวพระเจ้า กลัวผี และกลัวสิ่งที่เหนือกว่าเรานี้ แต่สัตว์อื่น ๆไม่มีสักนิดเลยล่ะ มีใครหรืออะไรสักอย่างจับสิ่งนี้ใส่โปรแกรมไว้ในสมองของมนุษย์โดยเฉพาะหรือเปล่าประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นมีจำกัด เรามองเห็นในช่วงแสงสีขาวเท่านั้น ทั้งที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกมากมายมหาศาลรอบตัวเรา เราฟังเสียงที่มีความถี่ได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้ยิน ฯลฯ สายตาเรามองได้จำกัด ต่อให้ส่องกล้องโทรทรรศน์ก็แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าอะไรใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่า เอกภพ จักรวาล และใหญ่กว่านั้นอีก ต่อให้ส่องกล้องจุลทรรศน์ก็แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเล็กที่สุด เล็กกว่าอะตอม กว่าอิเลคตรอน และเล็กกว่านั้นอีก จนสิ้นสุดที่ไหนฯลฯ เรารู้ตัวหรือเปล่าว่าสิ่งที่เรารับรู้และสัมผัสได้นั้นมันเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับ"สิ่งที่มีอยู่แล้ว"ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราเกิดโดยไม่รู้ที่มา และตายโดยไม่รู้ที่ไป เราไม่รู้อดีตและอนาคต ไม่รู้วันตายของตัวเอง อย่างมากก็เดาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ชีวิตมนุษย์จึงมีความ "ขาด" ที่ต้องหาอะไรสักอย่างมาเติมอยู่ จนเกิดเป็นปรัชญาและศาสนาต่าง ๆมากมายคำตอบแบบแรกคือ การไม่มีอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น ด้วยการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่น อะไรอะไรก็เป็นอนิจจังว่างเปล่าเสียทั้งนั้น ทั้งตัวตน สิ่งของ ทุกอย่างในโลกและนอกโลก เมื่อเราบอกตัวเองว่า อะไรอะไรก็ไม่มี แม้แต่ตัวเราก็ไม่มี พอไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรจะ "ขาด" และเราก็จะไม่รู้สึกว่า "ขาด" อะไรอีก ที่สุดคือความสงบและว่าง ไม่มีเกิด แก่ เจ็บตาย ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข และกว่าจะไปถึงความว่างนั้น ต้องอาศัยการฝึกจิต-การบำเพ็ญ ฯลฯ ละกิเลส/อารมณ์/ตัวตน ให้หมดสิ้นไปสู่ความสงบว่างเปล่า-จนกว่าจะบรรลุได้ด้วยตัวเอง แบบที่สอง มนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เหมือนกับบอกว่ามนุษย์นี่แหละคือพระเจ้า คือคำตอบของทุกสิ่ง คนพวกนี้พยายามปฏิเสธความกลัวฯที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี้ให้ได้ด้วยการอธิบายเหตุผลต่าง ๆ มาตอบตัวเอง และบอกตัวเองว่านี่แหละถูกแล้ว จริงแล้ว ใช่แล้วอะไรที่รับรู้และสัมผัสไม่ได้ ก็คือไม่มี อะไรที่หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ คือเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นมนุษย์เหล่านี้ไม่ค่อยถ่อมตัว คิดว่าเอาชนะธรรมชาติได้และชอบดูถูกเหยียดหยามอะไรต่ออะไร แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองวิทยาศาสตร์คือคำตอบของทุกสิ่ง หาเหตุผลและคำตอบจนคิดว่าเต็มแล้ว แต่จริง ๆไม่มีทางเต็มได้เลยเพราะความรู้หาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบสิ้น พบใหม่ และถูกหักล้างได้ตลอดเวลา ที่สำคัญ ประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นจำกัดการรับรู้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ความ "ขาด" จึงถูกทดแทนได้เพียงบางส่วนเท่านั้น คนพวกนี้ยังมีกิเลสและอารมณ์อยู่เต็มร้อย บางคนพยายามเอาความคิดแบบนี้ไปปนผสมกับคำตอบแบบที่หนึ่งและสาม ...ก็มีคำตอบ แบบที่สามคือ พระเจ้า เทพเจ้า ทั้งหลายนั่นเอง สิ่งที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจเหลือล้นคือคำตอบของทุกคำถามที่มนุษย์หาเหตุผลตอบเองไม่ได้ มนุษย์เป็นเพียงจุดเล็ก ๆเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มนุษย์จึงต้องถ่อมตัวลงพระเจ้า/เทพเจ้า มีหลายแบบแล้วแต่ศาสนา อย่างที่เราทราบกันดี มีทั้งพระเจ้าที่ทรงพระเดช และทรงพระคุณ มีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไขพระเจ้าที่มีเงื่อนไขให้มนุษย์ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษก็มีอยู่มากพระเจ้าที่เป็นเจ้านาย มนุษย์เป็นบ่าวก็มีพระเจ้าที่เป็นพระบิดา มนุษย์เป็นบุตรก็มีการมีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาเป็นพวกเดียวกับเรา หนุนหลังเราอยู่ตลอดเวลานั้นจะให้ความรู้สึกเติมเต็มได้ทุกเรื่อง เพราะมนุษย์จะได้คำตอบสำหรับทุกคำถาม และไม่รู้สึกว่า "ขาด"อะไรอีกความคิดที่จุด 0 คือการละกิเลส/อารมณ์/ตัวตน ให้หมดสิ้นไปสู่ความสงบว่างเปล่านั้น เทศกาลและพิธีกรรมต่าง ๆ ก็ต้องเป็นไปในทางสงบ ปรัชญาของผู้นับถือก็ด้วย จะต้องยึดหลักเฉพาะที่ตัวผู้ปฏิบัติเอง ต้องไม่ใส่อารมณ์และความคิดบวกหรือลบกับอะไรก็ตาม และปล่อยสัตว์โลกให้เป็นไปตามกรรมของเขาส่วนปรัชญาความคิดในเชิงบวก บวกอยู่เสมอ คือการ นับถือพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ พระเจ้ารักฉันฉันจะรักคนอื่น แม้พระเจ้าลงโทษฉันก็ลงโทษด้วยความรัก พระเจ้ายกโทษให้ฉันฉันก็ยกโทษให้คนอื่น จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง จงรักศัตรู ฯลฯ ทั้งหมดคือการออกไปหาคนอื่น เพื่อทำดีกับคนอื่นถ้าทำได้จริง ๆ จะเป็นทัศนคติการมองโลกที่สดใสมาก ในมือหนึ่งถือไบเบิ้ล และใบหน้ายิ้มได้ตลอดเวลา ทุกเทศกาลในศาสนา เป็นเทศกาลแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง My Sweet Lord George Harrison All Things Must Pass 1970
ปลา
เวียนว่ายกลางกระแสน้ำตามแต่ฟ้าและมหาสมุทรสร้างหนทางให้สูญชีวิตเพื่อชีวิตลิขิตไว้เป็นปลาเล็กปลาใหญ่ในวงวนล่าเหยื่อและเป็นเหยื่อเพื่อถูกล่ากำเนิดมากำหนดไว้ไม่สับสนระดับล่างรองรับระดับบนตามเหตุผลสัจธรรมค้ำจุนกันเพื่อสนับสนุนสิ่งใดในที่สุดคือมนุษย์ผู้ค้นหาบัญชาสวรรค์กลสมองสร้างปรัชญาสารพันสังเคราะห์สรรค์สรรพสิ่งทั้งจริง-ลวงผลาญทำลายรุกล้ำธรรมชาติถึงเล่นแร่แปรธาตุกันใหญ่หลวงถือโองการสิทธิ์สั่งสัตว์ทั้งปวงครองดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ดังใจทุกชีวิตเกิดมามีหน้าที่อำนาจเหนือกว่านี้มีอีกไหมรู้ความหมายชีวิตลิขิตใครจึงรู้ได้พาตนพ้นบาปบรรพ์ Wasted On The Way Artist: Crosby Stills & Nash
กวี
Vincent van Gogh (1853-1890)Kop van een skelet met brandende sigaret, 1886กวีคนสุดท้ายตายนานแล้วไร้วี่แววไปเกิดใหม่ในภพหน้าเหลือแต่คนเขียนกลอนซ่อนวิชากับคำกล่าวมิอาจกล้าเป็นกวีบทกวีบทสุดท้ายตายไปแล้ววิจิตรแก้วภาษาถูกทาสีว่าเขียนเล่นส่งไปไม่เอาดีแต่งพอเป็นพิธีเหมือนแต่งงานความจริงคือคำ "กวี" มีไว้เล่าเหมือนของเก่าเก็บไว้ให้ลูกหลานถอดรหัสถ้อยคำจากตำนานเรียนรู้โลกโบราณก่อนหน้าเราช่วยกันรักษ์อย่าให้ใครล้มล้างเคียงไว้ข้างรังไข่ไดโนเสาร์ตัวจริงเป็นอย่างไรมีไว้เดาก็นึกเอาอยากเห็นเป็นรูปใดปัจจุบันความหวังยังไม่รู้จะหาครูสอนกวีจากที่ไหนนอนก็เปล่ากลอนก็เปล่าน่าเศร้าใจฝันอยู่ได้..เป็นกวี..ไม่มีทาง Breaking My Heart : Michael Learns To Rock (Jascha Richter) album "Nothing To Loose"(Nothing To Lose-Released September 1997)
สัมผัสเฝือ
รูปภาพ รับรู้เพียงตราบที่ตาเห็น คมแสงบาดซ้อนสีร้อน-เย็น หลับเป็นลืมเป็นจะเข้าใจ รสชาติ หวานขมมิอาจตัดสินได้ คือสุขโศกคละสลับไป จืดไร้จบไร้ก็เท่านั้น กลิ่นหอม ร่ำล้อมร่ำร้อยหลากรอยฝัน ฉุนเบือนหน้าร้างจึงจางพลัน ใกล้กันและกันกลับกลายไกล น้ำเสียง คำเพราะเพราะเพียงสำเนียงไข เท่านี้นี่หรือที่สื่อนัย ตามใจตั้งใจหรือตามคำ สัมผัส กอดรัดหวานชื่นทุกคืนค่ำ ผละจากเหลือเห็นเป็นรอยช้ำ เจ็บจำจดจำจนวันตาย เฝือ มากเหลือยิ่งเหมือนลบเลือนหาย รูปรสกลิ่นเสียงเพียงนอกกาย ความหมายแค่หมายมิใช่จริง HERE THERE AND EVERYWHERE(Lennon/McCartney)Revolver (1966)