หลักการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน และ ข้อสังเกตกรณีศาลพิพากษายกฟ้อง
หลักการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนและ ข้อสังเกตกรณีศาลพิพากษายกฟ้อง [1] ส่วนที่ ๑ หลักการทั่วไป กระบวนการสืบสวนและสอบสวนแท้จริงเป็นกระบวนการเดียวกันที่ไม่ควรแยกจากกัน แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นได้กำหนดแยกกระบวนการสืบสวนและสอบสวนออกจากกัน และกำหนดนิยามแตกต่างกัน เช่น การสืบสวน เป็นเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งความจริงแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ นอกจากการจัดทำ Database ต่าง ๆเท่านั้น แม้จะไม่มีกฎหมายนิยามเอาไว้ องค์กรที่ดี ก็จะต้องบริหารงานบนพื้นฐานข้อมูลอยู่แล้ว จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะนิยามศัพท์ข้างต้นไว้เลย ส่วนการสอบสวนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถือเป็นหัวใจหลัก หรือกระบวนการก่อนการฟ้องร้องคดีหากไม่มีกระบวนการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแล้วก็จะถือเป็นการสอบสวนไม่ชอบ และเมื่อทำการสอบสวนไม่ชอบ ก็จะทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องคดีไปด้วยในทางตรงกันข้าม หากมีการสอบสวนคดีโดยชอบแล้ว พนักงานอัยการย่อมสามารถใช้ดุลพินิจในการนำพยานหลักฐานต่าง ๆเข้าสืบต่อศาลได้โดยไม่ต้องผ่านการสอบสวนของตำรวจมาก่อนก็ได้ โดยเฉพาะในปัจจุบัน มีกฎหมายอัยการฉบับใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้ในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญ สามารถใช้อำนาจออกหมายเรียกและทำการซักถามในลักษณะเดียวกับการสอบสวนคดีอาญาได้เอง กรณีนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ตำรวจเองจะต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่ากระบวนการที่เราปฏิบัติหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานนั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เป็นที่ยอมรับของสังคมทั้งในด้านประชาชนที่เป็นเหยื่ออาชญากรรมและในด้านประชาชนที่ถูกตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาได้เพียงใด หากว่าการปฏิบัติหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาเพื่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนไม่สามารถทำให้ประชาชนและสังคมยอมรับ องค์กรตำรวจซึ่งอยู่ในสภาวะจุดเปลี่ยนผ่านในปัจจุบัน ที่กำลังเข้าสู่ยุคประชาคมอาเซียน และยุคข้อมูลข่าวสาร ก็จะต้องถูกปรับเปลี่ยนอย่างชนิดพลิกกระดานอย่างแน่นอน ในด้านการสืบสวนสอบสวนนั้น กรมตำรวจในอดีตได้เคยมีบันทึกสั่งการไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๑๗ แล้วให้พนักงานสอบสวนทำการการรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อนทำออกหมายเรียกตัวผู้ใดมาแจ้งข้อกล่าวหาและหากทำการสืบสวนสอบสวนอย่างสมบูรณ์แล้วเห็นว่าเขาไม่ได้กระทำผิดเลยก็ให้มีคำสั่งไม่ฟ้องไปได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวผู้นั้นแต่ประการใด ซึ่งในเรื่องการสืบสวนสอบสวน จับกุม ก็มีการกำชับไม่ว่าจะเป็นระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีหรือ คำสั่งของ ตร. อีกหลายครั้ง ให้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนจึงค่อยมีความเห็นทางคดี โดยระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีก็ระบุไว้ชัดเจนว่าตำรวจจะต้องทำการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดที่แท้จริงให้ได้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและยับยั้งการเลียนแบบมิให้ผู้อื่นกระทำผิดซ้ำในลักษณะเดียวกันอีกต่อไป การจับผิดตัว หรือจับแพะจึงเป็นการสร้างภาระให้กระบวนการยุติธรรม และ เป็นการทำร้ายองค์กรตำรวจโดยตรง ดังที่เราเห็นมาหลายกรณี เช่น กรณีของ เชอร์รี่แอนด์ ดันแคน หรือ กรณีของนายสมชายฯ พ่อค้าเนื้อหมูที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรวมถึงกรณีจ้างวานฆ่าที่มีการจับกุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่อันสืบเนื่องมาจากการซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกันโดยไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของคำซัดทอดดังกล่าวก่อนจับกุม เป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและศาลได้มีคำสั่งให้จ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่นายทหารดังกล่าวเป็นเงินกว่า ๓๐ล้านบาท จึงจะเห็นได้ว่า การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ตร.ซึ่งแท้จริงก็ได้กำหนดขึ้นตามหลักกฎหมาย และหลักสามัญสำนึกในฐานะผู้รักษากฎหมายอย่างมีวิชาชีพสูงสุด ทำให้ ตร. ได้รับความเสียหายในทุกด้าน ในเรื่องการออกหมายเรียกผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาเพื่อทำการสอบสวนปากคำโดยหลักการแล้วควรจะต้องเป็นกระบวนการสุดท้ายตามที่กำหนดแนวทางไว้ในบันทึกสั่งการตร. ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ข้างต้น ระเบียบคำสั่งของ ตร.จึงมีความทันสมัยอย่างมาก เพราะในอดีตมีการสั่งสอนกันว่าพนักงานสอบสวนไม่จำต้องสอบสวนพยานฝ่ายผู้ต้องหา เพราะใน ป.วิ.อาญา เดิมก็ไม่ได้ความมุ่งหมายที่จะให้ตำรวจมีหน้าที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วย จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๔๐ ภายหลังจากมีกรณีที่พนักงานสอบสวนสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในคดีเชอร์รี่แอนด์ ดันแคน อันมีผลทำให้จำเลยซึ่งเป็นแพะรับบาปเสียชีวิตเกือบทุกคนด้วยเหตุต่างๆ จึงมีการปฎิรูประบบกระบวนการยุติธรรมขึ้นมา ตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ.๒๕๔๐ ซึ่งได้บรรจุหลักการเช่นเดียวกับที่บันทึก ตร. ปี พ.ศ.๒๕๑๗กำหนดไว้ด้วย และในเรื่องการออกหมายเรียกตร. ยังได้มีการออกบันทึกสั่งการเมื่อไม่มานมานี้อีก โดยย้ำหลักการให้พนักงานสอบสวนทำการรวบรวมพยานหลักฐานอื่นทั้งปวง เพื่อพิสูจน์ความจริงทั้งในด้านความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาให้สมบูรณ์ ก่อนออกหมายเรียกตัวมาเพื่อสอบปากคำ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำหลักการที่กำหนดไว้ตามป.วิ.อาญา มาตรา ๑๓๑ที่กำหนดให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถทำได้เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิด และพิสูจน์ให้เห็นว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ หรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งกรณีปรากฎอยู่เสมอว่าพนักงานสอบสวนละเลยการรวบรวมพยานหลักฐานฝ่ายผู้ต้องหาแม้ผู้ต้องหาจะได้กล่าวอ้างไว้ในชั้นสอบสวนก็ตามโดยพนักงานสอบสวนสอบตัดพยานทั้งหมดโดยระบุว่า ผู้ต้องหาปฎิเสธที่จะให้การใน ชั้นสอบสวน แต่เมื่อปรากฏในชั้นเบิกความ พนักงานสอบสวนคนเดียวกันกลับยอมรับว่าในชั้นสอบปากคำ ผู้ต้องหาได้ระบุพยานบุคคลที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้ แต่พนักงานสอบสวนเกียจคร้านจึงแนะนำให้ผู้ต้องหานำพยาน ฯลฯ และเสนอข้อเท็จจริงในชั้นศาลด้วยตนเอง การกระทำเช่นนี้จึงเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ป.อาญา มาตรา ๑๕๗ เพราะพนักงานสอบสวนทราบดีว่าผู้ต้องหาจะเสียสิทธิในชื่อเสียง และเสรีภาพอย่างมากระหว่างกระบวนพิจารณา กรณีนี้ จึงได้มีการเสนอให้พิจารณาข้อบกพร่องของพนักงานสอบสวนรวมถึงผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่กำกับดูแลพนักงานสอบสวนด้วย เพราะถือว่าละเลยไม่ใส่ใจในทุกข์ร้อนของประชาชน ในปัจจุบัน มีความเชื่อว่าตำรวจได้รับคดีไว้เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนเพียงประมาณ ๑ ใน ๓ ของคดีที่มีการแจ้งไว้ซึ่งในจำนวนนี้ ก็อาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคดีที่เกิดขึ้นจริง โดยในปัจจุบันมีการรับแจ้งคดีไว้ประมาณ ๖แสนคดี ในจำนวนที่มีการสอบสวนเป็นสำนวนที่ไม่ใช่การฟ้องด้วยวาจา หรือเปรียบเทียบปรับนั้น มีการฟ้องคดีต่อศาลและคดีจำนวนไม่น้อยศาลพิพากษายกฟ้อง หรือไม่อาจจะลงโทษได้ทุกกระทงความผิดที่ฟ้องกันในศาล อันสืบเนื่องมาจากการเบิกความปากคำของพยานรวมถึงของพนักงานสอบสวนแตกต่างกันในสาระสำคัญระหว่างชั้นสอบสวนกับชั้นพิจารณาของศาล หรือการเบิกความขัดกับข้อเท็จจริง หรือ บางกรณีไม่สามารถนำประจักษ์พยานไปเบิกความชั้นพิจารณาของศาลได้ ทำให้ขาดพยานชั้นหนึ่งที่สำคัญที่สุดในคดีอาญา นอกจากนี้ยังมีปัญหาสำคัญ ๆ เช่น กรณีศาลพิพากษายกฟ้องเพราะการไม่นำสายลับไปเบิกความชั้นศาล ซึ่งกรณีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เห็นพ้องด้วยซึ่งก็สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของนานาอารยะประเทศที่ไม่มีการนำสายลับไปเบิกความชั้นพิจารณาของศาลเพราะจะทำให้สายลับได้รับอันตราย และ ตำรวจจะไม่มีเครื่องมือในการสืบสวนสอบสวนในคดีต่อไปหากมีการเปิดเผยสายลับแล้ว ในคราวต่อไป ก็จะต้องหาสายลับคนใหม่มาเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ กรณีนี้ก็จะต้องมีการนำสืบต่อศาลให้เห็นถึงความเที่ยงตรงแม่นยำของสายลับมีการได้รับข้อมูลและนำข้อมูลนั้นมาขยายผลอย่างไรบ้าง มีสถิติหรือไม่ อย่างไร หากนำสืบเช่นนี้ได้แล้วน่าเชื่อว่าศาลจะต้องลงโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เช่นเดียวกับการใช้สายลับในต่างประเทศ ศาลก็รับฟังบนพื้นฐานหลักการดังกล่าวเช่นกัน ส่วนที่ ๒ หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีอาญา ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ ได้กล่าวโดยสรุปสาระสำคัญไว้ว่าหลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้อย่างแน่ชัด แต่ก็อาศัยหลักการหลายประการ ได้แก่หลักสามัญสำนึก หรือ Commonsense กับ หลักความน่าจะเป็นตามธรรมชาติของเรื่อง ท่านกล่าวสั่งสอนตุลาการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีข้อพิพาทของประชาชนหรือของรัฐไว้ว่าจะยกฟ้องเพราะอ้างเหตุสงสัยนิดสงสัยหน่อยไม่ได้จะต้องเป็นเหตุสงสัยที่ถึงขนาดจะลงโทษไม่ได้เลย ดังจะเห็นได้จาก ป.วิ.อาญา มาตรา ๒๒๗ได้บัญญัติเอาไว้ว่า การจะยกประโยชน์ของความสงสัยนั้น จะต้องมีเหตุอันควรสงสัยจริง ๆ ที่ภาษากฎหมายใช้คำว่ามีความสงสัยตามสมควร โดยอาศัยการพิจารณาพยานหลักฐานว่ามีความน่าจะเป็นในระดับที่เพียงพอจะลงโทษได้หรือไม่ เพราะเป็นไปไม่ได้ว่าฝ่ายโจทก์จะสามารถนำพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณาจนปราศจากสงสัยถึงขนาดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านกล่าวไว้ว่า หลักความน่าจะเป็นที่ว่าถ้ามันมีอยู่ถึงขีดหนึ่งละก็เชื่อได้ ถ้าไม่ถึงขีดก็เชื่อไม่ได้นั้น ต้องเข้าใจว่าความน่าจะเป็นนั้นมันจะแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี ต้องยึดหลักนี้ไว้ให้ดี กล่าวโดยสรุป การที่จะพิพากษายกฟ้องเพราะอ้างเหตุยกประโยชน์ของความสงสัยนั้นจะต้องมีเหตุอันควรสงสัยจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ สงสัย ตามที่เราเข้าใจกัน เช่น มีพยานน้อยเพียงปากเดียวหรือสองปากหรือการเบิกความมีความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย เพราะบางครั้ง การมีพยานปากเดียวก็น่าอาจจะน่าเชื่อถือและจริงกว่าพยานหลายปากที่มีการซักซ้อมกันมาก็ได้ ท่านศาสตราจารย์ จิตติฯจึงได้กล่าวโดยสรุปว่า การรับฟังพยานหลักฐานและพิจารณาว่าน่าเชื่อถือเพียงใดจึงเป็นเรื่องที่ยาก จะต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญ และจะต้องฝึกฝนบนพื้นฐานของหลักวิชาการประกอบกัน ท่านได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานไว้ว่าจะต้องใช้กฎแห่งความคิด ซึ่งเป็นหลักพิสูจน์ความแน่นอน หรือการพิสูจน์ความจริงด้วยหลักการ สำคัญ ได้แก่ ๑)กฎแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๒)กฎแห่งความขัดกัน ๓)กฎแห่งความเป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ ๔)กฎแห่งความมีเหตุผลอันสมควร สำหรับกฎข้อ๑) ๓) นั้นหากพิจารณาข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมมาได้จากการสอบสวนปากคำพยานบุคคลเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานทางเอกสาร วัตถุ หรือ นิติวิทยาศาสตร์แล้วดูว่ามันมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สอดคล้องกันหรือไม่ หรือ มันขัดกัน หรือมันจริงบ้างไม่จริงบ้าง เช่นเหตุการณ์อันหนึ่ง ควรจะมีข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างกลมกลืนและเป็นธรรมชาติ แต่ก็ต้องระมัดระวังกรณีที่พยานได้ซักซ้อมกันมาเพื่อหลอกลวงพนักงานสอบสวน ก็จะดูกลมกลืนกันเกินธรรมชาติ ก็อาจจะไม่เป็นจริง หรือ ในกรณีที่พยานให้การหรือเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญ เช่นนี้ ก็จะต้องถือว่าขัดแย้งกันซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานอื่นมาพิสูจน์เปรียบเทียบว่าข้อใดจริงข้อใดเท็จ เว้นแต่จะเป็นความแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆซึ่งจะพิจารณาว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันในรายละเอียดก็จะต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป เช่น ผู้ให้การนั้น มีอายุน้อย มีประสบการณ์อะไรมา มีความรู้ความชำนาญเพียงใด มีความสามารถจดจำได้เพียงใด ระยะเวลาเบิกความหรือให้การแตกต่างกันยาวนานจากวันเวลาเกิดเหตุเพียงใดฯลฯ ก็จะต้องพิจารณาว่ามันน่าจะถือว่าแตกต่างกันในสาระสำคัญหรือไม่หรือเป็นธรรมชาติของบุคคลที่จะต้องหลงลืมกันไปบ้าง เป็นต้น หากพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน แล้วพบว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดโดยละเอียดเข้าหลักการตามกฎสามข้อแรกแล้วก็จะต้องถือว่า ข้อเท็จจริงนั้นไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ส่วนกฎข้อ๔ หรือ กฎแห่งความมีเหตุผลอันสมควรนั้น ถือเป็นข้อพิสูจน์ในทางบวกแตกต่างจากข้อเท็จจริงตามกฎสามข้อแรก ที่เป็นข้อเท็จจริงในทางลบ ในส่วนการพิจารณาว่าพยานหลักฐานโดยเฉพาะพยานบุคคลที่ให้การหรือเบิกความนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่นั้นมีหลักในการพิจารณา ๓ ประการ ๑)สติสัมปชัญญะของพยานในขณะที่เหตุการณ์นั้นมาสัมผัสอายตนะภายนอก และสภาวะจิตใจของพยานในขณะเกิดเหตุ ซึ่งจะมีผลต่อความจดจำของพยาน ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงจะต้องสอบสวนให้เห็นว่า ๑.๑)เหตุภายใน : พยานมีความสนใจ หรือ มีความสามารถในการสังเกตจดจำเพียงใดซึ่งจะนำไปสู่การวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ตามคำให้การหรือเบิกความนั้นผิดพลาดหรือไม่อย่างไร ๑.๒)เหตุภายนอก : ได้แก่ ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการสังเกตจดจำ เช่น แสวงสว่าง ระยะทางการเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วเพียงใด ฉับพลันทันทีหรือไม่มีเหตุการณ์การสำคัญ ๆ ที่ทำให้จำได้หรือไม่ แม้ปัจจัยภายนอกไม่อำนวย เช่นพยานกับผู้ต้องหา รู้จักกันแรมปี แม้จะไม่เห็นหน้า ถูกปิดตา ฯลฯ ก็อาจจะจดจำได้ ๑) ความทรงจำของพยานเป็นเช่นไร ซึ่งอาจจะเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ๒.๑)ความประทับใจ หรือ Impressionซึ่งเกิดขึ้นจากความสนใจอันนำมาซึ่งการสังเกตจดจำและนำไปสู่การรับรู้จากสิ่งที่เห็นหรือสัมผัสได้อย่างไม่รู้ลืมมีปัจจัยหรือข้อเท็จจริงอย่างใดบ้าง ๒.๒)ความระลึกได้ หรือ Recollectionซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆแม้จะไม่สามารถจดจำได้ในทันทีทันใด แต่เมื่อคิดพิจารณาทบทวนจากข้อเท็จจริงทั้งหมดดูสภาพที่เกิดเหตุ ฯลฯ แล้วจึงสามารถระลึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร เช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่น่าเชื่อถือแต่ประการใด ๒.๓)ความสามารถในการถ่ายทอดข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีนี้อาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงก็ได้ เพราะมีหลายปัจจัยที่เข้าเกี่ยวพันเป็นต้นว่า ก)สภาพของพยานบุคคล ที่มีปัจจัยเรื่อง อายุ จิตใจ ความตกใจ ความตื่นเต้น การศึกษาสติปัญญา ความเข้าใจต่อคำถามของพนักงานสอบสวน อัยการ หรือทนายความ ความสามารถในการถ่ายทอดข้อเท็จจริงหรือการเล่าเรื่องราว ประวัติ ความประพฤตินิสัย ความสุจริตของพยาน เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้ พนักงานสอบสวน ก็จะต้องทำการสืบสวนสอบสวนให้เห็นว่าพยานทั้งของฝ่ายผู้เสียหาย หรือผู้ต้องหานั้น มีความน่าเชื่อถือเพียงด้วย ข)ความสลับซับซ้อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ยากหรือง่ายต่อการสังเกตจดจำเพียงใด ค)ข้อเท็จจริงอื่น ๆ เช่น ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล อคติ หรือ ความลำเอียง หรืออิทธิพลต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ๓)การวิเคราะห์ว่าพยานน่าเชื่อถือเพียงใดนั้น ก่อนอื่นจะต้องระลึกเสมอว่าอาจจะความผิดพลาดของพยานได้เสมอซึ่งความผิดพลาดของพยานในการให้การ อาจจะเกิดขึ้นโดยสุจริต หรือ ทุจริตก็ได้ เช่นประสาทหลอน คิดปรุงแต่งเรื่องขึ้นตามความเข้าใจของตนเองต่อเติมเสริมต่อข้อเท็จจริงตามอคติอุปทานหรือมีอารมณ์ร่วมทำให้เชื่อเช่นนั้นไว้ล่วงหน้า สับสน หรือหลงผิดเพราะข้อเท็จจริงเกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว ไม่อาจจะสังเกตจดจำได้ ดังนั้นจึงมีหลักการในวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคล ดังนี้ ๓.๑) โอกาสที่จะเห็นหรือรู้ข้อเท็จจริงนั้น : ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเช่น อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีแสงสว่างพอ อยู่ในระยะใกล้ได้ยินได้ฟังไม่มีอุปสรรคขัดขวางบังสายตาในขณะสังเกตจดจำ มีความสนใจหรือได้รับการฝึกฝนมาในหน้าที่ให้สังเกตจดจำเพียงใดในกรณีที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพยานแต่ละคนอาจจะมีโอกาสและความสามารถในการถ่ายทอดแตกต่างกันไป ดังนั้น หากพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำแล้วทำไมพยานต่างคนต่างพูดคนละเปราะคนละช่วง บางคนพูดข้อเท็จจริงขาดส่วนนี้ บางคนขาดส่วนนี้ ฯลฯ ก็ได้อย่าคิดว่าเขาโกหกแต่อาจจะเป็นข้อเท็จจริงที่นำมาปะติดปะต่อกันก็ได้ ๓.๒)เหตุผลของคำให้การของพยาน: เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามโอกาสที่พยานสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงได้แล้วก็จะต้องมาพิจารณาว่าคำให้การพยานมีเหตุผลน่าเชื่อเพียงใด กรณีนี้ให้พิจารณาเพียงว่า คนธรรมดาจะเชื่อหรือไม่ตามคำให้การของพยานนั้นและจะต้องระลึกว่าความน่าเชื่อถือแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เคยมีในโลกของความเป็นจริง ดังนั้น หากข้อเท็จจริงที่พยานได้ให้การมานั้นมีเหตุผลก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หากเป็นศาลจะยกฟ้องเพราะเหตุสงสัยในคำพยาน ก็จะต้องเป็นความสงสัยจริง ๆ ไม่ใช่เพียงสงสัยเล็กๆ น้อย ๆ ต้องพิจารณาถึงภาวะจิตใจของผู้รับฟังพยานนั้นว่าเชื่อเพียงใดเป็นสำคัญเช่น ฟังแล้วสอดคล้องต้องกัน มีพยานหลายคนอยู่ในที่เกิดเหตุให้การสอดคล้องกันเป็นเรื่องเป็นราว ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาจะทำกันหรือไม่ฯลฯ เป็นต้น ๓.๓เหตุผลในการมาให้การเป็นพยาน :มูลเหตุจูงใจในการมาเป็นพยานในคดีก็ เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณาบางคนอาจจะไม่ต้องการเป็นพยานเพราะเกรงกลัวแต่ก็เล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังอีกต่อหนึ่ง ผู้ใดก็ตามที่ยินยอมมาเป็นพยานพนักงานสอบสวนก็ชอบจะสอบปากคำถึงเหตุผลในการมาเป็นพยานด้วยเพื่อประโยชน์ในการชั่งน้ำหนักว่าปากคำพยานน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นต้น ๓.๔หลักความสมเหตุสมผลและความน่าเชื่อถือได้ : หลักการประการสุดท้าย ก็คือพิจารณาว่า ปากคำพยานน่าเชื่อถือเพียงใดโดยการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงทั้งหมดข้างต้น ประกอบพิจารณาว่าพยานมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนหรือไม่ พยานเป็นคนกลางหรือไม่ หรือ ไม่เป็นคนกลางแต่ไม่มีเหตุจะปรักปรำผู้ใด หรือเป็นคำซัดทอด แต่ไม่ได้ทำให้ตนเองพ้นผิด ซึ่งอาจจะเกิดจากความสำนึกผิด ฯลฯ อย่างไรก็ตาม หลักการทั้งหมดเป็นเรื่อง Common Sense ประกอบด้วย เพราะการแสวงหาพยานหลักฐานและทำให้ผู้อื่นเชื่อในพยานหลักฐานของเรา ก็จะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ประกอบกันในปัจจุบันมีความรู้ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการให้เหตุผลสนับสนุนทำให้คดีพยานหลักฐานหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีก เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนจะต้องขวนขวายเพื่อทำให้เกิดความสำเร็จในการแสวงหาข้อเท็จจริงปกป้องผู้บริสุทธิ์ และให้ความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาตามหลักสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนจะต้องได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม เสมอภาคอย่างไม่เลือกปฏิบัติ หากตำรวจทั้งหลายสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีแล้วก็จะมีแต่คนเคารพและเชื่อฟังกฎหมาย ในทางตรงกันข้าม หากประชาชนเห็นว่าตำรวจไม่อาจจะพึ่งพาได้ ปฏิบัติงานล่าช้าไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะไม่มีคนเคารพกฎหมาย บ้านเมืองก็จะยุ่งเหยิงอย่างที่เราประสบกันอยู่
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2555 22:58:58 น. |
|
10 comments
|
Counter : 29377 Pageviews. |
|
|
กรณีตัวอย่าง และข้อสังเกตบางประการที่ทำให้ศาลยกฟ้องคดีต่าง ๆ ดังนี้
๑. คดีฉ้อโกง
ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำระบบเงินเดือนบัญชี บันทึกข้อมูลการเพิ่มเงินเดือนและจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ปรากฏว่าจำเลยอาศัยเพียงคำบอกกล่าว หัวหน้างานว่าได้เสนอให้กรรมการบริษัทเพิ่มเงินเดือนให้แก่จำเลยแล้ว จากนั้นจำเลยก็ได้เพิ่มเงินเดือนให้กับตนเอง โดยคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการบริษัท วิธีการเพิ่มเงินเดือน ซึ่งจะต้องมีคำสั่งพร้อมลงลายมือชื่ออนุมัติในการเพิ่มเงินเดือนของกรรมการบริษัทฯ แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนให้เห็นพฤติการณ์ว่า จำเลยเป็นพนักงานบริษัทระดับสูง รู้และเข้าใจวิธีการเลื่อนเงินเดือนเป็นอย่างดี ที่ผ่านมามีการเลื่อนเงินเดือนให้กับพนักงานอย่างไร และ มีจำเลยเท่านั้นที่มีรหัสเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่จะเพิ่มเงินเดือนพนักงานได้เพียงผู้เดียว ตลอดจน พนักงานสอบสวนไม่ได้รวบรวมข้อเท็จจริงให้เห็นว่า เหตุใดหัวหน้าของจำเลยจึงเบิกความเป็นประโยชน์ต่อจำเลย มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันอย่างไร ไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดอื่น ๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยทุจริตอย่างไร ศาลจึงยกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัย เนื่องจากเชื่อว่า จำเลยอาจจะไม่มีเจตนาทุจริต แต่หลงเชื่อหัวหน้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้ หลังจากพนักงานอัยการสั่งไม่อุทธรณ์คำพิพากษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีความเห็นแย้งขอให้อัยการสูงสุด และต่อมาอัยการสูงสุด ได้ชี้ขาดให้อุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป
๒. คดียาเสพติด
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมีหลายกรณี เช่น การไม่นำสายลับไปเบิกความในชั้นพิจารณา หรือ การเบิกความไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ หรือ สภาพที่เกิดเหตุที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เป็นต้น
ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟัง มีคดีหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้เสพฯ ได้ จึงได้สืบสวนขยายผล จนทราบว่าผู้จำหน่ายยาเสพติดคือนาย ก. จึงได้วางแผนทำการจับกุม พนักงานสอบสวนได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานโดยการสอบปากคำผู้เสพฯ ดังกล่าวเป็นพยาน ชี้ภาพผู้ต้องหา ชี้ที่เกิดเหตุ ฯลฯ พร้อมกับวางแผนเข้าล่อซื้อ แต่ปรากฎว่า นาย ก. รู้ทัน จึงไม่ยอมจำหน่ายยาเสพติด ทำให้ไม่สามารถจับกุมได้ พนักงานสอบสวน จึงได้สอบสวนปากคำผู้เสพฯ อีกหลายคน แล้วเสนอขอศาลออกหมายจับ
ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลสำคัญ ๆ ด้วยกัน ๔ ประการ ได้แก่ ก่อนเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนไม่ได้ตรวจสอบว่า นาย ก. กับ ผู้เสพรายอื่น ๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันบ้างหรือไม่ อีกทั้งยังไม่พบยาเสพติดของกลางอยู่ในความครอบครองของนาย ก. หรือ ธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อในครอบครองของจำเลย และ ไม่เคยสืบสวนเกี่ยวกับพฤติการณ์หรือการกระทำ อาชีพ ข้อเท็จจริงทางด้านการเงิน ฯลฯ ของนาย ก. มาก่อน รวมถึงพนักงานสอบสวนไม่สามารถนำผู้เสพซึ่งให้การเป็นพยานไปเบิกความในชั้นศาลได้
ดังนั้น หากพนักงานสอบสวน ทำการอุดช่องโหว่ดังกล่าว เชื่อว่าศาลก็จะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยจะไม่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นแต่ประการใด การสืบสวนสอบสวนขยายผล ยังอาจจะกระทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เทคโนโลยี กล้องกระดุม ให้พยานหรือสายลับนำไปติดต่อล่อซื้อกับจำเลย ฯลฯ นำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ เป็นต้น นอกจากนี้ อาจจะอุดช่องว่าง ด้วยการจัดทำ Database ข้อมูลของผู้เสพ และ ผู้จำหน่าย ฯลฯ พร้อมนำบันทึกการสืบสวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนประกอบสำนวน และ สอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เห็นว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในการสืบสวน สามารถดำเนินการสืบสวนและจับกุมผู้จำหน่ายยาเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง และศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษเสมอ หากมีการนำเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้สืบสวนไปเบิกความ ศาลก็ย่อมจะฟังลงโทษจำเลยได้เช่นกัน
๓. คดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
มีตัวอย่างคดีหนึ่ง จำเลยกับผู้ตายพักอาศัยอยู่ในห้องเดียว จำเลยอ้างว่าภายหลังรับประทานแล้วก็หลับไป ไม่ทราบว่าผู้ตายโดนยิงตายได้อย่างไร พนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานบุคคลและตรวจพิสูจน์หลักฐานตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ โดยตรวจสอบพบว่ามีคราบเขม่าและธาตุ Antimony & Barium ที่มือของผู้ตาย และ จำเลย แต่ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ จำเลยให้การว่าก่อนพบว่ามีการตายเกิดขึ้น จำเลยอยู่กับผู้ตายตลอดเวลา แต่ไม่ทราบสาเหตุการตาย
ศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า หลังเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้หลบหนีไปที่อื่น ยังคงอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ และหลังจากถูกสอบสวนในฐานะพยานในเบื้องต้นก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน ยังอยู่อาศัยที่บ้านผู้ตายตลอดมา อีกทั้งไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย ส่วนคราบเขม่าฯ ที่ติดมือจำเลย ก็เพราะจำเลยเปิดผ้าห่มคลุมร่างผู้ตาย จึงติดเขม่ามาด้วย ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ซึ่งพนักงานอัยการ ที่เป็นโจทก์ในคดีนี้ ก็ได้มีคำสั่งไม่อุทธรณ์เช่นกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แย้งคำสั่งคำสั่งไม่อุทธรณ์ และท้ายที่สุด อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลต่อไป
คดีนี้ จึงเป็นอุทาหรณ์ สำหรับคดีที่ไม่มีประจักษ์พยานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำปลอมแปลงเอกสาร ฯลฯ จะต้องสืบสวนสอบสวนให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำผิดตั้งแต่แรก ซึ่งอาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ โดยมีการสอบสวนปากคำพยานแวดล้อมให้เหตุถึงมูลเหตุดังกล่าว เช่น มูลเหตุในทางเศรษฐกิจ มูลเหตุในทาง ชู้สาว หรือมูลเหตุอื่น ๆ ฯลฯ ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงเหตุในการกระทำผิดในคดีดังกล่าว ซึ่งในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้สอบสวนในลักษณะที่รัดกุม ชัดเจนในระดับดีมาก เช่น กรณีนี้ ผู้ตายกับจำเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศในลักษณะชายรักชาย มีการเมาสุราและตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ รวมถึงผลของการเมาสุรา จำนวนนัดการยิงที่ทำให้เห็นว่า การอ้างว่าเมาหลับไปโดยไม่ได้ยินเสียงปืน คงเป็นเรื่องผิดปกติ ลักษณะของศพที่ถูกยิง กับการจัดฉากการยิงของจำเลย รวมถึงปริมาณเขม่าที่พบที่มือจำเลย แต่อย่างไรก็ตาม หากพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เชี่ยวชาญโดยละเอียด เพื่อหักล้างประเด็นที่จะอ้างเป็นข้อสงสัยของศาลข้างต้นในอนาคตไว้เลยสำหรับคดีที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเปิดผ้าห่ม ฯลฯ จะมีปริมาณเขม่าได้มากน้อยเพียงใด ฯลฯ ก็จะเป็นการชัดเจนยิ่งขึ้นให้ศาลลงโทษจำเลยได้ตั้งแต่ต้น
๔. คดีเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร
การแสวงหาพยานหลักฐานที่จะยืนยันว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้ทำการปลอมแปลงเอกสารนั้นเป็นเรื่องยากที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าไม่มีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำผิดของจำเลย ซึ่งเป็นไม่ได้เลยว่าจำเลยจะยอมรับว่าทำการปลอมแปลงเอง เว้นแต่ เอกสารดังกล่าวจะมีแต่เฉพาะจำเลยเท่านั้นที่มี หรือ หมึกที่ใช้ในการกระทำการปลอมนั้น เป็นหมึกเฉพาะตัวของจำเลยที่ใช้เฉพาะ มีการผสมน้ำหมึกแบบพิเศษ หรือ พยานแวดล้อมอื่น ๆ จะมัดการกระทำผิดของจำเลยได้ แต่คดีส่วนใหญ่ จะมีการลงโทษในข้อหา ใช้เอกสารปลอมฯ เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการยาก เช่น การใช้ทะเบียนรถปลอม หรือ การใช้เอกสารราชการอื่น ๆ ปลอม หากไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ทราบอย่างแน่แท้ว่าเป็นเอกสารปลอมแล้ว ศาลก็จะพิจารณาลงโทษจำเลยได้
มีคดีหนึ่ง ข้อเท็จจริงมีว่า จำเลยที่ ๑ เป็นชาวเขา ได้รับเอกสารหนังสืออนุญาตให้ออกนอกพื้นที่ที่ราบสูงจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมื่อจำเลยที่ ๑ นำเอกสารมาแสดงต่อ ตำรวจสันติบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ตรวจสอบไปยังอำเภอแม่ฟ้าหลวง ปรากฎว่าเป็นสารปลอม ทางอำเภอไม่ได้ออกให้ หลังจากทำการจับกุมจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ ซัดทอดว่าได้จ้างจำเลยที่ ๒ ดำเนินการให้อัตราฉบับละ ๖,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ให้การซัดทอดว่าได้ว่าจ้างให้ นาย ค. หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือชาวเขาฯ ดำเนินการต่อไป แต่ปรากฎว่าพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องโดยอ้างว่าเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำผิดด้วยกัน ปัญหาจึงต้องพิจารณาว่าผู้ใดจะเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวปลอม คดีนี้ พนักงานสอบสวนได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ แล้วก็ได้แต่ยืนยันว่า ดวงตราที่ประทับในเอกสารปลอม ไม่ใช่ดวงตราอันเดียวกับที่ใช้ในราชการแต่ไม่ยืนยันเกี่ยวกับลายมือชื่อของพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงไปค้นบ้าน นาย ค. เจ้าหน้าที่ของศูนย์ช่วยเหลือชาวเขาฯ ก็พบเอกสารที่มีลักษณะปลอมแปลงดังกล่าวด้วย แต่ก็ไม่มีประจักษ์พยานว่าผู้ใดเป็นผู้ปลอมแปลง หรือจัดทำขึ้น อีกทั้ง พนักงานอัยการ ยังได้สั่งไม่ฟ้อง นาย ค. ไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่า ดวงตราที่ประทับ แม้ผู้เชี่ยวชาญจะยืนยันว่าไม่ใช่ดวงตราเดียวกับที่พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ประจำก็ตาม แต่ศาลเห็นว่าดวงตราประทับอาจจะแตกต่างกันไป เพราะโดยปกติส่วนราชการย่อมมีดวงตราประทับหลายอัน และอาจจะมีการพิมพ์หรือการใช้หมึกที่แตกต่างกันไป ส่วนลายมือชื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นไม่หนักแน่นว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๑ ยังได้ใช้เอกสารดังกล่าวตลอดมา โดยไม่มีลักษณะพฤติการณ์ที่ผิดปกติ และ ไม่พยานหลักฐานแวดล้อมกรณีที่จะยืนยันว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กระทำปลอมขึ้นมา จึงพิพากษายกฟ้อง
กรณีนี้ มีข้อสังเกตว่า กรณีนี้น่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๒ และ นาย ค. ซึ่งพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องไป น่าจะร่วมกันกระทำผิดจริง แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าเกิดจากคำซัดทอดของจำเลยที่ ๒ แต่ในทางข้อเท็จจริง พนักงานสอบสวนได้ตรวจค้นบ้านของนาย ค. ด้วย และ พบว่ามีเอกสารปลอมที่มีลายมือชื่อ และอยู่ในความครอบครองของนาย ค. พยานหลักฐาน จึงชี้ชัดว่า นาย ค. เป็นผู้กระทำผิดอย่างแท้จริง โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีส่วนร่วมกระทำผิด ดังนั้น ในการสอบสวนคดีประเภทนี้ จะต้องพิจารณาว่า ควรจะต้องมีการใช้เทคนิควิธีในการล้วงหรือแสวงหาความจริง แล้วกันจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ เป็นพยาน เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษหรือไม่ เพราะความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลง ย่อมเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าผู้ใดทำปลอมเอกสารนั้น ซึ่งกรณีนี้ ถือว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการเต็มที่แล้ว แต่เป็นบทเรียนในการสอบสวนในครั้งต่อไป ควรที่จะต้องมีการป้องกันปัญหาการสั่งไม่ฟ้อง และไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษในลักษณะนี้อีกในอนาคต