- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
หลักกฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับอำนาจ ในการชี้มูลทางวินัยข้าราชการตำรวจ
หลักกฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับอำนาจในการชี้มูลทางวินัยข้าราชการตำรวจ นี้ ได้ตีพิพม์ลงในหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11332 โดยผู้เขียนหวังว่า จะเป็นประโยชน์ทางวิชาการบ้างไม่มากก็น้อย และกระตุ้นเตือนให้ผู้กำหนดนโยบายทางกฎหมายของประเทศบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะทุกวันนี้ ความมั่นคงของอาชีพราชการ ได้ถูกบั่นทอนไปมาก ยิ่งข้าราชการมีกำลังใจท้อถอยเท่าไหร่ การจัดทำบริการสาธารณะ (public service) ก็ยิ่งจะเลวร้ายเท่านั้น อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ ป.ป.ช. กลายเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจอธิปไตยที่ ๔ อย่างแท้จริง ชี้เป็นชี้ตายใครต่อใครก็ได้ทั้งนั้น โดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลย์ ซึ่งระบบที่ไร้การตรวจสอบเช่นนี้ ไม่ควรจะมีอยู่ในระบบกฎหมาย เพราะใครก็ตามที่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ ย่อมจะ Abuse อำนาจของตนเองได้อย่างง่ายดายทั้งนั้น ดังจะเห็นได้จาก พระ แม้จะมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ กำกับอยู่ แต่ไร้การตรวจสอบ พระก็ทำเลวได้เสมอ เราจึงไม่อาจจจะหวังได้ว่า ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับเรา จะไม่มีการตรวจสอบได้ ....
ผู้เขียนได้นำบทความสั้น ๆ ดังกล่าว มาลงใน blog ส่วนตัวด้วย หากผู้อ่านสนใจ ก็ขอให้ติดต่อได้เลยครับ
1)อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนและพิจารณากรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 91
และเมื่อมีมติว่ามีมูลให้ดำเนินการดำเนินการส่งเอกสารการไต่สวนนั้นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้น
เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 92
ตามมาตรา 92 นั้น กำหนดให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหานั้น ถือเอารายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมายหรือระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้น แล้วแต่กรณีไป
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ส่งเอกสารการไต่สวนมายัง ตร.แล้ว มาตรา 93 กำหนดให้ ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาลงโทษภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง และให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจฯ นั้นส่งสำเนาคำสั่งลงโทษดังกล่าวไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง
หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าผู้บังคับบัญชาฯ ไม่ได้ดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 93 หรือเห็นว่าการดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชาไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เสนอความเห็นไปยังนายกรัฐมนตรี และให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการตามที่เห็นสมควรหรือในกรณีที่จำเป็น
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะสั่งให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือคณะกรรมการอื่นซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการบริหารงานบุคคลสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปก็ได้
2.การดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้ ผู้บังคับบัญชา ลงโทษผู้ถูกกล่าวหา โดยให้ยึดถือเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นสำคัญ ตามมาตรา 92
และ ตร.ได้มีแนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้ว่า เมื่อการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำผิดทางวินัย ก็ให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยต่อไป โดยไม่ต้องรอผลการชี้มูลจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือผลคดีอาญา
และหากมีพยานหลักฐานชัดแจ้งก็ให้สั่งข้าราชการตำรวจนั้นออกจากราชการไว้ก่อนได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอน ต้องถูกผูกพันตามเอกสารและสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นหลัก
โดยเฉพาะในเรื่องความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาดำเนินการไต่สวนและพิจารณามาแล้ว
3.อำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หากได้พิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แล้ว จะพบว่า มาตรา 96 ได้กำหนดให้ผู้ที่ถูกกล่าวหา ตามมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัตินี้ สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาได้
โดยให้อุทธรณ์คำสั่ง ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลสำหรับผู้ถูกกล่าวหา โดยให้ใช้สิทธิดังกล่าวภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนมีคำสั่งลงโทษ
เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำตามบทบัญญัติของกฎหมายนี้แล้ว ไม่พบว่า การไต่สวนและพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถือเป็นที่สุดแต่ประการใด และยังได้กำหนดให้ผู้ที่ถูกลงโทษนั้น สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารบุคคล ซึ่งก็คือ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 นั่นเอง
ฉะนั้น เมื่อผู้มีอำนาจสั่งลงโทษข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาประการใดแล้ว และข้าราชการตำรวจผู้นั้น ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ซึ่งกำหนดเรื่องการอุทธรณ์ไว้ตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ.2547 ไม่ว่าจะอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจรับอุทธรณ์ หรือ ต่อ ก.ตร. ตามกฎ ก.ตร.นี้ ก็ให้อำนาจผู้รับอุทธรณ์ ดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ ตามนัย กฎ ก.ตร. ข้อ 16,17,18 และ ข้อ 21)
หากมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนหักล้างพยานความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว ก็ชอบที่ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ หรือ ก.ตร.จะกลับแก้ หรือเปลี่ยนแปลงการลงโทษ ตามความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เสนอมาได้
4.ข้อโต้แย้งทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น จากการพิจารณา ข้อ 3.
กรณีที่คณะกรรมการบริหารงานบุคคลที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ เช่น คณะกรรมการ ก.พ.มีความเห็นแตกต่างจากการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณานั้น เคยมีปัญหามาแล้วเช่นกัน
สืบเนื่องจากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ไต่สวนและมีมติว่า นายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง
แต่หลังจากนั้น นายวีรพลได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ ก.พ. ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าไม่มีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง แต่เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง
จากนั้น ครม.ได้มีมติให้นายวีรพลกลับเข้ารับราชการตามมติ ก.พ.
กรณีข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 266 (ของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งมีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันกับมาตรา 214 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550) โดยอ้างว่าเป็นการขัดกันของอำนาจองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ก.พ.
ซึ่งท้ายที่สุดที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า คณะกรรมการบริหารงานบุคคลที่รับอุทธรณ์ ไม่อาจจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้วินิจฉัยแล้ว ตามคำวินิจฉัยที่ 2/2646 ลง 6 กุมภาพันธ์ 2546
แม้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันองค์กรทุกองค์กรของรัฐก็ตาม แต่คำวินิจฉัยที่ 2/2546 นี้ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และมีตุลาการเสียงข้างน้อยถึง 5 เสียง พิจารณาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่ประการใด
เนื่องจากหากพิจารณาถ้อยคำตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (รัฐธรรมนูญ ปี 2540 หรือมาตรา 214 รัฐธรรมนูญปี 2550) ใช้คำว่า "เมื่อมีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจระหว่างรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่ศาล ตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป ให้ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี หรือองค์กรนั้น เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย"
แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือ คณะกรรมการ ก.พ.ไม่ใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ แม้คณะกรรมการ ก.พ.จะมีความเห็นทางกฎหมายที่แตกต่างจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.แม้จะได้เสนอเรื่องถึง ครม.ก็ตาม ก็หาเป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้ง ตามมาตรา 266 ไม่
คำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญจึงไม่น่าจะถือเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย เพราะเป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเอง ที่โดยปกติจะต้องเป็นการพิจารณาว่ากฎหมายใดๆ ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่ (ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน มาตรา 141,154,185,211,212,214, และมาตรา 245 เป็นต้น) หรือกรณีที่มีกฎหมายอื่นๆ กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัย (เช่น อำนาจยุบพรรคการเมือง เป็นต้น)
การที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินขอบเขตเช่นนี้ จะทำให้เกิดวิกฤตในทางกฎหมายเพราะอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้น กว้างขวาง ผูกพันองค์กรอื่นๆ ศาลรัฐธรรมนูญจึงควรใช้อำนาจด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่ควรขยายอำนาจเขตอำนาจนอกบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะเช่นนี้
ในทางตรงกันข้าม ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหา ใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการบริหารงานบุคคล หรือ ก.ตร.ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อศาลปกครองให้วินิจฉัยการใช้ดุลพินิจลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลปกครองก็หาจำต้องผูกพันตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ แม้จะมีบทบัญญัติตามมาตรา 216 (รัฐธรรมนูญ ปี 2550) กำหนดให้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันองค์กรอื่น รวมถึงศาลด้วยก็ตาม
ทั้งนี้ มีเหตุผลสนับสนุนในเชิงวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์และหลักความเป็นธรรมตามกฎหมาย ที่จะต้องยึดหลักความบริสุทธิ์และยุติธรรมของกระบวนการพิจารณาซึ่งกำหนดให้ศาลปกครองทำหน้าที่ไต่สวนโดยการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ที่ถูกสั่งลงโทษ และองค์กรผู้สั่งลงโทษ ได้เสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้าสู่การพิจารณา
ด้วยเหตุนี้เอง กระบวนการพิจารณาอุทธรณ์นั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 96 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตฯ ที่ให้อุทธรณ์ต่อ ก.ตร.นั้น การพิจารณาอุทธรณ์ จึงต้องพิจารณาตามหลักทั่วไป ที่ต้องดำเนินการโดยเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย หาใช่ว่า หากเป็นกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นแล้วคณะกรรมการ ก.ตร.ไม่ต้องพิจารณาอะไรเลย
กรณีดังกล่าวจะไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เป็นต้นว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏถึงขนาดว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีความเห็นผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง โดยฟังพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารปลอม หรือกระทำผิดขั้นตอนตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือไม่ฟังคัดค้านหรือพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหา ฯลฯ
ดังนี้ หากคณะกรรมการบริหารงานบุคคลหรือ ก.ตร.ไม่มีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงนี้เลย ย่อมเป็นการสร้างความไม่ยุติธรรมแก่ข้าราชการที่ถูกลงโทษ ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์กับกระบวนการทางวินัย ที่มุ่งจะส่งเสริมให้ข้าราชการประพฤติดี และลงโทษข้าราชการที่ฝ่าฝืนวินัยข้าราชการตำรวจ
5.กรณีตัวอย่างที่ไม่มีการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
มีหลายกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การดำเนินการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรืออนุกรรมการของ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการไปโดยไม่ชอบธรรม เช่น ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือระเบียบของ ป.ป.ช.เอง รวมถึงกฎหมายด้วยวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ดังเช่น คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.405/2551 ลงวันที่ 11 กันยายน 2551 โดยศาลได้วินิจฉัยว่า การที่อนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่รับฟังคำคัดค้านว่ามีคณะกรรมการไต่สวนบางรายมีส่วนได้เสียกับเรื่องที่ไต่สวน ไม่อาจจะเป็นกรรมการไต่สวนได้ จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวน พ.ศ.2543 เป็นสาระสำคัญของกระบวนการไต่สวนจึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนมาชี้มูลความผิดและลงโทษทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีได้
ด้วยเหตุนี้ การออกคำสั่งลงโทษทางวินัยตามที่คณะกรรมการชี้มูล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ คำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ที่ 201/2551 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ศาลปกครองได้วินิจฉัยว่าการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่งตั้งผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับกรณีที่เรื่องที่กล่าวหา มาเป็นอนุกรรมการไต่สวน เป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง และ ข้อ 13 ของระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวน พ.ศ.2547 ทำให้การไต่สวนไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี
อีกทั้งตามระเบียบดังกล่าวยังกำหนดให้คณะอนุกรรมการจะต้องทำการแจ้งข้อกล่าวหาและให้โอกาสผู้ฟ้องคดีชี้แจงต่อสู้ข้อกล่าวหา
แต่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการไม่ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดดังกล่าว รวมทั้งยังมีการปรับข้อกฎหมายผิดพลาดไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและไม่ได้เหตุผลให้ชัดเจนว่าที่กล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน้าที่อย่างไร แต่กระทำได้เพียงแต่การสรุปว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฯลฯ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ปรากฏว่า ผู้บังคับบัญชาได้สั่งลงโทษตามที่คณะกรรมการชี้มูล ผู้ฟ้องคดีจึงได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ.2548 ซึ่งกำหนดให้ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ดำเนินการเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความเป็นธรรม
หากผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า การลงโทษไม่ถูกต้องเหมาะสมย่อมมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงโทษได้ เมื่อมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่อาจรับฟังได้ เพราะดำเนินการขัดต่อกฎหมายในสาระสำคัญหลายประการ การดำเนินการขององค์กรบริหารส่วนบุคคล (ก.ตร.) ที่สั่งการไปตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น
6.แนวทางการดำเนินการ เพื่อป้องกันปัญหาข้อโต้แย้ง
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนเห็นว่าหน่วยงานต่างๆ ไม่ควรถูกผูกพันกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.อย่างเด็ดขาด
แต่ควรมีผลผูกพันระดับหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ควรผูกพันองค์กรบริหารงานบุคคลที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษข้าราชการนั้นได้
ฉะนั้น จึงเห็นว่าเพื่อป้องกันปัญหาในลักษณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.อาจจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเดียวกันอีก จึงเห็นควรดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยกำหนดเพิ่มเติมข้อความในวรรคท้ายของ มาตรา 105 หมวด 8 ว่าด้วยการอุทธรณ์ โดยกำหนดข้อความให้ชัดเจน เกี่ยวกับวิธีการอุทธรณ์ กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูล ว่าให้ ก.ตร.มีอำนาจอย่างไรบ้างให้ชัดเจน เพราะกฎหมายว่าด้วยข้าราชการตำรวจ และกฎหมาย ป.ป.ช.นั้น แม้จะมีชื่อเรียกต่างกัน แต่อยู่ในลำดับศักดิ์ กฎหมายเดียวกันเนื่องจากมีกระบวนการตรากฎหมายในลักษณะอย่างเดียวกัน
นักกฎหมายโดยทั่วไป จึงเห็นพ้องว่าพระราชบัญญัติทั่วไป และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มีลำดับศักดิ์เช่นเดียวกัน
ดังนี้ ถ้ากำหนดวิธีการอุทธรณ์กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดมาแล้ว ย่อมถือได้ว่า กฎหมายตำรวจ เป็นกฎหมายเฉพาะ ที่จะต้องพิจารณาดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนของตำรวจ ในเรื่องการอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม การแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจฯ อาจจะดำเนินการได้ยาก และใช้เวลานาน เนื่องจากจะต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาของ ก.ตร. กรณีดังกล่าวจึงเห็นควรแก้ไข กฎ ก.ตร.ที่ว่าด้วยการอุทธรณ์
โดยมอบหมายให้ ส.ก.ตร.ดำเนินการ ตามนัยความเห็นข้างต้น ทั้งนี้ เห็นว่าคณะกรรมการ ก.ตร.จะไม่มีความรับผิดใดๆ หากได้ดำเนินการตามกฎ ก.ตร.เพราะ กฎหมายแม่บท คือ พ.ร.บ.ตำรวจเอง ก็ได้กำหนดให้การดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นไปตามกฎ ก.ตร.
7.บทส่งท้าย
จากปัญหาที่กล่าวไปทั้งหมด จะเห็นได้ว่า การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะอนุกรรมการไต่สวนที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็อาจจะมีข้อผิดพลาดได้เช่นกัน
ดังที่ปรากฏว่า ศาลปกครองซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นกลางและอิสระ ได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลไปจำนวนมาก
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อาจจะผิดพลาดได้ จึงควรมีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างองค์กร และการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กร ป.ป.ช.เช่นกัน
ในกรณีที่ข้าราชการท่านใด ได้รับความเสียหายจากการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ควรจะได้รับการปกป้องเช่นกัน เพราะทุกคนมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ จึงไม่ควรถูกลิดรอนสิทธิในการร้องทุกข์และฟ้องร้องคดีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 59 และมาตรา 60
เมื่อข้าราชการท่านได้ถูกฟ้องร้องและเรียกตัวไปแจ้งข้อกล่าวหา ก็ควรจะได้ร้องขอความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด พร้อมส่งเอกสารทั้งหมด พร้อมกับการโต้แย้งคัดค้านการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่อาจจะขัดจากหลักกฎหมายต่างๆ ไว้ด้วย
หากผู้บังคับบัญชาไม่ได้ดำเนินการให้ความเป็นธรรม ไม่พิจารณาหลักฐานที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ละเลย ฯลฯ เหล่านี้ ผู้บังคับบัญชาก็จะต้องมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา เช่นเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงาน จึงควรพึงระวังว่า ไม่ใช่แต่กรณีที่ผู้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามการชี้มูลตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เท่านั้น ที่อาจจะทำให้ตนต้องถูกดำเนินคดีอาญาได้
แต่กรณีที่ละเลยไม่ให้ความเป็นธรรมตามกฎหมายในเรื่องการบริหารงานบุคคลนั้น ก็อาจจะทำให้ตนถูกดำเนินคดีอาญาและทางแพ่งด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ :
บทความนี้ เขียนโดย พ.ต.ท.ดร.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : ผู้เขียน ปริญญาเอกทางกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา (J.S.D.) จาก University of lllinois at urbana-Champaaign (UIUC), LL.M. (UIUC),LL.M. (Indiana University-Bloomington),นม(มธ.), รม.(มธ.), น.บ.ท., นบ.(เกียรตินิยม) (มธ.) และ รปบ.ตร.(รร.นายร้อยตำรวจ)
Create Date : 23 มีนาคม 2552 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:15:45 น. |
|
5 comments
|
Counter : 4516 Pageviews. |
|
|
|
โดย: sakol IP: 58.10.128.252 วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:15:56:55 น. |
|
|
|
โดย: จักรชัย ผลไม้ IP: 203.147.4.69 วันที่: 30 เมษายน 2552 เวลา:9:51:19 น. |
|
|
|
โดย: n IP: 203.147.4.69 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:57:15 น. |
|
|
|
โดย: บัวสันตุ IP: 208.185.214.4 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:7:00:35 น. |
|
|
|
โดย: POL_US วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:17:17:13 น. |
|
|
|
| |
|
|