*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

ไปเที่ยวฝรั่งเศส : Joan of Arc, Rouen, Normandy กันครับ


หอนาฬิกา ใจกลางเมือง Rouen


ช่วงสัปดาห์ก่อน ไป พิพิธภัณฑ์ Louvre ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาครับ ที่นี่ มีของเก่า ๆ ตั้งแต่ยุค กรีก โรมัน เช่น รูปปั้นของเทพธิดาแห่งความรัก คือ แม่นางวีนัส ของเก่า ๆ จาก อียิปต์ ทั้งงานปั้น แกะสลัก ภาพเขียน ซึ่งรวมทั้งภาพดัง ๆ ของดาวินชี่ คือ แม่นาง Mona Lisa ด้วยครับ แต่ไม่มีเวลาเขียนและนำภาพมาลง เนื่องจากอินเตอร์เน็ต ไม่ดีเลยไม่ได้ดังใจซะที


บรรยากาศภายนอกโบสถ์ Notre Dame อันเลื่องชื่อ


วันนี้ (๑๕ ก.ค. ๕๐) หลังจากวันชาติฝรั่งเศส ๑ วัน ผมก็ไป Normandy เมือง Rouen ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับเกาะอังกฤษ ซึ่งในอดีตเคยเมืองที่ใหญ่อันดับสอง จนถึงยุค ค.ศ.ที่ ๑๗ ครับ


เพดานโบสถ์ Notre Dame



เมืองนี้ ยังเป็นสถานที่ตั้งของสุสาน Joan of Arc เด็กน้อยอายุ ๑๔ ปี ผู้ได้ยินเสียงจากสวรรค์ให้นำทัพการรุกรานของอังกฤษ ปัจจุบัน เมืองนี้ ยังมีบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สุดของฝรั่งเศส คือ เป็นตึกครึ่งไม้ ผสมกับปูน เป็นรูปลวดลายต่าง ๆ ครับ


บ้านเอกลักษณ์ ครึ่งตึกครึ่งไม้ใน Normandy



มาพูดถึง Normandy กันหน่อยนะครับ Normandy นี่ มีที่มาจากกลุ่มชาวไวกิ้ง ( Viking Norseman) ที่บุกรุกเข้ามายึดและก่อตั้งเมืองทางท่าภาคตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส หลายร้อยปีต่อมา William the Conqueror ได้บุกไปยึดเกาะอังกฤษ โดยใช้ Normandy เป็นที่ตั้งสำคัญ


นี่คือ สุสาน Joane of Arc ครับ ตอนแรกนึกว่า โรงแรมครับ


พูดถึง วีรสตรี Joan of Arc (Jeanne d'Arc) สักนิดครับ ขณะที่เธอมีอายุเพียง ๑๔ ปี เธอลุกขึ้นมาปกป้องเอกราชของแผ่นดินแม่เธอ ซึ่งเธอได้รับการแต่งตั้งจาก King Charles VII ให้เป็นแม่ทัพเด็กหญิงน้อยที่ห้าวหาญ หลังจากที่เธอ อ้างว่าง เธอเป็นผู้ได้ยินเสียงจากสวงสวรรค์ ให้นำกำลังต่อต้านกำลังทัพมหาศาลของอังกฤษที่รุกรานฝรั่งเศส


ด้านในสุสานของนักรบเด็กน้อยผู้กล้า



แต่ที่น่าเศร้ามาก คือ ท้ายที่สุด ตัวเธอเองก็ถูกชาวฝรั่งเศสที่ฝักใฝ่อังกฤษ นำจับตัว เพื่อแลกเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ ปอนด์ ในสมัย ค.ศ. ๑๔๓๐ (ซึ่งน่าจะมีค่ามากมหาศาลอย่างไม่อาจประมาณได้ในสมัยนั้น) ที่เมือง Compeign แล้วถูกกล่าวหาว่า เธอเป็นแม่มด เนื่องจากอ้างว่าได้ยินเสียงจากสวรรค์ จากนั้นได้ถูกเผาทั้งเป็น ที่เมือง Rouen นี้เอง


รูปจำลอง Joan of Arc



หลังจากเธอถูกเผาทั้งเป็นแล้ว ในปี ค.ศ. ๑๔๕๕ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในขณะที่เธอถูกจับ ไม่ได้คิดจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย .... ได้ประกาศว่า การพิจารณาและพิพากษาให้เผาเธอทั้งเป็นฐานเป็นแม่มด นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ตลาดสดใกล้ ๆ กับ Notre Dame ครับ อะไรยาว ๆ แดง ๆ ก็ไม่ทราบครับ



ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ หรือ ประมาณเกือบ ๕๐๐ ปี ต่อมา คริสตจักร ที่เคยพิพากษาเธอว่าเป็นแม่มด ได้ประกาศยกย่องเธอว่า เป็นเทพเจ้า แล้วขนานนามเธอว่าเป็น St. Joan of Arc ครับ .... (ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า ทำไปเพราะอะไร กระแส หรือ อะไร ...)


พิพิธภัณฑ์ และสุสานใกล้ ๆ กับ Notre Dame ครับ


เมือง Rouen นี้อยู่ไม่ไกลจาก ปารีส มากนัก นั่งรถไฟ ระหว่างเมืองเพียง ๓๘ ยูโร ใช้เวลาแค่ ๑.๕ ชั่วโมงครับ ในเมือง Rouen นี่มีสถานทีท่องเที่ยวหลายแห่ง แต่ไม่ใหญ่โตมากนัก ที่น่าสนใจ นอกจากสุสานของ Joan of Arc ที่เพิ่งสร้างไม่นานเท่าไหร่ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความกล้าหาญ และให้สมกับได้รับการยกย่องความเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของเธอครับ ก็ยังมีอีกหลายที่ครับ


ร้านรวง เงียบไปหน่อย ในวันหยุดของฝรั่งเศสครับ ...
วันอาทิตย์ คือวันครอบครัว ทุกอย่างหยุดเกือบหมด



เมือง Rouen ยังมีโบสถ์เก่าแก่ อย่าง Notre Dame ที่มีลักษณะอย่างเดียวกับ Notre Dame ในปารีส แต่อาจจะดูเล็กกว่าในปารีสเล็กน้อย มีตลาดสด ที่ตั้งไม่ห่างจากโบสถ์ Notre Dame นัก ที่ชาวบ้านเอาสินค้าเกษตร อาหารสด อาหารแห้ง เสื้อผ้า ของที่ระลึก มาแลกเปลี่ยน ค้าขายกัน ผมละชอบมาก ๆ ซื้อไก่หมุน ตัวละ ๕ ยูโร ไปกินด้วยครับ ... อร่อยดี คิดถึง ไก่ย่างบ้านเราเลย เสียดาย อย่างเดียว ไม่มีข้าวเหนียว และส้มตำปลาร้า อาหารโปรดของผม


เมืองนี้ ก็ติดแม่น้ำเซน แต่ไม่มีล่องเรือเที่ยวแบบในปารีสครับ



บ้านเมืองที่ Rouen นี่ก็สวยมาก ๆ เพราะมีเอกลักษณ์พิเศษ ทำด้วยไม้ขนาดใหญ่ ขัดกันเป็นโครงสร้าง สำคัญ แล้วก็มีปูน ปิดระหว่างช่องไม้ที่ตกแต่งเป็นลวดลายต่าง ๆ คล้ายบ้านในเยอรมันมาก ๆ เมือง Rouen จึงมีบ้านที่ไม่เหมือนใครในฝรั่งเศสเลยทีเดียวครับ


หอนาฬิกาและร้านค้าบริเวณ Down Town เมืองนี้ครับ


หากใครมาได้มีโอกาส มาท่องเที่ยวเมือง Rouen ก็อย่าลืมไปดูนาฬิกายักษ์ ที่สวยงามมาก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองนี้ ไม่น้อยหน้าไปกว่า Notre Dame หรือ สุสานของ Joan of Arc ครับ และเมืองนี้ หากใช้เวลาสัก ครึ่งวัน ก็คงพอจากนั้น อาจจะไปเที่ยวเมืองอื่น ๆ ใน Normandy เช่นว่า Honfleur ซึ่งเป็นเมืองท่าและมีการค้าที่ทันสมัยแบบยุคปัจจุบัน หรือ หากมีเวลาหลายวันหน่อย อาจจะไป Mont St. Michel โบสถ์ติดชายฝั่ง ที่เป็นที่นิยมมาก แต่อยู่ห่างไกลออกไปมาก ซึ่งผมไม่มีเวลาพอครับ




ปล. คราวก่อนบอกว่า เน็ต ไม่ค่อยดีครับ เอาไว้มีเนตดี ๆ จะโหลดรูปเพิ่มเติมให้ชมนะครับ คราวนี้ มาทำตามสัญญาแล้ว ซึ่งที่จริง ได้ถ่ายภาพจำนวนมากไว้ แต่ระบบ bloggang ใส่ภาพค่อนข้างไม่สบายนัก เลยขอลงภาพแค่นี้นะครับ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:58:47 น.
Counter : 4325 Pageviews.  

ไปเที่ยวฝรั่งเศส : Galleries La Fayette Haussman




หากพูดถึง ปารีส แล้ว คนส่วนใหญ่ ที่เป็นนักช๊อปปิ้งตัวยง ก็อาจจะนึก ถนน Champs-Elysees หรือ ฌอง อะ ลิ เซ่ (ขออภัยถ้าออกเสียงผิด) ที่มีร้านรวงต่าง ๆ และห้างหรู ๆ ตั้ง เรียงราย ตามถนนนี้ ยาวประมาณ กม. เศษ จาก วงเวียน ประตูชัย (Arc de Triomphe) กับ ลานประหาร (Place de La Concorde)




Arc de Triomphe เป็นสิ่งก่อสร้างที่ นโปเลียนสร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกการมีชัยชนะเหนือ ออสเตรีย ที่มีความสูงถึง ๑๖๕ ฟุต และกว้าง ๑๓๐ ฟุต โดยมีทางแยกของถนนต่าง ๆ ถึง ๑๒ แยก ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า คนขับรถผ่านวงเวียนแห่งนี้ได้ จะต้องมีความสามารถสูงมาก ประตูชัยแห่งนี้ เปิดให้คนทั่วไป ปีนบันได ๒๘๔ ขั้น ขึ้นไปชมได้ ในราคา ๘ ยูโร ครับ (แต่อย่าลืมนะครับ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน พิพิธภัณฑ์ทั้งหลายในปารีส เข้าฟรีนะครับ ใครมาช่วงนั้น ก็อย่าลืมฉวยโอกาสใช้บริการครับ)

ถนน Champs-Elysees ที่คึกคักมาก เกิดขึ้น ในปี ๑๖๖๗ หลังจาก หลุยส์ที่ ๑๔ ได้สร้างถนน เพื่อเชื่อมต่อไปยัง Tuileries Garden และถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเมืองแฟชั่นของฝรั่งเศส ก็ว่าได้ ถนนเส้นนี้ ก็เป็นที่ตั้งของลานประหาร ที่ Guillotine ได้บั่นคอผู้คนหลายพันคน รวมทั้ง หลุยส์ที่ ๑๖ และ เมีย คือ Marie-Antoinettte ด้วย

หากพูดถึง แหล่งช๊อปปิ้ง ของนักท่องเที่ยวแล้ว La Fayette ที่ตั้งอยู่บนถนน Haussman และมีถนนเล็ก ๆ ชื่อว่า Mogador ( ถ้าอ่านเป็น ภาษาอังกฤษ จะออกเสียงว่า โม๊ก กะ ดอร์ มังครับ แต่ไม่รู้ว่า ภาษาฝรั่งเศส ออกเสียงว่าอะไร) ก็จะเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่จะได้ยินเสียงคนไทย ระงมไปหมด ผมจึงอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร จึงได้ไปดูให้เห็นกับตาครับ

จะว่าไปจริง ๆ ผมนี่โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปที่ไหน ฝนก็ตก เรียกว่าฝนฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ วันที่ ๙ ก.ค. ๕๐ ที่ผ่าน ก็เช่นกัน ฝนตก ๆ หยุด ๆ แดดตอนเช้ายันบ่ายไม่ดี เลยต้องตัดสินใจไปเดินดูโรงละคร Opera Granier ซึ่งผมยื่นบัตรนักเรียน และขอลดราคา เหลือ ๔ ยูโร ได้ ในการเข้าชม โรงละครที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่ นโปเลียน สมัยที่ ๓ และเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๗๕ ที่ตั้งอยู่บนถนน L' Opera ที่เคยเป็นถนนที่มีร้านรวงนำสมัยที่สุดในปารีสด้วยครับ โรงละครแห่งนี้ เป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Phantom of the Opera ด้วยครับ ผมจะบอกว่า ห้องกระจก และการตกแต่งของโรงละครแห่งนี้ สวยงามกว่าของพระราชวัง Versailles เสียด้วยซ้ำไปครับ แต่มันไม่ได้ใหญ่โตเท่าพระราชวัง Versailles เท่านั้น

ด้านหลังของ โรงละครแห่งนี้ มีห้างดัง คือ La Fayette ครับ เป็นบริเวณที่คึกคักมาก ผมต้องเอาตัวอ้วน ๆ ของผม เบียดเสียดยัดเยียดเข้าไปในห้างนี้ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ตึกใหญ่ ๆ ขนาบสองฝั่งถนน Haussmann ครับ ด้านหนึ่ง จะแบ่งสินค้าสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ... ตั้งแต่ น้ำหอม และเครื่องสำอางค์ หลายร้อยชนิด อยู่ชั้น -1 (ผมละงงวิธีการ เรียงลำดับ ชั้นของตึกในฝรั่งเศส ใช่น้อยครับ) ซึ่งน้ำหอม มีราคา ตั้งแต่ ๔๐ กว่ายูโร ขึ้นไป แล้วชั้นที่เหลือ ก็มีสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นของผู้หญิงทั้งสิ้นครับ จะมีของเด็ก ปนอยู่บ้าง ไม่มาก และมีของกินสักชั้นหนึ่งเท่านั้น ผมสังเกต ราคาแล้ว ผมแทบจะเป็นลมครับ

อีกตึกหนึ่งเป็นสินค้าเฉพาะของผู้ชาย ซึ่งไม่ได้ตกแต่งสวยหรูอย่างห้างฝั่งสำหรับผู้หญิงแม้แต่น้อย เพราะการแต่งอาคารภายในของฝ่ายสินค้าสำหรับผู้หญิงนั้น มีโดมกระจกสีต่าง ๆ ตรงกลาง มีรายสไตล์หลุย ตกแต่งสวยงามครับ แต่ของฝั่งผู้ชายนะเหรอ ไม่มีอะไรเลยครับ แต่สินค้า มีราคา แพงมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น ยี่ห้อ Boss เสื้อยืด อย่างสวนจตุจักร สัก ๑๙๙ บาท ที่นี่ ก็ ๑๐๐ กว่า ๆ ยูโร เสื้อใส่กันหนาว แบบสเวทเตอร์ บาง ๆ ตัวละ ๓๖๐ ยูโร ได้ ยี่ห้อพวก Dior นี่ไม่ต้องพูดถึง เห็นแล้วลมแทบใส่ครับ เพราะมันมีราคา แพงเช่นเดียวกัน และ แพงกว่า งบประมาณ ที่ผมใช้มาเที่ยว ฝรั่งเศส เสียด้วยซ้ำ (เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าที่พัก และทำอาหารกินเองนะครับ ผมจึงมีงบ ไม่เกิน ๓๕๐ ยูโร ในการดำรงชีวิต อาทิตย์เศษ ในฝรั่งเศสได้) นี่ขนาดว่า ราคามันลดลง ไป ๓๐ ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แล้ว .... โอ้ มันแพงมากครับ

โดยเฉพาะ สินค้านำเข้าจากประเทศสหรัฐ และ อังกฤษ ก็ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะภาษีขายที่นี่ราว ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แม้จะขอ Tax Refund ได้ ผมก็ไม่ซื้ออยู่ดี เพราะพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว เสื้อผ้าที่อเมริกา ถูกกว่ามาก ๆ ยกตัวอย่าง ยี่ห้อง Tommy เสื้อโปโล ๑ ตัว ที่ขายตาม Outlet เหลือ ๕ ถึง ๒๐ เหรียญสหรัฐ แต่ที่นี่ ลด ๓๐ ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ราคา ก็ยังอยู่ที่ ๓๐ ถึง ๘๐ ยูโร ครับ




ด้วยเหตุนี้ ผมเอาตังค์ไปซื้อ เสื้อในอเมริกา ตอนลดราคา ตัวละไม่เกิน ๔ เหรียญ ตามค่านิยมส่วนตัวของผมดีกว่า .... แล้วพบกันใหม่ครับผม สวัสดีครับ






 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:59:14 น.
Counter : 1080 Pageviews.  

พระราชวัง แวร์ซายส์ (Versailles) แห่งฝรั่งเศส

วันนี้ (๘ ก.ค.๕๐) ผมตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางไปเที่ยวพระราชวัง แห่งอดีตพระเจ้าแผ่นดินและราชินี แห่งฝรั่งเศส ที่แสนจะงดงาม และถือเป็นต้นแบบแห่งยุโรปในยุคกษัตริย์เรืองอำนาจ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะถูกเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบสาธารณรัฐ และ การมาดูพระราชวังแห่งนี้ ทำให้ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่า ทำไม กษัตริย์ และสมาชิกราชวงศ์ ผู้สร้างวังแห่งนี้ จึงถูกกุดหัว (behead) ลงหมดสิ้น




พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินและราชินีของแผ่นดินฝรั่งเศส มาประมาณ ๑๐๐ ปี จนกระทั่งมีการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. ๑๗๘๙ และเป็นการสิ้นสุดระบบการปกครองที่ ถือว่า พระเจ้าจากสวรรค์ประทานพรและอำนาจให้ปกครองและกำชะตาชีวิตของไพร่ฟ้าให้อยู่ใต้บุคคลพิเศษ ที่เรียกว่ากษัตริย์ ซึ่งจะทำอย่างไรกับประชาชนเหล่านั้นก็ได้

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (จาก ค.ศ. ๑๖๔๓ ถึง ๑๗๑๕ ) ใช้เงินรายได้ของประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป อย่างฝรั่งเศสในยุคนั้น ราวครึ่งปี ในการสร้างสวรรค์ของตนเองแหล่งนี้ แต่ไม่เสร็จในยุคสมัยของตน แม้ยุคนี้ จะเป็นยุครุ่งโรจน์ที่สุดของฝรั่งเศส

หลุยส์ที่ ๑๔ ได้สลายขั้วอำนาจทางการเมืองในปารีส แล้วเชิญข้าราชการเข้าไปทำงานในวังของตนเพื่อให้ควบคุมได้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจสูงสุดในยุคนั้น จนกษัตริย์ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อยากเลียนแบบเขา ให้คนชาติเรียนภาษาฝรั่งเศส แต่งตัวแบบฝรั่งเศส รับประทานอาหาร ฯลฯ แบบฝรั่งเศส รวมถึง อยากมีวังที่สวยงามยิ่งใหญ่แบบแวร์ซายส์ ด้วย ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของหลุยส์ที่ ๑๔ ทั้ง ดนตรี กีฬา ฯลฯ และเป็นคนที่มีศิลปะในการใช้อำนาจสูง กับระยะเวลาครองราชย์ ถึง ๗๐ ปี ทำให้เขาเรืองอำนาจที่สุด จนกระทั่งมีความมั่นใจขนาดกล่าวว่า "รัฐนั้นหรือ ไม่ใช่อะไร รัฐคือ ตัวข้าเอง" นั่นคือ กษัตริย์จะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ตามใจชอบ ... เพราะเขาถือว่า แผ่นดิน คือ ของเขา ไม่ใช่ของประชาชน

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ และ ๑๖ ได้สานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ โดยผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินในการสร้างพระราชวังแห่งนี้จนเสร็จสิ้น ในช่วงคริสศตวรรษที่ ๑๘ แต่อำนาจของหลุยส์ที่ ๑๔ ไม่อาจแผ่ขยายมาถึงหลานปู่ได้ (เนื่องจาก หลุยส์ที่ ๑๔ ไม่มีลูกที่จะสืบราชสมบัติของตนเองได้ บัลลังก์ จึงตกมายังหลานของเขา) อำนาจของสถาบันกษัตริย์จึงค่อย ๆ อ่อนลงไป ในปี ๑๘๓๗ พระเจ้า หลุยส์ ฟิลิปส์ จึงได้เปลี่ยนแปลงพระราชวังแห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ ในที่สุด

พระราชวังแห่งนี้ แบ่งเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ Chateau (ซึ่งรวมถึงสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ กับน้ำพุ และรูปปั้นต่าง ๆ ) กับ Domaine de Marie-Antoinette หรือ เป็นทรัพย์สินของพระนาง มารี อองโตเน็ต (เจ้าหญิง แห่งออสเตรีย และราชินี แห่งหลุยส์ที่ ๑๖) หากพูดถึง เธอแล้ว เชื่อว่า ใคร ๆ จะรู้จักเธอในสองเรื่อง ๆ แรก คือ เธอไม่เคยรู้ความสุขทุกข์อานาประชาราษฎร์ เลย ขณะที่เธอเสวยสุข อิ่มหมีพลีมัน บนความทุกข์ของชาวบ้านที่ไม่มีแม้ข้าวจะกิน เมื่อมีข้าราชบริพาร ถวายรายงานว่า "ขณะนี้ ชาวบ้านไม่มีข้าวกินแล้ว" เธอกล่าวตอบว่า "ก็ให้เขากินเค๊กซิ" เพราะบนโต๊ะอาหารของเธอ มันมีเค๊กเหลือเฟือ เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่า แม้แต่ข้าวธรรมดา ยังไม่มีจะกรอกหม้อ แล้วชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่พวกเขาขูดรีดอยู่นั้น จะมีปัญญาไปกินเค๊ก ได้อย่างไร อีกเรื่อง คือ เธอคิดประดิษฐ์ แล้วเธอถูกเครื่องประหาร กิโลติน (Guillotine) ที่เธอสร้างขึ้นมาเองกับมือ บั่นหัวขาดกระเด็นหลังปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

พระราชวังแห่งนี้ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปารีส เดินทางโดยรถไฟ ERE ประมาณ ๔๐ นาที หากไปถึงปารีส ก็ลองดูแผนที่ ที่ขอได้ฟรีจากทุกสถานีครับ ค่ารถไฟ ERE ประมาณ เที่ยวละ ๒ ยูโร แต่ถ้าซื้อตั๋ววัน ใช้กี่เที่ยวก็ได้ จะราคาประมาณ ๗ ยูโรครับ หรือ ถ้าใครมาอยู่ฝรั่งเศส นานกว่า ๑ สัปดาห์ ก็ซื้อตั๋วแบบรายสัปดาห์ ประมาณ ๒๑ ยูโร ใช้กี่เที่ยวใน ๑ สัปดาห์ ก็ได้ ซึ่งครอบคลุมทั้งรถไฟ รถราง รถบัส รถใต้ดิน เรียบร้อยในโซนที่เราซื้อครับ

ค่าเข้าชมพระราชวัง ปกติ ราคาค่าเข้าชม ส่วนตัวปราสาท หรือ อาคารและโบสถ์ที่สร้างในสมัย หลุยส์ ๑๕ จะประมาณ ๑๓ ยูโรครับ (๑๐ ยูโร หลัง ๔ โมงเย็น) และส่วนของ ที่ดินพระนางมารี จะราคา ประมาณ ๙ ยูโร ( ๕ ยูโร หลัง ๕ โมงเย็น) แต่ถ้าใครจะเหมาแบบ ๑ วัน ดูทุกส่วน จะราคาประมาณ ๒๐ ยูโร ( ๒๕ ยูโร ในวันเสาร์อาทิตย์) สำหรับตั๋ววันนี้ ผู้ถือจะมี priority ในการเข้าดูปราสาท โดยไม่ต้องรอด้วยครับ และ ถ้าซื้อตั๋วจากสำนักงานท่องเที่ยวในปารีส ตั๋วนี้ จะครอบคลุมค่ารถไฟและค่าเดินทางไปถึงพระราชวังด้วย

พูดถึงการท่องเที่ยว ในพระราชวังแห่งนี้สักนิดนะครับ ใครที่จะมาเที่ยวควรจะมาแต่เช้าครับ เพราะมันจะแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายร้อยคน เข้าคิวกัน แล้วจะต้องผ่านเครื่องตรวจสอบอาวุธและวัตถุระเบิดด้วย ทำให้การเคลื่อนเข้าตัวปราสาทล่าช้ามาก ในอาคาร หากเข้าไปแล้ว ใครที่ชอบภาพวาด ก็จะชื่นชมได้เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาพของญาติ หลุยส์ และ ราชวงศ์ ดอฟิ่ล รวมถึง วิคตอเรีย ด้วยครับ มีห้องกระจก ที่ถือเป็นห้องที่หรูที่สุดในยุคนั้น ที่มีกระจกและดวงไฟประดับประดา อย่างสวยงามตา หากใครสนใจรายละเอียดภาพ ก็สามารถเปิดเครื่องมือรับฟังคำอธิบาย (ที่ได้รับแจกมาตอนผ่านประตู) ในภาษาต่าง ๆ ได้ ชั้นสอง จะเป็นห้องนอนของเหล่าภรรยาของกษัตริย์ และ ห้องทำงานของรัฐบาล ซึ่งไม่ต้องหวังว่าห้องทำงานรัฐบาลจะใหญ่โตอะไร มันเป็นมีเพียงห้องเล็ก ๆ ห้องเดียว เท่านั้น ในขณะที่ ห้องพัก ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด ห้องดนตรี ประดับประดาด้วยเงินทองคำแท้ และเครื่องตกแต่งสไตล์หลุยส์ อย่างเต็มที่

ด้านหลังของปราสาท เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ สุดลูกหูลูกตา มีน้ำพุขนาดใหญ่เรียงรายกันไป สวนส้ม และสวนผลไม้อื่น ๆ กับรูปปั้นต่าง ๆ ประดับประตา อย่างหรูหรา นอกจากนี้ ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่สีเขียว ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ และดอกไม้ นานาพรรณ เรียงรายกันไป จนถึง สระน้ำขนาดใหญ่ปลายพระราชวัง กว้างใหญ่ขนาด ต้องมีรถไฟไว้บริการเลยทีเดียวครับ ส่วนสุดท้าย คือ ที่ดินของพระนางมารีฯ ซึ่งว่าจริง ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ หากใครจะไปชม ผมไม่ขอแนะนำครับ ไม่คุ้มค่าเงิน ๙ ยูโร เท่าไหร่ ที่ดินบริเวณนี้ ตั้งห่างไกลออกไป ท้ายสุดด้านขวางของที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ครับ

ขณะเดินสำรวจ พระราชวังแห่งไป ผมก็ได้แต่ สลดใจครับ เพราะมันกว้างใหญ่ และหรูหรามาก ๆ แสดงว่าจะต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลในการก่อสร้าง ไม่รู้ชาวฝรั่งเศสในยุคนั้น จะเดือดร้อนเพียงใด จากความสุขสำราญของกษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ของเขา ผมอยากรู้ว่า ชาวฝรั่งเศสในปัจจุบันเขามอง สิ่งที่เขามีตรงนี้ เป็นความภูมิใจ หรือ เป็นความอับอายแห่งประวัติศาสตร์ชาติของเขากันแน่ ....




ผมเดาว่า มันเป็นเรื่องน่าอายครับ .... แม้ปัจจุบัน รัฐบาลฝรั่งเศส จะมีเงินจากการหารายได้ จำนวนมหาศาลของนักท่องเที่ยวที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอน จะต้องมาดูพระราชวังแห่งนี้ด้วยก็ตามครับ ... เพราะมันคือ หลักฐานแห่งการขูดรีด และการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมของระบบการปกครองของเขาในอดีต ... นี่แหละครับ คือสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่า ทำไม กษัตริย์และราชวงศ์ นี้ จึงถูกตัดหัว จนสิ้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ....




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:59:01 น.
Counter : 2377 Pageviews.  

เมือโดนขอทานเตะที่ บรัสเซล เบลเยี่ยม

วันนี้ (๗ ก.ค. ๕๐) ต้องถือว่า ซวยที่สุดที่ในโลกเลยครับ หลังจากสนุกสนานจากการเดินทางไปเมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยกระบวนรถเร็วจาก ปารีส ไปยัง เบลเยี่ยม ด้วยเวลาเพียง ๑ ชม. ครึ่ง ในราคา ๘๗ เหรียญยูโร (ไปกลับ แบบชั้น ๑ ในขาไป และ ขากลับเป็นแบบธรรมดา)

ในเที่ยวขาไปต้องบอกว่า ยอดเยี่ยมมาก ทางผู้ให้บริการรถไฟนั้น มีบริกรเสริฟอาหาร ของหวาน กาแฟ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาหารที่ดีกว่าสายการบิน ยูไนเต็ด แบบบินข้ามประเทศ อังกฤษ อเมริกา ราคากว่า ๑,๑๐๐ เหรียญ เสียอีก แถมเติมไม่อั้น ไม่ว่า ชา กาแฟ ขนมปัง คอซอง ฯลฯ เชื่อว่าแล้วว่า เรื่องการกิน ฝรั่งเศส ไม่ย่อท้อจริง ๆ

ไปถึง สถานนี Midi ของบรัสเซล ประมาณ ๙ โมงเห็นจะได้ เลยจองตั๋วขนส่งรวม (ทั้งรถไฟใต้ดิน รถราง รถบัส ฯลฯ ) ทั้งวัน ในราคา เพียง ๔ ยูโร ใช้ได้ ๒ คน ตลอดวันครับ แต่ช่วงแรกอากาศค่อนข้างหม่น กว่าจะท้องฟ้าจะมาใสก็สิบเอ็ดโมงกว่า ๆ ได้ แต่กระนั้น ก็ถ่ายภาพเพลินเลยครับ ตั้งแต่วังเก่า ที่สร้างตั้งแต่ ค.ศ. ๑๒๐๐ เศษ เป็นต้นมา เดินตามโบสถ์เก่า ๆ ที่มีศิลปะ งานปั้น และกระจกสี สวยงามมาก

ประเทศเบลเยี่ยม สัญลักษณ์ ประการหนึ่งคือ รูปกากบาท ที่แปลว่า "ความเป็นกลาง" นะครับ ประเทศนี้ เล็กนิดเดียว ประกาศความเป็นกลางทางการเมืองมาโดยตลอด แต่กระนั้น ถึงคราวฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ รบกัน ก็ต้องยึดเอาประเทศนี้ไว้ก่อนเสียทุกทีไป สินค้ามีชื่อของประเทศนี้ คือ ช๊อกโกแลต ครับ ประมาณว่า อยากลองกิน เลยซื้อมา ๔ ลูกเล็ก ๆ ชั่งน้ำหนักไปได้เท่าไหร่ไม่ทราบ รู้แต่แพง เหี้ย ๆ ประมาณ เกือบ ๒ หรือ ๓ ยูโร นี่แหละ เอิ๊ก เอิ๊ก แต่ก็อร่อยดี เดินไปไหน มาไหน ร้านขายช๊อกโกแลต เต็มไปหมด ทำเป็นรูปต่าง ๆ สวยงามจริง ๆ ครับ ร้านนาฬิกา นี่ก็เยอะ แพง ๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะ นาฬิกา ตราปีกนก ราคาเรือนละ ๖ พันยูโร ได้ ส่วน โรเล็กซ์ นี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่จำราคามันเลยละครับ แพงจัด

ตอนเย็น ก็กลับมานั่งเล่นที่ลานกว้าง ๆ หน้าวังเก่า ....นั่งเล่นไป ถ่ายรูปเล่นไป ก็มีขอทาน ซึ่งจะบอกว่า เยอะมาก ๆ ส่วนใหญ่ เป็นหญิง แต่งกายคล้ายอิสลาม เป็นแขกขาว ขอทาน ขอเศษตังค์ ผมแกล้งทำเป็นถ่ายภาพเพลินไม่ได้ยิน เธอเอาตีนมาเขี่ยผมซะงั้น ... ผมเหรอ โกรธครับ แล้วหันไปมองเธอ จากนั้นก็รีบบอกเธอไปให้ไปไกล ๆ ... (ก่อนจะโดนสวน)

ไม่น่าเชื่อ แขกขาว ทำตัวเป็นขอทานเยอะจริง ๆ ในฝรั่งเศส ก็เยอะ ประมาณว่า มาถามว่า คุณพูดภาษาอังกฤษไหม ... มาจากไหน ขอเหรียญ (change) ได้ไหม ฯลฯ ในบรัสเซล เบลเยี่ยม ก็เยอะอีก บางรายมาดักรอทางลงบันไดเลื่อนสองสามคนเลยก็มี เล่นเอานักท่องเที่ยวคนเดินทางหวาดผวาไปตาม ๆ กันครับ .... เสียบรรยากาศการท่องเที่ยวหมดเลย ผมว่า




หลังจากเที่ยวกันจนหนำใจ ไปดูโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ รัฐสภาแห่งสหภาพยุโร ฯลฯ ยันเด็กยืนฉี่ ใกล้ ๆ กับวังเดิม จากก็มานั่งที่ลานหน้าวัง จนถูกขอทานเตะฯ แล้วก็เดินทางกลับบ้านพักที่ ลา เดอ ฟ้อง ในปารีสครับ กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืนเลย ... เหนื่อย และก็คุ้ม ยกเว้นเรื่องเดียว คือ โดนขอทานเตะนี่แหละครับ ... ซวยจริง ๆ แล้วไงจะเอาภาพงาม ๆ มาฝากในโอกาสหน้านะครับ สวัสดีครับผม




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:59:29 น.
Counter : 776 Pageviews.  

ผมถึงฝรั่งเศสแล้ว ครับ

ใคร ๆ ก็ว่า การจะเข้าถึงฝรั่งเศสนี่ มันช่างยากเย็นนัก ผมก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกันว่า มันเข้ายาก .... ไม่ว่าจะเป็นเพราะเราไม่มีโอกาสจะไปเข้ากับเขา หรือ ปัจจัยอื่น ๆ มากมาย แต่วันนี้ ผมขอประกาศก้องว่า ผมถึงฝรั่งเศส แล้วครับ




ผมหมายถึง ผมเดินทางมาถึงปารีส ฝรั่งเศส แล้วครับ รถไฟ Eurostar เดินทางออกจาก สถานี Ashford International ประเทศอังกฤษ เวลาประมาณ ๐๖.๒๗ น. โดยท่านน้องเชาว์ ขับรถไปส่งจากบ้านพักใน Kent ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที เห็นจะได้ ไปถึงแต่เช้าตรู่ เลยใช้วิธี Self-Check in เนื่องจากจ่ายเงินล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตแล้ว หลังจากได้ตั๋ว ก็ต้องรอยันถึง ๔.๔๕ น. กว่าประตูจะเปิด ให้เข้าไปตรวจกระเป๋าเดินทาง หนังสือเดินทาง ฯลฯ เรียบร้อย ก็ซดน้ำเปล่ากับแซนวิช ไป ๑ ชิ้น ราคา ๓.๕๐ ปอนด์ได้ พร้อมขอแผนที่ และซื้อตั๋ว one day pass ราคา ๖.๕ ยูโร จากสถานี Eurostar ที่อังกฤษ เตรียมพร้อมเข้ามาด้วย

คิดไปคิดมา นั่งรถไฟ Eurostar นี่ เร็วกว่าเครื่องบินเยอะเลย ไม่ต้องไปนอนรอที่สนามบิน Low Cost แล้วก็เช็คอินล่วงหน้าอีก ๒ ชั่วโมง ฯลฯ รถไฟ โดยรวม ๆ ใช้เวลารวมแค่ ๓ ชั่วโมงเองครับ มาโผล่กลางกรุงปารีสเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับการเดินทางโดยเครื่องบิน Low Cost สนามบินที่ตั้งต้น กับ ปลายทาง ล้วนแต่ตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญ ต้องเสียค่าเดินทางโดยรถไฟ ฯลฯ สิริรวม ผมว่า แพงกว่านั่งรถไฟ ที่เขาร่ำลือว่าแพง ๆ นี่ผม จองได้แค่ ๖๐ ปอนด์เอง (ไปกลับ ลอนดอน ปารีส) ถูกกว่าเครื่องบินแน่นอน ครับ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ตั้งต้นที่ ๗๐ ปอนด์ โดยที่ยังไม่รวมค่าเดินทางไปถึงสนามบินอีกต่างหากครับ

ในความคิดของผมนี่ นั่งรถไฟจากอังกฤษ สู่ฝรั่งเศส นี่น่าตื่นเต้นจริง ๆ ชานเมืองทั้งของอังกฤษและฝรั่งเศสนี่ มันสวยดี บ้านนอกดีครับ ผมชอบมาก ๆ เหมือนมหาวิทยาลัย Kent นี้ บ้านนอกดี เป็นแบบรีสอร์ท อุทยานธรรมชาติ ชีวิตเรียบง่ายดี หากจะเปรียบกับมหาวิทยาลัย ๆ ก็อาจจะเป็น ม.ขอนแก่น หรือ ธรรมชาติ ๆ แบบ ม.เชียงใหม่ นะครับ รถไฟ Eurostar ผ่านช่องแคบอังกฤษ ลอดอุโมงใต้มหาสมุทร หูอื้อ เลย ( อ๋อ หูอื้อนี่ ไม่ได้หมายถึง มีหลายหูนะครับ) คงเป็นเพราะแรงดันน้ำครับ ถ้าอุโมงค์ใส และรถไฟทำด้วยแก้วใส ด้วยคงจะดี .... เหอ เหอ เผื่อได้เห็นปลาสวย ๆ ระหว่างนั่งรถไฟด้วย ...

วันนี้ เหตุการณ์ดังเช่น ตอนกลับจากเยอรมัน กลับมาเยือนครับ ... แต่วันนี้ ที่พิเศษกว่าเดิม คือ ผมนั่งข้างวัยรุ่นสาวฝรั่งเศสด้วยครับ เธอชื่อ โซฟี พอเธอเห็นผมอ่านคู่มือ ท่องเที่ยวฝรั่งเศส เธอก็เลยชวนคุย เอาแผนที่มาให้ดู ฯลฯ เธอบอกว่า อยากทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีครับ แต่เธอก็ตบท้ายว่า อย่าไปคิดว่า ชาวปารีส จะเป็นอย่างเธอละ รับรองไปถามทาง ฯลฯ ไม่มีคนบอกหรอก เอิ๊ก เอิ๊ก อย่างหนึ่ง ก็น่าจะมาจากอุปสรรค เรื่องภาษาของผมที่ไม่อาจจะพูดหรือออกเสียงสำเนียงภาษาฝรั่งเศสได้ หรือ เขาก็ไม่ยอมพูดอังกฤษ อะไรทำนองนั้นมากกว่า เลยไม่อยากจะสื่อสารกัน

เธอแนะนำว่า ลองหัดพูดภาษาฝรั่งเศสสักสองสามคำแล้วกัน เช่น สวัสดีว่า บอนจู ขอบคุณว่า แม๊กซิ อะไรทำนองนี้ อะไร ๆ จะดีขึ้น เหอ เหอ .... อ้าว ก็คงจะจริงมั๊ง เพราะเวลาเราเห็นใครพูดไทยได้ แม้จะไม่ชัด เราก็ว่า น่ารักดี เราก็เลยเป็นมิตรได้ง่าย ชาวฝรั่งเศสก็เหมือนกัน เธอว่า เธอได้ยิน ใคร ๆ ก็ชอบคนไทยและประเทศไทยมาก คนไทยมีนิสัยน่ารัก โอบอ้อมอารีย์ เป็นมิตร นักท่องเที่ยว เลยชอบที่จะไปเที่ยวเมืองไทยกัน

ผมว่าเธอเป็นคนที่เปิดโลกกว้างกว่าคนฝรั่งเศสทั่วไป ที่หลงไหล และภูมิใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเองมาก ๆ เพราะเธอเรียนวิศวะฯ ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อังกฤษด้วย และ เพื่อน ๆ ของเธอ หลายคน ก็ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนใน รร.วิศวะฯ ชั้นนำ ที่อเมริกา รวมทั้ง มหาวิทยาลัย UIUC ของผมด้วย ที่เพื่อนของเธอไปเรียนมา พอเธอได้ยินว่า ผมเรียนที่นั่น เธอตื่นเต้นใช่น้อยครับ

เธอว่า คนฝรั่งเศสสมัยใหม่ ก็เห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรัฐสวัสดิการหรือเปล่า ที่ทำให้คนฝรั่งเศส โลภ และไม่แคร์ เช่นเรื่อง สวัสดิการสังคม การไปรักษาพยายาล หากว่าคนฝรั่งเศสรู้ว่า อะไรฟรี จะเอาหมด โดยที่ไม่สนใจว่า กูจะใช้หรือเปล่า ทำให้คนที่ต้องการจริง ๆ เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน เมื่อการบริหารสูญเปล่าไปกับสิ่งสิ้นเปลืองโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ทำให้รัฐไม่มีทางเลือก นอกจากการเพิ่มภาษีครับ ภาษีในยุโรป และที่ฝรั่งเศสนี้ จึงแพงมาก ๆ อย่างภาษีค้าขาย ก็ประมาณ เกือบ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เลย




มาคุยเรื่องท่องเที่ยวกันสักหน่อยนะครับ วันนี้ อากาศไม่ดีเท่าไหร่ มีฝนตกลงมาโปรยปรายเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าอังกฤษ ที่มีฝนตก แดดออก หนาว ร้อน สีฤดูทุกวัน แปรผันได้อย่างคาดไม่ถึงได้ทุกวัน วันนี้ เช่นเคยครับ ผมก็ ทำตามคำแนะนำหนังสือเล่มที่ผมอ่าน เกี่ยวกับการเที่ยวฝรั่งเศส ของคุณ Rick Steve ซึ่งเขียนได้ดี มีคำแนะนำในการท่องเที่ยว โดยรถไฟ รสบัส เรือ และ การเดินเที่ยวด้วยตนเอง พร้อมประวัติสถานที่ต่าง ๆ ค่าใช้จ่าย การซื้อบัตรรถไฟ รายวัน รายสัปดาห์ ฯลฯ ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะครับ

โปรแกรมที่ผมเลือก คือ ผมเดินเที่ยวด้วยตนเอง ตามรอยนายสตี๊ฟ ครับ ผมเจาะไข่แดงด้านล่างของ น.ส. ปารีส เลยละครับ แล้วไปจบที่ กระเจี๊ยวแห่งปารีส คือ หอคอยไอเฟิ่ล ครับ อันนี้ ผมเรียกตามหนังสือ รหัสลับดาวินชี่ ครับ (ใครที่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้ จะรู้ว่า มันการอ่านนิยาย ประเภทนี้ ให้ความรู้ อะไรมากมายจริง ๆ เลยครับ)

สิ่งที่ประทับใจมาก ๆ ในวันนี้ ก็คือ พิพิธภัณฑ์ ลูฟ ครับ ใหญ่สาด ..... สองตึกขนาบกัน มันยาวเท่ากับ กระดอ ปารีส (หอคอยไอเฟิ่ล) มาวางเรียงกันหลายอันเลยละครับ .... แต่ผมยังไม่ได้เข้าไปข้างในหรอกครับ วันหลังค่อยมาดู เพราะมันใหญ่เกินไป ที่จะเดินได้ครบในช่วงบ่ายเท่านั้น ผมเลยตัดใจ ขี่ม้าเรียบค่ายต่อไป ... แล้วค่อยว่ากันที่หลังครับ




ปล. ไม่ลืมหรอกนะครับ ว่าจะเอาภาพจาก ไฮเดนแบร์ก และที่เหลือในเยอรมันมาให้ดูนะครับ




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:00:09 น.
Counter : 696 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.