การเสนอร่างกฎหมายดักรับข้อมูลของตำรวจไทย
เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ผมได้ร่วมคณะผู้แทน ตร. ที่มี พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้า ไปชี้แจงกฎหมายต่อคณะกรรมการประสานงานรัฐบาล (วิป) เพื่อชี้แจงร่างกฎหมาย การดักรับข้อมูล ก่อนนำเข้า สนช. .............วันต่อมา พลโท สรรเสริญ ได้แถลงว่า ครม. เห็นชอบร่างกฎหมายนี้ และให้ดำเนินการ รับฟังความคิดเห็นตาม มาตรา ๗๗ รธน. ต่อไป โดยปลดชั้นความลับ จากลับมาก เป็นไม่ลับแล้ว เพื่อให้ประชาชน เข้าถึงได้ ผมจึงขอนำมาเล่าให้ฟัง เพราะมี ประชาชน ด่าจำนวนมากว่า เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กฎหมายเผด็จการบ้าง ฯลฯ .............ผมในฐานะคนร่างกฎหมายนี้ จึงขอชี้แจงให้ฟังถึงรายละเอียดครับ (ท่านคงทราบดีว่า ผมยึดหลักการเสรีนิยม และเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแค่ไหน) ............๑) หลักการกฎหมาย มีปรัชญาสำคัญ คือ คุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม เพราะมีคดีกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คดีต่อปี ที่เหยื่ออาชญากรรม ไม่มีสิทธิอะไร นอกจากการแจ้งความ กับการไปเบิกความต่อศาล แต่เสียงของเหยื่อ การได้รับการดูแลในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ของเหยื่อ ไม่ได้รับการดูแลเท่าฝ่ายผู้กระทำผิดเลย แม้แต่น้อย ๒) ความจำเป็นในการมีกฎหมายนี้ คือ ผู้กระทำผิดใช้เทคโนโลยีทันสมัยและพยานหลักฐานทั้งหลายอยู่ในมือและครอบครองของผู้กระทำผิด สามารถทำลายได้ง่าย ในขณะที่ตำรวจ ตาม ป.วิ.อาญา จะมีอำนาจเพียงการออกหมายเรียก และการตรวจการณ์ทั่วไป การรวบรวมพยานหลักฐานจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะคดีความมั่นคง พยานหลักฐานน้อย ถูกยกฟ้องประมาณ ร้อยละ ๗๐ กันเลยทีเดียว ๓) วิธีการดักรับข้อมูล จะต้องถูกตรวจสอบภายในองค์กร คือ ผู้การเห็นชอบ แล้วจึงขออนุมัติต่อศาล ซึ่งจะต้องเป็น อธิบดีศาลอาญา หรือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเท่านั้น ซึ่งศาลที่มีประสบการณ์สูงเหล่านี้ จะมีดุลพินิจที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน ไม่ใช่ผู้พิพากษาทั่วไป ที่อาจจะทำให้ดุลพินิจแตกต่างกันได้ง่าย ๔) แนวทางการขอดักรับข้อมูล ประกอบด้วย ๔.๑) มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่ามีการกระทำผิด คือ Probable Cause ว่ากระทำผิดจริง ในความผิดไม่กี่ฐาน เช่น ความผิดต่อความมั่นคง ความผิดฐานก่อการร้าย ความผิดที่สลับซับซ้อนที่มีอัตราโทษอย่างสูงเกิน ๑๐ ปี ไม่ใช่คดีขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง เล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป แต่เป็นคดีที่มีโทษร้ายแรง และถ้าไม่ใช้วิธีการนี้ เหยื่ออาชญากรรม จะไม่มีทางได้รับการเยียวยา หรือ ความยุติธรรมจะเสียหาย เพราะไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงเข้าสู่ระบบกระบวนการยุติธรรมได้ ๔.๒) ไม่สามารถสืบสวนได้ด้วยวิธีการปกติแล้ว เช่น ออกหมายเรียกไม่ได้ หรือ ไปเฝ้าฝังตัว ตำรวจก็จะตายเปล่า หรือ ทางเทคนิคจะต้องได้พยานหลักฐานด้วยการเข้าถึงเท่านั้น ๔.๓) ตำรวจจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า ทำไม จึงต้องได้ข้อมูลเช่นนั้น ตำรวจต้องการข้อมูลระดับไหน และจะเข้าถึงด้วยวิธีการอย่างไร จึงจะกระทบสิทธิประชาชนน้อยที่สุด ๔.๔) ศาลสามารถตรวจสอบและสั่งการเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ตลอดเวลา เช่น หยุดดักรับ หรือ กำหนดเงื่อนไข ๔.๕) ต้องรายงานผลการดำเนินการต่อศาลต่อเนื่อง ๔.๖) ต้องเก็บข้อมูลเป็นความลับ อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีต้องทำลาย๔.๗) การเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าโดยประชาชนที่อาจจะรู้เห็น ต้องโทษจำคุก ๓ ปี ถ้าเป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ จำคุก ๓ เท่า และปรับหลักแสนบาท .............. ปล. ผมยืนยันว่า โลกเสรี ที่ยึดมั่นหลักนิติรัฐทั่วโลก เขาก็มีกฎหมาย Intercept Law ทั้งนั้นครับ ถ้าบอกกฎหมายนี้ เผด็จการ แม่งเผด็จการทั้งโลกแหละครับ ปล. ๒) สุดท้าย ในฐานะผู้ยกร่าง ผมยืนยันว่า เรามุ่งคุ้มครองเหยื่ออาชญากรรม ไม่ใช่อยากได้อำนาจเข้าทำร้ายใคร แต่ใครจะ Abuse of Power ทำระยำตำบอนนั้น ผู้ร่างไม่เกี่ยว และผู้ร่างคิดว่า เราทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว
Create Date : 27 เมษายน 2560 |
Last Update : 27 เมษายน 2560 10:03:48 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1571 Pageviews. |
|
|