Group Blog
บทที่ 1...บาปรัก


บาปรัก

บทที่ 1

“ข้างนอกลม...”

เพลิงผลักบานประตูกระจกชะงักค้างเมื่อสายตาเหลือบเห็นชายที่ตัวเองตามหากำลังจดจ้องอะไรอยู่เขาหันกลับไปเลื่อนปิดบานเลื่อนอย่างช้าๆ ยกเก้าอี้ที่อยู่มุมระเบียงดาดฟ้ามานั่งข้างๆรถเข็นของฝ่ายนั้น คงปล่อยให้ความเงียบปกคลุม ธีรเดชจ้องภาพเบื้องล่างด้วยแววตาครุ่นคิดพลอยให้เพลิงทอดมองตามไปยังสนามหญ้าที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนเล็กที่ซึ่งขวัญฤดีกำลังวิ่งไล่เจ้าทองเอกอยู่อย่างสนุกสนานทองเอกเป็นสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ที่ได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุดแต่น่าแปลกมันกลับเชื่องยังกับลูกแมวเมื่ออยู่ใกล้เธอ กิริยาที่วิ่งไล่สุนัขคู่ใจของเธอเป็นเหมือนเด็กๆดูเป็นธรรมชาติ ไร้เดียงสา เพลิงคลี่ยิ้ม แววตาที่ปกติเย็นชาจนติดจะกระด้างคลายลงโดยไม่รู้ตัว เด็กสาววัยแรกอรุณคนนั้นเป็นเหมือนของขวัญล้ำค่าบนโลกใบนี้

ครู่ใหญ่ๆ ผ่านไปธีรเดชกล่าวขึ้นว่า “ยายขวัญดูร่าเริงราวกับปลาได้น้ำใหม่ไม่สิ...เหมือนนกน้อยที่กำลังจะออกจากกรงทองต่างหาก” น้ำเสียงแผ่วเบาเพราะคนพูดพูดด้วยความรู้สึกใจหาย

เพลิงไม่รู้จะตอบอะไรดีเพราะปลอบใครไม่เป็นได้แต่มองไปยังคนที่กำลังถูกพูดถึง ขวัญฤดีกำลังหัวเราะอย่างชอบใจที่วิ่งแซงเจ้าทองเอกไปได้ซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าสุนัขแสนรู้ตัวนั้นเป็นฝ่ายอ่อยให้ ขวัญฤดีสดใสร่าเริงดั่งที่ธีรเดชว่าจริงๆ แต่เธอเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เพิ่งมาเป็นตอนนี้เธอเป็นเหมือนแสงแดดยามเช้าที่ชายต่างวัยอย่างพวกเขาขาดไม่ได้ และแน่นอนเธอคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่

ขวัญฤดีอายุ 17 ปีเป็นบุตรสาวคนเดียวของธีรเดชนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย70 ที่รวยล้นพ้น เกิดมาเพียบพร้อมทั้งรูปโฉม ชาติตระกูลและฐานะเศรษฐกิจด้วยว่าเกิดมาบนกองเงินกองทองธีรเดชสร้างโรงเรียนนานาชาติให้เด็กสาวเพื่อจะได้คัดกรองสังคมให้กับเธอ สร้างสวนสนุกเพื่อจะได้มั่นใจว่าเครื่องเล่นเหล่านั้นปลอดภัยพอสำหรับเธอและเมื่อเธอโตเกินกว่าจะเล่นเครื่องเล่นพวกนั้นเขาก็ขายกิจการให้กับเพื่อนนักลงทุน เขาเตรียมบ้านพักตากอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับเธอซึ่งแน่นอนว่าเป็นหาดปิดที่ไม่มีใครเข้ามาเพ่นพ่านได้ เด็กสาวไม่เคยออกจากบ้านลำพังไปไหนมาไหนมีพี่เลี้ยงคอยดูแลตลอด ความที่กำพร้าแม่มาแต่เด็กแถมเป็นลูกโทนและลูกหลงด้วย ธีรเดชเลยชดเชยให้ทุกอย่าง ขวัญฤดีอยากได้อะไรยกเว้นเดือนกับดาวธีรเดชเป็นต้องหามาให้เดี๋ยวนั้นแต่ทว่าน่าแปลกที่เด็กกำพร้าอย่างเธอไม่เคยเรียกร้องพิสดารอะไรจากผู้เป็นพ่อเหมือนกัน

“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว” จู่ๆ ธีรเดชถามขึ้นด้วยประโยคนั้น

“สิบเจ็ดปีครับ”

“นานพอๆ กับอายุของยายขวัญสินะ นั่นสิ...ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใครได้อีก” ธีรเดชพึมพำ

เพลิงชะงักเขายังคงเลือกที่จะเงียบซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผู้เป็นเพื่อนกึ่งนายเริ่มชินแล้ว

ชายชราทอดสายตาไปยังสนามหญ้าที่เวิ้งว้าง ไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานของเพลิง เมื่อ 10 ปีก่อนหนุ่มรุ่นลูกคนนี้บอกให้เขากว้านซื้อที่ดินโดยรอบในราคาที่เจ้าของที่ดินพอใจซึ่งแน่นอนว่าแพงหูฉี่เพราะเพลิงห้ามเขาต่อสักบาทเขายืนยันว่าจะคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป มาวันนี้กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงตามคำพูดของหนุ่มนั่นทุกคำเขาสามารถเนรมิตสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกสาวได้ทุกอย่างทั้งสวนสาธารณะ ทะเลสาบและโดมหิมะทำให้ขวัญฤดีมีความสุขภายใต้อาณาเขตหลายร้อยไร่แห่งนี้ซึ่งก็เพราะความบ้าระห่ำทำตามคำแนะนำของเพลิงในวันนั้น

ธีรเดชกล่าวต่อด้วยแววตารำลึกถึงความหลังว่า“วันที่คุณเข้ามาในบ้านหลังนี้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนคุณบอกผมว่าจะทำให้ผมรวยขึ้นเป็นหลายร้อยเท่าด้วยวิธีการที่สุจริตแลกเพียงอย่างเดียวว่าขออาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ตอนนั้นผมระแวงคุณ กลัวว่าจะถูกหลอกแต่ดูวันนี้สิผมรวยล้นพ้น รวยมากขึ้นกว่าเก่าหลายร้อยหลายพันเท่ามากกว่าที่คุณเคยรับปากด้วยซ้ำคุณเป็นยิ่งกว่าแขนขาของผมๆ ไว้ใจคุณยิ่งกว่าตัวผมเองเสียอีก ผมกล้าพูดโดยที่ไม่กลัวว่าคุณจะรู้สึกเป็นต่อด้วยว่าธุรกิจที่เติบโตมาหลายแสนล้านได้ในวันนี้ก็เพราะคุณ” ธีรเดชอยากบอกมากกว่านั้นว่าทุกวันนี้เขารู้สึกกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เขาไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญใดๆที่เกี่ยวกับธุรกิจถ้าไม่มีเพลิงคอยแบ็คอัพ

เพลิงยังคงเงียบตามเคย

“วันนี้ผมได้คำตอบแล้วว่าที่คุณขอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยก็เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียว... เพื่อจะได้ดูแลผมดูแลยายขวัญ” ธีรเดชตบท้ายด้วยการหันมาสบตา

เพลิงยังคงเงียบ

ชายวัย 70 จ้องใบหน้าหนุ่มรุ่นลูกด้วยแววตาคาดคั้นใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร หากแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกยังกับรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็งนั้นกำลังมองตรงไปยังสนามหญ้าซึ่งไม่ต้องมองตามเขาก็รู้ว่าเป้าสายตาเพลิงอยู่ที่ไหนแววตาเพลิงยามนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนเช่นทุกคราที่เห็นอยู่ทุกวี่เชื่อวัน ดวงตาคมกล้าสีสนิมรับกับคิ้วเรียวยาวเป็นคันศรจมูกโด่งตรงรับกับริมฝีปากบางได้รูปสวยราวกับริมฝีปากอิสตรี ถ้าเขาเป็นผู้หญิงเขาคงหลงรักเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัยเหมือนกับคนรับใช้สาวๆ อีกหลายสิบคนในบ้านหลังนี้ที่สมัยนั้นหลงรักเพลิงเพียงแค่แรกเห็นหน้าและถูกไล่ออกมาในเวลาต่อมาไล่ๆกันเนื่องจากคอยแต่ให้ท่าเพลิง หลังๆ ต้องเลือกจ้างแต่คนแก่เจ้าของความคิดนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เพลิงนั่นเอง เขาให้เหตุผลว่าสาวๆ มีแต่อู้งาน คอยแต่แต่งตัวสวยๆเขารู้ว่าไม่ใช่เหตุผลนั้นหรอกที่เพลิงไล่ออก แต่เพราะคอยยั่วยวนเจ้าตัวต่างหาก แต่ขี้คร้านเซ้าซี้ ตัดปัญหาด้วยการมอบให้เพลิงเป็นคนจัดหาคนรับใช้เองด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นคนใช้ประเภทสาวใช้ ในบ้านหลังนี้จึงมีแต่สาวแก่อายุ 45 ปีขึ้นไปน้อยสุดคืออุษาพี่เลี้ยงของลูกสาวเขาซึ่งอายุ 38 ปี เขาไม่แปลกใจเลยที่สาวคนไหนเห็นเพลิงแล้วจะไม่หลงใหลก็ในเมื่อเจ้าตัวหล่อเหลาสมบูรณ์แบบอย่างหาตัวจับยากทั้งรูปร่างหน้าตาและสติปัญญา เรียกว่าสมบูรณ์แบบทุกๆด้านจนเหลือเชื่อว่าจะเป็นคนเดินดินจริงๆ แถมสุขภาพแข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ถ้าเพลิงไม่กินอาหารเหมือนเขา ไม่กล้าสู้แสงแดงหรือสามารถทำงานได้ตลอด 24ชั่วโมงโดยไม่ต้องหลับต้องนอน เขาคงคิดไปแล้วว่าฝ่ายนั้นเป็นแวมไพร์หรือไม่ก็แดรกคูลา ไม่สิ...แวมไพร์แดรกคูลาไม่น่าใช่เพราะไม่เคยเห็นเพลิงดื่มเลือดแถมยังไม่กลัวกระเทียม เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นเทพมากกว่า

ชายชรายังคงพยายามอ่านความรู้สึกทางแววตาแต่เช่นเคยแววตาคู่นั้นว่างเปล่า เผลอๆ ติดจะเย็นชาแข็งกระด้างด้วยซ้ำ ธีรเดชเคยสงสัยว่าเพลิงเคยเร่าร้อนจากกามารมณ์หรือเคยเสน่หาในตัวสาวๆคนไหนบ้างหรือไม่ เดาว่าคงไม่ เขานึกภาพนั้นไม่ออกแถมตลอด 17 ปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินว่าเพลิงมีแฟนหรือคนรักอย่าว่าแต่คบหาหรือคลุกคลีกับสาวไหนเลย แม้แต่ไปหลับนอนกับสาวที่ไหนเขายังไม่เคยได้ข่าวเขาไม่เชื่อว่าเพลิงไม่ประสีประสากับเรื่องนี้ ไม่เชื่อว่าจะซื่อบื้อกับเรื่องสาวๆแต่ตรงกันข้ามเขาคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างถึงเลือกที่จะไม่สานสัมพันธ์กับสาวคนไหน หรือบางทีเพลิงอาจเป็นผู้ชายประเภทที่ฟาดเรียบแต่ปิดปากสาวๆ ได้เงียบสนิท?เพราะหล่อและมากด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศขนาดนี้ไม่น่าเป็นเกย์หรือกามตายด้านได้

เพลิงก้าวเข้ามาในชีวิตเขาราวกับยมทูตเพราะเข้ามาในวันที่เขากำลังสูญเสียภรรยา เพลิงไม่ต่างจากชายนิรนาม ด้วยว่าไร้ซึ่งที่มาและภูมิหลังเขาให้นักสืบตามสืบประวัติแต่ไม่เจอข้อมูลใดๆ ราวกับว่าเขาเกิดมาจากลำไม้ไผ่เขายังคงให้นักสืบตามสืบอีกหลายปีจนเบื่อและเลิกจ้างไปเอง อะไรบางอย่างซึ่งเป็นสัญชาตญาณในตัวเขาบอกให้ลองเชื่อและไว้ใจเพลิงและ 17 ปีที่เขาเฝ้าติดตามพบว่าเพลิงไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพลิงเป็นคนเรียบง่ายจนติดจะสมถะไม่สะสมเงินทอง ทั้งที่หากจะยักยอกทรัพย์สมบัติเขาก็ทำได้ไม่ยาก น่าแปลกยิ่งกว่านั้นเขาไม่เคยเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่าเคยหนุ่มแน่นอย่างไรเมื่อ 17 ปีก่อน วันนี้ก็ยังคงหนุ่มแน่นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงที่เพิ่มเติมคือร่างกายที่บึกบึกผึ่งผายมากขึ้น อาจเพราะใส่ใจในการดูแลสุขภาพเขาเล่นกีฬา วิ่งออกกำลังกายทุกเช้า

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือเจ้าลูกชาย” ธีรเดชสัพยอกขึ้น

“เรื่องอะไรครับ”

“เหตุผลที่อยู่กับผม”

เพลิงส่ายหน้า

“ถ้างั้นเรื่องธุรกิจ”

“ก็แค่จับธุรกิจถูกทาง บวกกับการลงทุนในหุ้นที่ถูกจังหวะ”เพลิงตอบง่ายๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก

“แต่เป็นทิศทางและจังหวะที่ไม่เคยผิดพลาดคุณทำได้ไง หลายครั้งที่ผมประเมินว่าควรเดินหน้า คุณกลับบอกถอย และเมื่อผมคิดว่าสถานการณ์นั้นควรถอยคุณกลับบอกให้ลุย แล้วที่น่าขำคือทุกอย่างที่คุณคิด ถูกต้องหมด”

“คิดเสียว่าเป็นดวง”

“ใช่ดวง แล้วคุณก็เป็นตัวนำโชคสำหรับผม”

เพลิงยิ้มมุมปาก

“ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกคุณ”

สายตาเพลิงยังคงจับจ้องไปยังร่างบอบบางที่ขณะนี้กำลังเดินแกมวิ่งอย่างเริงร่ากลับเข้าเรือนเล็กโดยมีเจ้าทองเอกวิ่งตาม

ธีรเดชยังคงจ้องหนุ่มรุ่นลูกพลางกล่าวอย่างช้าๆว่า “ผมตัดสินใจแล้วที่จะส่งเธอไปเรียนที่อังกฤษ”

เพลิงชะงัก รู้ว่าไม่ง่ายที่ธีรเดชจะเอ่ยปากประโยคนั้นการส่งเด็กสาวไปอยู่ไกลบ้าน ไม่ต่างจากเฉือนหัวใจของตัวเอง

“คุณจะไม่ถามหรือว่าเพราะอะไร”

เพลงส่ายหน้า “คุณมีเหตุผล”

“ใช่และผมอยากบอกคุณ...” ธีรเดชหันกลับไปมองขวัญฤดีแววตาค่อนข้างเลื่อนลอยเมื่อกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ถึงเวลาแล้วที่ยายขวัญต้องฝึกบินด้วยตัวเองแกควรห่างจากอกผมได้แล้ว ผมอยากทำให้มั่นใจว่าแกจะเผชิญโลกกว้างได้หลังจากที่ผมจากไปแล้ว”

“มะเร็งไม่อาจคร่าชีวิตคุณได้เท่ากับกำลังใจถ้าคุณดูแลสุขภาพดีและกำลังใจยังดีเป็นเยี่ยมอย่างงี้ คุณจะอยู่ได้อีกนาน เผลอๆ อาจจะยาวนานกว่าผม” ประโยคท้ายเพลิงไม่ได้กล่าวออกไปเขาได้แต่นึกบอกตัวเองในใจ

“คุณก็รู้ว่านั่นเป็นคำปลอบที่ห่วยแตกที่สุดนับแต่ผมได้ยินมามะเร็งลามระยะที่สามแล้ว คุณรู้พอๆ กับผมว่านาฬิกาชีวิตของผมเหลืออยู่ไม่มากนัก”

เพลิงไม่ตอบ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง “เธอรู้หรือยังเรื่องที่ต้องไปอังกฤษ”

“ผมบอกไปแล้ว”

“แล้วเธอว่าไง”

“ยายขวัญจะว่าอะไร เธอว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไรบอกอะไรก็ทำทั้งนั้น”

เพลิงนิ่ง ขวัญฤดีเป็นแบบนั้นจริงๆเธอโต้แย้งใครไม่เป็นโดยเฉพาะกับพ่อตัวเอง เธอจะว่านอนสอนง่าย เพลิงผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบากล่าวต่อว่า “คุณจะส่งเธอไปเมื่อไร”

“เดือนหน้า ผมสั่งให้อุษาจัดการเรื่องมหาลัยกับที่พักเรียบร้อยแล้ว”

“ทำไม เร็วเกินไป” เพลิงพึมพำ

“ที่นั่นเปิดเทอมแล้วผมไม่ควรยื้อเวลาไปมากกว่านี้ เธอควรมีเวลาได้ปรับตัวก่อนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอีกหลายปี”

เพลิงผ่อนลมหายใจแทนคำตอบ

ธีรเดชหันมาสบตาอีกคำรบ “ผมมีอีกเรื่องอยากบอกคุณ...ผมทาบทามสุชาติให้ยายขวัญแล้ว”

“หมายความว่าไง” เพลิงขมวดคิ้ว

“ผมหมั้นสุชาติให้ยายขวัญแล้ว”

“ฉิบ...” เพลิงอุทาน แต่ฟังเหมือนเสียงสบถแกมคำรามมากกว่า“คุณทำอย่างนั้นไม่ได้” เสียงแทบไม่รอดไรฟัน ฟังไม่ต่างจากเสียงขู่

“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อคุณปฏิเสธ ผมก็ควรต้องหาคนอื่นมาทำหน้าที่นั้นแทนและสุชาติก็เหมาะกับหน้าที่นั้น ผมคิดดีแล้ว”

“แต่หมอนั่นแก่เกินไป เขาเป็นพ่อเธอได้”

“แก่อะไร แค่สี่สิบเท่าคุณ อีกอย่างพ่อเธอเจ็ดสิบ”

“ไม่ขำเลยนะ” เพลิงบดกรามแน่น เขาไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำ

“ผมก็ไม่ได้จะพูดให้ขำ”

“คุณขวัญเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน”

“ผมก็ไม่ได้ให้เธอแต่งตอนนี้ ให้หมั้นไว้ก่อนค่อยแต่งเมื่อถึงยี่สิบห้า”

เพลิงบดกรามแน่น “คุณขวัญรู้หรือยัง”

“ผมบอกเธอไปแล้วแล้วเย็นนี้ก็จะมีงานเลี้ยงรับรอง ผมบอกยายขวัญให้มาร่วมงานด้วย”

“แล้วเธอว่ายังไง”

“เรื่องอะไร หมั้นหรืองานเลี้ยงแนะนำตัว”

“หมั้นสิ”

“จะว่าอะไร เธอก็แค่ถามเหตุผลผมบอกว่าผมหาคนที่ดีที่สุดให้เธอๆ ก็โอเค”

แววตาเพลิงแข็งกร้าวโดยไม่รู้ตัว อยากถามว่าถามความสมัครใจของขวัญฤดีหรือยังแต่นึกเดาคำตอบได้อยู่แล้ว เด็กสาวอย่างขวัญฤดีจะกล้าหืออือกับสิ่งที่พ่อตัวเองบอกหรือ

ธีรเดชหันมาจ้องหน้า พยายามอ่านใจ “ถ้าเป็นห่วงยายขวัญนักทำไมไม่รับหน้าที่นั้นเสียเอง”

“หน้าที่อะไร”

“คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร คู่หมั้นยายขวัญ”

“คุณก็รู้ ผมรับไม่ได้”

“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น คุณไม่เคยบอกอะไรผม”ธีรเดชปฏิเสธเสียงกร้าว

เพลิงบดกรามอีกระลอก

“น่าเพลิง...ไม่เปลี่ยนใจเหรอ ผมรู้จักคุณมาสิบเจ็ดปีแล้วรักคุณไม่ต่างจากลูกชายคนหนึ่ง ผมอยากหาคนที่ดูแลยายขวัญได้เพื่อจะได้มั่นใจว่าเมื่อผมไม่อยู่ในโลกนี้แล้วจะมีใครสักคนที่ดูแลยายขวัญได้ดีพอๆ กับผม คิดดูให้ดีนะไม่มีหน้าที่ไหนอีกแล้วที่จะดูแลยายขวัญตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ดีเท่ากับหน้าที่ของคนเป็นสามีและถ้าคนคนนั้นจะเป็นคุณ ผมนอนตายตาหลับแน่”




Create Date : 16 เมษายน 2560
Last Update : 16 เมษายน 2560 17:24:27 น.
Counter : 316 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments