Lost in translation สำหรับคุณความเหงาคือ อะไร
ผมไม่ดูหนังผี
จริงๆแล้วแม้ผมเป็นคนชอบดูหนัง แต่ว่ามีหนังอยู่หนึ่งประเภทที่ผมพยายามอย่างมากที่จะหลีกเลี่ยง นั่นคือ “ หนังผี “ ผมคิดว่าเวลาที่เราที่ดูหนังประเภทนี้จบ นอกจากเงิน เวลา ที่เราต้องเสียไป หลังจากหนังจบลง มันจะแถมความหลอนมาด้วย หลังดู เช่น“จูอง” ผมต้องเปิดผ้าห่มดูทุกครั้ง และเหลือบมองหัวเตียงเสมอ “ six-sense “ ตอนกลางคืนผมไม่กล้าเข้าห้องน้ำคนเดียว และไม่กล้าไปห้องครัว “ the ring “ อันนี้ไม่กล้าเปิดทีวี ฯลฯ แม้ว่าหนังผีบางเรื่องจะมีการสอดแทรกมุมมอง และแง่คิดที่น่าสนใจอยู่บ้าง แต่เพื่อค่ำคืนการนอนที่มีความสุขของผม ผมขอเลี่ยงดีกว่า "ความกลัว"เป็นสิ่งที่ฝังตัวในความทรงจำของคนเราได้อย่างน่าสนใจแต่วันนี้ผมมีสิ่งที่อยากจะเรียกร้องขอบอกกับเพื่อนๆทุกคนครับ ช่วงที่ผ่านมาผมต้องทำหน้าที่ตรวจผู้ป่วยนอกมากมาย คนไข้ก็มีมากมายหลายคน หลายกลุ่มครับ แต่จะมีคนไข้กลุ่มหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูของผมมากที่สุด นั่นคือ “เด็ก “ ครับโดยเฉพาะอายุ 3-10 ปีครับ เป็นช่วงที่เปรี้ยวตีนมากครับ ( ส่วนเด็กหญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปผมไม่ค่อยถือสา ) เด็กกลุ่มนี้จะเข้าห้องตรวจมาด้วยสายตารังเกียจและอาฆาต พยายามไม่เข้าใกล้ บ้างถีบ บ้างถุยน้ำลายใส่ ( เรื่องจริงครับ ) พอผมจะขยับๆไปตรวจนิดๆหน่อย ก็ร้องไห้แหกปาก แล้วก็ถีบต่อไป จังหวะนั้นในใจอยากโดดไปตีหัวจังๆซัก ป้าบนึง แต่ต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่ที่น่ารักผมบอกได้เพียง “ เด็กร่าเริงดีน่ะครับ “ ผมพยายามหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมพวกเด็กเหล่านั้นจึงจงเกลียด จงชัง ผมขนาดนั้น ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้จักกันมาก่อนสองวันถัดมาผมได้เงื่อนงำบางอย่าง วันนั้นผมตื่นแต่เช้าแต่งตัวใส่เสื้อกาวน์ออกจากบ้านพัก ซึ่งข้างๆบ้านผมเป็นศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็ก ผมเปิดประตูออกไป ยิ้มให้กับพี่เลี้ยงเด็ก และเด็กๆที่นั่งอยู่ มีเด็กบางคนร้องไห้งอแงอยากกลับบ้าน ทันใดนั้นเหตุการณ์บางอย่างก็เกิด .............พี่เลี้ยงเด็กชี้นิ้วมาทางผมแล้วบอกว่า “ ถ้าไม่หยุดร้องไห้ เดี๋ยวหมอจับฉีดยา “ผมจึงได้เงื่อนงำบางอย่าง ผมว่ามันเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด ผมถึงบางอ้อในตอนนั้น อารมณ์ประมาณกับคินดะอิจืในฉากที่ี่พูดว่า " ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว "และ " ขอเอาชื่อปู่เป็นเดิมพัน " ผมคิดว่าเป็นการปลูกฝังเช่นนี้ อาจไม่ใข่การปลูกผังที่่ดีนัก ข้อเท็จจริงก็คือ หมอบ้านเราไม่ค่อยได้ฉีดยาหรอกครับ ( ผมเองก็ไม่เกิน 10 ครั้ง ) อีกหนึ่งอาชีพน่าสงสารไม่แพ้กันคงเป็นตำรวจ “ เดี๋ยวให้ตำรวจมาจับ “ อย่างไรก็ตามในชีวิตจริงๆพี่ๆตำรวจก็ไม่ได้มีโอกาสต้องทำงานร่วมกับเด็กๆบ่อยนัก ( นอกจากงานวันเด็ก ) ผมจึงขอรณรงค์ทุกท่านที่กำลังจะมีบุตรหลานในอนาคตว่า อย่าไปขู่เด็กอย่างนั้นเลยครับ การที่เราไปปลูกฝังความกลัวอะไรต่างๆให้แก่เด็ก มันค่อนข้างจะลบได้ยากครับ.....................แต่ถ้าจำเป็นต้องขู่จริงๆผมวิงวอนขอให้ลองกระจายกลุ่มอาชีพ เช่น“ร้องไห้อย่างนี้ เดี๋ยว วิศวกร จับไปสร้างสะพาน “ “ร้องไห้อย่างนี้ เดี๋ยวท่านนายกจับซุก ( หุ้น ) ”“ร้องไห้อย่างนี้ เดี่ยว ผู้กำกับจับไปถ่ายหนังโป๊ “ “ร้องไห้อย่างนี้ เดี๋ยว ครีเอทีฟจับไปถ่ายโฆษณารักแร้ขาว “ฯลฯเพราะ........ว่าเราเองก็เคยเป็นเ้ด็กกันมาก่อน และเมื่อเราโตขึ้นเรื่อยๆเราก็ได้เรียนรู้ว่า......มันมีอีกหลายอย่างที่น่ากลัว ยิ่งกว่าผี หมอ ตำรวจ และ ตุ้กแก ( ซึ่งจริงๆไม่กินตับ ) ด้วยรักและเคารพ :->m’26ป.ล หนังผีที่ผมกลัวที่สุดคือ "จูอง" ครับ ผมรู้สึกว่ามันโผล่ในสถานที่ในชีวิตประจำวันของเราๆมากเกินไป( ผมกลัว )
Little miss sunshine : เราต่างมีความขี้แพ้ในตัว
จริงๆแล้ว เสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมาผมเพิ่งได้มีอิสรภาพครั้งแรก ผมได้ออกเดินไปหาดใหญ่ร่วมกับรถ ผ.อ มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ก้าวออกจากรั้ว รพ. เป้าหมายหลักในการไปหาดใหญ่ครั้งนี้ ผมตั้งใจจะไปพบปะเพื่อนๆชาวพัทลุง และ ตั้งใจจะไปดูหนังครับ แรกสุดผมอยากดูเรื่อง “พลอย” ครับ จริงๆผมก็ไม่ได้ชอบหนังพี่เป็นเอกเขาแบบสุดๆซักเท่าไหร่นัก ( อีกทั้งที่เคยดูไปก็ใช่ว่าจะเข้าใจ ) แต่บางทีการที่มีแต่หนังฮอลีวู้ดให้ดูเพียงอย่างเดียว มันก็ทำให้เราเบื่อๆได้เหมือนกัน ผลงานเรื่องสุดท้ายของพี่เขาที่ผมได้ดูคือ “ Invisible wave “ ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ กับเพื่อนเกลอสองท่าน ผมจำบทสนทนาหลังการดูหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ผม “ เห้ย มึงว่า ฉากนั้นแม่งสื่อถึงอะไรว่ะ “ เพื่อน 1 “ ......................... “ เพื่อน 2 “ ....................... “ ผม “ ...................... “ ผม “ แล้วฉากนั้นหละ ? “ เพื่อน 1 “ ......................... “ เพื่อน 2 “ ....................... “ ผม “ ...................... “ เพื่อน 1“ มึงว่าเราฝืนกันไหมว่ะ “ เพื่อน 2“ ....................... “ ผม “ ...................... “จากนั้นเราพากัน เข้าไปกินแมคโดนัล วางแผนว่าเรื่องหน้าเราควรไปดูเรื่อง “รักจัง” กันดีไหม หลังจากห่างหายจากหนังเป็นเอกไป นานพอประมาณผมก็ว่าอาจถึงเวลาที่ผมต้องไปชมงานพี่เขาซะหน่อย เมื่อถึงหาดใหญ่ ผมมุ่งหน้าสู่โรงหนังโดยเร็ว ผมถามหา “ พลอย “ คำตอบที่ได้รับคือ “ ออกไปตั้งนานแล้ว มาแค่เจ็ดวันเท่านั้น “ ( ว้าว ทำลายทุกสถิติ ) ผมจึงตั้งเป้าหมายใหม่ ในเมื่อไม่มีหนังนอกกระแส ผมจะดื่มด่ำกับ ฮอลีวู้ดอย่างเต็มที่ผมตั้งใจจะดูพี่ บลูซ หรือไม่ก็ หุ่นยนต์แปลงร่างของพี่เบย์ ผมเข้าไปถาม และ บทสนทนาแบบเดิมๆ ก็กลับมา ผม “ พี่ครับ มี die hard 4 กับ transformers รอบไหนบ้างครับ “ พี่พนักงาน “ ไม่มีค่ะ มีแต่ ปลุกอึด กับ หุ่นผู้พิทักษ์..... “ ผม “ ............. “ พี่พนักงาน “ แต่ transformer มีพรุ่งนี้ค่ะ หนึ่งรอบตอนหกโมง “ สรุปว่าในวันเสาร์ผมยังไม่ได้ดูหนังใดๆ แต่วันอาทิตย์ผมก็ได้ดู transformers อย่างสมใจครับ ตอนแรกผมอยากมาชวนคุยเรื่องหนังเรื่องนี้ครับ หนังเรื่องนี้มัน ช่างมันเหลือเกินครับ แถมจังหวะการปล่อยมุขก็ร้ายกาจ พี่เบย์แกทำหนังแบบใส่เอฟเฟก แบบไม่กลัวงบประเทศชำรุดเลยทีเดียวแต่ เมื่อกลับมาวันนี้ ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ little miss sunshine หนังเรื่องนี้ผมเห็นมันวางอยู่ในร้านเช่า วีดีโอ หลายครั้งแล้ว อีกทั้งหลายๆคนก็บอกว่าดี แต่บางทีผมมักรู้สึกกลัวหนังประเภทนี้เสมอ กลัวว่าการดูหนังมันต้องใช้พลัง ต้องมีการเตรียมตัว ฟิตร่างกายและจิตใจ มาก่อน แต่เมื่อวานนี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ อดิสัน บอกผมว่าพึ่งดูหนังเรื่อง นี้ “เจ๋งมาก “ เป็นคำตอบสั้นจากหนุ่ม playboy อารมณ์ดีคนนี้ เป็นเหตุให้ผมรอช้าไม่ได้ครับ ( การบอกต่อนี่ช่างมีพลังในการโฆษณา จริงๆ ไม่แปลกที่หนังสือการ์ตูน “ พี่คับ ” ถึงขึ้นหิ้งคลาสสิก และทำให้เฮียหง่าดังชั่วข้ามคืน ) หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของครอบครัว “ ฮูเวอร์ “ ที่ประกอบด้วย ริชาร์ด -พ่อ ผู้เป็นคนคิดทฤษฎี “ บันได 9 ขั้นสู่ความสำเร็จ “ แต่ตัวเองนั้นไม่สำเร็จเอาซะเลย ไม่มีเงิน ตั้งใจจะพิมพ์ขายแต่ไม่มีใครยอมพิมพ์ให้ เดวน-ลูกชาย ที่ได้อ่านงานของ *Nietzsche และตัดสินใจจะไม่พูดจนกว่าจะได้เป็น ทหารอากาศ ในเรื่องเขาไม่พูดมาเก้าเดือนแล้ว โอลีฟ-ลูกสาว เด็กที่อยากเป็นนางงาม ทั้งๆทีดูจากลุคแล้วไม่น่าไปได้ เอ็ดวิน-ลุง คนแก่ที่ติดยาเฮโรอีน เชอริล- แม่ แม่บ้านติดบุหรี่ ( chain smoker ) ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในครอบครัว อาแฟรง-เป็นน้องชายของแม่ ผู้ซึ่งพึ่งพยายามฆ่าตัวตาย เนื่องจากเสียคู่เกย์ และ พลาดตำแหน่งนักวิจัยยอดเยี่ยม พูดง่ายๆคือแหล่งรวมตัว คนขี้แพ้อย่างแท้จริง แต่แล้ววันหนึ่ง หลังจาก มีโทรศัพท์มาว่า ลูกสาว ได้รับคัดเลือกประกวด little miss sunshine ( เหมือนประกวดนางงามเด็ก ) ปัญหาคือ เมืองที่ประกวดนี่อยู่ห่างจากบ้านแสนไกล ทำให้ทุกคนในบ้านต้องร่วมเดินทางด้วยกันใน รถเต่าสีเหลือง เมื่อมีการเดินทางร่วมกัน ก็ต้องมีการเรียนรู้ซึ่งกันและกันตามมา อาจเหมือนกับประโยคที่ได้ยินบ่อยๆว่า “ ระหว่างทาง อาจสำคัญกว่า จุดหมาย “ เรื่องราวระหว่างทางผมคงไม่ขอเปิดเผยให้เสียอรรถรส ( ผมขอเชียร์ทุกท่านให้ไปดูกัน ) แรกเริ่มที่ผมเริ่มดูหนังเรื่องนี้ พอมีการแนะนำตัวครบปุ้บ ผมก็รู้สึกขึ้นมาในใจว่า “ ครอบครัว เห้ อะไรครับเนี่ย “ แต่ถ้ามาดูดีๆแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าแท้จริงมันจำลองความขี้แพ้ หรือ ปัญหาในหลายๆแง่มุม“พ่อ “ ซึ่งเป็นตัวละครที่ผมว่ามันมีมิติที่สุดครับ เป็นคนที่พูดเรื่องวิธีการเป็นคนที่สำเร็จ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้อย่างที่พูดหรือพูดอีกอย่างคือ เป็นคน”ดีแต่ปาก”นั่นเอง เป็นตัวละครที่ดูน่าหมั่นไส้ที่สุดในช่วงแรกของเรื่อง แต่ผมว่า ความเป็นพ่อในเรื่องนี้กลับมีอยู่ในสังคมเรามากที่สุดเลย นึกว่าตัวเองเก่ง แนะนำคนอื่นได้เป็นฉากๆแต่ตัวเองพังไม่เป็นท่า กลุ่มคนเหล่านี้เห็นได้ในทีวีบ่อยๆ “แม่ “ อาจเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด เธอเหมือนกระโถนของครอบครัวนี้ คอยรับทุกๆอย่าง เป็นตัวละครที่มีแง่บวกมากที่สุดในเรื่อง และผมว่าในชีวิตจริงๆ แม่ๆพวกเราก็รับบทประมาณนี้ ( อาจไม่แย่เท่า เพราะอย่างน้อย คุณยังพูดนิ ) “ อาแฟรง “ สับสนผิดเพศ ผิดหวังกับความสำเร็จ และตัดสินใจฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่แล้วคนที่ฆ่าตัวเอง ประเด็นหลักๆคือ ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองนั่นเอง การผิดเพศนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย มันอาจอยู่ในยีน อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ตอนนี้ แต่ปัญหาคือ เราจัดการกับมันได้อย่างไร “ โอลีฟ “ เธอเป็นความสดใสของเรื่อง แต่บางทีสะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมว่า เราเชิดชู หลงใหลไปกับ “เปลือก”กันมากไปรึเปล่า “เดวน-ลูกชาย “ เก็บกดไม่พูด เกลียดทุกคนบนโลก บางครั้งการที่เราไม่พูดกันก็ทำให้เรื่องง่ายเป็นเรื่องยาก“ ลุง “ ติดยา เบื่อกับชีวิต แต่ก็ไม่ได้พยายามทำอะไรให้มันดีขึ้น บางทีเราอาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งเหมือนตัวละครเหล่านี้ผมนึกถึงบทความที่คุณ โหน่ง วงทนง ( ผู้ก่อตั้ง a day ) ที่เขาเล่าว่า เมื่อเขามีโอกาสไปเป็นอาจารย์สอนเด็กๆ เขาให้เด็กเขียนปมด้อย ตัวเอง แล้วใส่กระดาษมา พอหมดเวลา เขาก็เอามาอ่านปมด้อยของแต่ละคนให้ฟัง เล่นเอาสนุกสนานกันทั้งห้อง โดยที่บทเรียนวันนั้นที่เขาให้กับเด็กๆ คือ ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์ไม่มีปัญหาหรอก ต่อมาอีกนิด ใกล้ตัวอีกหน่อย ผมนึกถึงเหตุการณ์ตอนผมผ่านแผนกจิตเวช ได้มีการทำแบบทดสอบทางจิตเวชว่าเรามีความผิดปกติทางจิตรึเปล่าซี่ง มีหลายๆกลุ่มโรคที่น่าสนใจครับ - Depressive disorder ซึมเศร้าคิดว่าไม่มีค่าในตนเอง เบื่อชีวิต ไม่อยากเข้าสังคม และมักนำไปสู่การฆ่าตัวตาย- Anxiety disorder มีความกังวล เครียดไปทุกเรื่อง กลัวทุกอย่าง - Schizophrenia อันนี้เป็นจิตเภทครับ เหมือนคุณหมอประกิตเผ่า หรือ คุณพี่ จอห์น แนชเป็น - Phobia พวกกลัวอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่กลัวกัน เช่น กลัวแมงมุม กลัวเงาะ กลัวที่แคบ พวกนี้เห็นได้ตามเกมส์โชว์ทั่วไป- OCD ( obcessive compulsive disorder ) พวกย้ำคิดย้ำทำ รักความสะอาด-ล้างมืออยู่นั่น อันนี้เป็นโรคที่ โฮเวิดจ์ ฮิวด์ เป็นในเรื่อง Aviator - Mania พวกอารมณ์ดีเกินเหตุ มั่นใจในตัวเองเกิน ชอบใช้เงินซื้อของอย่างไม่มีเหตุผล อันนี้หลายคนคงเป็น ฯลฯ ซึ่งผลที่ออกมายิ่งน่าสนใจครับ คือผลปรากฏว่าทุกคนในกลุ่มมีการโน้มเอียงที่จะผิดปกติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางคนอาจหลายทาง แต่ที่ เรายังไม่จัดเป็นโรค เพราะเรายังรักษาสมดุลได้ครับ ก็คงเหมือนตัวอย่างแรก มันทำให้คิดได้ว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก “Nobody perfect “ประโยคเท่ๆที่ไว้พูดให้กำลังใจ (ส่วนใหญ่มักใช้ในเทศกาลแห่งความผิดหวัง) บางทีทุกคนก็ล้วนมีปมด้อย มีข้อเสีย มีความขี้แพ้ในตัวเอง แต่อย่างที่คุณลุงเอ็ดวิน บอกกับโอลีฟในเรื่องว่า “ คนขี้แพ้ที่แท้จริง คือคนที่กลัวไม่ชนะ ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้พยายามทำอะไร “ < A real loser is someone who's so afraid of not winning he doesn't even try >หวังว่าเพื่อนๆทุกคนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆด้วยรักและเคารพ:->m’26*Nietzsche เป็นนักปรัชญาในยุค post modernป.ล ผมไม่เคยอ่านงานพี่เขา
Nana2 ความเบาหวิวของชีวิต
เมื่อกี้นี้พึ่งดูหนังเรื่องนี้จบน่ะครับ จริงๆแล้วผมก็อยากชวนคุยเรื่องอื่นๆบ้างน่ะครับ แต่จากสภานการณ์ปัจจุบันที่ผมออกไปไหนไม่ได้ จะเอาเรื่องคนไข้ที่ถูกยิง ถูกระเบิดมาคุยก็คงใช่เรื่องเช่น โอ้พระเจ้า วันนี้ยิงเข้าหัวมาห้า ระเบิดขาขาดอีกหนึ่ง อันนี้คงหดหู่หน้าดูครับ จากความหดหู่มาทั้งวัน วันนี้ผมต้องการอะไรเบาๆบ้างครับ “นานะ” เธอจึงน่าจะช่วยผมได้ หลังจากที่ผมประทับใจกับเธอทั้งสองในภาคหนึ่งมาแล้ววันนี้การเดินทางของเธอต่อไปจะเป็นอย่างไรผมก็อยากรู้ ในภาคนี้ เป็นการเดินทางชีวิตของสองสาว ที่ดันชื่อเหมือนกันว่า นานะ คนแรกเป็นนักดนตรี เธอรักที่จะมีความมีความฝัน อีกนานะ ( ฮาจิ)เป็นสาวน่ารักคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสาวธรรมดาแค่ฝันอยากจะมีความรักหลังจากภาคที่แล้วที่ นานะ ได้ตั้งวง black stone เป้าหมายเพื่อที่จะโค้นล้มวง trapnese วงที่แฟนเธออยู่ ประมาณว่า “ ฉันไม่ง้อเธอ ฉันจะดังให้เท่าเธอ แล้วเราค่อยรักกัน “ เมื่อวงของนานะดูเหมือนจะเริ่มมีชื่อเสียง ทำให้นานะ ต้องห่างจาก “ฮาจิ” ซึ่งปกติฮาจิเองก็ไม่ค่อยมีใครอยู่แล้ว พอนานะไม่อยู่เธอก็เลยยิ่งเหงา เมื่อทาคุมิ มือเบส คาสโนวาแห่งวง trapness ที่ ฮาจิ เคยแอบปลื้ม ก็เข้ามาพอดี จากนั้นเขาก็ซัดกัน*ครับ ( ฉากนี้ทำผมตะลึงว่า พี่ยุ่นเขาอย่างนี้เลย ฮือ ........ ) แต่ทีนี้นานะยังไม่รู้ว่า โนบุ มือกีต้าร์วง black stone ก็รักเธออย่างสุดหัวใจเหมือนกัน เรื่องมันไม่ได้จบแค่รักกุ๊กกิ๊กแบบวัยรุ่นครับ ........... เพราะเธอท้องครับ ที่เหลือต้องติดตามเองครับ ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้อยู่ผมรู้สึกว่าตัว ฮาจิ ( นานะ ) นั้นดูแล้วช่างใช้ชีวิตได้เบาหวิวเหลือเกิน มันดูเหมือนคนที่ไม่มีหัวคิดเอาซะเลย เหงานิดเหงาหน่อย พอไม่มีใคร ปล่อยตัว ปล่อยใจซะแล้ว ........... ผมคิดว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่บางทีปัญหาหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น เพราะเราไปเหมาเอาว่าปัญหานั้น “เบาหวิว” เราคิดว่า อะไรว่ะ เรื่องแค่นี้เอง !หลายครั้งที่ผมมีโอกาสเจอคนไข้วัยรุ่น ที่ กรีดข้อมือ , กินยาฆ่าตัวตาย , กินยาล้างห้องน้ำ กลุ่มหลังนี้น่าสงสารครับ เขาจะ ไม่ตายครับ แต่หลอดอาหารเขาจะพังครับ เขาจะกินอะไรไม่ได้ครับ และจะตายในที่สุด เวลาผมเข้าไปซักประวัติคนไข้น้องๆเหล่านี้ เกือบร้อยทั้งร้อยบอกว่า ทะเลาะกับแฟน ประชดแฟน........................บางทีผมแอบคิดในหัวอีกครั้งว่า อะไรว่ะเนี่ย เรื่องแค่นี้ ! จนผมได้ฟังเรื่องจากเพื่อนผมคนหนึ่ง เพื่อนผมคนนี้เล่าให้ฟังว่า เพื่อนที่นั่งทำงานด้วยกันที่ออฟฟิต เธออกหักครับ เธอถูกหนุ่มคนหนึ่งทิ้ง เธอก็เลยเศร้ามาก ฟูมฟาย เพื่อนผมคนนี้ก็เข้าไปปลอบ พูดให้กำลังใจต่างๆนานาๆ เช่น ไม่เป็นไรแฟนคงหาใหม่ได้ เรื่องแค่นี้เอง ......ชีวิตมันต้องสู้ แต่บางทีอาจไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ยิน ไม่นานนัก เธอหายตัวไป พบตัวอีกทีนึง เธอก็เสียชีวิตแล้ว ................. ครับ เธอฆ่าตัวตาย เพื่อนผมคนนี้เสียใจมาก บอกผมว่าบางทีเราไปมองปัญหาของเขาในมุมของเรา ทั้งๆที่มันอาจเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขาก็ได้ จริงเธออาจแค่ต้องการคนที่เข้าใจเธอ ว่าเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผมเลยมานั่งนึกย้อนดูว่า สมัยก่อนนั้นถ้ามีใครล้อชื่อพ่อแม่เรา เราคงโกรธมาก เราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตก็เป็นได้ แต่พอมาในตอนนี้เราคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดูขำๆเอาซะมากกว่า บางที บางจังหวะ เราก็ต้องร่วมเบาหวิว ลอยๆ ไปด้วยกัน :->ขอจบเอาดื้อๆอย่างนี้เลยครับ วันนี้อยู่เวรครับ ผมขอให้โลกสงบสุข ด้วยรักและเคารพ:->m’26 * ซัดกัน ไม่ใช่ ต่อยกันน่ะครับ
Season change : ฤดูที่เราใส่ กระโปรงบาน ขาสั้น
ออกตัวตามตรงว่า นี่เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ผมดูซ้ำบ่อยที่สุดในรอบปี เป็นหนังที่ผมดูแล้วมันรู้สึกโดนๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ทุกครั้งที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ห้วงความคิดผมจะย้อน กลับไปถึงช่วงเวลาที่ผมยังใส่ขาสั้น ช่วงเวลาแ่ห่ง “ มิตรภาพ ความฝัน และ ความรัก “ ช่วงเวลาที่หลับตาย้อนกลับไปคิดเมื่อไหร่ มุมปากสองข้างจะยกตัวขึ้นเล็กๆ ทั้งที่จริงๆในห้วงเวลานั้น เราอาจไม่ได้มีความสุขขนาดนั้นก็ได้ ( เราอาจโดนเพื่อนแกล้ง โดน อ.จ ตีก้นหน้าห้อง อกหักรักคุด ) แต่อย่างว่าครับ อดีตมักสวยงามเสมอ ( ถ้ามันไม่สวยนัก ก็อย่าไปเก็บมันไว้ ) หนังเรื่องนี้เล่าถึง การเดินทางของ ป้อม ในการค้นหาตัวเองว่าโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร ค้นหาหัวใจตัวเองระหว่างเพื่อนสาวสุดสวยทั้งสองคน อ้อม ( เพื่อนรัก ) และ ดาว ( รักแรก ) บวกด้วยมิตรภาพระหว่างเพื่อนหนุ่มในวง asshole (อ่านว่า แอส โฮ ลี่ ) .......... ป้อมจะก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร เนื้อเรื่องอื่นๆผมคงไม่ขอเล่าหลายท่านคงทราบดีแล้ว ส่วนท่านที่ยังไม่ได้ดู ผมแน่ะนำว่าควรรีบหามาชมอย่างด่วนๆ จะมีผู้ชายคนไหนบ้าง ที่ดูหนังเรื่องนีู้แล้วไม่อยากตีกลอง , มีคนไหนดูแล้วจะไม่คิดว่า แล้วถ้าเป็นเราจะเลือกคนไหนดี ? ( ซึ่งในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยาก ) มีเด็กคนไหนที่ไม่รู้จักฮอตเวฟ และ ฟังวิทยุคอยลุ้นว่า รร. เราจะเข้ารอบรึไม่ ( ผมมีเพื่อนร่วมรุ่น ที่ได้เข้าร่วมแข่งฮอตเวฟ * ทำให้ยิ่งรู้สึกอินมากขึ้น ) แถมจังหวะการดำเนินเรื่อง นั้นเป็นไปแบบพาเพลิน คือ ดูแล้วไม่อยากให้มันจบ และ ไม่หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู (มีหนังหลายเรื่องที่ดีแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะดูนาฬิกาว่ามันใกล้จบยังว่ะเนี่ย!) สิ่งที่ผมชอบและรู้สึกว่าเท่มากของหนังเรื่องนี้คือ หนังเรื่องนี้ไมมี่คำว่า ”รัก” ระหว่างพระเอกและนางเอกทั้งสอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเขียนบทเขาตั้งใจหรือไม่ และประโยคปริศนา “ ไม่ชอบกินผักทำไมไม่บอก “ ที่ทำให้ผมต้องนำมาตีความกับเพื่อนอย่างออกรส ( หรือมีผมหมกมุ่นอยู่คนเดียว ) หนังเรื่องนี้นอกจากเรื่องของความรักที่เป็นประเด็นหลักแล้ว ยังมีประเด็นของการค้นหาตัวเอง.....การที่จะรู้ว่าทางที่เราเลือกนั้น ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ของที่ตอบกันง่ายๆ คนที่ตอบได้นั้น...ต้องถือว่าเป็นคนโชคดีมาก ในหนังเรื่องนี้มีหลายฉากที่ป้อม "ต้องเลือก" - บอกพ่อ หรือ ไม่บอก ที่ตัวเองไม่ได้เรียนแพทย์อย่างที่พ่อต้องการ - เพื่อนหรือแฟน - "hot wave" หรือ "วงออเคสตร้า"- รักแรก หรือ เพื่อนรัก - "เอาทุน" ไม่ "เอาทุน" เมื่อถึง"จุดหนึ่ง" ( ซึ่งมักมีหลายจุด ) เราต้องสงสัยและหยุดถามตัวเองเสมอ ว่า “ นี่กูเลือกทางเดินที่ถูกต้องแล้วหรอว่ะ “ ( ผมมั่นใจว่าในความคิดเราไม่สุภาพนัก ) มีอยู่สองอย่างคือ อดทนเดินต่อไป หรือ เปลี่ยนเส้นทางเดิน เพราะเราไม่มีทางรู้จนกว่าจะถึงจุดหมายแต่ไม่ว่าเราจะเลือกวิธีไหนมันก็ใช้ “ ความกล้า และ พลังใจ ” ไม่แพ้กัน แต่ถ้าเราไม่เลือกซักทาง เราก็ยังอยู่กับที่ และไม่มีทางรู้เลยว่ามาถูกทางรึยังมีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากคือ “ Don’t waste your life in a job that dosen’t express your heart ” From “ purpose driven life “ written by Rick warren บางทีชีวิืตเราก็เลือกมากไม่ได้ครับ แต่ถึงเวลาที่ต้องเลือก เราก็ต้อง "กล้า" ครับหวังว่าเพื่อนๆทุกคน กำลังมีความสุขในทุกฤูดครับด้วยรักและเคารพ :->m’26 * วงของเพื่อนผมชื่อ “ Ultra CHUADZ “ ครับ ซึ่งเป็นวงที่ชนะเลิศในปีนั้น ช่วยอุดหนุนด้วยน่ะครับ ……