รายงานความจริง กรณีการสลายการชุมนุม ปี พ.ศ.๒๕๕๓ โดย ศปช.
รายงานฉบับเต็ม 94 คือจำนวนผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการสลายการชุมนุม 7 ในผู้เสียชีวิตทั้งหมด เป็น ผู้หญิง 87 ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด เป็น ผู้ชาย 32 คือจำนวนคนที่โดยยิงที่ศรีษะ 14 ปี คือ ผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยที่สุด 76 คือพลเรือนที่เสียชีวิต 1,283 คือจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ 117,923 คือจำนวนกระสุนที่ใช้ไปในการสลายการชุมนุม 2,120 คือจำนวนกระสุนสำหรับการซุ่มยิง 3,000,000,000 คืองบประมาณที่กองทัพใช้ในการจัดการการชุมนุม 67,000 คือจำนวนกำลังพล(ทหาร) 700,000,000 คืองบประมาณที่ตำรวจใช้ในการจัดการการชุมนุม 25,000 คือจำนวนกำลังพล(ตำรวจ) 1,857 คือจำนวนผู้ถูกจับกุมระหว่างชุมนุม 1,763 คือจำนวนคดีทั้งหมด ในศาล 56 แห่ง 167 คือจำนวนคดีเยาวชนต่ำกว่า 18 ปีที่ถูกดำเนินคดี 19 ส.ค.55 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการจัดแถลงข่าวรายงาน ความจริงเพื่อความยุติธรรม: เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53 ของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.53 หรือ (ศปช.)พร้อมเตรียมเดินสายอภิปรายรายงานทั่วประเทศ เช่น จ.เชียงใหม่ จ.อุบลราชธานีเป็นต้น ทั้งนี้ ศปช.ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ค.53 โดยกลุ่มนักกิจกรรมร่วมกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรมมีเจ้าหน้าที่ทำงาน 5-6 คนในการลงพื้นที่เก็บข้อมูล และสัมภาษณ์พยาน ผู้ได้รับผลกระทบฯ เคยแถลงข่าวมาแล้ว 2 ครั้งส่วนในครั้งนี้เป็นการสรุปรายงานร่างฉบับสมบูรณ์ 932 หน้าซึ่งมีกำหนดพิมพ์เพื่อวางแผงทั่วไปในวันที่ 1 กันยายนนี้พร้อมกับจะเปิดให้ดาวน์โหลดฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ www.pic2010.org นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการย่อยข้อมูลต่างๆ เป็นแผนภาพแผนที่ต่างๆ ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำรายงานเรื่องการสลายการชุมนุมปี 2553 อีกหน่วยคือคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ( คอป.)ซึ่งหมดอายุการทำงานเมื่อสิ้นเดือนก.ค.และมีกำหนดว่ารายงานฉบับเต็มจะออกราวเดือน ส.ค.นี้เช่นกันขณะที่อีกหน่วยหนึ่งคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินั้นเคยมีร่างรายงานดังกล่าวเล็ดรอดออกมาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเมื่อเดือนก.ค.ปีที่ผ่านมา และนำกลับไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระหนึ่งในอนุกรรมการที่ร่วมจัดทำรายงานกล่าวว่า ร่างรายงานฉบับสมบูรณ์เขียนเสร็จแล้วแต่จะต้องเข้าที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการสิทธิก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะซึ่งน่าจะดำเนินการได้เร็วๆ นี้ พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการจากกลุ่มสันติประชาธรรมอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ถือเป็นการบันทึกข้อเท็จจริงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยมุ่งหวังว่าในอนาคตการรวบรวมข้อมูลนี้จะสามารถนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบและนำคนผิดมาลงโทษได้อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของคณะทำงานคือการเข้าไม่ถึงข้อมูลจากภาครัฐไม่มีอำนาจในการเรียกเอกสารหรือเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูลแต่ก็ได้มีการรวบรวมข้อมูลเอกสารทางการเท่าที่มีการเผยแพร่และหามาได้ไว้ทั้งหมดรวมถึงหลักฐานจำพวกคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตจำนวนมากและส่วนใหญ่ถูกลบไปแล้ว นี่เป็นรายงานที่สะท้อนเสียงและมุมมองของประชานที่ตกเป็นเหยื่อและเป็นเสมือนคำประกาศต่อสังคมไทย ว่า เราจะไม่มีวันยอมรับความพยายามใดๆที่จะให้ผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ผู้ที่สูญเสีย ลืม เงียบเฉยและยอมจำนนต่อความอยุติธรรมเราไม่มีวันยอมรับการเปลี่ยนการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนให้เป็นสิ่งถูกกฎหมายเราไม่มีวันไม่ยอมรับวัฒนธรรมการบูชาความปรองดองและความมั่นคงของรัฐแต่ดูถูกเหยียบย่ำสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเราจะไม่มีวันยอมรับวัฒนธรรมการเมืองที่ช่วยโอบอุ้มประเพณีของการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวลพวงทองกล่าว ภาพจากสไลด์นำเสนอของกฤตยา อาชนิจกุลกฤตยา อาชวนิจกุลอาจารย์จากศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รายงานศปช.เป็นหนังสือเล่มแรกในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่ให้รายละเอียดผู้เสียชีวิตเป็นรายๆ ไปเมื่อก่อนแม้มีการทำรายงาน ก็เป็นเพียงเชิงอรรถ เป็นฟุตโน้ตเล็กๆ ว่าใครตายจำนวนเท่าไรแต่งานนี้ต้องการบอกว่า เชิงอรรถนี้มีความสำคัญเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การอำพราง ความอัปลักษณ์และความอำมหิต ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง คอป. ก็อิหลักอิเหลื่อมีความขัดแย้งในตนเอง ในหน้าที่ค้นหาความจริงกับการปรองดองส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ล้มเหลวในการทำหน้าที่ กฤตยายังกล่าวถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ความตายที่พร่าเลือนซึ่งเป็นผลจากการชันสูตรพลิกศพและสามารถสรุปได้เลยว่าไม่ได้รับความเอาใจใส่จากแพทย์มากพอในการทำรายงานการชันสูตรพลิกศพที่ละเอียดที่มีอยู่ก็มีความหละหลวม และมีข้อมูลผิดพลาดหลายรายจนญาติของผู้เสียชีวิตต้องทำคำร้อง เช่น กรณีนายอัครเดช ขันแก้วผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงในวัดปทุมฯ รายงานชันสูตรศพบอกว่า ถูกทุบด้วยของแข็ง ที่สำคัญ รายงานเหล่านี้ไม่เผยแพร่สาธารณะเราขอเรียกร้องให้เปิดเผย เพราะในปี 2535 มีการนำเอกสารชันสูตรพลิกศพ เปิดเผยสาธารณะ และสามารถนำมาวิเคราะห์เชิงวิชาการได้ กฤตยากล่าว นอกจากนี้กฤตยายังกล่าวอีกว่าความยุติธรรมที่ล่าช้า คือ การปฏิเสธความยุติธรรมดังนั้นจึงเสนอให้ดีเอสไอโอนเรื่องกลับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้มีการไต่สวนการตายเพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ที่ผ่านมาดีเอสไอใช้เวลานานมาก จนถึงเดือนมกราคม 2554 ถึงยอมแถลงว่าการตายแบ่งเป็น3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคิดว่าเป็นการกระทำกับนปช.และกลุ่มเกี่ยวพัน จำนวน 12 ราย กลุ่มสองพบพยานแล้วว่าเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ตอนแรกระบุว่ามี 13 ราย แต่เมื่อ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาระบุว่ามี 22 ศพ กลุ่มสาม สอบสวนแล้วแต่ไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด 64 ราย แบ่งเป็น 18 คดี เกษม เพ็ญภินันท์อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในทีมงานกล่าวว่า กลุ่ม นปช.ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ถือเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองตามครรลอง แต่สถานการณ์กลับพาไปสู่ความรุนแรงโดยความรุนแรงเริ่มต้นจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 เม.ย.จากเหตุการณ์ล้อมสภาของกลุ่มนปช. ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็เป็นการจัดการที่เกินกว่าเหตุและการใช้กฎหมายนี้นำไปสู่การใช้กำลังของหน่วยทหารจนเกิดความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะการประกาศ ขอคืนพื้นที่ ในวันที่10 เม.ย.2553 ซึ่งเกิดการปะทะกันดันกันในพื้นที่โดยรอบราชดำเนิน แต่ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดเกิดขึ้นหลัง 5โมงเย็นถึง 3 ทุ่มครึ่ง เกษมกล่าวถึงปมปัญหาสำคัญเรื่อง ชายชุดดำ ซึ่งคนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นฮีโร่มาช่วยในเวลาที่เพลี่ยงพล้ำ ขณะที่ศอฉ.เห็นว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้นเขาเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความชัดเจนได้และเป็นปริศนาภายในกองทัพเอง ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าชายชุดดำเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ ฉวยใช้สถานการณ์เพื่อสลายขั้วอำนาจในกองทัพซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อยนอกจากนี้ทหารกับคนชุดดำยังไล่ล่ากัน ออกมานอกบริเวณปะทะเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต เสียชีวิตเพราะลูกหลงจากการปะทะและจากหลักฐานชี้ชัดว่าถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เกษมกล่าวว่า สิ่งที่เห็นต่อเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงคือคนเสื้อแดงก้าวพ้นจากข้อกล่าวหาว่าอยู่ในเงาของทักษิณเขามีพลวัตรทางการเมืองของตนเองและมีการเรียกร้องความเป็นธรรมยอมไม่ได้กับคนเจ็บคนตาย ทำให้หน่วยการเมืองต้องคล้อยตาม และพยายามจัดการเรื่องนี้ ขวัญระวี วังอุดม จากโครงการจัดตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษาม.มหิดล กล่าวว่า การวิเคราะห์จากเอกสารทางการ เอกสารชันสูตรศพมีข้อจำกัดที่เอกสารเหล่านี้อาจระบุข้อมูลคลาดเคลื่อนและศปช.ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกระสุนปืนแต่ก็พยายามตรวจเช็คจากพยานในเหตุการณ์และญาติ โดยมีการสัมภาษณ์พยานเกือบ 80คน ซึ่งถึงที่สุดรายงานนี้ควรนำมาเทียบดูกับฉบับของคอป.ที่กำลังจะออกมาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ขวัญระวี เสนอว่าสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป คือต้องสร้างความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าผ่านวิธีการไต่สวนตั้งคณะกรรมการอิสระที่เป็นกลาง, นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ,ห้ามใช้ศาลทหาร หรือพิจารณาคดีลับ, สร้างหลักประกันว่ามาตรา17 พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะไม่มีอุปสรรค, ห้ามใช้โทษประหารชีวิต,ชดเชยเยียวยาอย่างทั่วถึง, ปฏิรูปกลไกสถาบันทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เสาวลักษณ์ โพธิ์งามทนายความอิสระ ที่ร่วมรวบรวมข้อมูลเรื่องการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการชุมนุมกล่าวว่าการรวมรวมข้อมูลยากมากเพราะไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ เมื่อมีการทำจดหมายขอข้อมูลไปบางหน่วยงานก็ไม่ให้เพราะถือว่าไม่ใช่คู่ความในคดี นอกจากนี้การเก็บข้อมูลจากผู้จับกุมต่างๆ ในหมู่ประชาชนเองก็เกิดสงสัยหวาดระแวงว่าอาจจะเป็นกอ.รมน. หรือเปล่าก็จะถูกปฏิเสธการให้ข้อมูลจากประชาชนด้วย ในการชุมนุมที่เก็บข้อมูลหลังจากสลายการชุมนุมปี 2553 จนถึง เม.ย.2555 พบว่า ประชาชนที่ถูกจับกุมมี 1,857คน ซึ่งบางคนไม่ได้ร่วมชุมนุมด้วย และจากจำนวนทั้งหมดถูกดำเนินคดี 1,763คน โดยกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีคดีมากที่สุด รองลงมาคือภาคอีสานโดยแยกลักษณะการฟ้องได้ 3 ลักษณะ คือ คดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, คดีอาญาทั่วไปที่ไม่ได้ฟ้องด้วย พ.ร.ก. ฉุกเฉินและการฟ้อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินร่วมกับความผิดอาญาฐานอื่น ในการดำเนินคดีมีการรวบรัด มีหลายคดีที่เกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ตัดสินคดีโดยลงโทษจำคุก 1 ปีแล้วจำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเพราะการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นผิดระเบียบศาลอุทธรณ์เชื่อว่าไม่ได้แจ้งสิทธิให้จำเลยคำพิพากษาไม่ชอบก็ต้องกลับมาดำเนินคดีใหม่ เมื่อมาดำเนินคดีใหม่ก็ปัญหาคือพยานโจทก์ที่ใช้ส่วนมากเป็นทหาร ต้องไปสืบพยานกันตามแหล่งที่อยู่ของทหารตามจังหวัดต่างๆทำให้ผู้เสียหายจำนนในการต่อสู้เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง จากการอ่านคำฟ้องหลายคดีพบว่าพยานหลักฐานหลายชิ้นที่ถูกนำมาใช้เพื่ออ้างว่าผู้ต้องหาฝ่าฝืน พ.ร.ก. คือ ตีนตบ ธงนปช. หมวก ผ้าพันคอ พลุ ตะไล เป็นต้น เสาวลักษณ์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้ที่ติดคุกอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีไม่ได้รับการประกันตัวอีก 22 คน โดยเธอระบุว่าการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่งผลกระทบต่อกระบวนการดำเนินคดีคือมีการซ้อม มีการจูงใจให้รับสารภาพแต่ปัญหากระบวนการยุติธรรมนั้นมีมาอย่างยาวนานแล้วไม่ใช่เพิ่งมีช่วงเสื้อแดงชุมนุม เพียงแต่การชุมนุมในทางการเมืองทำให้เห็นสองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมและขอเรียกร้องให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นรัฐบาลที่เติบโตมาจากหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อของคนเสื้อแดงดำเนินการให้สิทธิประกันตัวแก่นักโทษการเมืองเหล่านั้น
Create Date : 20 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 20 สิงหาคม 2555 11:10:24 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2116 Pageviews. |
|
|