Group Blog
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 2/1)
lozocatlozocat


“พุทโธ่ พุทถัง...ทำไมหลานถึงมอมแมมเป็นลูกแมวคลุกฝุ่นอย่างนั้น”

กอบกาญจน์ หรือที่คนงานกว่า ๑๐๐ ชีวิตเรียก แม่นาย จัดการเปลี่ยนสำนวนจากลูกหมาตกน้ำเป็น ลูกแมวคลุกฝุ่นเสร็จสรรพ เมื่อเห็นสภาพของหลานรักที่ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าลูกหมา เนื่องจากหัวเหอยุ่งเหยิงไม่ต่างจากหัวสิงโตและหน้าตามอมแมม กอบกาญจน์เดินเข้าไปลูบหลังลูบไหล่หลานรักอย่างต้องการเรียกขวัญกลับคืนในทันทีที่ฝ่ายนั้นก้าวลงจากรถปิ๊กอัพ

ใบหน้าของเด็กสาว แม้จะเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่ไม่อาจปกปิดความงามหวานละมุน และไร้เดียงสาภายใต้เครื่องหน้าที่จิ้มลิ้มนั้นได้ หลานสาวของนางเติบโตขึ้นมาก จากเด็กหญิงที่ไม่ประสีประสา กลับกลายมาเป็นสาวน้อยที่สวยโสภา และยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นเดิม ต่างเพียงว่าหนนี้รอยยิ้มที่ส่งกลับมา แม้จะแย้มกว้างจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม แต่ก็ไม่สดใสเท่าที่ควร

สายน้ำกอดตอบคนเป็นย่า ก่อนว่า “น้ำก็คิดถึงย่ามั่กมาก การเดินทางแม้จะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แต่ก็คุ้มค่าและรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อน้ำมาเห็นหน้าย่า”

น้ำเสียงออดอ้อนฉอเลาะของหลานสาว ทำให้กอบกาญจน์ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู สายน้ำมีศักดิ์เป็นหลานสาวคนโต แต่กลับอายุน้อยสุด เหตุนี้จึงมีความเป็นเด็กในตัวอยู่มาก

“ปากหวานจริงๆ หลานย่า ย่าก็คิดถึงน้ำ ว่าแต่สภาพหนู ทำไมถึงดูไม่ได้แบบนี้ล่ะลูก”

“ก็นายเพลิงของคุณย่าสิคะแกล้งน้ำ” แล้วภาพการปะทะกับ หมีป่า เมื่อครู่ก็ย้อนมาสู่ความทรงจำ ภายหลังเธอตื่นขึ้นมาเห็นชายสวมหมวกปีกกว้างในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนอย่างหนุ่มคาวบอยในเท็กซัส ชะโงกเข้ามาใกล้และจดจ้องเธอด้วยแววตาที่คมกริบ ก็ทำให้เธอหวีดร้องด้วยความตกใจกลัวทันที ด้วยเขารูปร่างสูงใหญ่ แถมยังคล้ำ และอะไรก็ไม่ร้ายเท่าหนวดเครารกรุงรังซึ่งเป็นส่วนที่เธอขยะแขยงที่สุดในตัวผู้ชาย รู้สึกว่าสกปรก เห็นแล้วพานนึกถึงสัตว์มีขนดุร้ายอย่างหมีป่า

ฉะนั้นวูบแรกที่ตื่นมาเห็นและอารามตกใจกลัว จึงทำให้เธอพุ่งเข้าไปรัวกำปั้นใส่เขา แล้วก็เกิดการต่อสู้กันรุนแรงเมื่อเขาพยายามพลิกกลับมาคร่อมเธอ และรวบมือทั้งสองข้างไปไพล่ไว้เหนือศีรษะ กว่าเธอจะรู้ว่า หมีป่า ที่เธอต่อสู้ด้วย คือ นายเพลิงของบุญคำ ไม่ใช่คนร้ายที่ไหน ก็เมื่อคนงานไร่ย้อนกลับมาพร้อมด้วยรถปิ๊กอัพและเพื่อนคนงาน ถึงตอนนั้นเธอกับนายเพลิง ก็สะบักสะบอมไปพอๆ กันแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีสภาพไม่ต่างจากลูกแมวคลุกฝุ่น ดั่งที่กอบกาญจน์ว่า

เจ้าของอาณาจักรดิสกร ขมวดคิ้วมุ่น นางเริ่มคิดว่าชักจะเชื่อคำของหลานรักไม่ได้แล้ว จึงหันไปทางบุญคำ ซึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องลงจากหลังรถปิ๊กอัพพอดี

“เกิดอะไรขึ้นคำ ทำไมสภาพของหลานฉันถึงเป็นแบบนี้”

“นังสวยเกนะครับแม่นาย ตอนแรกว่าจะรอให้รถในไร่ผ่านมา แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มี เลยตัดสินใจเดินเข้าไปในฟาร์มเพื่อหารถ แต่ก็ยังไม่กลับมาจากในเมือง เลยต้องเดินเข้าไปในไร่ ถึงเพิ่งมาได้นี่แหละครับ” บุญคำตอบด้วยท่าทีนอบน้อม

ในไร่ลึกกว่าฟาร์ม สวนเกษตรดิสกรของกอบกาญจน์ ประกอบด้วย สวน ไร่ นา ฟาร์ม และแปลงเกษตรทดลอง แต่ละส่วนมีรถใช้ประจำ ๑-๒ คันแล้วแต่ความจำเป็น และมีรถส่วนกลางอีกจำนวนหนึ่งไว้สำหรับบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำไปส่งขายในตัวเมือง

“นี่เอาอีแต๋นออกไปวิ่งถึงสนามบินเลยหรือ” กอบกาญจน์ถามอย่างคาดไม่ถึง ก่อนกล่าวต่อว่า “นังสวยพากลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยนี่ ก็ถือว่าบุญแล้ว แล้วทำไมถึงเอานังสวยออก ในเมื่อรถในไร่มีตั้งมากมาย”

“คุณเพลิงให้เอานังสวยออกครับ เพราะรถคันอื่นไม่ว่างเลย”

“ดูนะนายเพลิงของคุณย่า แกล้งน้ำ” สายน้ำสบโอกาส โวยกึ่งฟ้องขึ้นทันที

คนเป็นย่า ปรายตาไปมอง “ก็คำบอกอยู่ว่าพี่เขาไม่ได้แกล้ง แต่รถคันอื่นไม่ว่าง”

คำอธิบายของกอบกาญจน์ ทำให้บุญคำลอบยิ้มขำทันที เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่คนงานว่าใครมาแตะต้องเพลิงไม่ได้ กอบกาญจน์เป็นต้องออกหน้ารับแทนโดยพลัน

คนเป็นหลานสาวกล่าวต่อว่า “แต่นายเพลิงแกล้งทำให้น้ำตกใจ” แล้วสายน้ำก็บอกเล่าเรื่องราวที่ปะทะกับเพลิงให้คนเป็นย่าฟัง

กอบกาญจน์ฟังแล้ว จะเห็นใจคนเป็นหลานก็หาไม่ นางกลับพูดว่า “คุณพระคุณเจ้า ทำไมหลานถึงไปทำร้ายพี่เขาอย่างนั้น พี่เพลิงอุตส่าห์หวังดีตามไปดูเรา แต่ดู๊ดูสิ่งที่น้ำตอบแทน เดี๋ยวเจอพี่เพลิง น้ำต้องขอโทษพี่เขานะลูก เราเป็นเด็กเป็นเล็กต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่ พี่เพลิงแก่กว่าน้ำมาก”

สายน้ำนิ่วหน้า เธอไม่ทันแย้ง เสียงคนเป็นย่าก็เทศน์ต่อไปว่า

“แล้ววันหน้าวันหลัง น้ำต้องเรียกเขาว่าพี่เพลิงนะลูก ไม่ควรเรียกว่านายเพลิง”

“แต่ลุงคำก็เรียก”

“ปล่อยให้ลูกน้องกับนาย เรียกของเขาอย่างนั้นไป แต่น้ำเป็นหลานย่า ควรต้องเรียกว่าพี่เพลิง”

“แต่นายหมีป่านั่น...” เธอพูดไม่ทันจบ กอบกาญจน์ก็ถามทะลุกลางปล้องว่า

“ใครหมีป่า?” ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจนัก ต่างจากคนข้างหลังที่ฟังแล้วลอบยิ้ม บุญคำ กำลังนึกอยากรู้ว่าถ้านายเพลิง มาได้ยินคำเรียกขานของหลานแม่นายเข้าให้ นายเพลิงจะว่าอย่างไร เชื่อว่าคงหนวดกระดิกแน่... คิดแล้ว บุญคำก็ได้แต่ยิ้มขำอยู่คนเดียว

“ก็นายเพลิง”

“ย่าบอกแล้วว่าหลานต้องเรียกพี่เพลิง”

สายน้ำกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็อุบอิบตอบอย่างไม่เต็มใจนักว่า “ก็ได้ค่ะ”

กอบกาญจน์พยักหน้าอย่างพอใจ

สายน้ำเปลี่ยนเรื่องเพื่อผลักให้ไกลตัว เธอกล่าวว่า “ว่าแต่ย่าไม่คิดซื้อรถเก๋งใช้บ้างหรือคะ หนูว่ามันสะดวกสบายกว่าปิ๊กอัพเป็นไหนๆ”

“ไม่ได้หรอกหลาน ขืนเอาเก๋งมาใช้งานในไร่ เครื่องยนต์ก็สึกหรอพอดี งานไร่สมบุกสมบันเหมาะกับปิ๊กอัพมากกว่าลูก”

“แต่เราไม่ต้องใช้ในไร่สิคะ ใช้เวลาขับเข้าเมืองพอ”

กอบกาญจน์ส่ายหน้า “ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นลูก รถที่มีอยู่ก็ใช้งานได้ดีแล้ว” พูดจบเห็นหน้ามุ่ยของหลานสาวโดยพลัน กอบกาญจน์ก็รีบเปลี่ยนเรื่องว่า “ย่าว่าหนูเข้าไปพักผ่อนในบ้านเถอะ มาถึงเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวกินปลา จะได้ขึ้นไปพักผ่อน ย่าให้เด็กๆ ทำความสะอาดห้องหับเตรียมไว้ให้แล้ว” แล้วกอบกาญจน์ก็หันไปทางบุญคำ กล่าวว่า “คำยกกระเป๋าของคุณน้ำขึ้นไปไว้บนชั้นสองเลยนะ เอาไปไว้ในห้องที่ติดกับพ่อเพลิง”



พ่อเพลิง ของกอบกาญจน์ กำลังรู้สึกแสบๆ คันๆ หน้า เมื่อฟอกสบู่ไปทั่วแล้วรู้สึกราวกับเล็บทั้งสิบยังคงจิกอยู่บนหน้า

สวรรค์ช่วย...แม่เสือสาวตัวจิ๋ว เล็บคมเหลือร้าย เธอตะกุยหน้าเขาเสียยับในจังหวะที่เขาพยายามพลิกตัวและจับมือเธอไปรวบไว้เหนือศีรษะ เจ้าหล่อนสู้ยิบตาทั้งข่วนและเตะ ขณะที่ปากร้องตะโกนปาวๆ ขอความช่วยเหลือ... เขาล่ะอยากจับหักคอนัก โชคดีที่บุญคำกลับมาทัน ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะพลั้งมือจัดการหลานของผู้มีพระคุณไปแล้ว เพราะเธอแสบเหลือร้าย เพลิงคิดด้วยความรู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางจดจ้องกระจกเบื้องหน้า ซึ่งสะท้อนภาพผู้ชายหนวดเครารกรุงรัง ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแดงๆ จากเล็บของเด็กสาวนั่น

ใช่...เธอร้ายปานเสือสาว สู้ไม่ถอยยังกับกระทิงบ้า...มันน่านัก

หนุ่มชาวไร่ วักน้ำล้างสบู่ ก่อนจะกระตุกผ้าขนหนูผืนเล็กจากราวมาซับหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังระเบียง ที่บรรดาลูกน้องกำลังรอประชุมเตรียมแผนรับมือกับลูกน้องของเสี่ยเม้ง หากพลันที่ทุกคนเห็นเขา ก็เกิดอาการอมยิ้ม

“ยิ้มอะไรกัน”

“เปล่าครับ” คนงานต่างพร้อมใจกันก้มหน้างุด ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องที่เพลิงถูกหลานสาวของกอบกาญจน์ตะกุยหน้า มีการพูดปากต่อปากจนขยายวงกว้าง ตอนนี้รับรู้กันโดยทั่วในหมู่คนงาน

ผู้จัดการสวนเกษตรกวาดตามองทุกคนโดยรอบ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ เขาจึงกระแทกเสียงว่า “ดี” จากนั้นก็เข้าเรื่อง ชายหนุ่มชี้ไปที่แผนที่บนโต๊ะไม้ตรงหน้า พลางว่า

“จับตาฝั่งนี้เป็นพิเศษเพราะอยู่ใกล้ที่ดินของเสี่ยเม้ง ใครเจออะไรที่ผิดสังเกตให้ ว.บอกทันที” แล้วจากนั้นก็เป็นการซักซ้อมแผนการรับมือ มีการแบ่งเวรเป็นสองผลัด เพื่อเฝ้าระวังตลอดคืน การวางแผนกินเวลาเกือบชั่วโมง จากนั้นจึงแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เพลิงยืนเท้าศอกกับราวระเบียง ทอดตามองผ่านความมืดอย่างไร้จุดหมาย ด้วยบัดนี้เรือนพักของคนงามเริ่มทยอยดับไฟกันแล้ว ในสวนเกษตรฯ แบ่งเรือนพักเป็นห้องย่อยๆ และปิดเปิดไฟเป็นเวลา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยอยู่กันหมู่มาก กอบกาญจน์จึงวางกฎกติกาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สายตาคมกล้ายังคงทอดยาวไปในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้น ขณะที่ในใจกำลังนึกสงสัยถึงการมาปรากฏตัวของหลานสาวของกอบกาญจน์ในช่วงนี้ ด้วยร้อยวันพันปีไม่เคยย่างกรายมาที่นี่ และผิวพรรณของเด็กสาวคนนั้น ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นคนรักธรรมชาติชอบป่าเขา

นั่นสิเพราะอะไร เธอถึงมาชนบทในช่วงนี้ ทั้งที่ในช่วงซัมเมอร์อย่างนี้ กิจกรรมช็อปปิงเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ในห้างหรูๆ ดูจะเหมาะกับชีวิตคุณหนูอย่างเธอมากกว่า?... ผู้จัดการหนุ่มเฝ้าวนเวียนถามตัวเองกลับไปกลับมา



คนที่เพลิงกำลังคิดถึง กำลังนั่งจ้อถึงวัตถุประสงค์การมาอย่างออกรสออกชาติกับกอบกาญจน์

สายน้ำเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ในปารีส ก่อนจะสรุปตบท้ายว่า “เพราะเหตุนี้พอพ่อถามว่าปิดเทอมซัมเมอร์นี้ น้ำอยากไปเที่ยวไหน น้ำถึงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าอยากมาที่นี่ เพราะน้ำไม่ได้เจอย่าหลายปีแล้ว น้ำล่ะคิดถึงย่ามั่กมาก วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวว่าไทยยังคงรักษาแชมป์ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ ทำให้น้ำนึกถึงที่นี่ เพราะจำได้เลาๆ ว่าที่สวนเกษตรของย่า มีนาข้าวเยอะมาก”

“ใช่...ย่ามีนาข้าว ๓๐ ไร่ ส่วนหนึ่งย่าให้ชาวบ้านทำกิน ปล่อยให้เขารับผิดชอบคนละแปลง ส่วนที่เหลืออีก ๓๐ไร่ ก็ปลูกพวกไม้ผลพืชผัก ส่วนที่เหลืออีก ๔๐ ไร่ เป็นพื้นที่แหล่งน้ำกับบ้าน”

“แล้วย่าได้อะไรตอบแทนกลับมาคะ” สายน้ำถามพลางเปลี่ยนท่านั่ง การนั่งขัดสมาธิกินข้าว แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสายน้ำ ทำให้เกิดอาการเมื่อยและเป็นเหน็บเร็วกว่าคนทั่วไป เธอจึงอาศัยการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

ภายหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนลายลูกไม้น่ารักโดยมีเสื้อคลุมสวมทับอีกชั้น เด็กสาวก็ลงมากินข้าวกับกอบกาญจน์ แวบแรกที่เห็นกอบกาญจน์นั่งพับเพียบโดยมีสำรับวางบนพื้น เด็กสาวก็ทำหน้าเหยเกไปหนหนึ่งแล้ว เพราะไม่ชินกับการนั่งพับเพียบเหมือนอีกฝ่าย ฉะนั้นเธอจึงนั่งเลียนแบบได้เพียงสองสามรอบ ก็ยอมแพ้หันมานั่งสบายๆ ในท่าขัดสมาธิ โดยทำทีไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาที่มองมาแทบตาถลนของคนเป็นย่า

กอบกาญจน์ตอบว่า “ย่าไม่ได้หวังอะไร แต่ชาวบ้านพวกนี้มักคืนข้าวเปลือกกลับมาครึ่งหนึ่งที่เขาเกี่ยวได้”

สายน้ำพยักหน้ารับรู้ ขณะที่พริ้ง คนรับใช้ส่วนตัวของกอบกาญจน์เสริมว่า

“แม่นายเน้นการทำเกษตรทฤษฎีใหม่น่ะค่ะคุณหนู”

“อีกคนแล้วที่ชอบพูดคำศัพท์เข้าใจยาก เมื่อตอนบ่ายลุงคำก็พูดคำนี้หนหนึ่งแล้ว เกษตรทฤษฎีใหม่ที่ป้าพริ้งว่า แปลว่าอะไรคะย่า แล้วเป็นยังไงคะ”

กอบกาญจน์ยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนตอบว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่ มักมาคู่กับเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ ประยุกต์มาจากเศรษฐกิจพอเพียง คือการผลิตที่พึ่งตนเองได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ค่อยเป็นค่อยไป ให้พอมีพอกินไม่อดอยาก มีการผลิตข้าวกินพอเพียงในแต่ละปี ย่ายังจำพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงให้ไว้ในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ ได้ว่า ทฤษฎีใหม่นี้มีไว้สำหรับป้องกัน หรือถ้าในโอกาสปกติ ทำให้ร่ำรวยขึ้น ถ้าในโอกาสที่มีอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวได้ โดยไม่ต้องให้ทางราชการไปช่วยมากเกินไป ทำให้ประชาชนพึ่งตนเองได้อย่างดี นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน”

“ยังไงคะย่า น้ำฟังแล้วไม่เข้าใจ”

เจ้าของไร่ยิ้มด้วยแววตาปรานี ก่อนขยายความว่า “หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ การทำไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสาน มีการปลูกพืชผักสวนครัว ทำปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกและนำวัสดุเหลือใช้มาทำปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่าย และบำรุงดิน อย่างการเพาะเห็ดฟางจากวัสดุเหลือใช้ในไร่นา การปลูกไม้ผลหรือทำสวนหลังบ้าน การปลูกพืชสมุนไพร การเลี้ยงปลาในร่องสวน ในนาข้าวและแหล่งน้ำอื่นๆ เพื่อเป็นอาหารโปรตีนและรายได้เสริม การเลี้ยงไก่ เพื่อเป็นอาหาร โดยเราสามารถใช้เศษอาหาร รำ ปลายข้าวจากผลผลิตนาข้าว ข้าวโพดจากการปลูกพืชไร่ มาเลี้ยงไก่ หมูและสัตว์อื่นๆ และเรายังสามารถทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ที่เลี้ยงไว้ จะเห็นได้ว่าทั้งระบบมีการพึ่งพากันและกัน เราจึงเรียกว่าเกษตรผสมผสาน และเพื่อให้ทุกอย่างสมดุล จึงมีหลักการว่าต้องแบ่งพื้นที่สำหรับทำนา ๓๐% พื้นที่สำหรับปลูกผลไม้พืชผักต่างๆ ๓๐% บ่อน้ำหรือแหล่งน้ำ ๓๐% และที่เหลืออีก ๑๐% ใช้สำหรับปลูกบ้านที่อยู่อาศัย”

“น้ำเห็นมีม้าในสวนเกษตรแห่งนี้ด้วย เห็นนายเพลิงขี่ เอ้อ...เห็นพี่เพลิงขี่ม้าด้วย” สายน้ำรีบแก้คำพูดโดยพลัน เมื่อเห็นกอบกาญจน์จ้องมาอย่างดุๆ ก่อนถามต่อว่า “ม้าละคะ มันช่วยในการทำการเกษตรยังไงคะ”

“เรื่องนี้เป็นแนวคิดของพี่เพลิง เขาเห็นว่าย่าต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากในการเดินใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักตามใต้ต้นยาง ใต้ต้นปาล์ม แล้วก็สวนผลไม้ต่างๆ เมื่อ ๕-๖ ปีก่อนเขาก็เลยลองเอาม้ามาเลี้ยงเพื่อให้คนงานขี่ใส่ปุ๋ย”

“แล้วมันได้ผลหรือคะ” สายน้ำถาม ไม่ตั้งใจจะขัดคอ แต่อยากรู้จริงๆ เพราะเธอไม่เคยได้ยินเรื่องม้าช่วยทำการเกษตรมาก่อน

“ก็เห็นผลอยู่นะ อย่างน้อยก็เรื่องที่คนงานไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินใส่ปุ๋ยตามโคนต้น กับเรื่องช่วยกำจัดวัชพืชตามโคนต้นไม้ เพราะม้าพวกนี้คอยกินเมล็ดยางที่ร่วงโคนต้น แล้วก็กินวัชพืชที่ขึ้นแถวโคนต้น ก็ถือว่าช่วยคนงานได้อีกแรง ปีถัดมาเพลิงเลยลองสั่งเพิ่มเข้ามาอีก ๒-๓ ตัว คราวนี้เห็นผลชัดเจนขึ้น เพราะเราใช้คนงานในการเดินใส่ปุ๋ยน้อยลง แถมยังได้ปริมาณของมูลสัตว์เพิ่มขึ้น ถือเป็นปุ๋ยคอกชั้นดี จนถึงตอนนี้สวนเกษตรของย่ามีพ่อม้าพันธุ์ดีหลายตัว แถมยังมีคนมาซื้อลูกม้าถึงที่ด้วยนะ ส่วนผลผลิตทางการเกษตรก็น่าพอใจ ยางให้น้ำยางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผลไม้ก็เก็บได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบนิเวศน์ในสวนของย่าดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะย่าไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บริเวณหน้าดินก็เลยยังคงอุดมสมบูรณ์”

“แต่เราก็ต้องใช้คนงานเพิ่มขึ้นในการดูแลม้าพวกนั้น” สายน้ำแย้งเสียงอ่อนๆ

กอบกาญจน์หัวเราะ “เรื่องดูแลม้าส่วนมากเป็นหน้าที่ของเพลิง เขารักม้าของเขาทุกตัว ฉะนั้นเขาจะดูแลด้วยตัวเองเป็นหลัก แต่มีคนงานช่วยเป็นลูกมืออยู่บ้าง ๑-๒ คน”

“แล้วย่าไม่กลัวว่าม้าจะเหยียบพืชผลของย่าหรือคะ”

“ไม่หรอกลูก เพลิงมีระบบบริหารจัดการดี ฉะนั้นม้าเหล่านี้จะวิ่งตามสวนไม้ยืนต้น จะไม่วิ่งนอกเส้นทางเด็ดขาด ว่าแต่หลานยังไม่บอกย่าเลยว่า มาหนนี้ ต้องการอะไร?”

“น้ำคิดถึงย่าก็เลยมาเยี่ยม”

“แค่นั้น?” กอบกาญจน์ดักคออย่างรู้ทัน

“ค่ะ ก็น้ำไม่ได้เจอย่านานแล้ว” คนเป็นหลานก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบตาด้วยนัก

กอบกาญจน์พยักหน้า “ย่าก็คิดถึงหลาน แล้วหลานจะมาอยู่กับย่ากี่วัน”

สายน้ำอึกอัก จะตอบว่าแค่ ๑-๒ วัน ก็รู้สึกละอายใจ ที่สุดจึงตัดสินใจขยายเวลาออกไป เธอตอบว่า “ก็คงสัก ๑-๒ อาทิตย์แหละค่ะ”

“แค่นั้นเองหรือลูก น้ำน่าจะอยู่ที่บ้านสวนนานๆ อากาศที่นี่บริสุทธิ์ ย่ารับรองว่าหลานจะหลงรักที่นี่และไม่อยากกลับไปฝรั่งเศสอีกเลย”

“น้ำก็ว่างั้นแหละค่ะ ว่าแต่...”

“ว่าแต่อะไรหรือหลาน?” กอบกาญจน์ถามต่อ เมื่อเห็นคนเป็นหลานหยุดพูดไปเฉยๆ

คนถูกถามก็เลยได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน เพราะไม่รู้ว่าจะเกริ่นเข้าเรื่องที่ต้องการอย่างไรดี... ย่าคะเมื่อไหร่ย่าจะยกที่ดินให้พ่อคะ? ย่าคะย่าแบ่งมรดกให้ลูกๆ หรือยังคะ? ขืนถามโต้งๆ ออกไปอย่างนั้น เธอนึกเดาอนาคตตัวเองได้เลยว่าคงถูกยันโครมออกมาแทบไม่ทัน ที่สุดเด็กสาวจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปฏิเสธเสียงเอื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร แล้วจึงหันเหไปคุยเรื่องอื่น

สรุปคืนนั้นจนแล้วจนรอดสาวน้อยจากแดนไกล ก็ยังหาโอกาสในการเกลี้ยกล่อมคนเป็นย่าให้โอนโฉนดที่ดินให้กับพ่อของเธอไม่ได้...


lozocat
lozocat
lozocatlozocat



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2554 5:33:21 น.
Counter : 703 Pageviews.

4 comment
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 1/2)
lozocatlozocat

ใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง บัดนี้ชื้นไปด้วยเหงื่อด้วยผ่านการตรากตรำมาหลายชั่วโมงจากการช่วยทำคลอดให้ สีหมอก ในคอกปศุสัตว์ซึ่งอยู่ในส่วนของฟาร์มไกลออกไป ความที่เป็นท้องแรก จึงคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้ยาก เขาและสัตวแพทย์ต้องเข้าไปช่วยดูแลตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อตก แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะสีหมอกให้สมาชิกใหม่เป็นตัวเมียอย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูก

เพลิง ก้าวลงจากหลังม้า เขาผูกเชือกกับลำต้นมะปริงที่ปลูกใกล้โรงอาหารรวม แล้วจึงเดินไปเปิดก๊อกน้ำ เพื่อฟอกมือด้วยสบู่อีกรอบ จังหวะที่จะเดินเข้าไปเพื่อไปกินอาหารกลางวันซึ่งช้าไปหลายชั่วโมงนั้น ลูกน้องเขาก็ถามโหวกเหวกขึ้นว่า

“สีหมอกออกลูกตัวผู้หรือตัวเมียครับนายเพลิง”

เจ้าของชื่อ นายเพลิง เลยเดินกลับมาคุย เขาตอบสั้นๆ ตามบุคลิกไม่ช่างพูด ว่า “ตัวเมีย”

“ว้า...น่าจะเป็นตัวผู้นะครับนาย” คนงานไร่ตอบกลับมา

“ตัวเมียก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ จะได้เป็นแม่พันธุ์ให้เราต่อไป”

“ครับ แล้วนายตั้งชื่อให้มันหรือยังครับ”

“ยัง มีชื่อแนะนำหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่มีหรอกครับ เอาไว้ถ้าผมคิดออกจะบอกนะครับ”

“เอาสิ”

“แล้วคืนนี้นายจะไปนอนเฝ้าที่ปางอีกไหมครับ ผมจะได้ให้นังกลอยจัดสำรับไว้ให้เลย”

“คงต้องไปอีก เพราะคนของเสี่ยเม้งอาจลงมือคืนนี้ก็ได้ ว่าแต่คำยังไม่กลับมาเหรอ” ถามพลางชำเลืองมองลานใต้ต้นมะปรางซึ่งอยู่ตรงข้ามกับต้นมะปริง ที่เดิมมักใช้เป็นที่จอด นังสวย รถอีแต๋นของไร่ หากบัดนี้ว่างเปล่า

หลายคืนมาแล้วที่เพลิง ไม่ได้นอนที่เรือนใหญ่ของแม่นาย หากแต่อาศัย ปางไม้ บนภูเขาเป็นที่หลับนอนแทน เพื่อคอยเฝ้าระวังลูกน้องของเสี่ยเม้งไม่ให้ปล่อยช้างป่าเข้ามาเหยียบย่ำทำลายเรือกสวนไร่นาและพืชผลทางการเกษตรของกอบกาญจน์และของชาวบ้านที่อยู่ติดกัน ลูกน้องที่เขาส่งไปสืบในปางไม้ของเสี่ยเม้งรายงานมาว่าฝ่ายนั้นจะใช้แผนสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วนเพื่อบีบให้กอบกาญจน์ขายที่ดินแถวนั้น เพื่อเขาจะได้ขยายกิจการทัวร์ซาฟารีให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

ที่ดินที่อยู่ละแวกโดยรอบ โดนเสี่ยเม้งกว้านซื้อมาในราคาถูกๆ หมดแล้ว ซึ่งมีข่าวว่าเขาใช้กำลังในการบีบบังคับตลอดจนสร้างสถานการณ์หลากหลายวิธีเพื่อสร้างความเดือดร้อนจนชาวบ้านยอมขายในราคาถูก จนถึงตอนนี้เหลือเพียงที่ดินของกอบกาญจน์เท่านั้นที่ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ขาย

ไร่ดิสกร ของกอบกาญจน์ กินอาณาเขตกว้างขวางและเรียกว่าเป็นพื้นที่ไข่แดงก็ว่าได้ เนื่องจากอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ที่จับจ้องตาเป็นมัน รวมถึงเสี่ยเม้ง เพราะอยู่บนทำเลที่ดีและอุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็ได้ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เนื่องจากการบริหารจัดการที่มีวิสัยทัศน์ของกอบกาญจน์ ทำให้ผืนดินที่ครั้งหนึ่งเคยแห้งแล้ง กลับกลายมาเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า นักลงทุนหลายคนเข้ามาเจรจาเกลี้ยกล่อมขอให้กอบกาญจน์แบ่งขายที่ดินให้ โดยเสนอราคาสูง แต่นางก็ไม่เคยใจอ่อน ตรงกันข้ามปฏิเสธทุกรายไป ซึ่งเพลิงรู้เหตุผลดีว่า... ก็เพื่อชาวบ้าน เพราะหากขายไป แน่นอนว่าชาวบ้านที่กำลังทำมาหากินอยู่บนผืนดินของนางเหล่านั้น ต้องถูกขับไล่ออกไปแน่นอน

เพลิง ยังคงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่คนงานตอบว่า “ยังไม่กลับมาเลยครับ”

คำตอบนั้นทำให้คนเป็นนาย ชะงัก “แต่คำออกไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ครับ...ตั้งแต่เช้า แต่อย่างว่านังสวยมันขับเร็วไม่ได้ นายเพลิงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เดี๋ยวก็คงกลับมา”

ผู้จัดการไร่ดิสกร พยักหน้า เขาส่งบุญคำไปรับหลานสาวของกอบกาญจน์ที่สนามบิน เนื่องจากเขาต้องคอยเตรียมแผนรับมือลูกน้องของเสี่ยเม้งอยู่ที่ปางไม้ แถมเมื่อเช้ายังต้องรีบไปดูสีหมอกคลอดจึงไม่สามารถไปรับด้วยตัวเองอย่างที่กอบกาญจน์ไหว้วานได้ และช่วงนั้นรถทุกคันถูกนำไปใช้ในงานไร่หมด เขาจึงให้บุญคำเอาอีแต๋นออกไป

“งั้นถ้าคำกลับมาแล้ว ช่วยให้ใครส่งข่าวไปบอกที่ปางไม้ด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ครับนาย เดี๋ยวผมจะเป็นคนส่งข่าวให้เองครับ” คนงานไร่รับคำอย่างนอบน้อม

“ขอบใจมาก” เพลิงกล่าวแล้ว เดินเข้าโรงอาหารไปทันที โดยมีสายตาของคนงานในไร่ทั้งชายและหญิงที่ทำงานอยู่แถวนั้น มองตามด้วยแววตาที่มีทั้งชื่นชม และยำเกรงคละเคล้ากันไป

เพลิง เป็นผู้จัดการไร่ดิสกรวัย ๓๗ ที่อยู่กับกอบกาญจน์มาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเพลิงและกอบกาญจน์ไม่ชัดเจนว่าเป็นญาติกันหรือไม่ ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าซักถามด้วย คนงานทุกคนรู้แต่ว่าเจ้าของไร่ให้ความรักและให้เกียรติผู้จัดการไร่คนนี้อย่างมาก กระทั่งแอบเชื่อกันว่าคงเป็นญาติกันเพราะเพลิงเป็นคนงานเพียงคนเดียวที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้อยู่เรือนใหญ่กับแม่นาย ทุกคนเชื่อว่าที่เจ้าของไร่ให้ความเกรงใจเพลิง ไม่ใช่สาเหตุจากบุคลิกที่พูดน้อยยิ้มยาก จนทำให้ดูขรึมจนเหมือนเป็นคนดุของเพลิงเท่านั้น แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างในตัวหนุ่มใหญ่รวมกัน ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิด เกิดความรู้สึกยำเกรงไปโดยไม่รู้ตัว

หลายคนอดตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมคนหนุ่มอย่างเพลิงถึงเอาชีวิตทั้งชีวิตมาทิ้งในป่าในเขาทั้งที่ยังหนุ่มแน่นและยังมีอนาคตยาวไกล ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาเรียนจบทางด้านการเกษตรถึงระดับดอกเตอร์จากเมืองนอกเมืองนา ก็ยิ่งอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมถึงละทิ้งความก้าวหน้าและความสะดวกสบายในเมืองมาทำงานในชนบท เพราะความรู้ระดับเขา หากรับราชการอยู่ในเมือง ย่อมต้องเจริญก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

คนงานผู้หญิงตั้งคำถามลึกกว่านั้นว่า เคยมีใครเห็นใบหน้าแท้จริงที่อยู่หลังหนวดเครารกรุงรังของเพลิงบ้าง ด้วยหลายปีดีดักมาแล้วที่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลายามปราศจากหนวดเคราของชายหนุ่มเลย เพราะเขาไม่เคยโกนสักครั้ง คงเลี้ยงไว้ให้รกครึ้มอยู่แบบนั้น หากทว่าคนงานเก่าแก่ที่ทำงานกับไร่ดิสกรมานานหน่อย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้าของเพลิงยามปราศจากหนวดเครานั้น หล่อเหลาและคมคาย ด้วยสมัยอดีต ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกานั้น ชายหนุ่มยังไม่ได้ไว้หนวดเครา ตรงกันข้ามติดจะสำอางด้วยซ้ำ เพราะผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน หากทว่าเขาเพิ่งมาไว้ก็หลังกลับมาจากเมืองนอกแล้วนั่นเอง

ความจริงเพลิงไม่ใช่คนสำรวยหรือสำอาง เป็นความเข้าใจผิดไปเองของคนงานหญิงที่คิดว่าใครมีผิวพรรณขาวสะอาดตาต้องเป็นคนสำรวยหยิบโหย่ง ความจริงแล้ว สมัยที่เพลิงยังหนุ่มๆ เขาไม่ได้ทำงานกลางแดด แต่เรียนอย่างเดียว ผิวพรรณจึงคงความขาวไว้ได้

บรรดาคนงานหญิงขาเมาท์ ยังตั้งข้อสังเกตมากกว่านั้นอีกว่า เป็นเพราะเพลิงโดนสาวหักอกมาจากเมืองนอก ถึงทำให้เขาปล่อยตัวในสภาพนั้น หากทว่าก็เป็นเพียงการคาดเดาและเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ไม่มีคำยืนยัน ทุกอย่างยังคงถูกทิ้งให้เป็นปริศนาดำมืดอยู่อย่างนั้น เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าไปถามความจริงจากเพลิงสักคนเดียว



ภายหลังจัดการมื้อกลางวันเสร็จแล้ว เพลิงก็ควบม้าคู่ใจไปทางฟาร์มนกกระจอกเทศ เพื่อตรงไปที่ปางไม้ ชายหนุ่มตวัดเชือกที่คอของเจ้าพยับหมอกเพื่อบังคับให้ชะลอ เมื่อเห็นบุญคำ เดินแกมวิ่งอยู่ไม่ห่างจากฟาร์มนัก เขาบังคับม้าให้ไปหยุดอยู่ใกล้ๆ ก่อนว่า

“จะไปไหนคำ รับคุณสายน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“เปล่าครับนายเพลิง” บุญคำกระหืดกระหอบตอบ

เพลิงขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ”

“นังสวยมันเกอยู่ปากทางเข้าไร่ ผมเลยต้องเข้าไปเอารถในฟาร์มไปรับคุณสายน้ำ”

“งั้นมาขึ้นหลังเจ้าพยับหมอกจะไปส่ง จะได้เร็วขึ้น”

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ...” บุญคำรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธประกอบ ก่อนพูดต่อว่า “นายเพลิงจะรีบไปที่ปางไม่ใช่หรือครับ อีกอย่างฟาร์มก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว”

“เอางั้นเหรอ” น้ำเสียงคนพูดลังเล แต่ก็เข้าใจดีว่าลูกน้องเกรงใจไม่กล้าตีเสมอ

“ครับ นายเพลิงไปเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”

“งั้นบอกให้ใครไปลากนังสวยเข้ามาในไร่ ลงจากปาง ว่างๆ แล้วจะเช็กเอง”

“ได้ครับนาย”

เพลิงพยักหน้าแล้วควบพยับหมอกออกไปทันที หากไปได้เพียงครึ่งทางชายหนุ่มก็ต้องชะลอความเร็วลง เมื่อพลันนึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งสั่งให้คนงานในฟาร์มขับรถตามสัตวแพทย์ที่มาดูแลนางม้าสาวเข้าไปในเมืองเพื่อรับยาเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้ยังไม่กลับเข้ามา ผู้จัดการไร่หนุ่มตัดสินใจหันหัวพยับหมอกไปทางประตูด้านข้างเพื่อตรงไปยังถนนใหญ่แทน

ชายหนุ่มไปถึงบริเวณที่รถอีแต๋นเสียในอีกไม่กี่นาทีถัดมา เขาบังคับม้าให้เข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเหวี่ยงขาลงจากหลังม้า จัดการผูกเชือกกับข้างรถอีแต๋นด้านที่ติดกับริมถนน ก่อนจะเดินไปหาเด็กสาว ซึ่งกำลังนั่งหลบแดดอยู่ข้างรถ ความจริงไม่ใช่นั่งสักทีเดียว หากแต่กำลังสัปหงกหัวโขกกับข้างรถอยู่ต่างหาก เด็กสาวสะดุ้งในทันทีที่เสียงโป๊กดังขึ้น หากในเสี้ยววินาทีต่อมา เจ้าตัวก็สามารถพริ้มตาและหลับต่อได้ทันทีเหมือนกัน เพลิงสังเกตอยู่สักพัก

เขาล่ะเชื่อกับเจ้าหล่อนจริงๆ ... เพลิงนึกพลางส่ายหน้าไปมา ด้วยภาพนั้นยิ่งสะท้อนถึงความเป็นเด็กของเจ้าตัวเสียยิ่งนัก

หนูสายน้ำ ของแม่นาย เห็นทีจะเป็นเด็กผิวบางที่ไม่เคยแม้แต่จะตากแดดตากลมมาก่อน เพราะโดนแดดแค่นี้ก็เหนื่อยอ่อนถึงกับสลบไสล เพลิงนึกพลางไล่สายตาสำรวจเงียบๆ

เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุ ถ้าบอกว่าเธออายุแค่ ๑๔-๑๕ ไม่ใช่ ๑๗ อย่างที่กอบกาญจน์บอก เขาก็คงเชื่อโดยสนิทใจทันที เพราะเรียวหน้ารูปไข่ที่ซ่อนอยู่หลังฝุ่นจากดินลูกรังที่จับวงหน้าหวานละมุนของเด็กสาวจนทั่วนั้น แม้จะดูมอมแมม แต่ก็เห็นชัดว่า เยาว์วัย อย่างที่เรียกตามศัพท์ประสาวัยรุ่นชาวกรุงว่า หน้าใส อีกทั้งผิวที่โผล่พ้นชายเสื้อบริเวณลำคอและข้อมือ ขาวอมชมพูจากแดดที่แผดเผา ทำให้คาดการณ์ได้ว่าผิวจะต้องลอกตามมาแน่

ใช่...ท่าทางและผิวพรรณของเด็กสาว บ่งบอกได้ดีถึงความเป็นคุณหนูลูกผู้ดี ที่ดูเหมือนเท้าแทบไม่ติดดิน... และนั่นทำให้เพลิงนึกเดานิสัยของเด็กสาวได้ไม่ยากว่า เธอต้องเป็นเด็กขี้วีนและเอาแต่ใจอย่างยากจะหาใครเสมอเหมือน

ยามนั้นเพลิงไม่ได้สังเกตเห็นความสะสวยของใบหน้าที่ดูละม้ายคล้ายเด็กญี่ปุ่นนั่นเลย ไม่ได้เห็นถึงความงดงามของดวงหน้าเรียวที่ประกอบด้วยหน้าผากกลมมน คิ้วเข้มเป็นคันศรได้รูปสวย จมูกโด่งปลายงอนที่บอกถึงความเอาแต่ใจ และเรียวปากบางจิ้มลิ้มสีแดงระเรื่อ ไปจนถึงปลายคางที่มีรอยบุ๋มเล็กๆ อยู่ตรงกลาง...อย่างเดียวที่เขาสังเกตเห็นก็คือ ใบหน้าที่บอกถึงความเป็นคนสำรวย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ และเขามีลางสังหรณ์ตงิดๆ ว่า เธอจะนำความยุ่งยาก ปัญหาและภัยใหญ่หลวงมาให้เขาในอนาคต

และนั่นเขารู้สึกไม่ชอบเลย...

เด็กสาวดูจะเข้านิทรารมณ์ลึกมาก เพราะเขาขยับไปทรุดนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เธอก็ยังคงไม่รู้สึกตัว ขี้เซาเหลือร้าย... เขานึกในใจ หากพอจะยื่นมือออกไปเขย่าไหล่หมายจะปลุก เปลือกตาที่เขาเห็นหลับพริ้มอยู่เมื่อครู่ ก็ลืมผึงขึ้นทันที แล้วเหตุการณ์ชุลมุนอะไรที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เขาก็ไม่อาจไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ได้ถูกอีกว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะสำหรับเขาทุกอย่างดูจะเกิดขึ้นพร้อมกันในพริบตาเดียว โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว มารู้สึกตัวอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองล้มลงไปนอนหงายหลังกับพื้น หลังจากที่ก้นและศีรษะกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง โดยมีร่างบางของอีกฝ่ายคร่อมอยู่บนตัว จากนั้นกำปั้นเล็กๆ ก็รัวลงมาทุบบนอกเขาถี่ยิบอย่างไม่ยั้งมือ พร้อมด้วยเสียงใสๆ ราวระฆังแก้ว ก็ตะโกนดังขึ้น ซ้ำๆ ว่า

“ช่วยด้วยๆ หมีป่าจะทำร้ายหนู”


lozocatlozocat





Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2554 20:09:09 น.
Counter : 693 Pageviews.

4 comment
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 1/1)
lozocatlozocat

ถ้าถาม สายน้ำ ว่าเธอเกลียดอะไรมากที่สุดในชีวิต คำตอบก็คงหนีไม่พ้นคำว่า ล้มละลาย เพราะตลอดชีวิต เธอไม่เคยลิ้มรสชาติความทุกข์ยากของคำๆ นี้ ตราบจนกระทั่ง บัดนี้

ด้วยคำๆ นี้ ทำให้ตอนนี้เธอต้องจากเพื่อนฝูงแดนไกลในฝรั่งเศส ที่แต่ละคนล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นผู้ดี เซเลบ หรือผู้มีอันจะกินระดับต้นๆ ในประเทศแถบอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่ต่างใช้วันหยุดทำกิจกรรมด้วยการจิบน้ำชาที่ภัตตาคารหรูในโรงแรมดัง ช็อปปิงเสาร์อาทิตย์ในห้างไฮโซย่านผู้ดีของฝรั่งเศส พบปะสังสรรค์และเล่นกีฬาในสโมสรสุดหรูที่ต้องรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกไว้เดือนละ ๑,๕๐๐ ยูโร หรือ ๒,๐๕๐ ดอลลาร์ต่อเดือน

ใช่...แทนที่ในวันหยุดปิดภาคเรียนฤดูร้อน เธอจะได้ทำกิจกรรมที่แสนโปรดปรานเหล่านั้น กับบรรดาเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหลาย แต่กลับต้องมานั่งรถปุโรทั่งปุเลงๆ เข้าไปในบ้านไร่ที่คงจะแสน บ้านนอก และลำบากยากแค้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแค่ รถ ที่ย่าส่งมารับเธอที่สนามบิน ก็ยังเป็นรถที่คงจะใช้ขนสุกรอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะเก่าซอมซ่อ ด้วยสีผุและหลุดลอกออกมาเป็นหย่อมๆ รอบคันจนดูสีและลวดลายดั้งเดิมไม่ออกแล้ว เธอยังได้กลิ่นตุๆ ของมูลสัตว์โชยมาจากด้านหลังยามลมพัดผ่าน ผสมกับกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางและฝุ่นที่ตลบขึ้นมาจากถนนลูกรังแคบๆ แห่งนั้น ในทุกคราวที่มีรถเบียดสวนกันไปมาเป็นระยะๆ ตลอดเส้นทางที่ไปไร่

วูบหนึ่ง สายน้ำนึกเกลียดโชคชะตาของตัวเอง และพานให้นึกเกลียดเลยไปถึง พ่อ แม่ และย่า ที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพตกระกำลำบากอยู่ในตอนนี้ นึกแล้วเธอก็กดผ้าเช็ดหน้าผืนขาวสะอาดราคาแพงที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมแดงจากฝุ่นข้างทางไปเรียบร้อยแล้ว กับปลายจมูกโด่งเพื่อป้องกันฝุ่นและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ขณะที่ตามองกอหญ้าสูงใหญ่ สลับกับดงไม้ยืนต้น และผืนนาเขียวขจีตลอดสองข้างทางด้วยแววตาที่ฉายรอย เซ็ง อย่างเอกอุจนเห็นได้ชัด

ยามนั้นสายน้ำไม่ได้ซึมซับความเขียวขจี ความชุ่มฉ่ำ และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติรอบข้างที่ชวนให้น่าประหลาดใจทั้งที่เมืองไทยยังอยู่ในช่วงหน้าแล้ง แต่ชาวบ้านแถบนั้นกลับสามารถปลูกข้าวได้เขียวขจีไปทั่วผืนแปลงนาซึ่งเป็นสัญญาณว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามและสามารถเก็บเกี่ยวได้

ใช่...ยามนั้น สายน้ำ ไม่ได้ซึมซับถึงความงดงามของมวลธรรมชาติแถวนั้นจริงๆ



สายน้ำเป็นเด็กสาววัย ๑๗ ที่ตลอดชีวิตถูกเลี้ยงมาอย่าง คุณหนู แทบจะเรียกว่าเท้าไม่ติดดิน กระทั่งพ่อแม่และบรรดาญาติๆ ฝ่ายที่เอ็นดู มักจะกระเซ้าว่าเธอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เพราะเกิดมาในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทออกแบบก่อสร้างของครอบครัวเฟื่องฟูสุดขีด ความเป็นลูกคนเดียว ทำให้เธอได้รับการประคบประหงมและตามใจมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่เคยรู้จักคำว่า ผิดหวัง เพราะไม่เคยถูกขัดใจ อยากได้อะไรเป็นได้หมด

เธอถูกส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ระดับไฮสกูลจวบจนเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่ฉลาดและมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ ส่งผลให้เธอผ่านการคัดเลือกในมหาวิทยาลัยชื่อดังเก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศสและตอนนี้เธอเรียนอยู่ระดับชั้นปีที่ ๒ ช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน เธอมักลงทะเบียนเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเกี่ยวกับการทำอาหารคาวหวานในสถาบันชื่อดังก้องโลกในปารีส ร่วมกับเหล่าเพื่อนๆ

นามสกุลของสายน้ำมีชื่อเสียงไม่น้อย แม้ไม่ดังเท่าสกุลของลูกหลานไฮโซเซเลบเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหลาย แต่ก็เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่สื่อมวลชนชาวไทย ด้วยเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่ เหตุนี้ทุกคราวที่มีแขกบ้านแขกเมืองจากประเทศไทยมาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่ จึงมักได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักศึกษาไทยคอยต้อนรับอยู่เนืองๆ และแน่นอนว่าบรรดาผู้ใหญ่จากเมืองไทยเหล่านั้น ต่างก็เข้ามาพูดคุยซักถามเธออย่างมีอัธยาศัยอันดีรวมถึงสอบถามสารทุกข์สุกดิบไปถึงพ่อแม่ของเธอทันทีที่รู้ว่าเธอใช้สกุลอะไร

ใครๆ ต่างบอกว่าเธอเกิดมาสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมไปด้วยรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และฐานะชาติตระกูล ทุกอย่างจึงเอื้อให้เธอได้รับการพะเน้าพะนอจากผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศทั้งที่เป็นชาติเดียวกันและต่างชาติ เธอยังได้รับเสียงชื่นชมจากอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยว่าเป็นเด็กขยันตั้งใจเรียน แถมยังหัวดีและเรียนรู้ไว ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอจึงไม่เคยรู้จักคำว่า ล้มเหลว ผิดหวัง หรือว่า ไม่ได้ดั่งใจ

ใช่...ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้จักคำเหล่านั้นจริงๆ ด้วยไม่เคยอยู่ในสารบบของชีวิตมาก่อน ตราบจนกระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจเธอ ทุกอย่างพังครืนลงมาไม่ต่างจากปราสาททรายที่ถูกสายน้ำสาดซัด...

สายน้ำได้รับการติดต่อจากพ่อให้เดินทางกลับเมืองไทยในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนนี้ ด้วยเหตุผลว่า เพื่อลดค่าใช้จ่าย อันเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัว เธอไม่เชื่อและคิดว่าพ่อพูดเล่น พ่อจึงโอนสายให้คุยกับแม่ และนั่นจึงทำให้เธอรู้ความจริงเป็นครั้งแรกว่าทางบ้าน ขาดสภาพคล่อง อย่างหนักมาตั้งแต่ปิดภาคเรียนที่ผ่านมา แต่พยายามปกปิดเธอ และพยายามประคองโดยการหาเงินกู้จากธนาคารมาเยียวยาฟื้นฟูบริษัท เพื่อทุเลาปัญหา แต่ไม่มีธนาคารใดๆ ยอมให้กู้เลยสักแห่ง ด้วยต่างอ้างเหตุผลว่าพ่อของเธอหมดเครดิต เนื่องจากผลประกอบการขาดทุนมาตลอด ๖ ไตรมาสติดต่อกัน และข่าวที่ว่าไม่มีธนาคารไหนเลยกล้าปล่อยกู้ให้พ่อเธอ ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ทำให้แม้แต่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันก็ไม่มีใครกล้าให้พ่อเธอหยิบยืมหรือกู้เงิน เพราะกลัวว่าจะไม่ได้คืน

แรกๆ อาจจะกล้าเอ่ยปากให้ยืม แต่พอรู้ว่าพ่อเธอไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรูหรือคฤหาสน์ที่เธออาศัยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็ติดจำนองธนาคารหมดแล้วและติดมาหลายเดือนแล้วด้วย บรรดาเพื่อนๆ เหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจ โดยต่างหันหลังและตัดสินใจตัดขาดกับพ่อเธอนับแต่นั้น ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อพ่อเสียเครดิตในสายตานักธุรกิจและนักลงทุนด้วยกัน กระทั่งส่งผลกระทบลามมาถึงบริษัทก่อสร้างของพ่อ ที่ไม่ใครกล้ามาว่าจ้างด้วย

หนทางเดียวที่รอดได้ คือ ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ แม่เธอไล่ตัดตั้งแต่เลิกจ้างคนรับใช้ในบ้าน ปลดแม่ครัว คนสวน รปภ. จนมาถึงขั้นร้ายแรงสุด เรียกเธอกลับเมืองไทย เธอถามแม่ว่าโอกาสที่จะกลับมาเรียนต่อที่ฝรั่งเศสอีกเป็นไปได้บ้างไหม แม่ตอบว่าก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเธอ เธอจึงถามแม่ต่อว่าพฤติกรรมอะไร แล้วแม่ก็ตอบมาว่า

‘ตอนนี้พ่อหาแหล่งเงินกู้นอกระบบได้แล้ว ก็ไม่เชิงเป็นแหล่งเงินกู้นอกระบบสักทีเดียว เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที รายนี้เขาเสนอตัวที่จะให้พ่อหยิบยืมเงินก้อนหนึ่งซึ่งมากพอที่จะทำให้พ่อสามารถรันธุรกิจต่อไปได้ แต่มีเงื่อนไขว่าพ่อต้องขายที่ดินแปลงนั้นให้เขา’

‘ที่ดินที่ไหนคะ’ ยามนั้นสายน้ำจำได้ว่าเธอถามคำถามนั้นไป

‘ที่ดินซึ่งจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อในอนาคต ตอนนี้ยังเป็นของย่าอยู่ แต่ญาติๆ ทุกคนรู้ดีว่าย่าจัดการแบ่งโฉนดออกเป็นแปลงต่างๆ แล้ว เพื่อเตรียมที่จะจัดสรรให้กับลูกๆ แต่ละคน ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของน้ำต้องทำให้ย่าโอนกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแปลงนั้นให้พ่อเร็วที่สุดให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ แม่ก็จะส่งน้ำกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า หนนี้พ่อกับแม่ต้องพึ่งน้ำแล้ว และแม่ก็หวังว่าจะไม่ทำให้แม่กับพ่อผิดหวัง’

เธอเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นที่พ่อกับแม่ต้องพึ่งพาเธอดี ด้วยคนทั้งคู่เข้าหน้าย่าไม่ติด เธอไม่รู้ว่าความบาดหมาง เกาหลาที่เรียกกันว่าไม่กินเส้นนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสมัยเด็กๆ ที่เธอเริ่มจำความได้ ก็เห็นย่าเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวเธอ ย่าชอบพูดว่าเธอฉลาด ช่างพูด ช่างฉอเลาะ โตขึ้นจะเป็นกาวใจให้ญาติๆ ผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี สมัยนั้นเธอยังไม่เข้าใจประโยคปริศนานั้น กระทั่งบัดนี้เธอคิดว่าเข้าใจแล้ว เหลือแต่เพียงว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ย่ากับพ่อแม่เธอบาดหมางใจกัน นั่นคือสิ่งที่ต้องหาคำตอบ ซึ่งตอนนี้เธอยังเดาต้นสายปลายเหตุไม่ได้

แล้วสายน้ำก็พยายามทบทวนความจำว่าย่าเริ่มห่างหายกับครอบครัวเธอ แม้แต่ทางโทรศัพท์ท่านก็ไม่ติดต่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ใช่...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ย่าขาดการติดต่อ? เธอนึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก บางทีอาจเกิดขึ้นในช่วงที่เธอกำลังวุ่นๆ กับการหาที่เรียนไฮสกูลในฝรั่งเศสกระมัง จึงทำให้ละเลยที่จะสังเกตในเรื่องเหล่านั้น...



รถปุโรทั่งยังคงแล่นปุเลงๆ ไปตามถนนดินลูกรัง สลับกับเสียงแค่กๆ ของท่อไอเสียเป็นระยะๆ ราวกับกำลังสำลักควัน ชั่วอึดใจพาหนะที่เป็นที่รวมของ ที่สุด ทั้งเหม็นที่สุด เก่าที่สุด สกปรกที่สุดและอัปลักษณ์ที่สุดชนิดที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิต ก็มาหยุดแน่นิ่งข้างทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ราวกับจะประท้วง ลุงคำซึ่งเป็นคนงานก้าวลงมา โดยมีเธอกระโดดผลุงตามไปติดๆ

“Que s'est-il passé?” เธอเผลออุทานเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เมื่อเห็นคนงานทำหน้าเหรอหรา เธอก็รีบเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย แต่ด้วยน้ำเสียงที่แปร่งหู ด้วยลิ้นยังแข็ง “เกิดอะไรขึ้น”

“เครื่องยนต์คงรวน นังสวยมันชอบเก ยิ่งพักหลังนายเพลิงไม่เอาใจ ก็ดูเหมือนยิ่งเก เรียกร้องความสนใจมากขึ้น”

คนงานชาวเหนืออู้คำเมืองกลับมา ซึ่งสายน้ำสารภาพว่าเธอฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว เหมือนเขากับเธอพูดกันคนละภาษา เด็กสาวยกมือขึ้นขยี้หู ก่อนจะบอกว่า “เดี๋ยวนะ ช้าๆ ลุงคำ ลุงช่วยพูดภาษากลางได้มั้ย หนูฟังไม่รู้เรื่อง”

“นี่ก็ภาษากลางของผมแล้ว” คนที่ถูกเรียกว่า ลุง ทั้งที่อายุเพิ่งเลยเลข ๓๐ มานิดๆ ตอบกลับมาทันควัน หากหนนี้เจ้าตัวพยายามพูดช้าๆ อย่างต้องการให้หลานสาวของเจ้าของไร่ฟังออกทั้งหมด

“งั้นลุงคำ พูดอีกครั้งสิคะ” สายน้ำขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าตั้งใจฟังเต็มที่

ฝ่ายนั้นทวนประโยคเดิม

“อีกครั้งสิคะลุงคำ” เธอปั่นหูแรงขึ้น

คนที่ถูกเรียกว่าลุงคำ พูดซ้ำประโยคเดิมอย่างไม่เบื่อ

เด็กสาวชาวกรุงนิ่วหน้า “ใครคือนังสวยแล้วทำไมต้องเรียกร้องความสนใจด้วย”

“ก็พักหลังนายเพลิงไม่ค่อยได้เช็กนังสวย เพราะงานยุ่งๆ นังสวยก็เลยรวนบ่อยๆ มันเรียกร้องความสนใจจากนายเพลิงน่ะครับ” น้ำเสียงที่เรียกนายเพลิง ยกย่องอย่างฟังออกชัด

หลานสาวเจ้าของไร่ ยังคงทำหน้าปูเลี่ยนอย่างมึนงง “นังสวย? ใครคือ นังสวย แล้วมาเกี่ยวอะไรกับรถที่เสียนี่คะ”

ใครๆ ต่างบอกว่าเธอหัวดี หัวไว และเธอก็เชื่อตามนั้นมาโดยตลอด ตราบจนมาเจอคนงานชาวเหนืออย่างลุงคำ ทำให้เธออดสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่ได้ว่า คำชมเหล่านั้นแฝงความจริงใจแค่ไหน? เป็นครั้งแรกที่สายน้ำตั้งคำถามกับตัวเอง

“ก็นายเพลิงไม่ค่อยเช็กนังสวยน่ะครับ มันก็เลยเก ผมเลยแหย่ว่านังสวยคงเรียกร้องความสนใจจากนายเพลิง”

“แล้วใครคือนายเพลิง ใครคือนังสวย” เด็กสาวยังคงถามอย่างตามไม่ทัน อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้สายน้ำไม่เข้าใจ คือภาษา ที่แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าพูดภาษากลาง แต่ก็ด้วยสำเนียงคนพื้นเมือง จึงทำให้ฟังเข้าใจยาก

“นายเพลิงคือหัวหน้าคนงาน ส่วนนังสวยก็คืออีแต๋นคันนี้” ความเป็นคนชนบททำให้ เจ้าของถิ่น แทนคำว่าผู้จัดการ ด้วยคำอธิบายง่ายๆ ว่า หัวหน้าคนงาน แล้วก็บุ้ยปากไปที่รถปุโรทั่ง ซึ่งทำให้เด็กสาวเหลือบมอง พลางตาค้างโดยพลัน

“อะไรนะ เจ้าเศษไม้นี่หรือ นังสวย”

“ครับ รูปลักษณ์มันงดงามสมส่วนและมันก็ลุยสู้งาน ไม่มีถอยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว คุณหนูน้ำไม่คิดว่ามันสวยหรือครับ?”

คนที่ถูกเรียกว่า คุณหนูน้ำ กลอกตาขึ้นสูงแทนคำตอบ สายน้ำกำลังคิดว่าตัวเองได้ยินคำที่แปลกพิสดารที่สุดในโลก



“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” สายน้ำถามขึ้นเป็นประโยคที่เท่าไหร่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้ว ด้วยหลังจากนั่งรอก็แล้ว ยืนรอก็แล้วตามคำแนะนำของลุงคำ แต่ก็ยังไม่ปรากฏวี่แววว่าจะมีรถในไร่สักคันวิ่งผ่านมา อีกฝ่ายก็ได้แต่ให้คำตอบด้วยประโยคเดิมๆ ว่า

“เดี๋ยวก็มาครับ รออีกแป๊บ ผมเชื่อว่าจะมีรถในไร่วิ่งผ่านมาเร็วๆ นี้ ปกติไร่เราจะมีรถวิ่งเข้าออกตลอดครับ”

สายน้ำนิ่วหน้า เธอขี้เกียจขัดคอลุงคำว่าเขาพูดประโยคนี้มาเป็นรอบที่สิบที่ร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผล ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แล้วลุงคำไม่มีอุปกรณ์ซ่อมรถเลยหรือ”

“ไม่มีหรอกครับ แต่ถึงมี ผมก็ซ่อมไม่เป็น เรื่องอย่างนี้ต้องนายเพลิงเลยครับ”

เด็กสาวจากนอก ถอนหายใจอีกครา เธอรู้สึกเมื่อยขาจึงตัดสินใจสะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่ปิดปากอยู่มาปูรองนั่งโดยอาศัยบริเวณที่เงารถทอดผ่าน พลางคิดว่าไหนๆ ก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้เปื้อนสุดๆ ไปเลยก็แล้วกัน สายน้ำมองทิวทัศน์รอบตัวอย่างซังกะตาย วันแรกที่เหยียบเมืองไทย เธอก็เจอสถานการณ์บ้าๆ นี่ เธอบินตรงจากฝรั่งเศสมากรุงเทพฯ แล้วต่อเครื่องมาลงจังหวัดนี้เลย ตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่ที่บอกว่า ภารกิจของเธอลุล่วงเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดีต่อทุกคนในครอบครัวเท่านั้น เหตุนี้เธอจึงตรงดิ่งมาที่นี่ ไม่ได้แวะบ้าน เพราะคิดว่าแค่มาเจรจาเกลี้ยกล่อมย่าวันสองวันก็คงเรียบร้อย รุ่งเช้าก็น่าจะนั่งเครื่อง บินกลับกรุงเทพฯ ได้เลย

ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิดแล้ว เพราะบ่ายคล้อยไปทุกทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีรถสักคันโผล่มา เธอตัดสินใจแนะว่า “ทำไมลุงคำไม่ใช้มือถือโทร.หาย่า”

“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ แถวนี้อับสัญญาณเพราะอยู่บนเขา”

สายน้ำหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู เธอพลันหน้าเหี่ยวหน้าแห้งเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณสักขีดจริงๆ “แล้วนี่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะติดต่อกันยังไง”

“โดยปกติในไร่มีโทรศัพท์บ้านครับและบางจุดก็พอมีสัญญาณมือถือ”

สายน้ำฟังคำตอบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ บุญคำหันมามอง เขาเห็นสีหน้าละเหี่ยใจของเด็กสาว จึงกล่าวขึ้นว่า “แดดแรงขึ้นทุกที แถวนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ด้วย คุณหนูไปนั่งรอในรถไม่ดีกว่าหรือครับ เดี๋ยวผิวสวยๆ จะเสียหมด”

“ข้างในร้อนอบอ้าว” คุณหนูคนสวย พูดพลางกระพือใบไม้ที่ถืออยู่ในมือแรงขึ้นเพื่อให้มีลม เนื้อตัวเธอเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อที่บัดนี้เริ่มหยดติ๋งๆ จากใบหน้าและแผ่นหลัง เธอใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวจากฝรั่งเศสด้วย เลยทำให้ร้อนตับแลบมากขึ้น

บุญคำ ทำหน้าชั่งใจ แล้วตัดสินใจบอกว่า “ผมว่าผมเดินเข้าไปในไร่เพื่อตามใครมารับคุณหนูดีกว่า ขืนรอนานๆ แบบนี้ คุณหนู มีหวังเป็นลมแดดแน่”

“เดินไป?” สายน้ำทวนคำ ทำเสียงตกใจสุดขีด

“ก็ไม่ไกลนี่ครับ อีกแค่ ๑๐ กิโลฯ ก็ถึงไร่ของคุณย่าของคุณหนูแล้ว”

“๑๐ กิโล?” เธอย้อนคำของลุงคำอีกครา เจ้าตัวเดาว่าเพราะความอ่อนเพลียจากแดดเลยทำให้กลายเป็นนกแก้วนกขุนทองไปแล้ว

“ครับแค่นั้นเอง คุณหนูรออยู่ตรงนี้นะครับ ผมไปตามคนมารับ ไม่นานหรอก หรือว่าคุณหนูจะเดินไปพร้อมกับผมดีครับ?” ประโยคหลัง บุญคำถามอย่างเกรงๆ ซึ่งเกิดจากความเกรงใจที่ต้องทิ้งเด็กสาวเป็นสำคัญ หากเธอไม่เดินไปด้วยกัน

คุณหนูชาวกรุงทำหน้าเหยเก แต่ครั้นจะเดินไปพร้อมกับลุงคำ เธอคงไม่ไหวเหมือนกัน แดดเปรี้ยงๆ ออกอย่างนี้ แถมยังกลัวกระเป๋าเดินทางใบเขื่องหายด้วย เมื่อคิดแบบนั้นจึงตัดสินใจตอบไปว่า “ไม่ดีกว่า หนูรอลุงอยู่ตรงนี้ดีกว่าค่ะ ว่าแต่แถวนี้ไม่มีอันตรายจากสัตว์มีพิษ หรือสัตว์ดุร้ายอย่างเสือ หมี ช้างป่าอะไรเทือกนั้นใช่ไหมคะ”

บุญคำ ฟังแล้วหัวเราะ เขาตอบว่า “ไม่มีหรอกครับ ถึงมีนายเพลิงก็คงจับไปเลี้ยงหมดแล้ว แถวนี้รับรองไม่มีอันตราย เพราะอยู่ในอาณาเขตที่คุณเพลิงดูแล” อีกคราที่เมื่อพูดถึงนายเพลิง น้ำเสียงของคนพูดเทิดทูนอย่างฟังออกชัด

“แล้วอันตรายจากคนล่ะ” เด็กสาวแกล้งแหย่

“คนยิ่งไม่มีใหญ่เลยครับ เพราะจะว่าไปแถวนี้ก็เป็นที่ดินของแม่นาย...อ้อ คุณย่าของคุณหนูน่ะ เพียงแต่ให้ชาวบ้านทำกินฟรีๆ โดยไม่คิดเงินเท่านั้น”

“ฟรีๆ?” คนฟัง ตาโตอย่างตกตะลึง เธอมองผืนดินรอบตัวซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่ง ผืนนา ซึ่งสลับไปด้วยผืนหญ้าและดงป่า เป็นระยะๆ ด้วยความรู้สึกทึ่งแกมคาดไม่ถึง เพราะสังคมที่เธอจากมา ไม่มีคำว่าทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ด้วยทุกอย่างเป็น ธุรกิจ ไปหมด เจ้าตัวนึกพลางมองแปลงหญ้าเขียวขจีรอบตัว ความจริงสิ่งที่สายน้ำเห็นเบื้องหน้าไม่ใช่ผืนหญ้า หากแต่เป็นแปลงมันเทศ และถัดมาเป็นไร่ข้าวโพดที่ปลูกแซมกับต้นอ้อย ไม่ใช่ดงป่า เพียงแต่ยามนั้นเด็กสาวแยกความแตกต่างไม่ออกระหว่างใบหญ้ากับใบมันเทศ ดงป่ากับไร่ข้าวโพดที่ยังไม่ออกฝัก

เมื่อพูดต่อ สีหน้าและน้ำเสียงของคนพูด ยกย่องเทิดทูนและแฝงความรักใคร่อย่างเห็นได้ชัด “คุณย่าของคุณหนู มีบุญคุณท่วมหัวพวกผม ท่านแบ่งที่ดินให้พวกคนงานและชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ ไร่ทำกินโดยไม่เก็บเงินสักแดงเดียว ท่านบอกว่าพวกเราลำบากกันพอแล้ว ถ้าขืนยังต้องเก็บเงินค่าเช่าที่อีกก็คงไม่ต้องลืมตาอ้าปากกันพอดี พวกเรารักและเคารพท่านครับ” พูดมาถึงตรงนี้ คนพูดก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจ เขายกมือไหว้ท่วมหัว พลางกล่าวต่อไปว่า

“แม่นายท่านยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพ่อหลวง เดี๋ยวพอคุณหนูเข้าไปในไร่ จะเห็นว่าท่านเดินตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านทุกอย่าง ทั้งเกษตรผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีแนวใหม่ ทั้งโครงการชั่งหัวมัน และการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ชาวบ้านแถบนี้สามารถทำนาปลูกข้าวได้ตลอดปี ทุกอย่างก็เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ฉะนั้นพวกผมคนงานรวมถึงชาวบ้านละแวกนี้จึงรักท่านมาก พวกเราจะเป็นคนดีถวายในหลวงตามที่ท่านขอ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด ฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับคุณหนูสามารถเดินแถวนี้ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครคิดทำอันตรายแน่ ยิ่งลงว่าได้รู้คุณหนูเป็นหลานสาวของแม่นายด้วยแล้ว รับรองเลยว่าจะยิ่งรักและปกป้องมากขึ้นต่างหากครับ”

สายน้ำฟังแล้วนิ่งอึ้ง ยามนั้นเธอไม่เข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีแนวใหม่ หรือโครงการชั่งหัวมัน หมายถึงอะไร เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร เธอรู้แต่ว่าเธอรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกและใช้คนละภาษากับลุงคำ


lozocatlozocat




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 17:05:32 น.
Counter : 644 Pageviews.

8 comment
กระทู้ชวนเที่ยว...โครงการชั่งหัวมัน

กระทู้ชวนไปเที่ยว


ชวนไปเที่ยวโครงการชั่งหัวมัน ตามแนวพระราชดำริ จ.เพชรบุรีค่ะ พื้นที่ 250 ไร่ เริ่มต้นตอนปี 2552 ปัจจุบันมีพืชเศรษฐกิจมากมาย

1.

รู้จักโครงการนี้ครั้งแรกจากพี่จ๋าค่ะ เธอแนะนำให้ใช้โครงการนี้ มาเดินเรื่องนิยายเรื่องนี้ ฟังชื่อครั้งแรกก็เก๋ และเมื่อค้นข้อมูล ก็ยิ่งเข้าที เลยตัดสินใจไปเยี่ยมชมโครงการค่ะ ก่อนเข้าโครงการ จะต้องแลกบัตร จากนั้นจะมีทหารประจำป้อมเล็กๆ ดังที่เห็นตามรูป คอยให้คำแนะนำ เพื่อให้ติดต่อสอบถามข้อมูลค่ะ วันที่ไป มีทัวร์จากเกษตรชุมพรมาเยี่ยมชมโครงการด้วย 2 คันรถทัวร์ ก็เลยได้ฟังวิทยากร ไปด้วยโดยปริยาย วิทยากรวันนั้นคือคุณศรราม ต๋องาม สมาชิกอบต.กลัดหลวง ประชาสัมพันธ์โครงการชั่งหัวมัน โดยปกติทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมโครงการได้ตามอัธยาศัยค่ะ เปิดตั้งแต่ 08.00-18.00 น.ทุกวัน เพียงแต่ถ้าไปส่วนบุคคล ก็แค่แลกบัตร แต่ถ้าไปเป็นหมู่คณะที่ต้องใช้วิทยากรในการบรรยายให้ความรู้ ต้องทำหนังสือแจ้งโครงการเป็นทางการค่ะ คุณศรรามเล่าว่าแต่ละเดือนมีคนเข้าเยี่ยมชมโครงการ 1,000-2,000 คนค่ะ

มีเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ น่าสนใจเหมือนกันค่ะ โครงการนี้เริ่มต้นจากการที่มีชาวบ้านมาถวายมันเทศแด่ในหลวงที่วัง พระองค์ท่านให้วางไว้บนตาชั่งแล้วก็ทรงลืม พอกลับมาอีกครั้ง เห็นมันเทศมีรากงอก ท่านจึงรับสั่ง มันเทศอยู่ที่ไหนก็ขึ้นง่าย ท่านจึงให้หาพื้นที่ทดลองปลูก สุดท้ายก็ได้ที่แห้งแล้งที่เพชรบุรี โดยใช้เงินส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน 250 ไร่จากชาวบ้านมาทดลองปลูกมันเทศ รวมถึงพืชเศรษฐกิจ

มาถึงตรงนี้คุณศรราม เล่าด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มว่า "ครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าในหลวง น้ำตาไหลด้วยความปลื้มปิติ เข้าไปกราบแทบเท้าท่าน ท่านให้พูดภาษาธรรมดาๆ โดยไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ผมบอกกับพระองค์ท่านว่า ขอไปจับคุณทองแดงเพื่อเป็นบุญกับศรรามได้ไหม ปรากฏว่าท่านทรงอนุญาตและเมื่อจับแล้ว พระองค์ท่านรับสั่งว่าศรรามมีบุญนะ เพราะปกติคุณทองแดงไม่ชอบให้ใครมาจับง่ายๆ จะหงุดหงิด..."

"ด้วยเหตุที่พระองค์รับสั่งถึงผมด้วยชื่อศรรามบ่อยครั้ง คืนนั้นผมนอนไม่หลับ รุ่งเช้าตัดสินใจรีบไปอำเภอ เพื่อเปลี่ยนชื่อจากราม เป็นศรราม ตามที่พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ คำหนึ่งที่ผมจำได้ซาบซึ้งมาจนถึงตอนนี้คือ ศรราม ต่อไปนี้จะเหนื่อยหน่อยนะ คือความหมายให้ผมมาช่วยดูโครงการนี้ ซึ่งยังความปลาบปลื้มมาสู่ผมและครอบครัวมาก"

ภาพชุดต่อไปจะมาเล่า วันพรุ่งนี้นะคะ ^_^

โทร.032-472700-1/087-1601048

2.

3.

4.

5.

6.

7.

8.

9.

10.

11.

12.

13.

14.

15.

16.

17.

18.

19.

20.

21.

22.

23.

24.

25.

26.

27.

28.

29.

30.

31.

32.

33.

34.

35.

36.

37.

38.

39.

40.

41.

42.

43.

44.

45.

46.







Create Date : 22 มีนาคม 2554
Last Update : 22 มกราคม 2555 22:01:39 น.
Counter : 2958 Pageviews.

7 comment
เรื่องย่อ...หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ


พล็อต “หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ”

วันที่สายน้ำถูกเรียกตัวกลับมาเมืองไทยเพื่อรับรู้เรื่องพ่อถูกฟ้องล้มละลาย เป็นวันที่ราวกับฟ้าผ่า โลกถล่มทลาย

หากทว่าวันที่ถูกแม่ เรียกร้องให้เธอต้องชดเชยวันคืนเก่าๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างคุณหนูบนพรมแดงมากว่า 17 ปี ด้วยการให้เธอ ไปตีสนิทกับย่าเศรษฐีนีบ้านนอก เป็นวันที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า

ด้วยที่นั่น ทำให้คุณหนูอย่างเธอ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นสาวติดดินเพื่อให้เข้ากับคนชนบท และร้ายยิ่งกว่านั้น เธอต้องพบเจอกับ “เพลิง” ผู้ชายกักขฬะดิบเถื่อนเสียยิ่งกว่าใครๆ ที่เคยพบมา

หาก “เพลิง” กลับเป็นด่านอรหันต์ที่จะทำให้เข้าถึงผู้เป็นย่าได้ หนทางเดียวที่จะเอาชนะใจย่าได้ คือต้องชนะใจเขาด้วย

เรื่องราวความรักของสาวน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างคุณนู้คุณหนู กับหนุ่มนักเรียนนอกที่ใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับคนในท้องถิ่น กระทั่งถูกสาวชาวกรุงมองว่าเป็นคนไร้อารยะธรรม บนดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผู้คนใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง ภายใต้โครงการชั่งหัวมันและเกษตรทฤษฎีแนวใหม่

รักวุ่นๆ ของสาวนักเรียนนอกแต่ยังเรียนไม่จบ กับหนุ่มบ้านนอกที่มีดีกรีดอกเตอร์จากต่างประเทศ จะจบลงอย่างไรเมื่อรักครั้งนี้เริ่มต้นด้วยคำว่า “หลอกลวง”


*******************

ขอสลับเขียนกับไฟรักนะคะ เนื่องจากกำลังตัน ไปไม่ถูกกับฉากเปิดตัวฆาตกรค่ะ >_<










Create Date : 10 มีนาคม 2554
Last Update : 10 มีนาคม 2554 8:06:20 น.
Counter : 859 Pageviews.

13 comment
1  2  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments