Group Blog
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 2/1)
lozocatlozocat


“พุทโธ่ พุทถัง...ทำไมหลานถึงมอมแมมเป็นลูกแมวคลุกฝุ่นอย่างนั้น”

กอบกาญจน์ หรือที่คนงานกว่า ๑๐๐ ชีวิตเรียก แม่นาย จัดการเปลี่ยนสำนวนจากลูกหมาตกน้ำเป็น ลูกแมวคลุกฝุ่นเสร็จสรรพ เมื่อเห็นสภาพของหลานรักที่ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าลูกหมา เนื่องจากหัวเหอยุ่งเหยิงไม่ต่างจากหัวสิงโตและหน้าตามอมแมม กอบกาญจน์เดินเข้าไปลูบหลังลูบไหล่หลานรักอย่างต้องการเรียกขวัญกลับคืนในทันทีที่ฝ่ายนั้นก้าวลงจากรถปิ๊กอัพ

ใบหน้าของเด็กสาว แม้จะเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่ไม่อาจปกปิดความงามหวานละมุน และไร้เดียงสาภายใต้เครื่องหน้าที่จิ้มลิ้มนั้นได้ หลานสาวของนางเติบโตขึ้นมาก จากเด็กหญิงที่ไม่ประสีประสา กลับกลายมาเป็นสาวน้อยที่สวยโสภา และยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นเดิม ต่างเพียงว่าหนนี้รอยยิ้มที่ส่งกลับมา แม้จะแย้มกว้างจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม แต่ก็ไม่สดใสเท่าที่ควร

สายน้ำกอดตอบคนเป็นย่า ก่อนว่า “น้ำก็คิดถึงย่ามั่กมาก การเดินทางแม้จะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แต่ก็คุ้มค่าและรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อน้ำมาเห็นหน้าย่า”

น้ำเสียงออดอ้อนฉอเลาะของหลานสาว ทำให้กอบกาญจน์ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู สายน้ำมีศักดิ์เป็นหลานสาวคนโต แต่กลับอายุน้อยสุด เหตุนี้จึงมีความเป็นเด็กในตัวอยู่มาก

“ปากหวานจริงๆ หลานย่า ย่าก็คิดถึงน้ำ ว่าแต่สภาพหนู ทำไมถึงดูไม่ได้แบบนี้ล่ะลูก”

“ก็นายเพลิงของคุณย่าสิคะแกล้งน้ำ” แล้วภาพการปะทะกับ หมีป่า เมื่อครู่ก็ย้อนมาสู่ความทรงจำ ภายหลังเธอตื่นขึ้นมาเห็นชายสวมหมวกปีกกว้างในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนอย่างหนุ่มคาวบอยในเท็กซัส ชะโงกเข้ามาใกล้และจดจ้องเธอด้วยแววตาที่คมกริบ ก็ทำให้เธอหวีดร้องด้วยความตกใจกลัวทันที ด้วยเขารูปร่างสูงใหญ่ แถมยังคล้ำ และอะไรก็ไม่ร้ายเท่าหนวดเครารกรุงรังซึ่งเป็นส่วนที่เธอขยะแขยงที่สุดในตัวผู้ชาย รู้สึกว่าสกปรก เห็นแล้วพานนึกถึงสัตว์มีขนดุร้ายอย่างหมีป่า

ฉะนั้นวูบแรกที่ตื่นมาเห็นและอารามตกใจกลัว จึงทำให้เธอพุ่งเข้าไปรัวกำปั้นใส่เขา แล้วก็เกิดการต่อสู้กันรุนแรงเมื่อเขาพยายามพลิกกลับมาคร่อมเธอ และรวบมือทั้งสองข้างไปไพล่ไว้เหนือศีรษะ กว่าเธอจะรู้ว่า หมีป่า ที่เธอต่อสู้ด้วย คือ นายเพลิงของบุญคำ ไม่ใช่คนร้ายที่ไหน ก็เมื่อคนงานไร่ย้อนกลับมาพร้อมด้วยรถปิ๊กอัพและเพื่อนคนงาน ถึงตอนนั้นเธอกับนายเพลิง ก็สะบักสะบอมไปพอๆ กันแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีสภาพไม่ต่างจากลูกแมวคลุกฝุ่น ดั่งที่กอบกาญจน์ว่า

เจ้าของอาณาจักรดิสกร ขมวดคิ้วมุ่น นางเริ่มคิดว่าชักจะเชื่อคำของหลานรักไม่ได้แล้ว จึงหันไปทางบุญคำ ซึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องลงจากหลังรถปิ๊กอัพพอดี

“เกิดอะไรขึ้นคำ ทำไมสภาพของหลานฉันถึงเป็นแบบนี้”

“นังสวยเกนะครับแม่นาย ตอนแรกว่าจะรอให้รถในไร่ผ่านมา แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มี เลยตัดสินใจเดินเข้าไปในฟาร์มเพื่อหารถ แต่ก็ยังไม่กลับมาจากในเมือง เลยต้องเดินเข้าไปในไร่ ถึงเพิ่งมาได้นี่แหละครับ” บุญคำตอบด้วยท่าทีนอบน้อม

ในไร่ลึกกว่าฟาร์ม สวนเกษตรดิสกรของกอบกาญจน์ ประกอบด้วย สวน ไร่ นา ฟาร์ม และแปลงเกษตรทดลอง แต่ละส่วนมีรถใช้ประจำ ๑-๒ คันแล้วแต่ความจำเป็น และมีรถส่วนกลางอีกจำนวนหนึ่งไว้สำหรับบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำไปส่งขายในตัวเมือง

“นี่เอาอีแต๋นออกไปวิ่งถึงสนามบินเลยหรือ” กอบกาญจน์ถามอย่างคาดไม่ถึง ก่อนกล่าวต่อว่า “นังสวยพากลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยนี่ ก็ถือว่าบุญแล้ว แล้วทำไมถึงเอานังสวยออก ในเมื่อรถในไร่มีตั้งมากมาย”

“คุณเพลิงให้เอานังสวยออกครับ เพราะรถคันอื่นไม่ว่างเลย”

“ดูนะนายเพลิงของคุณย่า แกล้งน้ำ” สายน้ำสบโอกาส โวยกึ่งฟ้องขึ้นทันที

คนเป็นย่า ปรายตาไปมอง “ก็คำบอกอยู่ว่าพี่เขาไม่ได้แกล้ง แต่รถคันอื่นไม่ว่าง”

คำอธิบายของกอบกาญจน์ ทำให้บุญคำลอบยิ้มขำทันที เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่คนงานว่าใครมาแตะต้องเพลิงไม่ได้ กอบกาญจน์เป็นต้องออกหน้ารับแทนโดยพลัน

คนเป็นหลานสาวกล่าวต่อว่า “แต่นายเพลิงแกล้งทำให้น้ำตกใจ” แล้วสายน้ำก็บอกเล่าเรื่องราวที่ปะทะกับเพลิงให้คนเป็นย่าฟัง

กอบกาญจน์ฟังแล้ว จะเห็นใจคนเป็นหลานก็หาไม่ นางกลับพูดว่า “คุณพระคุณเจ้า ทำไมหลานถึงไปทำร้ายพี่เขาอย่างนั้น พี่เพลิงอุตส่าห์หวังดีตามไปดูเรา แต่ดู๊ดูสิ่งที่น้ำตอบแทน เดี๋ยวเจอพี่เพลิง น้ำต้องขอโทษพี่เขานะลูก เราเป็นเด็กเป็นเล็กต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่ พี่เพลิงแก่กว่าน้ำมาก”

สายน้ำนิ่วหน้า เธอไม่ทันแย้ง เสียงคนเป็นย่าก็เทศน์ต่อไปว่า

“แล้ววันหน้าวันหลัง น้ำต้องเรียกเขาว่าพี่เพลิงนะลูก ไม่ควรเรียกว่านายเพลิง”

“แต่ลุงคำก็เรียก”

“ปล่อยให้ลูกน้องกับนาย เรียกของเขาอย่างนั้นไป แต่น้ำเป็นหลานย่า ควรต้องเรียกว่าพี่เพลิง”

“แต่นายหมีป่านั่น...” เธอพูดไม่ทันจบ กอบกาญจน์ก็ถามทะลุกลางปล้องว่า

“ใครหมีป่า?” ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจนัก ต่างจากคนข้างหลังที่ฟังแล้วลอบยิ้ม บุญคำ กำลังนึกอยากรู้ว่าถ้านายเพลิง มาได้ยินคำเรียกขานของหลานแม่นายเข้าให้ นายเพลิงจะว่าอย่างไร เชื่อว่าคงหนวดกระดิกแน่... คิดแล้ว บุญคำก็ได้แต่ยิ้มขำอยู่คนเดียว

“ก็นายเพลิง”

“ย่าบอกแล้วว่าหลานต้องเรียกพี่เพลิง”

สายน้ำกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็อุบอิบตอบอย่างไม่เต็มใจนักว่า “ก็ได้ค่ะ”

กอบกาญจน์พยักหน้าอย่างพอใจ

สายน้ำเปลี่ยนเรื่องเพื่อผลักให้ไกลตัว เธอกล่าวว่า “ว่าแต่ย่าไม่คิดซื้อรถเก๋งใช้บ้างหรือคะ หนูว่ามันสะดวกสบายกว่าปิ๊กอัพเป็นไหนๆ”

“ไม่ได้หรอกหลาน ขืนเอาเก๋งมาใช้งานในไร่ เครื่องยนต์ก็สึกหรอพอดี งานไร่สมบุกสมบันเหมาะกับปิ๊กอัพมากกว่าลูก”

“แต่เราไม่ต้องใช้ในไร่สิคะ ใช้เวลาขับเข้าเมืองพอ”

กอบกาญจน์ส่ายหน้า “ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นลูก รถที่มีอยู่ก็ใช้งานได้ดีแล้ว” พูดจบเห็นหน้ามุ่ยของหลานสาวโดยพลัน กอบกาญจน์ก็รีบเปลี่ยนเรื่องว่า “ย่าว่าหนูเข้าไปพักผ่อนในบ้านเถอะ มาถึงเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวกินปลา จะได้ขึ้นไปพักผ่อน ย่าให้เด็กๆ ทำความสะอาดห้องหับเตรียมไว้ให้แล้ว” แล้วกอบกาญจน์ก็หันไปทางบุญคำ กล่าวว่า “คำยกกระเป๋าของคุณน้ำขึ้นไปไว้บนชั้นสองเลยนะ เอาไปไว้ในห้องที่ติดกับพ่อเพลิง”



พ่อเพลิง ของกอบกาญจน์ กำลังรู้สึกแสบๆ คันๆ หน้า เมื่อฟอกสบู่ไปทั่วแล้วรู้สึกราวกับเล็บทั้งสิบยังคงจิกอยู่บนหน้า

สวรรค์ช่วย...แม่เสือสาวตัวจิ๋ว เล็บคมเหลือร้าย เธอตะกุยหน้าเขาเสียยับในจังหวะที่เขาพยายามพลิกตัวและจับมือเธอไปรวบไว้เหนือศีรษะ เจ้าหล่อนสู้ยิบตาทั้งข่วนและเตะ ขณะที่ปากร้องตะโกนปาวๆ ขอความช่วยเหลือ... เขาล่ะอยากจับหักคอนัก โชคดีที่บุญคำกลับมาทัน ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะพลั้งมือจัดการหลานของผู้มีพระคุณไปแล้ว เพราะเธอแสบเหลือร้าย เพลิงคิดด้วยความรู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางจดจ้องกระจกเบื้องหน้า ซึ่งสะท้อนภาพผู้ชายหนวดเครารกรุงรัง ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแดงๆ จากเล็บของเด็กสาวนั่น

ใช่...เธอร้ายปานเสือสาว สู้ไม่ถอยยังกับกระทิงบ้า...มันน่านัก

หนุ่มชาวไร่ วักน้ำล้างสบู่ ก่อนจะกระตุกผ้าขนหนูผืนเล็กจากราวมาซับหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังระเบียง ที่บรรดาลูกน้องกำลังรอประชุมเตรียมแผนรับมือกับลูกน้องของเสี่ยเม้ง หากพลันที่ทุกคนเห็นเขา ก็เกิดอาการอมยิ้ม

“ยิ้มอะไรกัน”

“เปล่าครับ” คนงานต่างพร้อมใจกันก้มหน้างุด ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องที่เพลิงถูกหลานสาวของกอบกาญจน์ตะกุยหน้า มีการพูดปากต่อปากจนขยายวงกว้าง ตอนนี้รับรู้กันโดยทั่วในหมู่คนงาน

ผู้จัดการสวนเกษตรกวาดตามองทุกคนโดยรอบ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ เขาจึงกระแทกเสียงว่า “ดี” จากนั้นก็เข้าเรื่อง ชายหนุ่มชี้ไปที่แผนที่บนโต๊ะไม้ตรงหน้า พลางว่า

“จับตาฝั่งนี้เป็นพิเศษเพราะอยู่ใกล้ที่ดินของเสี่ยเม้ง ใครเจออะไรที่ผิดสังเกตให้ ว.บอกทันที” แล้วจากนั้นก็เป็นการซักซ้อมแผนการรับมือ มีการแบ่งเวรเป็นสองผลัด เพื่อเฝ้าระวังตลอดคืน การวางแผนกินเวลาเกือบชั่วโมง จากนั้นจึงแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เพลิงยืนเท้าศอกกับราวระเบียง ทอดตามองผ่านความมืดอย่างไร้จุดหมาย ด้วยบัดนี้เรือนพักของคนงามเริ่มทยอยดับไฟกันแล้ว ในสวนเกษตรฯ แบ่งเรือนพักเป็นห้องย่อยๆ และปิดเปิดไฟเป็นเวลา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยอยู่กันหมู่มาก กอบกาญจน์จึงวางกฎกติกาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สายตาคมกล้ายังคงทอดยาวไปในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้น ขณะที่ในใจกำลังนึกสงสัยถึงการมาปรากฏตัวของหลานสาวของกอบกาญจน์ในช่วงนี้ ด้วยร้อยวันพันปีไม่เคยย่างกรายมาที่นี่ และผิวพรรณของเด็กสาวคนนั้น ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นคนรักธรรมชาติชอบป่าเขา

นั่นสิเพราะอะไร เธอถึงมาชนบทในช่วงนี้ ทั้งที่ในช่วงซัมเมอร์อย่างนี้ กิจกรรมช็อปปิงเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ในห้างหรูๆ ดูจะเหมาะกับชีวิตคุณหนูอย่างเธอมากกว่า?... ผู้จัดการหนุ่มเฝ้าวนเวียนถามตัวเองกลับไปกลับมา



คนที่เพลิงกำลังคิดถึง กำลังนั่งจ้อถึงวัตถุประสงค์การมาอย่างออกรสออกชาติกับกอบกาญจน์

สายน้ำเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ในปารีส ก่อนจะสรุปตบท้ายว่า “เพราะเหตุนี้พอพ่อถามว่าปิดเทอมซัมเมอร์นี้ น้ำอยากไปเที่ยวไหน น้ำถึงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าอยากมาที่นี่ เพราะน้ำไม่ได้เจอย่าหลายปีแล้ว น้ำล่ะคิดถึงย่ามั่กมาก วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวว่าไทยยังคงรักษาแชมป์ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ ทำให้น้ำนึกถึงที่นี่ เพราะจำได้เลาๆ ว่าที่สวนเกษตรของย่า มีนาข้าวเยอะมาก”

“ใช่...ย่ามีนาข้าว ๓๐ ไร่ ส่วนหนึ่งย่าให้ชาวบ้านทำกิน ปล่อยให้เขารับผิดชอบคนละแปลง ส่วนที่เหลืออีก ๓๐ไร่ ก็ปลูกพวกไม้ผลพืชผัก ส่วนที่เหลืออีก ๔๐ ไร่ เป็นพื้นที่แหล่งน้ำกับบ้าน”

“แล้วย่าได้อะไรตอบแทนกลับมาคะ” สายน้ำถามพลางเปลี่ยนท่านั่ง การนั่งขัดสมาธิกินข้าว แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสายน้ำ ทำให้เกิดอาการเมื่อยและเป็นเหน็บเร็วกว่าคนทั่วไป เธอจึงอาศัยการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

ภายหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนลายลูกไม้น่ารักโดยมีเสื้อคลุมสวมทับอีกชั้น เด็กสาวก็ลงมากินข้าวกับกอบกาญจน์ แวบแรกที่เห็นกอบกาญจน์นั่งพับเพียบโดยมีสำรับวางบนพื้น เด็กสาวก็ทำหน้าเหยเกไปหนหนึ่งแล้ว เพราะไม่ชินกับการนั่งพับเพียบเหมือนอีกฝ่าย ฉะนั้นเธอจึงนั่งเลียนแบบได้เพียงสองสามรอบ ก็ยอมแพ้หันมานั่งสบายๆ ในท่าขัดสมาธิ โดยทำทีไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาที่มองมาแทบตาถลนของคนเป็นย่า

กอบกาญจน์ตอบว่า “ย่าไม่ได้หวังอะไร แต่ชาวบ้านพวกนี้มักคืนข้าวเปลือกกลับมาครึ่งหนึ่งที่เขาเกี่ยวได้”

สายน้ำพยักหน้ารับรู้ ขณะที่พริ้ง คนรับใช้ส่วนตัวของกอบกาญจน์เสริมว่า

“แม่นายเน้นการทำเกษตรทฤษฎีใหม่น่ะค่ะคุณหนู”

“อีกคนแล้วที่ชอบพูดคำศัพท์เข้าใจยาก เมื่อตอนบ่ายลุงคำก็พูดคำนี้หนหนึ่งแล้ว เกษตรทฤษฎีใหม่ที่ป้าพริ้งว่า แปลว่าอะไรคะย่า แล้วเป็นยังไงคะ”

กอบกาญจน์ยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนตอบว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่ มักมาคู่กับเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ ประยุกต์มาจากเศรษฐกิจพอเพียง คือการผลิตที่พึ่งตนเองได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ค่อยเป็นค่อยไป ให้พอมีพอกินไม่อดอยาก มีการผลิตข้าวกินพอเพียงในแต่ละปี ย่ายังจำพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงให้ไว้ในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ ได้ว่า ทฤษฎีใหม่นี้มีไว้สำหรับป้องกัน หรือถ้าในโอกาสปกติ ทำให้ร่ำรวยขึ้น ถ้าในโอกาสที่มีอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวได้ โดยไม่ต้องให้ทางราชการไปช่วยมากเกินไป ทำให้ประชาชนพึ่งตนเองได้อย่างดี นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน”

“ยังไงคะย่า น้ำฟังแล้วไม่เข้าใจ”

เจ้าของไร่ยิ้มด้วยแววตาปรานี ก่อนขยายความว่า “หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ การทำไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสาน มีการปลูกพืชผักสวนครัว ทำปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกและนำวัสดุเหลือใช้มาทำปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่าย และบำรุงดิน อย่างการเพาะเห็ดฟางจากวัสดุเหลือใช้ในไร่นา การปลูกไม้ผลหรือทำสวนหลังบ้าน การปลูกพืชสมุนไพร การเลี้ยงปลาในร่องสวน ในนาข้าวและแหล่งน้ำอื่นๆ เพื่อเป็นอาหารโปรตีนและรายได้เสริม การเลี้ยงไก่ เพื่อเป็นอาหาร โดยเราสามารถใช้เศษอาหาร รำ ปลายข้าวจากผลผลิตนาข้าว ข้าวโพดจากการปลูกพืชไร่ มาเลี้ยงไก่ หมูและสัตว์อื่นๆ และเรายังสามารถทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ที่เลี้ยงไว้ จะเห็นได้ว่าทั้งระบบมีการพึ่งพากันและกัน เราจึงเรียกว่าเกษตรผสมผสาน และเพื่อให้ทุกอย่างสมดุล จึงมีหลักการว่าต้องแบ่งพื้นที่สำหรับทำนา ๓๐% พื้นที่สำหรับปลูกผลไม้พืชผักต่างๆ ๓๐% บ่อน้ำหรือแหล่งน้ำ ๓๐% และที่เหลืออีก ๑๐% ใช้สำหรับปลูกบ้านที่อยู่อาศัย”

“น้ำเห็นมีม้าในสวนเกษตรแห่งนี้ด้วย เห็นนายเพลิงขี่ เอ้อ...เห็นพี่เพลิงขี่ม้าด้วย” สายน้ำรีบแก้คำพูดโดยพลัน เมื่อเห็นกอบกาญจน์จ้องมาอย่างดุๆ ก่อนถามต่อว่า “ม้าละคะ มันช่วยในการทำการเกษตรยังไงคะ”

“เรื่องนี้เป็นแนวคิดของพี่เพลิง เขาเห็นว่าย่าต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากในการเดินใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักตามใต้ต้นยาง ใต้ต้นปาล์ม แล้วก็สวนผลไม้ต่างๆ เมื่อ ๕-๖ ปีก่อนเขาก็เลยลองเอาม้ามาเลี้ยงเพื่อให้คนงานขี่ใส่ปุ๋ย”

“แล้วมันได้ผลหรือคะ” สายน้ำถาม ไม่ตั้งใจจะขัดคอ แต่อยากรู้จริงๆ เพราะเธอไม่เคยได้ยินเรื่องม้าช่วยทำการเกษตรมาก่อน

“ก็เห็นผลอยู่นะ อย่างน้อยก็เรื่องที่คนงานไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินใส่ปุ๋ยตามโคนต้น กับเรื่องช่วยกำจัดวัชพืชตามโคนต้นไม้ เพราะม้าพวกนี้คอยกินเมล็ดยางที่ร่วงโคนต้น แล้วก็กินวัชพืชที่ขึ้นแถวโคนต้น ก็ถือว่าช่วยคนงานได้อีกแรง ปีถัดมาเพลิงเลยลองสั่งเพิ่มเข้ามาอีก ๒-๓ ตัว คราวนี้เห็นผลชัดเจนขึ้น เพราะเราใช้คนงานในการเดินใส่ปุ๋ยน้อยลง แถมยังได้ปริมาณของมูลสัตว์เพิ่มขึ้น ถือเป็นปุ๋ยคอกชั้นดี จนถึงตอนนี้สวนเกษตรของย่ามีพ่อม้าพันธุ์ดีหลายตัว แถมยังมีคนมาซื้อลูกม้าถึงที่ด้วยนะ ส่วนผลผลิตทางการเกษตรก็น่าพอใจ ยางให้น้ำยางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผลไม้ก็เก็บได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบนิเวศน์ในสวนของย่าดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะย่าไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บริเวณหน้าดินก็เลยยังคงอุดมสมบูรณ์”

“แต่เราก็ต้องใช้คนงานเพิ่มขึ้นในการดูแลม้าพวกนั้น” สายน้ำแย้งเสียงอ่อนๆ

กอบกาญจน์หัวเราะ “เรื่องดูแลม้าส่วนมากเป็นหน้าที่ของเพลิง เขารักม้าของเขาทุกตัว ฉะนั้นเขาจะดูแลด้วยตัวเองเป็นหลัก แต่มีคนงานช่วยเป็นลูกมืออยู่บ้าง ๑-๒ คน”

“แล้วย่าไม่กลัวว่าม้าจะเหยียบพืชผลของย่าหรือคะ”

“ไม่หรอกลูก เพลิงมีระบบบริหารจัดการดี ฉะนั้นม้าเหล่านี้จะวิ่งตามสวนไม้ยืนต้น จะไม่วิ่งนอกเส้นทางเด็ดขาด ว่าแต่หลานยังไม่บอกย่าเลยว่า มาหนนี้ ต้องการอะไร?”

“น้ำคิดถึงย่าก็เลยมาเยี่ยม”

“แค่นั้น?” กอบกาญจน์ดักคออย่างรู้ทัน

“ค่ะ ก็น้ำไม่ได้เจอย่านานแล้ว” คนเป็นหลานก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบตาด้วยนัก

กอบกาญจน์พยักหน้า “ย่าก็คิดถึงหลาน แล้วหลานจะมาอยู่กับย่ากี่วัน”

สายน้ำอึกอัก จะตอบว่าแค่ ๑-๒ วัน ก็รู้สึกละอายใจ ที่สุดจึงตัดสินใจขยายเวลาออกไป เธอตอบว่า “ก็คงสัก ๑-๒ อาทิตย์แหละค่ะ”

“แค่นั้นเองหรือลูก น้ำน่าจะอยู่ที่บ้านสวนนานๆ อากาศที่นี่บริสุทธิ์ ย่ารับรองว่าหลานจะหลงรักที่นี่และไม่อยากกลับไปฝรั่งเศสอีกเลย”

“น้ำก็ว่างั้นแหละค่ะ ว่าแต่...”

“ว่าแต่อะไรหรือหลาน?” กอบกาญจน์ถามต่อ เมื่อเห็นคนเป็นหลานหยุดพูดไปเฉยๆ

คนถูกถามก็เลยได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน เพราะไม่รู้ว่าจะเกริ่นเข้าเรื่องที่ต้องการอย่างไรดี... ย่าคะเมื่อไหร่ย่าจะยกที่ดินให้พ่อคะ? ย่าคะย่าแบ่งมรดกให้ลูกๆ หรือยังคะ? ขืนถามโต้งๆ ออกไปอย่างนั้น เธอนึกเดาอนาคตตัวเองได้เลยว่าคงถูกยันโครมออกมาแทบไม่ทัน ที่สุดเด็กสาวจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปฏิเสธเสียงเอื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร แล้วจึงหันเหไปคุยเรื่องอื่น

สรุปคืนนั้นจนแล้วจนรอดสาวน้อยจากแดนไกล ก็ยังหาโอกาสในการเกลี้ยกล่อมคนเป็นย่าให้โอนโฉนดที่ดินให้กับพ่อของเธอไม่ได้...


lozocat
lozocat
lozocatlozocat



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2554 5:33:21 น.
Counter : 698 Pageviews.

4 comments
  
เปลี่ยนจากไร่ดิสกร มาเป็นสวนเกษตรดิสกร นะคะ ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา:22:00:27 น.
  
ช่างพูดเอาใจคนแก่จริงจริ๊งหนูน้ำ

-มอมมอม===>มอมแมม

-หนวด(เครก)รกรุงรัง===>เครา

-มีการแบ่งเวรเป็นสอง(ผัด)===>ผลัด

-ฉะนั้นเธอจึงนั่งเลียนแบบได้เพียง(สองสามสาม)===>นั่งเลียนแบบได้เพียงสองสามนาทีหรือเปล่าคะ

-ย่าฆ่าแมลง===>ยาฆ่าแมลง

-เพลิงมีระบบบริหาร(บริหาร)จัดการดี===>คำซ้ำกันค่ะ
โดย: mimny วันที่: 28 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:21:01 น.
  
อยากเป็นชาวไร่เลยค่ะ หนนี้พระนางห่างกัน 20 ปี พระเอกกินเด็กตลอด อิอิ อยากมีแบบนางเอกแก่กว่าบ้าง ตรงสุด ๆ ก๊าก
อยากไปสถานที่จริงจังเลยค้า
โดย: หนูเก๋ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:27:39 น.
  
พระเอกนางเอกเจอกันปุ๊บกับง้างกงเล็บใส่กันทันที แถมพระเอกยักแก่กว่านางเอกแบบชนิดเป็นพ่อลูกกันได้เลย แล้วแบบนี้จะไปรักกันยังไง ยังนึกไม่ออกเลยค่ะ
โดย: pantan IP: 58.9.217.116 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2554 เวลา:13:52:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments